Home / แฟนตาซี / วิถีสุริยะพิชิตเวหา / บทที่ 38 ปลดม่านพลังป้องกัน

Share

บทที่ 38 ปลดม่านพลังป้องกัน

กริ๊ง!

กริ๊ง!

กริ๊ง!

เสียงกระดิ่งดังขึ้น ท่ามกลางค่ำคืนที่เงียบสงัด ถัวเค่อชีสะดุ้งตื่น ดวงตาเบิกโพลง ก่อนจะค่อยๆ ลุกขึ้นนั่ง ร่างกายของเขาสั่นสะท้าน ไม่ใช่เพราะความหนาว แต่เป็นเพราะแรงบางอย่างที่กำลังเรียกหาเขา

วาบ!

แสงสีม่วงสว่างวาบขึ้นตรงกลางหน้าผากของถัวเค่อชี

ลูกตาดำของเขาเปลี่ยนเป็นสีขาวขุ่นราวกับวิญญาณไร้ชีวิต ก่อนจะค่อยๆ กลับคืนสู่สีดำ เสียงกระดิ่งยังคงดังต่อเนื่อง ดังก้องเข้าไปในห้วงจิตใจของเขา

กริ๊ง!

อึก...!

ถัวเค่อชีขบกรามแน่น พยายามดึงสติกลับคืนมา เขากุมศีรษะ ใช้กำปั้นทุบลงไปซ้ำแล้วซ้ำเล่า

“ออกไป! ข้าไม่ต้องการเจ้า!”

ถัวเค่อชียังคงทุกข์ทรมาน แต่แล้ว…เสียงหนึ่งก็ดังขึ้นในหัวของเขา

“จงลืมตาขึ้น... ความแข็งแกร่งที่แท้จริงกำลังรอเจ้าอยู่…”

ดวงตาของถัวเค่อชีสั่นไหว มือของเขาสั่นระริก เสียงกระดิ่งยังคงดังไม่หยุด

“เจ้าจำไม่ได้เหรอ... ว่าจางอี้หมิงน่าแค้นใจเพียงไร?”

ทันใดนั้น ภาพแห่งความทรงจำในอดีตก็ไหลทะลักเข้ามาในหัวของเขา

สิบปีก่อน…

เด็กชายวัยสิบขวบเดินทางมายังสำนักเทียนหยางเป็นครั้งแรก เขาเงยหน้ามองประตูสำนักด้วยแววตาเต็มไปด้วยความหวัง

ไม่นานนัก ชิงซิ่ว ศิษย์พี่หนุ่มรูปงามเจ้าของขลุ่ยหยก ก็เดินเข้ามาหาเขา พร้อมแจ้งข่าวสำคัญ

“เจ้าสำนักไม่รับศิษย์สายตรงเพิ่มแล้ว นับจากนี้ ข้าจะเป็นอาจารย์ของเจ้าเอง”

เด็กชายพยักหน้าเงียบๆ ก่อนสายตาจะเหลือบไปเห็นเด็กชายอีกคนในชุดประจำสำนัก ที่กำลังเดินผ่านไป

“แล้วเด็กคนนั้นล่ะ?” ถัวเค่อชีถาม

ชิงซิ่วมองไปทางเด็กชายคนนั้น ก่อนจะตอบกลับด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง

“เขาคือจางอี้หมิง คือคนสุดท้ายที่เจ้าสำนักรับเป็นศิษย์ อายุเท่ากับเจ้า แต่เหนือกว่าเจ้าหลายระดับนัก หากเจ้าอยากแข็งแกร่งขึ้น ก็จงฝึกฝนเสีย”

คำพูดนั้นฝังลึกลงในใจของถัวเค่อชี “อายุเท่ากันแท้ๆ แต่ทำไมเจ้าถึงก้าวหน้าไปได้ไกลถึงเพียงนั้น?”

วันเวลาผ่านไป…

เขาตั้งใจฝึกฝนอย่างหนัก ในที่สุดก็รวบรวมความกล้าไปท้าประลองกับจางอี้หมิง ด้วยวิชากระบี่ เหตุเพราะรับรู้มาว่า จางอี้หมิงนั้นถนัดวิชาดาบ ไม่ใช่วิชากระบี่ หากอยากเอาชนะเขา วิชากระบี่คือสิ่งที่เหมาะสมที่สุด

“หากข้าใช้สิ่งที่เขาไม่ถนัด ข้าก็มีโอกาสชนะ!”

