จางอี้หมิงยืนอยู่ในท่าจับกระบี่ไว้ในมือ มองหวงจื่อรั่วที่ยืนอยู่ตรงหน้าเขาด้วยท่าทางเย็นชา ดวงตาของเขาจับจ้องไปที่ใบหน้าของนางในระยะประชิด ใจหนึ่งเขารู้สึกคุ้นเคยกับนางแต่ยังคงนึกไม่ออกเสียที
จากนั้นเขาดึงตัวนางเข้ามาใกล้เพื่อชิงกระบี่ ทันใดนั้น หน้าอกนิ่มๆ ของหวงจื่อรั่วสัมผัสกับแผ่นอกของเขาเล็กน้อย เขารู้สึกถึงกลิ่นหอมหวานอ่อนๆ ของร่างกายนางที่ลอยมาท่ามกลางลมเย็นๆ ในยามค่ำคืน ความรู้สึกนี้ทำให้เขาเผลอสูดกลิ่นเข้าไปในปอดเล็กน้อย “ชัดเจนแล้ว นางเป็นสตรี” จางอี้หมิงซ่อนความคิดนี้ไว้ในใจไม่อาจเปิดโปงออกไปให้นางอับอาย เมื่อได้จังหวะที่เหมาะสม เขาผลักนางออกไปเบาๆ โดยไม่แรงนัก หวงจื่อรั่วสะบัดตัวออกไปอย่างรวดเร็ว ร่างกายที่เคยสัมผัสกันก่อนหน้านี้ห่างออกไปด้วยความเงียบ เขามองนางจากด้านหลังขณะที่นางถามเขาด้วยน้ำเสียงเย็นชา “มาทำอะไรบนนี้?” จางอี้หมิงยิ้มเล็กน้อยและยักไหล่ “มาดื่มสุราชมพระจันทร์... อยากมานั่งดื่มด้วยหรือไม่?” หวงจื่อรั่วไม่ตอบ แต่เพียงแค่ส่ายหน้าอย่างเย็นชาแล้วพูดออกไป “ไม่ต้อง…” เสียงของนางเย็นชาดูเหมือนจะปฏิเสธอย่างชัดเจน ก่อนที่นางจะหันหลังเดินไปอย่างรวดเร็ว จางอี้หมิงนั่งดื่มสุราชมจันทร์ต่อโดยไม่สนใจสิ่งใด ในยามเช้าที่จวนอ๋อง ลานบ้านของจางอี้หมิงดูเงียบสงบท่ามกลางแสงแดดอ่อนๆ ที่สาดส่องลงมาแผ่กระจายไปทั่วบริเวณ แม้ว่าเช้านี้อากาศจะเย็นสบาย แต่บรรยากาศในบ้านกลับมีความเหงา เมื่อทุกคนยืนอยู่ในลานบ้าน จางอี้หมิงหันไปมองครอบครัวของเขาอีกครั้งก่อนที่จะต้องออกเดินทาง เขารู้สึกถึงความห่างเหินจากการที่เขาจะต้องกลับเข้าสู่ชีวิตในสำนักเทียนหยางอีกครั้ง ท่ามกลางความเงียบในตอนเช้า แสงสีทองสว่างจ้าก็ปรากฏขึ้นในอากาศ และทันใดนั้น ศิษย์พี่ลิ่วเฉียงและเจียงเยว่ก็ปรากฏตัวออกมาจากแสงนั้น ทั้งสองก้าวมาด้วยท่าทางสง่างาม ร่างกายของพวกเขามีรัศมีของผู้ฝึกตนที่มีพลังสูง ลิ่วเฉียงและเจียงเยว่คารวะท่านอ๋องจางส่วงอย่างเคารพ ก่อนที่ลิ่วเฉียงจะกล่าวด้วยน้ำเสียงมั่นคง “ขอท่านอ๋องอนุญาต พวกเราจะพาจางอี้หมิงกลับสำนักเทียนหยางแล้ว” ท่านอ๋องจางส่วงพยักหน้าเบาๆ ก่อนจะหันไปมองที่ลิ่วเฉียง “ข้าอยากให้พาตัวแม่นางซงเอ๋อร์ไปด้วย คอยดูแลเขา” จางอี้หมิงหันไปมองซงเอ๋อร์ ซึ่งยืนอยู่ข้างๆ ด้วยท่าทางขัดเขิน