แชร์

บทที่ 22 ทวนเหยียนหลง

last update ปรับปรุงล่าสุด: 2025-03-10 18:30:09

เสียงของ ซุนสีห่าว ดังก้องไปทั่วบริเวณ ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยความมั่นใจและหยิ่งผยอง

เหล่าศิษย์หน้าใหม่ที่ยืนอยู่ต่างหันมามองอย่างสนใจ บางคนแอบกระซิบกระซาบถึงความกล้าของเขา ขณะที่บางคนลอบหัวเราะเบาๆ กับท่าทางที่โอ้อวด

โฮ่วเมี่ยน ศิษย์พี่ใหญ่ผู้ดูแลคลังอาวุธ หัวเราะดังออกมา เสียงหัวเราะของเขาดังก้องจนทุกคนหยุดพูดคุยและหันไปมอง โฮ่วเมี่ยนก้าวเข้ามาใกล้ซุนสีห่าว ใบหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้มที่ดูมีเลศนัย

“ช่างกล้าหาญยิ่งนัก! เช่นนั้นข้าจะให้เจ้าลองดู”

เขาหันกลับไปยังประตูเหล็กอีกชั้นหนึ่งที่ปิดสนิทอยู่ และยกมือผลักมันเปิดออกอย่างแผ่วเบา แต่บานประตูหนักนั้นกลับส่งเสียงดังลั่น เมื่อประตูเปิดออก สิ่งที่ปรากฏแก่สายตาของทุกคนคือ ทวนวิเศษเล่มหนึ่ง

ทวนเหยียนหลง ตั้งตระหง่านอยู่กลางห้อง รัศมีแห่งพลังลึกลับแผ่ออกมาจากทวนอย่างต่อเนื่อง ด้ามทวนทำจากโลหะดำสนิท สลักลวดลายมังกรพันรอบอย่างวิจิตร ปลายทวนเปล่งแสงสีเงินวาววับ ราวกับมีชีวิตที่หายใจเข้าออก ลมปราณรอบๆ พื้นที่นั้นพัดหมุนอย่างแผ่วเบา แต่กลับแฝงด้วยแรงกดดันที่ยากจะอธิบาย

โฮ่วเมี่ยนชี้ไปที่ทวนเล่มนั้น พลางกล่าวเสียงเข้ม

“นี่คือ ทวนเหยียนหลง ทวนวิเศษที่ทรงพลังที่สุดในคลังแห่งนี้ หากเจ้ามั่นใจว่าเจ้าคู่ควร จงเข้าไปหยิบมัน หากทำได้ ทวนเล่มนี้จะเป็นของเจ้า”

ซุนสีห่าว มองทวนด้วยสายตาเป็นประกาย เขายิ้มเล็กน้อย พร้อมกล่าวด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความมั่นใจ

“นี่แหละคือสิ่งที่ข้าต้องการ!”

เขาก้าวเดินขึ้นบันไดที่นำไปยังแท่นตั้งทวน ท่ามกลางสายตาของทุกคนที่จับจ้องอย่างลุ้นระทึก

เมื่อถึงจุดที่ตั้งทวน ซุนสีห่าวยืนตรงหน้าอย่างมาดมั่น เขายกมือขึ้นสูงก่อนจะประกาศเสียงดัง

“ข้าคือซุนสีห่าว บุตรชายของท่านซุนเล่อตัว รองเจ้ากรมคลัง! ข้าจะเป็นผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดแห่งสำนักเทียนหยาง!”

จางอี้หมิงที่ยืนดูอยู่เมื่อได้ยินเสียงประกาศของซุนสีห่าว ก็ลอบหัวเราะเบาๆ ในใจ พลางครุ่นคิดว่า “ในอดีตข้าก็เคยพูดเช่นนี้ ถ้าไม่ติดที่เจ้ากวนบาทาข้าตั้งแต่วันแรก ข้าจะดึงเจ้ามาเป็นศิษย์ก้นกุฏิอีกสักคน”

สิ้นคำประกาศของซุนสีห่าว เขาเอื้อมมือไปจับด้ามของ เหยียนหลง

ทันใดนั้นเอง ทวนเริ่มเปล่งประกายแสงสีเงินสว่างวาบ เสียงหวีดหวิวของพลังปราณดังสะท้อนไปทั่วบริเวณ ลมแรงจากพลังของทวนพัดจนซุนสีห่าวต้องหลับตา