แต่แล้ว...เขาพ่ายแพ้อย่างหมดรูป จางอี้หมิงเพียงแค่ยิ้มเยาะเล็กน้อย แล้วหันหลังเดินจากไป

“อ่อนแอยิ่งนัก”

คำพูดนั้นดังก้องในหัวของเขา ซ้ำแล้วซ้ำเล่า ไม่ว่าจะเป็นเรื่องบู๊หรือบุ๋น เขาล้วนพ่ายแพ้ให้จางอี้หมิง

ขณะที่จางอี้หมิงก้าวขึ้นเป็นยอดฝีมือแห่งสำนัก เขากลับติดอยู่ที่จุดสูงสุดของระดับต้น ไม่อาจทะลวงสู่ระดับสูงได้

แม้ในวันที่จางอี้หมิงประสบเภทภัย สูญเสียพลังปราณจนแทบหมดสิ้น แต่สุดท้าย...ถัวเค่อชีก็ยังเอาชนะจางอี้หมิงไม่ได้สักครั้ง!

ปัจจุบัน…

เสียงกระดิ่งยังคงดังไม่หยุด

กริ๊ง!

กริ๊ง!

กริ๊ง!

ถัวเค่อชีตัวสั่น ดวงตาเบิกกว้าง แรงบางอย่างกำลังไหลเวียนภายในร่างของเขา

เสียงหนึ่งดังขึ้นในหัวของเขาอีกครั้ง

“เจ้าต้องการแข็งแกร่งขึ้นหรือไม่?”

ถัวเค่อชีหอบหายใจหนัก ก่อนกัดฟันตอบออกมา “แน่นอน ข้าย่อมอยากแข็งแกร่งขึ้น ข้าอยากแข็งแกร่งยิ่งกว่ามัน... เจ้าคนไร้ประโยชน์หมดพลังปราณนั่น!”

เสียงหัวเราะเย็นยะเยือกดังสะท้อนในหัวของเขา

“เพียงแค่ทำลายม่านป้องกันสำนักเทียนหยาง... เจ้าก็จะได้รับพลังอันแข็งแกร่งเกินจินตนาการ…”

ถัวเค่อชีหลับตาลง ก่อนจะค่อยๆ แสยะยิ้มออกมา

“ตกลง…”

ยามราตรี ณ สำนักเทียนหยาง

ถัวเค่อชีเดินออกจากเรือนพักของตน ร่างสูงสง่าของเขาแฝงเร้นอยู่ภายใต้เงามืดของต้นไม้ใหญ่ สายตาคมกริบกวาดมองไปทั่วทิศทางทั้งแปด รอบบริเวณสำนัก

เบื้องหน้าคือหุบเขาลึกที่โอบล้อมสำนักเทียนหยาง และไม่ไกลจากจุดที่เขายืนอยู่ คือ อารามแปดทิศ สถานที่สำคัญซึ่งทำหน้าที่เป็นจุดควบคุมม่านพลังป้องกันสำนัก

“สถานที่ที่อยู่ไกลที่สุด มักมีการป้องกันที่อ่อนแอที่สุด”

นี่คือความเชื่อของเขา

เขาเลือกทิศตะวันตกเฉียงเหนือ ทิศที่มีต้นไม้หนาทึบและสภาพภูมิประเทศขรุขระกว่าทิศอื่น

ถัวเค่อชีเคลื่อนกายอย่างเงียบเชียบเทียบเท่ากับสายลม แม้เพียงเศษใบไม้ร่วงหล่นใต้ฝ่าเท้า ยังมิอาจทำให้เกิดเสียงใด

เมื่อเดินทางมาถึงอารามแปดทิศ เขาสังเกตเห็นสถาปัตยกรรมอันงดงาม อารามแห่งนี้สร้างจากหินแกร่งสีดำสนิท ผสานกับเสาไม้แกะสลักลวดลายวิจิตร ดูเผินๆ คงเหมือนอารามธรรมดาทั่วไป แต่ภายในกลับเป็นกลไกป้องกันที่แยบยล

เบื้องหน้าประตูทางเข้าหลัก มีศิษย์เฝ้ายามสองนาย

ชายสองคนยืนประจำจุด แววตาของพวกเขาเต็มไปด้วยความระแวดระวัง ดาบที่สะพายอยู่ด้านหลังพร้อมชักได้ทุกเมื่อ

“เฝ้าอยู่เพียงสองคน... ดูจะประมาทเกินไปหน่อย”

ศิษย์ของสำนักเทียนหยางทั้งหมดล้วนเป็นผู้ที่ตั้งมั่นอยู่ในคุณธรรม และไม่มีผู้ใดคิดทรยศทำลายสำนักมาหลายชั่วอายุคนแล้ว ฉะนั้นการป้องกันจึงไม่ได้มีความรัดกุมนัก

หนึ่งลมหายใจ สองวิญญาณดับสูญ

ถัวเค่อชีล้วงเข้าไปในแขนเสื้อ หยิบอาวุธลับบางอย่างขึ้นมา

วูบ!