ซงเอ๋อร์เองก็ทำสายตาเศร้าเล็กน้อย แต่ไม่พูดอะไร ลิ่วเฉียงมองไปที่ท่านอ๋องจางส่วงแล้วพูดเสียงเย็นชาว่า “ขอโทษท่านอ๋อง แม่นางซงเอ๋อร์เป็นเพียงบุคคลภายนอก มิอาจไปที่หอเทียนหยางได้ จะให้ไปคอยดูแลจางอี้หมิงที่นั่นคงเป็นไปไม่ได้” ท่านอ๋องจางส่วงนิ่งเงียบ ก่อนจะตอบว่า “ถ้าอย่างนั้น ให้ซงเอ๋อร์เข้าไปเป็นศิษย์ของสำนักเทียนหยางไปเลย” คำพูดของท่านอ๋องทำให้จางอี้หมิงรู้สึกตกใจเล็กน้อย เพราะไม่คิดว่าเรื่องนี้จะเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วและสะดวกสบายขนาดนี้ แต่เขาก็ได้แต่ยิ้มให้ซงเอ๋อร์แล้วพูดขึ้นว่า “จะเป็นศิษย์จริงหรือ? มันไม่ใช่เรื่องง่ายเลยนะ” ลิ่วเฉียงมองมาที่เขาด้วยท่าทางเฉยเมย “ถ้าอยากเป็นศิษย์ก็ต้องสอบเข้าให้ได้ก่อน ถึงจะมีสิทธิ์เข้าหอเทียนหยาง” จากนั้นลิ่วเฉียงก็พาตัวจางอี้หมิงจากไปอย่างรวดเร็ว จากนั้นเจียงเยว่ยิ้มและหันมาพูดกับท่านอ๋องว่า “การสอบจะมีขึ้นในอีก 7 วัน ท่านอ๋องอยากให้ใครไปเป็นศิษย์เทียนหยางก็ส่งตัวมาสมัครสอบได้” จากนั้นเจียงเยว่ก็หายตัวจากไปอย่างรวดเร็ว หอเทียนหยาง ที่หอเทียนหยาง ตั้งตระหง่านอยู่บนภูเขาที่สูงที่สุดในต้าเฉิง เมื่อมองจากหอสามารถมองดูเมืองหลวงได้ทั้งเมือง บรรยากาศรอบๆ หอเทียนหยางเต็มไปด้วยความเงียบสงบ บนยอดเขาที่สูงเสียดฟ้า ดูเหมือนว่าทุกสิ่งทุกอย่างจะอยู่ภายใต้การควบคุมของสำนักเทียนหยาง ราวกับมีพลังบางอย่างที่ปกคลุมทุกอย่างภายในพื้นที่นี้ จางอี้หมิงเดินทางมาถึงที่หอเทียนหยางพร้อมกับศิษย์พี่ลิ่วเฉียงและเจียงเยว่ ขณะที่พวกเขาก้าวเดินผ่านประตูใหญ่ของหอคอยนั้น ทุกฝีก้าวที่พวกเขาก้าวไป เหมือนมีพลังบางอย่างที่กระทบกับทุกอณูของร่างกาย เมื่อพวกเขามาถึงชั้น 9 ของหอ ซึ่งเป็นชั้นที่สูงที่สุดและอยู่ใจกลางของหอคอย จางอี้หมิงได้พบกับชายชราผู้หนึ่งยืนอยู่ที่นั่น ชายชราผู้นั้นมีท่าทางน่าเคารพและน่าเกรงขาม เขาใส่ชุดคลุมสีขาวสะอาด ประดับด้วยเครื่องหมายประจำสำนักที่แสดงถึงตำแหน่งของเขา ผมและเคราของเขายาวขาวสะอาด ดูเหมือนจะสื่อถึงการมีอายุยาวนานและประสบการณ์ที่มากมาย ชายชราผู้นั้นคือ กู่เจิ้ง เจ้าสำนักเทียนหยาง ผู้ที่ไม่เพียงแต่เป็นผู้มีพลังสูงสุดในสำนักเทียนหยาง แต่ยังเป็นบุคคลที่มีชื่อเสียงในวงการผู้ฝึกตนแห่งนี้ จางอี้หมิงรู้สึกได้ถึงความหนักแน่นและสงบที่แผ่กระจายจากร่างกายของท่านเจ้าสำนัก สายตาที่มองไปยังท่านกู่เจิ้งนั้นมีทั้งความเคารพเป็นพิเศษ กู่เจิ้งยืนถือพัดไม้และยิ้มเบาๆ ก่อนจะเอ่ยเสียงทุ้มและลึกว่า “หายดีแล้วหรือ? ไม่คิดว่าเจ้าจะได้รับบาดเจ็บหนักเพียงนี้” เสียงของท่านกู่เจิ้งแฝงไปด้วยความอ่อนโยน เมื่อท่านเจ้าสำนักพูดเช่นนี้ จางอี้หมิงรีบคำนับและกล่าวด้วยความเคารพ “ขอท่านอาจารย์เจ้าสำนักโปรดวางใจ ข้าหายดีแล้ว” ท่านกู่เจิ้งยิ้มและพยักหน้าเบาๆ “เรื่องฟื้นฟูพลังของเจ้าไม่ต้องเป็นกังวล แค่ไปทบทวนกับพวกเด็กใหม่เดี๋ยวก็ฟื้นคืน” ก่อนที่จางอี้หมิงจะพูดอะไร ท่านกู่เจิ้งเลื่อนพัดไม้ที่ถืออยู่ในมือเบาๆ และโบกมันไปในอากาศ ทันทีที่ท่านเจ้าสำนักโบกพัดไม้หนึ่งครั้ง จางอี้หมิงรู้สึกเหมือนมีพลังบางอย่างดึงตัวเขาไปข้างหน้า ราวกับมีแรงที่ผลักดันให้เขาเคลื่อนไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว ในไม่ช้าเขาก็พบว่าตัวเองลอยขึ้นไปในอากาศ ก่อนจะพุ่งลงไปยังบ้านส่วนตัวที่อยู่บนภูเขาเทียนหยางอันคุ้นเคยมาหลายปีอีกครั้ง บ้านพักเรือนน้อย จางอี้หมิงนั่งดื่มชาร้อนที่ริมระเบียงบ้านพักส่วนตัวบนหอเทียนหยาง โดยมีวิวของภูเขาและท้องฟ้ากว้างขวางทอดยาวออกไป ท่ามกลางความเงียบสงบนี้ เสียงดนตรีของใบไม้ที่โดนลมพัดเป็นระยะก็เป็นเสียงเดียวที่สร้างบรรยากาศให้เขาได้พักผ่อนอย่างแท้จริง เขาจิบชาไปเรื่อยๆ พร้อมกับคิดถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นเมื่อครู่ที่เขาพบกับท่านกู่เจิ้ง เจ้าสำนักผู้ยิ่งใหญ่ของเทียนหยาง ทันใดนั้นก็มีเสียงฝีเท้าเบาๆ เดินเข้ามาใกล้ เขาหันไปมองและพบกับศิษย์พี่เจียงเยว่คนงามผู้มีท่วงท่างดงาม สายตาของจางอี้หมิงไม่สามารถหลีกเลี่ยงจากรูปร่างที่โดดเด่นของนางได้ ทั้งหน้าอกที่ใหญ่และการเคลื่อนไหวที่อ่อนช้อย นางเดินเข้ามานั่งบนแขนเก้าอี้ของเขา เจียงเยว่ยิ้มบางๆ ก่อนจะกระซิบข้างหูของเขาอย่างเบาๆ “ถ้าเจ้าต้องการให้สาวใช้คนนั้นมาอยู่ข้างกาย เจ้าก็ควรช่วยให้นางสอบเข้ามาเป็นศิษย์ของสำนักเทียนหยางให้ได้” จางอี้หมิงยิ้มเล็กน้อยและเลิกคิ้วขึ้น แล้วถามกลับด้วยน้ำเสียงขบขัน “ทำไมท่านถึงอยากให้สาวใช้ผู้นั้นมารับใช้ข้างกายข้านัก?” เจียงเยว่ยิ้มเย็นและตอบกลับอย่างมีเลศนัย “เพราะเจ้าจะได้เลิกจ้องข้าด้วยสายตาหื่นกามเช่นนี้เสียที”“เมื่อหนึ่งปีครึ่งที่ผ่านมา...” เสียงของนักเล่านิทานเกริ่นเล่า“ครั้งนั้นปักษาอัคคีบุกเข้าโจมตีอาณาจักรต้าเฉิง มีศิษย์แห่งสำนักเทียนหยางผู้หนึ่ง นามว่า เสี่ยวต้าหมิง ออกกำจัดปักษาอัคคีผู้นั้น ทว่า เป็นที่น่าเสียดาย หลังจากกำจัดปักษาอัคคีได้ วีรบุรุษเสี่ยวต้าหมิงผู้นั้น ก็ได้จากโลกนี้ไปตลอดการ”มารดามันเถอะ! เจ้าเล่าเรื่องของข้าไม่พอ ยังตั้งชื่อข้าว่าเสี่ยวต้าหมิง คนอันใดมีทั้งใหญ่ทั้งเล็กในตัวเอง เท่านั้นไม่พอ ยังบังอาจสาปแช่งให้ข้าตายเมื่อนักเล่านิทานเล่าเรื่องจบ จางอี้หมิงก็เดินปรี่เข้าไปสอบถาม“ท่านเสี่ยวต้าหมิงช่างยิ่งใหญ่น่าเคารพยิ่ง” จางอี้หมิงกล่าววาจาชื่นชมตัวเอง “ข้าอยากทราบว่า เป็นผู้ใดเล่าเรื่องนี้ให้กับเจ้าฟัง”นักเล่านิทานยกมื่อคารวะทีหนึ่ง “เรียนคุณชายท่านนี้ ผู้ที่ถ่ายทอดเรื่องราวนี้ให้กับข้าน้อยฟัง คือ ท่านปราจารย์ซ่งอิน แห่งสำนักเทียนหยาง”“!!!”จางอี้หมิงยืนนิ่งครู่หนึ่ง ก่อนให้รางวัลตอบแทนนักเล่านิทานไปสามอีแปะ พลางคิดในใจ “เจ้าซ่งอินเป็นปรมาจารย์ตั้งแต่เมื่อไหร่ ข้าออกมาจากสำนักแค่เดือนเดียวก็คิดแต่งตั้งตัวเองแล้ว
ณ เมืองหลวงของอาณาจักรต้าเฉิง เขตเมืองชั้นในของเมืองคึกคักไปด้วยผู้คน แม้จะไม่แออัดเท่าเขตเมืองชั้นนอก แต่ก็ถือว่ามีจำนวนมากพ่อค้าแม่ค้าต่างเปิดร้านกันอย่างขมีขมัน*(กะตือรือร้น) กลิ่นหอมของหมั่นโถวร้อนๆ ลอยมาจากแผงขายอาหาร เสียงตะโกนเรียกลูกค้าของพ่อค้าแม่ค้าแข่งกันดังก้องทั่วถนน ไม่ว่าจะร้านของกินหรือร้านเครื่องประดับ ต่างแข็งขันกันอย่างเข้มข้นจางหลันซือ บุตรสาวของท่านอ๋องจางส่วง นั่งอยู่ในรถม้าสีดำขลับ ประดับลวดลายดอกเหมยงามสง่า นางเป็นสตรีที่ได้รับการกล่าวขานว่างามเลิศ ทั้งยังมีนิสัยซุกซนข้างกายนางมีซงเอ๋อร์ สาวใช้ประจำตัวของพี่ชายของนาง จางอี้หมิง สตรีผู้มีใบหน้างดงามราวเทพธิดาในอาภรณ์สีชมพูอ่อนอันเรียบง่าย ที่ขับเน้นผิวขาวผุดผ่องของนางให้ดูอ่อนโยนดุจบุปผาแรกแย้มซงเอ๋อร์มิใช่เพียงสาวใช้ธรรมดา แต่นางเป็นว่าที่อนุภรรยาของจางอี้หมิง และเป็นสตรีที่ได้รับความรักใคร่จากคนในตระกูลจาง และถูกให้ความสำคัญในระดับสูงรถม้าของทั้งสองแล่นผ่านถนนสายหลักของเมือง สายตาของจางหลันซือก็สะดุดเข้ากับผู้คนที่ยืนต่อแถวยาวเหยียดไปจนสุดสายตา คล้ายกำลังรอคอยบางสิ่งบา
