สายลมเย็นพัดผ่านยอดไม้ใหญ่ กิ่งไม้เสียดสีกันดังแผ่วเบา บรรยากาศรอบข้างเงียบสงัด
บนก้านต้นไม้ใหญ่สูงตระหง่าน ร่างสตรีปริศนาผู้หนึ่งยืนอยู่ นางสวมชุดคลุมสีเทาหม่น สวมหน้ากากปิดบังใบหน้า
สายตาของนางจ้องมองไปยังที่ตั้งของสำนักเทียนหยาง ราวกับกำลังเฝ้ารอเวลาอะไรบางอย่าง
“เป็นอย่างไรบ้าง?”
เสียงแหบห้าวดังขึ้นจากด้านหลัง
ร่างชายวัยกลางคนในชุดคลุมสีเทา สวมหน้ากากปิดบังใบหน้าเช่นกัน เขาก้าวเข้ามาใกล้อย่างเงียบงัน
สตรีในชุดคลุมไม่หันกลับมา นางเอ่ยเสียงเย็นชา
“ข้าใส่จิตวิญญาณมารให้แก่ศิษย์คนนึงในสำนักเทียนหยางแล้ว ตอนนี้... ม่านพลังป้องกันมีรอยรั่วเล็กน้อย หน้าที่ของข้ามีเพียงเท่านี้”
นางเหลือบตามองชายผู้นั้นเล็กน้อย ก่อนเอ่ยต่อด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบ “ส่วนที่เหลือเป็นหน้าที่ของเจ้าแล้ว เชียนหวง”
“อย่าทำให้เจ้าตำหนักพิโรธอีกรอบล่ะ”
ดวงตาภายใต้หน้ากากของเชียนหวงเป็นประกายวาวโรจน์ เขายกคางขึ้นเล็กน้อย ท่าทางหยิ่งผยองทะนงตน “เรื่องนั้นไม่ต้องให้เจ้ามาสอน”
“แน่ใจใช่ไหมว่าศิลาเฝิ่นเหิงอยู่ในสำนักเทียนหยาง?” เชียนหวงเอ่ยถาม น้ำเสียงเต็มไปด้วยความคาดหวัง
“จากข้อมูล... บอกว่าแบบนั้น” สตรีในชุดคลุมตอบเสียงเรียบ
เชียนหวงหัวเราะเบาๆ แววตาเต็มไปด้วยความกระหายอำนาจ “ถ้าเช่นนั้น... ข้าจะทำลายสำนักเทียนหยางให้ย่อยยับ จากนั้นค่อยตามหาศิลาเฝิ่นเหิง”
สตรีในชุดคลุมเหลือบตามองเชียนหวง ก่อนเอ่ยเสียงเรียบ “ตามสบาย”
จากนั้นสตรีในชุดคลุมหันหลัง นางก้าวเดินจากไปอย่างเงียบงัน ราวกับสายหมอกที่จางหายไปกับสายลม
เชียนหวงหันกลับไปทางสำนักเทียนหยาง ยกมือขึ้น ร่ายเวทด้วยเสียงทุ้มต่ำ “วิชามารสวรรค์อสูรดินเหนียว!”
พสุธาเบื้องล่างสั่นสะเทือน ดินเหนียวจำนวนมากผุดขึ้นมา รวมตัวกันเป็น หุ่นดินเหนียวจำนวนนับพัน ราวกับว่ากองดินเหนียวเหล่านั้นกลายร่างเป็นกองทหารของเขียนหวงไปแล้ว
หุ่นดินเหนียวเหล่านั้นเริ่มขยับเคลื่อนไหว ดวงตาสีแดงฉานเป็นประกายแห่งความชั่วร้าย
เชียนหวงยืนอยู่ท่ามกลางกองทัพหุ่นดินเหนียว ใบหน้าใต้หน้ากากของเขายิ้มอย่างชั่วร้าย
เชียนหวงก้าวขึ้นไปบนดาบยาวสีดำสนิท ควบคุมพลังปราณให้มันลอยขึ้นเหนือพื้นดิน
“ไป!”