ฉึก!

เขาสะบัดข้อมือเบาๆ อาวุธลับสองชิ้นแหวกอากาศด้วยความเร็วสูง ก่อนจะปักเข้ากลางลำคอของศิษย์เฝ้ายามทั้งสอง

เลือดสีแดงฉานสาดกระเซ็นออกมา แต่พวกเขายังไม่ทันส่งเสียง ก็ล้มลงขาดใจตายในพริบตา

ถัวเค่อชีเดินเข้าไปใกล้ศพสองร่าง จับไหล่ของพวกมันแล้วลากขึ้นมา ทาบทับร่างกายตนเองไว้เป็นเกราะกำบัง

จากนั้น เขาค่อยๆ ดันประตูอารามให้เปิดออก

ตึก!

ทันทีที่ประตูถูกผลักออก กลไกสังหารถูกกระตุ้น!

วูมมมมมมมมมมมม!!

อาวุธลับจำนวนมากพุ่งออกมาจากทุกทิศทาง

ถัวเค่อชีเบี่ยงตัวเล็กน้อย ปล่อยให้ร่างของศิษย์เฝ้ายามรับคมอาวุธแทน

ฉึก! ฉึก! ฉึก!

ใบมีดแหลมคมปักทะลุร่างทั้งสองจนพรุน โลหิตไหลนองพื้น แต่นั่นมิใช่ร่างของเขา แต่เป็นร่างของศพ

เมื่อเสียงกลไกหยุดลง... อารามกลับคืนสู่ความเงียบสงัดอีกครั้ง

ถัวเค่อชีไม่รีรอ เขาเดินผ่านประตูเข้าไป ลัดเลาะผ่านเสาหินขนาดใหญ่หลายต้น จนมาหยุดอยู่ที่แท่นศิลาแห่งหนึ่ง

เบื้องหน้าของเขา เป็นแท่นหินโบราณ ตั้งอยู่บนแท่นหินสูง ก้อนหินนั้นมิใช่ก้อนหินธรรมดา... แต่คือหนึ่งในจุดควบคุมม่านพลังของสำนัก!

ถัวเค่อชีใช้แรงเพียงปลายนิ้ว ใช้มือของศพ ผลักก้อนหินเบาๆ

ครืด…

เสียงของกลไกบางอย่างถูกปลดออก แท่นหินสั่นสะเทือนเล็กน้อยก่อนจะหยุดนิ่ง

จุดคุมม่านพลังนั้นแม้จะมีการป้องกันที่หละหลวมไปบ้าง แต่ใช้ว่าจะทำลายลงได้ง่าย แม้จะมิได้ทำลายม่านพลังโดยสิ้นเชิง แต่ในเวลานี้ ถัวเค่อชีก็ได้สร้างจุดอ่อนให้เกิดขึ้นแล้ว

เมื่อจัดการทุกอย่างเสร็จสิ้น... เขาปล่อยศพทั้งสองลงพื้น

ถัวเค่อชีไม่รั้งรอให้ใครมาเห็น เขารีบหันหลังเดินออกจากอาราม ลัดเลาะไปตามเงามืดของค่ำคืน

เมื่อกลับถึงบ้านพัก เขาก็ทำตัวเป็นปกติ ราวกับไม่เคยมีสิ่งใดเกิดขึ้น…

Continue to read this book for free
Scan code to download App

Latest chapter

  • วิถีสุริยะพิชิตเวหา   บทที่ 52 นิทาน

    “เมื่อหนึ่งปีครึ่งที่ผ่านมา...” เสียงของนักเล่านิทานเกริ่นเล่า“ครั้งนั้นปักษาอัคคีบุกเข้าโจมตีอาณาจักรต้าเฉิง มีศิษย์แห่งสำนักเทียนหยางผู้หนึ่ง นามว่า เสี่ยวต้าหมิง ออกกำจัดปักษาอัคคีผู้นั้น ทว่า เป็นที่น่าเสียดาย หลังจากกำจัดปักษาอัคคีได้ วีรบุรุษเสี่ยวต้าหมิงผู้นั้น ก็ได้จากโลกนี้ไปตลอดการ”มารดามันเถอะ! เจ้าเล่าเรื่องของข้าไม่พอ ยังตั้งชื่อข้าว่าเสี่ยวต้าหมิง คนอันใดมีทั้งใหญ่ทั้งเล็กในตัวเอง เท่านั้นไม่พอ ยังบังอาจสาปแช่งให้ข้าตายเมื่อนักเล่านิทานเล่าเรื่องจบ จางอี้หมิงก็เดินปรี่เข้าไปสอบถาม“ท่านเสี่ยวต้าหมิงช่างยิ่งใหญ่น่าเคารพยิ่ง” จางอี้หมิงกล่าววาจาชื่นชมตัวเอง “ข้าอยากทราบว่า เป็นผู้ใดเล่าเรื่องนี้ให้กับเจ้าฟัง”นักเล่านิทานยกมื่อคารวะทีหนึ่ง “เรียนคุณชายท่านนี้ ผู้ที่ถ่ายทอดเรื่องราวนี้ให้กับข้าน้อยฟัง คือ ท่านปราจารย์ซ่งอิน แห่งสำนักเทียนหยาง”“!!!”จางอี้หมิงยืนนิ่งครู่หนึ่ง ก่อนให้รางวัลตอบแทนนักเล่านิทานไปสามอีแปะ พลางคิดในใจ “เจ้าซ่งอินเป็นปรมาจารย์ตั้งแต่เมื่อไหร่ ข้าออกมาจากสำนักแค่เดือนเดียวก็คิดแต่งตั้งตัวเองแล้ว

  • วิถีสุริยะพิชิตเวหา   บทที่ 51 ชายผู้เขียนอักษร

    ณ เมืองหลวงของอาณาจักรต้าเฉิง เขตเมืองชั้นในของเมืองคึกคักไปด้วยผู้คน แม้จะไม่แออัดเท่าเขตเมืองชั้นนอก แต่ก็ถือว่ามีจำนวนมากพ่อค้าแม่ค้าต่างเปิดร้านกันอย่างขมีขมัน*(กะตือรือร้น) กลิ่นหอมของหมั่นโถวร้อนๆ ลอยมาจากแผงขายอาหาร เสียงตะโกนเรียกลูกค้าของพ่อค้าแม่ค้าแข่งกันดังก้องทั่วถนน ไม่ว่าจะร้านของกินหรือร้านเครื่องประดับ ต่างแข็งขันกันอย่างเข้มข้นจางหลันซือ บุตรสาวของท่านอ๋องจางส่วง นั่งอยู่ในรถม้าสีดำขลับ ประดับลวดลายดอกเหมยงามสง่า นางเป็นสตรีที่ได้รับการกล่าวขานว่างามเลิศ ทั้งยังมีนิสัยซุกซนข้างกายนางมีซงเอ๋อร์ สาวใช้ประจำตัวของพี่ชายของนาง จางอี้หมิง สตรีผู้มีใบหน้างดงามราวเทพธิดาในอาภรณ์สีชมพูอ่อนอันเรียบง่าย ที่ขับเน้นผิวขาวผุดผ่องของนางให้ดูอ่อนโยนดุจบุปผาแรกแย้มซงเอ๋อร์มิใช่เพียงสาวใช้ธรรมดา แต่นางเป็นว่าที่อนุภรรยาของจางอี้หมิง และเป็นสตรีที่ได้รับความรักใคร่จากคนในตระกูลจาง และถูกให้ความสำคัญในระดับสูงรถม้าของทั้งสองแล่นผ่านถนนสายหลักของเมือง สายตาของจางหลันซือก็สะดุดเข้ากับผู้คนที่ยืนต่อแถวยาวเหยียดไปจนสุดสายตา คล้ายกำลังรอคอยบางสิ่งบา

  • วิถีสุริยะพิชิตเวหา   ความเดิมภาคที่แล้ว

    จางอี้หมิงบุตรชายเพียงคนเดียวของท่านอ๋องจางส่วง ถูกจอมมารปีศาจทำร้ายจนบาดเจ็บสาหัส นอนหลับไปนับปี เมื่อตื่นขึ้น พบว่าพลังปราณสูญเสียสมดุลจนใช้งานไม่ได้ข้างกายของเขามีแม่นางซงเอ๋อร์ สาวใช้ประจำกายและว่าที่อนุภรรยาในอนาคตคอยเฝ้าดูแลไม่ห่างหนทางที่ง่ายที่สุดคือฝึกฝนใหม่แบบย้อนกลับเพื่อปรับสมดุลพลังปราณ หนทางที่ยากที่สุดคือหาสมุนไพรหายากสิบแปดชนิด และหนทางสุดท้ายคือ บำเพ็ญคู่กับสตรีพรหมจรรย์ เขาจึงจำเป็นต้องเลือกหนทางการฝึกฝนร่วมกับเหล่าศิษย์หน้าใหม่ ซึ่งถือว่าง่ายดายและปัญหาน้อยที่สุดเขาได้พบเจอกับแม่นางหลินหนิงผู้มีความน่ารักสดใสดวงตากลมโต ได้รู้จักแม่นางหวงจื่อรั่วผู้มีใบหน้าหมดจดงดงามราวเทพธิดาเพิ่มมากขึ้น แม้นางจะเป็นคนของจวนอ๋องแต่ทว่าความสนิทมีน้อยนัก จนกระทั่งได้มาฝึกร่วมกันอีกครั้งการฝึกฝนใหม่ในครั้งนี้ได้พบกับถัวเค่อชี ผู้มีใจริษยาต่อจางอี้หมิงมาตลอด พบกันคราวนี้ถัวเค่อชีต้องปฏิบัติหน้าที่เป็นอาจารย์ผู้ฝึกฝนจางอี้หมิง ซึ่งนี่เป็นโอกาสที่ดีที่เขาจะได้ "ข่ม" จางอี้หมิงบ้าง แต่แล้วเรื่องราวกลับไม่เป็นเช่นนั้นแต่ถึงอย่างไรก็แล้วแต่ จางอี้หมิ

  • วิถีสุริยะพิชิตเวหา   บทที่ 50 จากลา (จบภาค1)

    ที่ชั้นเก้าของหอเทียนหยาง ศิษย์สายตรงทั้งเจ็ดคนของสำนักกู่เจิ้งมารวมตัวกันพร้อมหน้าพร้อมตา บรรยากาศในห้องสงบเงียบ ทว่าครุกรุ่นไปด้วยแรงกดดันทุกคนล้วนเป็นศิษย์ระดับสูง ผู้ที่ผ่านการฝึกฝนมาอย่างเข้มงวด ทุกคนคุกเข่าคารวะอาจารย์เจ้าสำนักกู่เจิ้ง ซึ่งยืนอยู่เบื้องหน้าพร้อมกับสายตาที่ล้ำลึกเกินหยั่งถึงเจ้าสำนักโบกมือให้ทุกคนลุกขึ้น พลางกวาดสายตามองไปรอบห้อง เขามองพวกเขาอย่างเงียบงันอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะกล่าวเสียงเรียบแต่หนักแน่นว่า“ปีที่แล้ว ลัทธิมารแดนปีศาจเคลื่อนไหว ครั้งนี้ ลัทธิมารแดนสวรรค์เคลื่อนไหว เป็นข้าเองที่หละหลวมในการป้องกัน… หลังจากนี้ จะไม่มีครั้งที่สาม”แววตาของเจ้าสำนักฉายประกายแน่วแน่ เขาโบกมือให้ทุกคนลุกขึ้นนั่งลงบนเบาะของตนเอง จากนั้นเขาเองก็ทรุดตัวลงนั่งที่โต๊ะกลางห้อง หยิบใบชามาบดด้วยมืออย่างประณีต ก่อนจะเทน้ำร้อนลงในถ้วย เสียงไอร้อนพวยพุ่งขึ้นแตะจมูก กลิ่นหอมอ่อนๆ ของชาแผ่ซ่านไปทั่วห้อง เจ้าสำนักสูดกลิ่นหอมของชาเบาๆ ก่อนจะกล่าวต่อด้วยน้ำเสียงสงบ“เห็นที พวกเราคงต้องจริงจังกับเรื่องศิลาเฝิ่นเหิงกันบ้างแล้ว นี่อาจไม่ใช่เพียงแค่เรื่อ