จางอี้หมิงบุตรชายเพียงคนเดียวของท่านอ๋องจางส่วง ถูกจอมมารปีศาจทำร้ายจนบาดเจ็บสาหัส นอนหลับไปนับปี เมื่อตื่นขึ้น พบว่าพลังปราณสูญเสียสมดุลจนใช้งานไม่ได้ข้างกายของเขามีแม่นางซงเอ๋อร์ สาวใช้ประจำกายและว่าที่อนุภรรยาในอนาคตคอยเฝ้าดูแลไม่ห่างหนทางที่ง่ายที่สุดคือฝึกฝนใหม่แบบย้อนกลับเพื่อปรับสมดุลพลังปราณ หนทางที่ยากที่สุดคือหาสมุนไพรหายากสิบแปดชนิด และหนทางสุดท้ายคือ บำเพ็ญคู่กับสตรีพรหมจรรย์ เขาจึงจำเป็นต้องเลือกหนทางการฝึกฝนร่วมกับเหล่าศิษย์หน้าใหม่ ซึ่งถือว่าง่ายดายและปัญหาน้อยที่สุดเขาได้พบเจอกับแม่นางหลินหนิงผู้มีความน่ารักสดใสดวงตากลมโต ได้รู้จักแม่นางหวงจื่อรั่วผู้มีใบหน้าหมดจดงดงามราวเทพธิดาเพิ่มมากขึ้น แม้นางจะเป็นคนของจวนอ๋องแต่ทว่าความสนิทมีน้อยนัก จนกระทั่งได้มาฝึกร่วมกันอีกครั้งการฝึกฝนใหม่ในครั้งนี้ได้พบกับถัวเค่อชี ผู้มีใจริษยาต่อจางอี้หมิงมาตลอด พบกันคราวนี้ถัวเค่อชีต้องปฏิบัติหน้าที่เป็นอาจารย์ผู้ฝึกฝนจางอี้หมิง ซึ่งนี่เป็นโอกาสที่ดีที่เขาจะได้ "ข่ม" จางอี้หมิงบ้าง แต่แล้วเรื่องราวกลับไม่เป็นเช่นนั้นแต่ถึงอย่างไรก็แล้วแต่ จางอี้หมิ
ที่ชั้นเก้าของหอเทียนหยาง ศิษย์สายตรงทั้งเจ็ดคนของสำนักกู่เจิ้งมารวมตัวกันพร้อมหน้าพร้อมตา บรรยากาศในห้องสงบเงียบ ทว่าครุกรุ่นไปด้วยแรงกดดันทุกคนล้วนเป็นศิษย์ระดับสูง ผู้ที่ผ่านการฝึกฝนมาอย่างเข้มงวด ทุกคนคุกเข่าคารวะอาจารย์เจ้าสำนักกู่เจิ้ง ซึ่งยืนอยู่เบื้องหน้าพร้อมกับสายตาที่ล้ำลึกเกินหยั่งถึงเจ้าสำนักโบกมือให้ทุกคนลุกขึ้น พลางกวาดสายตามองไปรอบห้อง เขามองพวกเขาอย่างเงียบงันอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะกล่าวเสียงเรียบแต่หนักแน่นว่า“ปีที่แล้ว ลัทธิมารแดนปีศาจเคลื่อนไหว ครั้งนี้ ลัทธิมารแดนสวรรค์เคลื่อนไหว เป็นข้าเองที่หละหลวมในการป้องกัน… หลังจากนี้ จะไม่มีครั้งที่สาม”แววตาของเจ้าสำนักฉายประกายแน่วแน่ เขาโบกมือให้ทุกคนลุกขึ้นนั่งลงบนเบาะของตนเอง จากนั้นเขาเองก็ทรุดตัวลงนั่งที่โต๊ะกลางห้อง หยิบใบชามาบดด้วยมืออย่างประณีต ก่อนจะเทน้ำร้อนลงในถ้วย เสียงไอร้อนพวยพุ่งขึ้นแตะจมูก กลิ่นหอมอ่อนๆ ของชาแผ่ซ่านไปทั่วห้อง เจ้าสำนักสูดกลิ่นหอมของชาเบาๆ ก่อนจะกล่าวต่อด้วยน้ำเสียงสงบ“เห็นที พวกเราคงต้องจริงจังกับเรื่องศิลาเฝิ่นเหิงกันบ้างแล้ว นี่อาจไม่ใช่เพียงแค่เรื่อ