ดาบสีดำพุ่งทะยานไปข้างหน้า เชียนหวงยืนตระหง่านอยู่บนนั้นอย่างองอาจ กองทัพหุ่นดินเหนียวจำนวนมหาศาล เคลื่อนทัพตามไปทันที
เชียนหวงมองเห็นรอยรั่วเล็กน้อย เป็นที่เข้าใจได้ทันทีว่า เกิดจากจิตวิญญาณมารที่เกิดจากถัวเค่อชีผู้นั้นเป็นผู้กระทำ
“แค่รอยรั่วเล็กน้อยก็เพียงพอแล้ว”
ตูม!!!
เสียงดังกึกก้องไปทั่วผืนฟ้าเหนือสำนักเทียนหยาง เชียนหวงพุ่งทะลวงเข้าไป พร้อมกับกองทัพหุ่นดินเหนียวอีกเป็นจำนวนมากที่ทะลักผ่านเข้าไป
จางอี้หมิงและหลินหนิง กำลังขี่กระบี่ล่องลอยอยู่กลางท้องฟ้า สายลมเย็นพัดผ่านเบาๆ ทำให้ปลายผมของทั้งสองปลิวไสว
วิวทิวทัศน์เบื้องล่างงดงามราวกับภาพวาด ภูเขาสูงสลับซับซ้อน ป่าไม้อันเขียวขจี แม่น้ำสายยาวที่สะท้อนแสงอาทิตย์ระยิบระยับ
ทันใดนั้น…
ตูม!!!"
เสียงระเบิดดังกึกก้อง สะเทือนไปทั้งผืนฟ้าและแผ่นดิน
ท้องฟ้าเบื้องบนสว่างวาบ ประกายแสงสีแดงฉานระเบิดกระจายออกไปเป็นวงกว้าง
เงาสีดำลึกลับพุ่งทะยานลงมาจากฟากฟ้า ราวกับอสูรร้ายที่จ้องจะกลืนกินทุกสรรพสิ่ง
จางอี้หมิงหรี่ตาลง ดวงตาคมกริบจ้องมองเงาสีดำนั้น สูดลมหายใจเล็กน้อย ก็สัมผัสได้อย่างไม่ยากเย็น
“นั่นมัน... กลิ่นไอมาร”
หลินหนิงขนลุกชัน ความรู้สึกหนาวเหน็บแล่นผ่านสันหลัง นางถามเสียงสั่น “เราควรทำเช่นไรดี?”
จางอี้หมิงยังไม่ทันตอบ
เปรี้ยง!!!”
ประกายสายฟ้าสีฟ้าเข้ม แผ่ซ่านปกคลุมทั่วท้องฟ้า เสียงฟ้าผ่าดังสนั่นหวั่นไหว
พลังสายฟ้าก่อตัวเป็นวงแหวนขนาดใหญ่ เปล่งประกายรุนแรงจนท้องฟ้าแทบสว่างไสวราวกับกลางวัน
และที่ศูนย์กลางของพลังสายฟ้านั้น ร่างสูงสง่าในชุดคลุมยาวสีขาวสว่าง ยืนเหยียบกระบี่อยู่เหนือผืนฟ้าอย่างองอาจ เส้นผมสีดำปลิวไสว ดวงตาคมกล้า ท่วงท่าราวกับเทพเจ้าสายฟ้า
นั่นคือ ศิษย์พี่ฟ่านหวง ศิษย์ระดับหกผู้เชี่ยวชาญการใช้สายฟ้าในการต่อสู้
ยังไม่ทันสิ้นเสียงฟ้าร้อง
ตู้ม!!!