  • วิถีสุริยะพิชิตเวหา   บทที่ 49 บำเพ็ญคู่ปรับสมดุลลมปราณ

    จางอี้หมิงนั่งนิ่งตาค้าง ทำอะไรไม่ถูก ได้แต่มองนัยน์ตาของศิษย์พี่คนงาม ที่ฉายแววความร้อนฉ่า ริมฝีปากสีแดงเรื่อยังคงหลงเหลือรสชาติของสุรา นางจ้องมองเขาด้วยสายตาที่ทำให้หัวใจเต้นแรงจนแทบหลุดออกจากอก“เจ้ารู้จักการบำเพ็ญคู่หรือไม่?” นางกระซิบถามด้วยเสียงแผ่วเบา ราวกับเสียงลมพัดผ่านในค่ำคืน จางอี้หมิงรู้สึกได้ถึงสัมผัสจากปลายนิ้วของนางที่ลากไล้เบาๆ บนแผ่นอกของเขา“ท่านเมาแล้ว” จางอี้หมิงพยายามตั้งสติ แต่เสียงของเขากลับสั่นไหว เจียงเยว่ยิ้มมุมปาก ก่อนจะยกมือเรียวขึ้นปิดริมฝีปากเขา“ข้าตั้งใจเมา” นางตอบเบาๆ สายตาของนางเต็มไปด้วยแรงดึงดูดที่ไม่อาจต้านทานใช่สิ หากไม่เมาท่านจะกล้าเช่นนี้หรือจางอี้หมิงมองดูนางอย่างหลงใหล มือของเจียงเยว่วางแนบลงบนแผ่นอกของเขา หัวใจของเขาเต้นรัวจนแทบไม่เป็นจังหวะ ก่อนที่เสียงกระซิบของนางจะดังขึ้นอีกครั้ง“หรือว่าเจ้าไม่ต้องการ?”เขาสูดหายใจเข้าลึก สบตากับนางก่อนจะตอบเสียงพร่า “ข้าเองก็คิดแบบเดียวกับท่าน”ข้าหมายตาท่านมาตลอด!จากนั้น จางอี้หมิงก็รวบตัวเจียงเยว่เข้ามาอุ้มขึ้น นางแนบตัวเข้าหาเขาโดยไม

  • วิถีสุริยะพิชิตเวหา   บทที่ 48 กักตัวที่บ้านพัก

    จางอี้หมิงยืนนิ่งอยู่กลางสมรภูมิ ดวงตาเรียบเฉยจ้องมองร่างไร้วิญญาณของถัวเค่อชีที่นอนแน่นิ่งอยู่บนพื้น เลือดสีเข้มค่อย ๆ ไหลซึมไปตามพื้นดิน กลิ่นคาวโชยขึ้นมาปะปนกับไอเย็นของค่ำคืนเขาสูดลมหายใจลึก ก่อนจะเก็บดาบประจำกายเข้าฝัก เสียง “แกร๊ก” ของดาบที่เลื่อนเข้า ที่ฟังดูดังก้องกังวาลท่ามกลางความเงียบงันเขาหันกลับไปทางศิษย์พี่หญิงเจียงเยว่ที่ยังนอนอ่อนล้าอยู่บนพื้น หญิงสาวมีใบหน้าซีดเซียว เหงื่อเย็นชื้นบนหน้าผาก ผมดำยาวหลุดรุ่ยออกจากปิ่นปักบางส่วน ดวงตาของนางยังคงสั่นไหวด้วยความเหนื่อยล้าและความตึงเครียดจางอี้หมิงเดินไปนั่งลงข้าง ๆ นาง แล้วเหลียวหันไปมองหน้านางเบา ๆ“เป็นข้าที่ทำให้เจ้าเดือดร้อน…” เสียงของเจียงเยว่แผ่วเบาราวสายลมของนางเอ่ยขึ้นจางอี้หมิงส่ายหน้าเล็กน้อยก่อนตอบกลับด้วยน้ำเสียงราบเรียบ“เป็นข้าที่ตัดสินใจเอง ไม่เกี่ยวกับท่าน”แววตาของศิษย์พี่เจียงเยว่อันแน่นไปด้วยความสับสนความซึ้งใจ กับความกังวล แม้นี่จะเป็นสิ่งที่สมควรจะทำ แต่ก็นับว่าขัดต่อกฎของสำนักเช่นกันเสียงฝีเท้าหลายคู่ดังขึ้นจากด้านหลัง ศิษย์พี่ของสำนักเร่งร

More Chapters
Explore and read good novels for free
Free access to a vast number of good novels on GoodNovel app. Download the books you like and read anywhere & anytime.
Read books for free on the app
SCAN CODE TO READ ON APP
DMCA.com Protection Status