แต่ยังไม่ทันที่เขาจะดึงทวนออกมาได้ พลังอันมหาศาลของ ทวนเหยียนหลง ก็พุ่งกระแทกใส่ร่างของเขาอย่างรุนแรง

ร่างของซุนสีห่าวกระเด็นออกไปอย่างแรง เขาล้มลงกับพื้นเสียงดัง ใบหน้าซีดเผือด กระอักเลือดจนล้นปาก มีรอยบาดเจ็บเล็กน้อยที่แขนและหน้าอก ลูกสมุนสองคนที่ติดตามเขารีบวิ่งเข้ามาประคองลูกพี่ของพวกเขาทันที

“น่าอดสูยิ่งนัก เอาเถอะ ข้าเองก็เคยหยิบดาบที่ตีไว้เพื่อท่านอาจารย์เจ้าสำนักเช่นกัน เพียงแต่ตอนนี้มันอยู่ในมือของข้า” จางอี้หมิงมองดูแล้วครุ่นคิดในใจ

โฮ่วเมี่ยนที่ยืนมองเหตุการณ์อยู่ส่ายหน้าช้าๆ ก่อนจะหัวเราะเบาๆ และเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงเย็นชา

“เจ้าแค่ยังไม่คู่ควร”

จากนั้นโฮ่วเมี่ยนโบกมือสั่งลูกสมุนทั้งสอง “พาเขาไปที่หน่วยแพทย์ซะ”

ลูกสมุนทั้งสองรีบพาซุนสีห่าวที่บาดเจ็บและยังคงมึนงงออกจากคลังอาวุธไป

จากนั้น โฮ่วเมี่ยนยืนยิ้มเล็กน้อยแล้วเอ่ยถามเสียงดัง “ยังมีใครที่อยากลองสัมผัสทวนเล่มนี้อีกหรือไม่?”

เสียงของเขาดังกังวานไปทั่วบริเวณ แต่ไม่มีใครกล้าเอ่ยคำตอบออกมา บรรยากาศในห้องเงียบงัน ท่ามกลางสายตาของศิษย์ทุกคนที่เต็มไปด้วยความลังเลและเกรงกลัว

จางอี้หมิง ที่ยืนอยู่ด้านหลังเพียงหัวเราะเบาๆ ในลำคอ พร้อมกล่าวเสียงเรียบที่ได้ยินเพียงไม่กี่คน

“จะสักแค่ไหนเชียว”

คำพูดนั้นทำให้ หลินหนิง หันมามองเขา นางหัวเราะออกมาเบาๆ ด้วยน้ำเสียงสดใสราวกับหยอกล้อ

“ถ้าเช่นนั้น ท่านลองไปหยิบดูสิ ทวนเล่มนั้นอาจจะเป็นของท่าน!”

จางอี้หมิงยิ้มเล็กน้อย ตบไปที่ดาบที่อยู่ข้างเอวเบาๆ

“ข้าชอบดาบมากกว่า ทวนไม่ใช่ทางของข้า”

เขาหันไปมอง หวงจื่อรั่ว ศิษย์หญิงผู้สง่างามและเยือกเย็น ที่มักจะสะพายทวนเล่มหนึ่งอยู่เป็นประจำ ใบหน้าของนางงดงามราวกับภาพวาด แววตานางเปล่งประกายงดงาม

“ข้าเห็นเจ้าสะพายทวนอยู่เสมอ อาจเป็นไปได้ว่าทวนเล่มนี้รอเจ้าอยู่ เจ้าไม่ลองดูหน่อยหรือ?”

หลินหนิงที่ยืนอยู่ใกล้ๆ รีบเสริมเสียงใส “จื่อรั่ว เจ้าจะลองดูหรือไม่”

แม่นางน้อยหลินหนิงผู้นี้ช่างสนับสนุนคนอื่นเก่งยิ่งนัก จางอี้หมิงลอบชื่นชมสาวน้อยผู้มีความสดใสในใจ

หวงจื่อรั่วชำเลืองมองทั้งสองคน ใบหน้าของนางเต็มไปด้วยความลังเล แต่เมื่อเห็นสายตาที่เปี่ยมด้วยความมั่นใจจากหลินหนิงและจางอี้หมิง นางก็พยักหน้าเบาๆ