เสียงโลหะกระแทกผืนดินอย่างรุนแรง ดังกึกก้องสะเทือนไปทั่วทั้งขุนเขา คลื่นพลังสั่นสะเทือนแผ่นดินจนก้อนหินใหญ่แตกกระจาย เปลวเพลิงสีทองพุ่งทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้า
ผู้ที่เป็นเจ้าของพลังอันน่าสะพรึงนี้ เป็นชายร่างใหญ่อ้วน ในชุดเกราะหนักสีดำสนิท ใบหน้าเย็นชาและทรงอำนาจ ในมือของเขาถือค้อนโลหะขนาดใหญ่ ปกคลุมไปด้วยเปลวเพลิงแห่งปฐพี
นั่นคือ ศิษย์พี่เฉินเจิ้ง ศิษย์พี่ระดับเจ็ด หนอนหนังสือผู้ถือค้อนและมีพลังกำลังสูงสุดในสำนัก
จางอี้หมิงยิ้มเล็กน้อย “ในสำนักมีสองคนนี้ก็คล้ายกับมีกองทัพนับหมื่น” จากนั้นหันไปกล่าวกับหลินหนิงว่า “พวกเราไปรวมตัวกันที่ลานหน้าหอเทียนหยางกันเถอะ ปล่อยตรงนี้ให้เป็นหน้าที่ศิษย์พี่ทั้งสอง”
หลินหนิงพยักหน้า แล้วทั้งสองก็ขี่กระบี่ตรงไปยังหอเทียนหยางทันที
ในการต่อสู้จริงนั้น ศิษย์ระดับศูนย์ นับเป็นตัวถ่วงชั้นดีในสนามรบ โดยเฉพาะการรบกับพวกต่างเผ่า บางคนอาจเชี่ยวชาญวิชายุทธ์ แต่ก็ใช้ได้กับแค่เหล่ามนุษย์ด้วยกันเท่านั้น หากเจอผู้ฝึกตนระดับสูงจากสำนักอื่น หรือลัทธิอื่น ก็ยากนักจะต้านทานได้ ฉะนั้นแล้วการหลบหนีจึงเป็นวิธีการที่ดีที่สุด
จางอี้หมิงนั้น แม้จะชื่อชั้นจะจัดเป็นศิษย์ระดับสูง แต่การสูญเสียพลังปราณนั้นก็บั่นทอนความสามารถเขาลงไปเทียบเท่าเหล่าศิษย์ระดับศูนย์หรือเรียกอีกชื่อว่าระดับฐาน แม้การโคจรลมปราณย้อนกลับจะสามารถทำให้เขาใช้พลังได้ใกล้เคียงกับสภาพดั้งเดิมก่อนบาดเจ็บ แต่ก็มีข้อจำกัดในการใช้อยู่มาก จึงไม่เหมาะสมที่จะเข้าปะทะในช่วงเริ่มต้นการต่อสู้
เมื่อจางอี้หมิงและหลินหนิงมาถึงลานกว้างหน้าหอเทียนหยาง ก็พบว่ามีเหล่าศิษย์ระดับศูนย์รออยู่เป็นจำนวนมาก ใบหน้าของแต่ละคนเต็มไปด้วยความกังวลและตื่นตระหนก ท้องฟ้าเบื้องบนยังคงมีเสียงระเบิดดังสนั่นเป็นระยะ เสียงของพลังสายฟ้าและเสียงกระบี่ปะทะกันดังก้องกังวานไม่หยุด
หวงจื่อรั่วเองก็มาถึงที่นี่ก่อนแล้ว นางยืนอยู่ท่ามกลางเหล่าศิษย์หลายคน ดวงตางดงามฉายแววเป็นห่วง เมื่อเห็นจางอี้หมิงกับหลินหนิงมาด้วยกัน นางก็รีบเดินเข้ามาด้วยท่าทีร้อนรน ใบหน้ารูปไข่ห่านงดงามเปี่ยมด้วยความเป็นห่วง
“พวกเจ้าทั้งสองไม่เป็นอะไรใช่หรือไม่?” หวงจื่อรั่วเอ่ยถาม น้ำเสียงของนางอ่อนโยนแต่มากด้วยความกังวล
“พวกข้าไม่เป็นอะไร” หลินหนิงตอบ ใบหน้าน่ารักของนางยังคงสดใส แม้แววตาจะสะท้อนความหวาดหวั่น
จางอี้หมิงมองขึ้นไปบนท้องฟ้าที่มีเงาสีดำพุ่งไปมา เขาขมวดคิ้วเล็กน้อย “ด้านบนนั้นมีกลิ่นไอมาร ไม่ใช่พลังธรรมดา พวกศิษย์ระดับศูนย์ควรอยู่ที่นี่ อย่าออกไปเสี่ยงด้านนอก”
หวงจื่อรั่วพยักหน้าเบาๆ ดวงตาคู่สวยฉายแววเข้าใจ
ขณะนั้นเอง ก็มีชายหนุ่มคนหนึ่งเดินเข้ามาด้วยท่าทีเร่งรีบ เขาสวมคือศิษย์ระดับสาม ผมยาวถูกรวบไว้หลวมๆ ใบหน้าเคร่งขรึม นั่นคือซ่งอิน
ซ่งอินประกาศเสียงดัง “ศิษย์ระดับศูนย์ทุกคน จงเข้าไปหลบภายในหอคอย ห้ามออกไปไหนจนกว่าสถานการณ์จะคลี่คลาย!”