จางอี้หมิงนั่งนิ่งตาค้าง ทำอะไรไม่ถูก ได้แต่มองนัยน์ตาของศิษย์พี่คนงาม ที่ฉายแววความร้อนฉ่า ริมฝีปากสีแดงเรื่อยังคงหลงเหลือรสชาติของสุรา นางจ้องมองเขาด้วยสายตาที่ทำให้หัวใจเต้นแรงจนแทบหลุดออกจากอก“เจ้ารู้จักการบำเพ็ญคู่หรือไม่?” นางกระซิบถามด้วยเสียงแผ่วเบา ราวกับเสียงลมพัดผ่านในค่ำคืน จางอี้หมิงรู้สึกได้ถึงสัมผัสจากปลายนิ้วของนางที่ลากไล้เบาๆ บนแผ่นอกของเขา“ท่านเมาแล้ว” จางอี้หมิงพยายามตั้งสติ แต่เสียงของเขากลับสั่นไหว เจียงเยว่ยิ้มมุมปาก ก่อนจะยกมือเรียวขึ้นปิดริมฝีปากเขา“ข้าตั้งใจเมา” นางตอบเบาๆ สายตาของนางเต็มไปด้วยแรงดึงดูดที่ไม่อาจต้านทานใช่สิ หากไม่เมาท่านจะกล้าเช่นนี้หรือจางอี้หมิงมองดูนางอย่างหลงใหล มือของเจียงเยว่วางแนบลงบนแผ่นอกของเขา หัวใจของเขาเต้นรัวจนแทบไม่เป็นจังหวะ ก่อนที่เสียงกระซิบของนางจะดังขึ้นอีกครั้ง“หรือว่าเจ้าไม่ต้องการ?”เขาสูดหายใจเข้าลึก สบตากับนางก่อนจะตอบเสียงพร่า “ข้าเองก็คิดแบบเดียวกับท่าน”ข้าหมายตาท่านมาตลอด!จากนั้น จางอี้หมิงก็รวบตัวเจียงเยว่เข้ามาอุ้มขึ้น นางแนบตัวเข้าหาเขาโดยไม
จางอี้หมิงยืนนิ่งอยู่กลางสมรภูมิ ดวงตาเรียบเฉยจ้องมองร่างไร้วิญญาณของถัวเค่อชีที่นอนแน่นิ่งอยู่บนพื้น เลือดสีเข้มค่อย ๆ ไหลซึมไปตามพื้นดิน กลิ่นคาวโชยขึ้นมาปะปนกับไอเย็นของค่ำคืนเขาสูดลมหายใจลึก ก่อนจะเก็บดาบประจำกายเข้าฝัก เสียง “แกร๊ก” ของดาบที่เลื่อนเข้า ที่ฟังดูดังก้องกังวาลท่ามกลางความเงียบงันเขาหันกลับไปทางศิษย์พี่หญิงเจียงเยว่ที่ยังนอนอ่อนล้าอยู่บนพื้น หญิงสาวมีใบหน้าซีดเซียว เหงื่อเย็นชื้นบนหน้าผาก ผมดำยาวหลุดรุ่ยออกจากปิ่นปักบางส่วน ดวงตาของนางยังคงสั่นไหวด้วยความเหนื่อยล้าและความตึงเครียดจางอี้หมิงเดินไปนั่งลงข้าง ๆ นาง แล้วเหลียวหันไปมองหน้านางเบา ๆ“เป็นข้าที่ทำให้เจ้าเดือดร้อน…” เสียงของเจียงเยว่แผ่วเบาราวสายลมของนางเอ่ยขึ้นจางอี้หมิงส่ายหน้าเล็กน้อยก่อนตอบกลับด้วยน้ำเสียงราบเรียบ“เป็นข้าที่ตัดสินใจเอง ไม่เกี่ยวกับท่าน”แววตาของศิษย์พี่เจียงเยว่อันแน่นไปด้วยความสับสนความซึ้งใจ กับความกังวล แม้นี่จะเป็นสิ่งที่สมควรจะทำ แต่ก็นับว่าขัดต่อกฎของสำนักเช่นกันเสียงฝีเท้าหลายคู่ดังขึ้นจากด้านหลัง ศิษย์พี่ของสำนักเร่งร