“เช่นนั้นข้าจะลองดู”

ท่ามกลางเสียงซุบซิบของศิษย์คนอื่นๆ หวงจื่อรั่วก้าวเดินขึ้นไปยังแท่นตั้งทวน ทุกสายตามองนางด้วยความสนใจ

“จะไหวหรือ ขนาดซุนสีห่าวยังไม่รอด”

“อวดเก่งยิ่งนัก”

เมื่อเดินมาถึง นางยืนมอง ทวนเหยียนหลง อย่างตั้งใจ แสงสะท้อนจากปลายทวนดูเหมือนจะสื่อสารอะไรบางอย่างกับนาง

นางสูดหายใจเข้าลึกก่อนจะเอื้อมมือไปจับด้ามของทวน ในขณะนั้นเอง ทวนเปล่งประกายแสงสีทองเจิดจ้าขึ้นมา 

พลังของทวนกระจายตัวออกไปทั่วห้อง ลมปราณในอากาศปั่นป่วน ราวกับทั้งห้องถูกพลังของทวนแผ่ซ่านทั่วบริเวณ

เสียงอุทานดังขึ้นจากศิษย์รอบข้าง หลายคนถอยหลังไปสองสามก้าวด้วยความตกตะลึง

ทันใดนั้นประกายแสงจากทวนก็สว่างจ้าขึ้นมา ก่อนที่หวงจื่อรั่วจะดึงทวนเหยียนหลงเล่มนั้นออกมา

เปรี้ยง!

ร่างกายของหวงจื่อรั่วกระเด็นออกมา แต่ในมือของนางนั้น กำทวนเล่มนั้นไว้แล้ว

ก่อนที่ร่างกายของนางจะร่วงลงสู่พื้น จางอี้หมิงที่จ้องมองอยู่ รีบพุ่งเข้ามารับนางไว้ทันพอดี

“ข้าบอกแล้วว่ามันเป็นของเจ้า”

จากนั้น โฮ่วเมี่ยนเดินเข้ามา เขาประสานมือคารวะให้จางอี้หมิง พร้อมกล่าวด้วยน้ำเสียงจริงจัง 

“พลังนางถูกดึงไปเยอะเกินไป รีบพานางไปยังหน่วยแพทย์เถิด”

จางอี้หมิงอุ้มตัวหวงจื่อรั่วไว้ในอ้อมแขนอย่างเบามือ ใบหน้าของเขายังคงสงบนิ่ง 

หากข้าบอกว่าหน้าอกของเจ้าที่โดนตัวข้ามันนุ่มมาก ข้าคงจะมีจิตใจที่หยาบช้าเกินไป เอาเถอะ ข้าจะพาเจ้าไปหน่วยแพทย์เอง

ทางด้านของหลินหนิงที่ยืนอยู่ไม่ไกล ก็รีบวิ่งติดตามมาด้วยทันที

อ่านหนังสือเล่มนี้ต่อได้ฟรี
สแกนรหัสเพื่อดาวน์โหลดแอป

บทล่าสุด

  • วิถีสุริยะพิชิตเวหา   บทที่ 52 นิทาน

    “เมื่อหนึ่งปีครึ่งที่ผ่านมา...” เสียงของนักเล่านิทานเกริ่นเล่า“ครั้งนั้นปักษาอัคคีบุกเข้าโจมตีอาณาจักรต้าเฉิง มีศิษย์แห่งสำนักเทียนหยางผู้หนึ่ง นามว่า เสี่ยวต้าหมิง ออกกำจัดปักษาอัคคีผู้นั้น ทว่า เป็นที่น่าเสียดาย หลังจากกำจัดปักษาอัคคีได้ วีรบุรุษเสี่ยวต้าหมิงผู้นั้น ก็ได้จากโลกนี้ไปตลอดการ”มารดามันเถอะ! เจ้าเล่าเรื่องของข้าไม่พอ ยังตั้งชื่อข้าว่าเสี่ยวต้าหมิง คนอันใดมีทั้งใหญ่ทั้งเล็กในตัวเอง เท่านั้นไม่พอ ยังบังอาจสาปแช่งให้ข้าตายเมื่อนักเล่านิทานเล่าเรื่องจบ จางอี้หมิงก็เดินปรี่เข้าไปสอบถาม“ท่านเสี่ยวต้าหมิงช่างยิ่งใหญ่น่าเคารพยิ่ง” จางอี้หมิงกล่าววาจาชื่นชมตัวเอง “ข้าอยากทราบว่า เป็นผู้ใดเล่าเรื่องนี้ให้กับเจ้าฟัง”นักเล่านิทานยกมื่อคารวะทีหนึ่ง “เรียนคุณชายท่านนี้ ผู้ที่ถ่ายทอดเรื่องราวนี้ให้กับข้าน้อยฟัง คือ ท่านปราจารย์ซ่งอิน แห่งสำนักเทียนหยาง”“!!!”จางอี้หมิงยืนนิ่งครู่หนึ่ง ก่อนให้รางวัลตอบแทนนักเล่านิทานไปสามอีแปะ พลางคิดในใจ “เจ้าซ่งอินเป็นปรมาจารย์ตั้งแต่เมื่อไหร่ ข้าออกมาจากสำนักแค่เดือนเดียวก็คิดแต่งตั้งตัวเองแล้ว