เหล่าศิษย์พยักหน้าอย่างหวาดหวั่น และรีบเข้าไปภายในหอคอยตามคำสั่ง หลินหนิงและหวงจื่อรั่วหันไปมองจางอี้หมิง ใบหน้าของทั้งสองนางแฝงความกังวล แม้ฝั่งของหวงจื่อรั่วจะพยายามทำหน้าตาไม่ตระหนก แต่แววตานั้นชัดเจน “พวกเราไม่เป็นอะไรใช่ไหม?”
จางอี้หมิงส่งยิ้มบางๆ ที่มุมปาก ดวงตาฉายแววมั่นใจ “ทำตามคำแนะนำเถอะ”
เมื่อศิษย์คนอื่นๆ เข้าหอคอยจนหมด ซ่งอินก็เดินเข้ามาหาจางอี้หมิง สีหน้าเคร่งเครียด “สถานการณ์ตอนนี้ไม่ค่อยดี มีกลุ่มผู้บุกรุกเข้ามาจำนวนมาก ศิษย์พี่ฟ่านหวงกับศิษย์พี่เฉินเจิ้งกำลังต่อสู้อยู่บนฟ้า ส่วนศิษย์พี่เจียงเยว่กับเกอซินกำลังหาทางซ่อมแซมม่านพลัง”
ในเวลานี้ม่านพลังป้องกันมีปัญหา ผู้เชี่ยวชาญพลังเวทมากที่สุดในเวลานี้คือศิษย์พี่เจียงเยว่ โดยมีผู้ช่วยอยู่ข้างๆ ก็เคือหลี่เกอซิน ผู้ชำนาญวิชาตรวจจับ
จางอี้หมิงพยักหน้ารับฟัง ใบหน้าคมเข้มดูจริงจัง “เช่นนั้นพวกเราก็ลุยกันที่นี่เถอะ”
ซ่งอินขมวดคิ้ว “แต่ท่านไม่มีพลังปราณ จะสู้กับพวกมันได้อย่างไร?”
จางอี้หมิงหัวเราะเบาๆ พลางชักดาบออกมา แสงสะท้อนจากคมดาบเป็นประกายวิบวับ “แม้ข้าจะไร้พลังปราณ แต่กระบวนท่าของข้าไม่เคยแพ้ใคร” เขากระชับดาบแน่น ดวงตาฉายแววเด็ดเดี่ยว “พวกเรามาแสดงความสามารถให้เด็กมันดูกันเถอะ”
ซ่งอินยิ้มบางๆ อย่างชื่นชม “ช่างสมกับเป็นท่าน เช่นนั้นข้าจะอยู่เคียงข้างท่าน” เขาชักกระบี่เหล็กกล้าออกมา แสงกระบี่สีเงินส่องประกายวิบวับ
ทั้งสองหันหลังชนกัน พร้อมถืออาวุธประจำกายอย่างมั่นคง สายลมพัดผ่าน เสื้อคลุมสะบัดไหว เสียงคำรามของเหล่ามารดังมาจากที่ไกลๆ
“เมื่อหนึ่งปีครึ่งที่ผ่านมา...” เสียงของนักเล่านิทานเกริ่นเล่า“ครั้งนั้นปักษาอัคคีบุกเข้าโจมตีอาณาจักรต้าเฉิง มีศิษย์แห่งสำนักเทียนหยางผู้หนึ่ง นามว่า เสี่ยวต้าหมิง ออกกำจัดปักษาอัคคีผู้นั้น ทว่า เป็นที่น่าเสียดาย หลังจากกำจัดปักษาอัคคีได้ วีรบุรุษเสี่ยวต้าหมิงผู้นั้น ก็ได้จากโลกนี้ไปตลอดการ”มารดามันเถอะ! เจ้าเล่าเรื่องของข้าไม่พอ ยังตั้งชื่อข้าว่าเสี่ยวต้าหมิง คนอันใดมีทั้งใหญ่ทั้งเล็กในตัวเอง เท่านั้นไม่พอ ยังบังอาจสาปแช่งให้ข้าตายเมื่อนักเล่านิทานเล่าเรื่องจบ จางอี้หมิงก็เดินปรี่เข้าไปสอบถาม“ท่านเสี่ยวต้าหมิงช่างยิ่งใหญ่น่าเคารพยิ่ง” จางอี้หมิงกล่าววาจาชื่นชมตัวเอง “ข้าอยากทราบว่า เป็นผู้ใดเล่าเรื่องนี้ให้กับเจ้าฟัง”นักเล่านิทานยกมื่อคารวะทีหนึ่ง “เรียนคุณชายท่านนี้ ผู้ที่ถ่ายทอดเรื่องราวนี้ให้กับข้าน้อยฟัง คือ ท่านปราจารย์ซ่งอิน แห่งสำนักเทียนหยาง”“!!!”จางอี้หมิงยืนนิ่งครู่หนึ่ง ก่อนให้รางวัลตอบแทนนักเล่านิทานไปสามอีแปะ พลางคิดในใจ “เจ้าซ่งอินเป็นปรมาจารย์ตั้งแต่เมื่อไหร่ ข้าออกมาจากสำนักแค่เดือนเดียวก็คิดแต่งตั้งตัวเองแล้ว
ณ เมืองหลวงของอาณาจักรต้าเฉิง เขตเมืองชั้นในของเมืองคึกคักไปด้วยผู้คน แม้จะไม่แออัดเท่าเขตเมืองชั้นนอก แต่ก็ถือว่ามีจำนวนมากพ่อค้าแม่ค้าต่างเปิดร้านกันอย่างขมีขมัน*(กะตือรือร้น) กลิ่นหอมของหมั่นโถวร้อนๆ ลอยมาจากแผงขายอาหาร เสียงตะโกนเรียกลูกค้าของพ่อค้าแม่ค้าแข่งกันดังก้องทั่วถนน ไม่ว่าจะร้านของกินหรือร้านเครื่องประดับ ต่างแข็งขันกันอย่างเข้มข้นจางหลันซือ บุตรสาวของท่านอ๋องจางส่วง นั่งอยู่ในรถม้าสีดำขลับ ประดับลวดลายดอกเหมยงามสง่า นางเป็นสตรีที่ได้รับการกล่าวขานว่างามเลิศ ทั้งยังมีนิสัยซุกซนข้างกายนางมีซงเอ๋อร์ สาวใช้ประจำตัวของพี่ชายของนาง จางอี้หมิง สตรีผู้มีใบหน้างดงามราวเทพธิดาในอาภรณ์สีชมพูอ่อนอันเรียบง่าย ที่ขับเน้นผิวขาวผุดผ่องของนางให้ดูอ่อนโยนดุจบุปผาแรกแย้มซงเอ๋อร์มิใช่เพียงสาวใช้ธรรมดา แต่นางเป็นว่าที่อนุภรรยาของจางอี้หมิง และเป็นสตรีที่ได้รับความรักใคร่จากคนในตระกูลจาง และถูกให้ความสำคัญในระดับสูงรถม้าของทั้งสองแล่นผ่านถนนสายหลักของเมือง สายตาของจางหลันซือก็สะดุดเข้ากับผู้คนที่ยืนต่อแถวยาวเหยียดไปจนสุดสายตา คล้ายกำลังรอคอยบางสิ่งบา
จางอี้หมิงบุตรชายเพียงคนเดียวของท่านอ๋องจางส่วง ถูกจอมมารปีศาจทำร้ายจนบาดเจ็บสาหัส นอนหลับไปนับปี เมื่อตื่นขึ้น พบว่าพลังปราณสูญเสียสมดุลจนใช้งานไม่ได้ข้างกายของเขามีแม่นางซงเอ๋อร์ สาวใช้ประจำกายและว่าที่อนุภรรยาในอนาคตคอยเฝ้าดูแลไม่ห่างหนทางที่ง่ายที่สุดคือฝึกฝนใหม่แบบย้อนกลับเพื่อปรับสมดุลพลังปราณ หนทางที่ยากที่สุดคือหาสมุนไพรหายากสิบแปดชนิด และหนทางสุดท้ายคือ บำเพ็ญคู่กับสตรีพรหมจรรย์ เขาจึงจำเป็นต้องเลือกหนทางการฝึกฝนร่วมกับเหล่าศิษย์หน้าใหม่ ซึ่งถือว่าง่ายดายและปัญหาน้อยที่สุดเขาได้พบเจอกับแม่นางหลินหนิงผู้มีความน่ารักสดใสดวงตากลมโต ได้รู้จักแม่นางหวงจื่อรั่วผู้มีใบหน้าหมดจดงดงามราวเทพธิดาเพิ่มมากขึ้น แม้นางจะเป็นคนของจวนอ๋องแต่ทว่าความสนิทมีน้อยนัก จนกระทั่งได้มาฝึกร่วมกันอีกครั้งการฝึกฝนใหม่ในครั้งนี้ได้พบกับถัวเค่อชี ผู้มีใจริษยาต่อจางอี้หมิงมาตลอด พบกันคราวนี้ถัวเค่อชีต้องปฏิบัติหน้าที่เป็นอาจารย์ผู้ฝึกฝนจางอี้หมิง ซึ่งนี่เป็นโอกาสที่ดีที่เขาจะได้ "ข่ม" จางอี้หมิงบ้าง แต่แล้วเรื่องราวกลับไม่เป็นเช่นนั้นแต่ถึงอย่างไรก็แล้วแต่ จางอี้หมิ
ที่ชั้นเก้าของหอเทียนหยาง ศิษย์สายตรงทั้งเจ็ดคนของสำนักกู่เจิ้งมารวมตัวกันพร้อมหน้าพร้อมตา บรรยากาศในห้องสงบเงียบ ทว่าครุกรุ่นไปด้วยแรงกดดันทุกคนล้วนเป็นศิษย์ระดับสูง ผู้ที่ผ่านการฝึกฝนมาอย่างเข้มงวด ทุกคนคุกเข่าคารวะอาจารย์เจ้าสำนักกู่เจิ้ง ซึ่งยืนอยู่เบื้องหน้าพร้อมกับสายตาที่ล้ำลึกเกินหยั่งถึงเจ้าสำนักโบกมือให้ทุกคนลุกขึ้น พลางกวาดสายตามองไปรอบห้อง เขามองพวกเขาอย่างเงียบงันอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะกล่าวเสียงเรียบแต่หนักแน่นว่า“ปีที่แล้ว ลัทธิมารแดนปีศาจเคลื่อนไหว ครั้งนี้ ลัทธิมารแดนสวรรค์เคลื่อนไหว เป็นข้าเองที่หละหลวมในการป้องกัน… หลังจากนี้ จะไม่มีครั้งที่สาม”แววตาของเจ้าสำนักฉายประกายแน่วแน่ เขาโบกมือให้ทุกคนลุกขึ้นนั่งลงบนเบาะของตนเอง จากนั้นเขาเองก็ทรุดตัวลงนั่งที่โต๊ะกลางห้อง หยิบใบชามาบดด้วยมืออย่างประณีต ก่อนจะเทน้ำร้อนลงในถ้วย เสียงไอร้อนพวยพุ่งขึ้นแตะจมูก กลิ่นหอมอ่อนๆ ของชาแผ่ซ่านไปทั่วห้อง เจ้าสำนักสูดกลิ่นหอมของชาเบาๆ ก่อนจะกล่าวต่อด้วยน้ำเสียงสงบ“เห็นที พวกเราคงต้องจริงจังกับเรื่องศิลาเฝิ่นเหิงกันบ้างแล้ว นี่อาจไม่ใช่เพียงแค่เรื่อ