  • วิถีสุริยะพิชิตเวหา   บทที่ 51 ชายผู้เขียนอักษร

    ณ เมืองหลวงของอาณาจักรต้าเฉิง เขตเมืองชั้นในของเมืองคึกคักไปด้วยผู้คน แม้จะไม่แออัดเท่าเขตเมืองชั้นนอก แต่ก็ถือว่ามีจำนวนมากพ่อค้าแม่ค้าต่างเปิดร้านกันอย่างขมีขมัน*(กะตือรือร้น) กลิ่นหอมของหมั่นโถวร้อนๆ ลอยมาจากแผงขายอาหาร เสียงตะโกนเรียกลูกค้าของพ่อค้าแม่ค้าแข่งกันดังก้องทั่วถนน ไม่ว่าจะร้านของกินหรือร้านเครื่องประดับ ต่างแข็งขันกันอย่างเข้มข้นจางหลันซือ บุตรสาวของท่านอ๋องจางส่วง นั่งอยู่ในรถม้าสีดำขลับ ประดับลวดลายดอกเหมยงามสง่า นางเป็นสตรีที่ได้รับการกล่าวขานว่างามเลิศ ทั้งยังมีนิสัยซุกซนข้างกายนางมีซงเอ๋อร์ สาวใช้ประจำตัวของพี่ชายของนาง จางอี้หมิง สตรีผู้มีใบหน้างดงามราวเทพธิดาในอาภรณ์สีชมพูอ่อนอันเรียบง่าย ที่ขับเน้นผิวขาวผุดผ่องของนางให้ดูอ่อนโยนดุจบุปผาแรกแย้มซงเอ๋อร์มิใช่เพียงสาวใช้ธรรมดา แต่นางเป็นว่าที่อนุภรรยาของจางอี้หมิง และเป็นสตรีที่ได้รับความรักใคร่จากคนในตระกูลจาง และถูกให้ความสำคัญในระดับสูงรถม้าของทั้งสองแล่นผ่านถนนสายหลักของเมือง สายตาของจางหลันซือก็สะดุดเข้ากับผู้คนที่ยืนต่อแถวยาวเหยียดไปจนสุดสายตา คล้ายกำลังรอคอยบางสิ่งบา

  • วิถีสุริยะพิชิตเวหา   ความเดิมภาคที่แล้ว

    จางอี้หมิงบุตรชายเพียงคนเดียวของท่านอ๋องจางส่วง ถูกจอมมารปีศาจทำร้ายจนบาดเจ็บสาหัส นอนหลับไปนับปี เมื่อตื่นขึ้น พบว่าพลังปราณสูญเสียสมดุลจนใช้งานไม่ได้ข้างกายของเขามีแม่นางซงเอ๋อร์ สาวใช้ประจำกายและว่าที่อนุภรรยาในอนาคตคอยเฝ้าดูแลไม่ห่างหนทางที่ง่ายที่สุดคือฝึกฝนใหม่แบบย้อนกลับเพื่อปรับสมดุลพลังปราณ หนทางที่ยากที่สุดคือหาสมุนไพรหายากสิบแปดชนิด และหนทางสุดท้ายคือ บำเพ็ญคู่กับสตรีพรหมจรรย์ เขาจึงจำเป็นต้องเลือกหนทางการฝึกฝนร่วมกับเหล่าศิษย์หน้าใหม่ ซึ่งถือว่าง่ายดายและปัญหาน้อยที่สุดเขาได้พบเจอกับแม่นางหลินหนิงผู้มีความน่ารักสดใสดวงตากลมโต ได้รู้จักแม่นางหวงจื่อรั่วผู้มีใบหน้าหมดจดงดงามราวเทพธิดาเพิ่มมากขึ้น แม้นางจะเป็นคนของจวนอ๋องแต่ทว่าความสนิทมีน้อยนัก จนกระทั่งได้มาฝึกร่วมกันอีกครั้งการฝึกฝนใหม่ในครั้งนี้ได้พบกับถัวเค่อชี ผู้มีใจริษยาต่อจางอี้หมิงมาตลอด พบกันคราวนี้ถัวเค่อชีต้องปฏิบัติหน้าที่เป็นอาจารย์ผู้ฝึกฝนจางอี้หมิง ซึ่งนี่เป็นโอกาสที่ดีที่เขาจะได้ "ข่ม" จางอี้หมิงบ้าง แต่แล้วเรื่องราวกลับไม่เป็นเช่นนั้นแต่ถึงอย่างไรก็แล้วแต่ จางอี้หมิ

  • วิถีสุริยะพิชิตเวหา   บทที่ 50 จากลา (จบภาค1)

    ที่ชั้นเก้าของหอเทียนหยาง ศิษย์สายตรงทั้งเจ็ดคนของสำนักกู่เจิ้งมารวมตัวกันพร้อมหน้าพร้อมตา บรรยากาศในห้องสงบเงียบ ทว่าครุกรุ่นไปด้วยแรงกดดันทุกคนล้วนเป็นศิษย์ระดับสูง ผู้ที่ผ่านการฝึกฝนมาอย่างเข้มงวด ทุกคนคุกเข่าคารวะอาจารย์เจ้าสำนักกู่เจิ้ง ซึ่งยืนอยู่เบื้องหน้าพร้อมกับสายตาที่ล้ำลึกเกินหยั่งถึงเจ้าสำนักโบกมือให้ทุกคนลุกขึ้น พลางกวาดสายตามองไปรอบห้อง เขามองพวกเขาอย่างเงียบงันอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะกล่าวเสียงเรียบแต่หนักแน่นว่า“ปีที่แล้ว ลัทธิมารแดนปีศาจเคลื่อนไหว ครั้งนี้ ลัทธิมารแดนสวรรค์เคลื่อนไหว เป็นข้าเองที่หละหลวมในการป้องกัน… หลังจากนี้ จะไม่มีครั้งที่สาม”แววตาของเจ้าสำนักฉายประกายแน่วแน่ เขาโบกมือให้ทุกคนลุกขึ้นนั่งลงบนเบาะของตนเอง จากนั้นเขาเองก็ทรุดตัวลงนั่งที่โต๊ะกลางห้อง หยิบใบชามาบดด้วยมืออย่างประณีต ก่อนจะเทน้ำร้อนลงในถ้วย เสียงไอร้อนพวยพุ่งขึ้นแตะจมูก กลิ่นหอมอ่อนๆ ของชาแผ่ซ่านไปทั่วห้อง เจ้าสำนักสูดกลิ่นหอมของชาเบาๆ ก่อนจะกล่าวต่อด้วยน้ำเสียงสงบ“เห็นที พวกเราคงต้องจริงจังกับเรื่องศิลาเฝิ่นเหิงกันบ้างแล้ว นี่อาจไม่ใช่เพียงแค่เรื่อ