จางอี้หมิงนั่งนิ่งตาค้าง ทำอะไรไม่ถูก ได้แต่มองนัยน์ตาของศิษย์พี่คนงาม ที่ฉายแววความร้อนฉ่า ริมฝีปากสีแดงเรื่อยังคงหลงเหลือรสชาติของสุรา นางจ้องมองเขาด้วยสายตาที่ทำให้หัวใจเต้นแรงจนแทบหลุดออกจากอก“เจ้ารู้จักการบำเพ็ญคู่หรือไม่?” นางกระซิบถามด้วยเสียงแผ่วเบา ราวกับเสียงลมพัดผ่านในค่ำคืน จางอี้หมิงรู้สึกได้ถึงสัมผัสจากปลายนิ้วของนางที่ลากไล้เบาๆ บนแผ่นอกของเขา“ท่านเมาแล้ว” จางอี้หมิงพยายามตั้งสติ แต่เสียงของเขากลับสั่นไหว เจียงเยว่ยิ้มมุมปาก ก่อนจะยกมือเรียวขึ้นปิดริมฝีปากเขา“ข้าตั้งใจเมา” นางตอบเบาๆ สายตาของนางเต็มไปด้วยแรงดึงดูดที่ไม่อาจต้านทานใช่สิ หากไม่เมาท่านจะกล้าเช่นนี้หรือจางอี้หมิงมองดูนางอย่างหลงใหล มือของเจียงเยว่วางแนบลงบนแผ่นอกของเขา หัวใจของเขาเต้นรัวจนแทบไม่เป็นจังหวะ ก่อนที่เสียงกระซิบของนางจะดังขึ้นอีกครั้ง“หรือว่าเจ้าไม่ต้องการ?”เขาสูดหายใจเข้าลึก สบตากับนางก่อนจะตอบเสียงพร่า “ข้าเองก็คิดแบบเดียวกับท่าน”ข้าหมายตาท่านมาตลอด!จากนั้น จางอี้หมิงก็รวบตัวเจียงเยว่เข้ามาอุ้มขึ้น นางแนบตัวเข้าหาเขาโดยไม
จางอี้หมิงยืนนิ่งอยู่กลางสมรภูมิ ดวงตาเรียบเฉยจ้องมองร่างไร้วิญญาณของถัวเค่อชีที่นอนแน่นิ่งอยู่บนพื้น เลือดสีเข้มค่อย ๆ ไหลซึมไปตามพื้นดิน กลิ่นคาวโชยขึ้นมาปะปนกับไอเย็นของค่ำคืนเขาสูดลมหายใจลึก ก่อนจะเก็บดาบประจำกายเข้าฝัก เสียง “แกร๊ก” ของดาบที่เลื่อนเข้า ที่ฟังดูดังก้องกังวาลท่ามกลางความเงียบงันเขาหันกลับไปทางศิษย์พี่หญิงเจียงเยว่ที่ยังนอนอ่อนล้าอยู่บนพื้น หญิงสาวมีใบหน้าซีดเซียว เหงื่อเย็นชื้นบนหน้าผาก ผมดำยาวหลุดรุ่ยออกจากปิ่นปักบางส่วน ดวงตาของนางยังคงสั่นไหวด้วยความเหนื่อยล้าและความตึงเครียดจางอี้หมิงเดินไปนั่งลงข้าง ๆ นาง แล้วเหลียวหันไปมองหน้านางเบา ๆ“เป็นข้าที่ทำให้เจ้าเดือดร้อน…” เสียงของเจียงเยว่แผ่วเบาราวสายลมของนางเอ่ยขึ้นจางอี้หมิงส่ายหน้าเล็กน้อยก่อนตอบกลับด้วยน้ำเสียงราบเรียบ“เป็นข้าที่ตัดสินใจเอง ไม่เกี่ยวกับท่าน”แววตาของศิษย์พี่เจียงเยว่อันแน่นไปด้วยความสับสนความซึ้งใจ กับความกังวล แม้นี่จะเป็นสิ่งที่สมควรจะทำ แต่ก็นับว่าขัดต่อกฎของสำนักเช่นกันเสียงฝีเท้าหลายคู่ดังขึ้นจากด้านหลัง ศิษย์พี่ของสำนักเร่งร