  • วิถีสุริยะพิชิตเวหา   บทที่ 49 บำเพ็ญคู่ปรับสมดุลลมปราณ

    จางอี้หมิงนั่งนิ่งตาค้าง ทำอะไรไม่ถูก ได้แต่มองนัยน์ตาของศิษย์พี่คนงาม ที่ฉายแววความร้อนฉ่า ริมฝีปากสีแดงเรื่อยังคงหลงเหลือรสชาติของสุรา นางจ้องมองเขาด้วยสายตาที่ทำให้หัวใจเต้นแรงจนแทบหลุดออกจากอก“เจ้ารู้จักการบำเพ็ญคู่หรือไม่?” นางกระซิบถามด้วยเสียงแผ่วเบา ราวกับเสียงลมพัดผ่านในค่ำคืน จางอี้หมิงรู้สึกได้ถึงสัมผัสจากปลายนิ้วของนางที่ลากไล้เบาๆ บนแผ่นอกของเขา“ท่านเมาแล้ว” จางอี้หมิงพยายามตั้งสติ แต่เสียงของเขากลับสั่นไหว เจียงเยว่ยิ้มมุมปาก ก่อนจะยกมือเรียวขึ้นปิดริมฝีปากเขา“ข้าตั้งใจเมา” นางตอบเบาๆ สายตาของนางเต็มไปด้วยแรงดึงดูดที่ไม่อาจต้านทานใช่สิ หากไม่เมาท่านจะกล้าเช่นนี้หรือจางอี้หมิงมองดูนางอย่างหลงใหล มือของเจียงเยว่วางแนบลงบนแผ่นอกของเขา หัวใจของเขาเต้นรัวจนแทบไม่เป็นจังหวะ ก่อนที่เสียงกระซิบของนางจะดังขึ้นอีกครั้ง“หรือว่าเจ้าไม่ต้องการ?”เขาสูดหายใจเข้าลึก สบตากับนางก่อนจะตอบเสียงพร่า “ข้าเองก็คิดแบบเดียวกับท่าน”ข้าหมายตาท่านมาตลอด!จากนั้น จางอี้หมิงก็รวบตัวเจียงเยว่เข้ามาอุ้มขึ้น นางแนบตัวเข้าหาเขาโดยไม

  • วิถีสุริยะพิชิตเวหา   บทที่ 48 กักตัวที่บ้านพัก

    จางอี้หมิงยืนนิ่งอยู่กลางสมรภูมิ ดวงตาเรียบเฉยจ้องมองร่างไร้วิญญาณของถัวเค่อชีที่นอนแน่นิ่งอยู่บนพื้น เลือดสีเข้มค่อย ๆ ไหลซึมไปตามพื้นดิน กลิ่นคาวโชยขึ้นมาปะปนกับไอเย็นของค่ำคืนเขาสูดลมหายใจลึก ก่อนจะเก็บดาบประจำกายเข้าฝัก เสียง “แกร๊ก” ของดาบที่เลื่อนเข้า ที่ฟังดูดังก้องกังวาลท่ามกลางความเงียบงันเขาหันกลับไปทางศิษย์พี่หญิงเจียงเยว่ที่ยังนอนอ่อนล้าอยู่บนพื้น หญิงสาวมีใบหน้าซีดเซียว เหงื่อเย็นชื้นบนหน้าผาก ผมดำยาวหลุดรุ่ยออกจากปิ่นปักบางส่วน ดวงตาของนางยังคงสั่นไหวด้วยความเหนื่อยล้าและความตึงเครียดจางอี้หมิงเดินไปนั่งลงข้าง ๆ นาง แล้วเหลียวหันไปมองหน้านางเบา ๆ“เป็นข้าที่ทำให้เจ้าเดือดร้อน…” เสียงของเจียงเยว่แผ่วเบาราวสายลมของนางเอ่ยขึ้นจางอี้หมิงส่ายหน้าเล็กน้อยก่อนตอบกลับด้วยน้ำเสียงราบเรียบ“เป็นข้าที่ตัดสินใจเอง ไม่เกี่ยวกับท่าน”แววตาของศิษย์พี่เจียงเยว่อันแน่นไปด้วยความสับสนความซึ้งใจ กับความกังวล แม้นี่จะเป็นสิ่งที่สมควรจะทำ แต่ก็นับว่าขัดต่อกฎของสำนักเช่นกันเสียงฝีเท้าหลายคู่ดังขึ้นจากด้านหลัง ศิษย์พี่ของสำนักเร่งร

บทอื่นๆ
สำรวจและอ่านนวนิยายดีๆ ได้ฟรี
เข้าถึงนวนิยายดีๆ จำนวนมากได้ฟรีบนแอป GoodNovel ดาวน์โหลดหนังสือที่คุณชอบและอ่านได้ทุกที่ทุกเวลา
อ่านหนังสือฟรีบนแอป
สแกนรหัสเพื่ออ่านบนแอป
DMCA.com Protection Status