หน้าหลัก / แฟนตาซี / วิถีสุริยะพิชิตเวหา / บทที่ 41 จากสายฟ้าลงสู่ผืนดิน

แชร์

บทที่ 41 จากสายฟ้าลงสู่ผืนดิน

last update ปรับปรุงล่าสุด: 2025-03-29 19:30:07

เหนือฟากฟ้ากลางเวหา

ทางด้านฟ่านหวงยืนหยัดอยู่กลางเวหา มือถือกระบี่สายฟ้าที่เปล่งประกายแสงสีฟ้าสว่างไสว สายฟ้าสีครามแผ่พุ่งออกมาจากกระบี่ แปรเปลี่ยนเป็นประกายสายฟ้าฟาดลงมาอย่างดุดัน

เบื้องหน้าของเขา มีอสูรดินเหนียวจำนวนมากที่รวมตัวกันเป็นกองทัพ มันสูงใหญ่และแข็งแกร่ง ร่างกายของมันถูกปั้นขึ้นมาจากดินเหนียวสีเทาเข้ม สายตาของมันแดงก่ำ ราวกับเปลวไฟที่ลุกโชนด้วยความเกรี้ยวกราด

“กระบี่สายฟ้าพิฆาต!” ฟ่านหวงตวาดเสียงดังกึกก้อง พร้อมกับยกกระบี่ขึ้นเหนือศีรษะ ลมปราณมหาศาลไหลเวียนไปทั่วร่างของเขา

เปรี้ยง!

สายฟ้าสีครามฟาดเปรี้ยงลงมา ฟาดผ่าร่างของอสูรดินเหนียวจนกระเด็นกระดอน เศษดินกระจายออกไปทั่วอากาศ

ประกายสายฟ้าสีครามสว่างจ้า แสงสีฟ้าพลุ่งพล่านราวกับคลื่นพายุ ฟ่านหวงเหวี่ยงกระบี่ออกไปอย่างรุนแรง ฟาดใส่ศัตรูตัวแล้วตัวเล่า

สายฟ้าขนาดมหึมาพุ่งออกจากกระบี่ ฟาดผ่าลงมากลางกองทัพอสูรดินเหนียว เสียงระเบิดดังกึกก้อง แผ่นดินสั่นสะเทือน เศษดินกระจายกระเด็นไปทั่วทุกสารทิศ

คลื่นพลังระเบิดออกเป็นวงกว้าง เผาไหม้อสูรดินเหนียวให้แตกกระจายกลายเป็นผุยผง เศษดินปลิวว่อนกลางอากาศ ก่อนจะสลายหายไปกับสายลม

แฮ่ก! แฮ่ก!

“เหนื่อยยิ่งนัก ไอ้พวกดินเหนียวบัดซบ!”

ในการต่อสู้ตามปกติ ฟ่านหวงจะใช้พลังงานไม่ค่อยมาก เนื่องจากสายฟ้ามีความอันตรายที่สูง โดยเฉพาะมนุษย์ธรรมดาทั่วไป ย่อมมิอาจต้านทานได้

แต่กลับอสูรมนุษย์ดินเหนียวนั้นไม่ใช่!

ฟ่านหวงจำเป็นต้องเพิ่มพลังงานมากกว่าปกติ เพื่อระเบิดอสูรเหล่านี้ทิ้งเป็นวงกว้าง หากเขาใช้เรี่ยวแรงเข้าฟาดฟันแบบจางอี้หมิง ก็ทำได้แค่จัดการทีละตัวเท่านั้น การจัดการอสูรดินเหนียวจำนวนมาก จำเป็นต้องใช้ปราณสายฟ้าในกายเขาอยู่ดี

อสูรดินเหนียวจำนวนมากยังคงถาโถมเข้าใส่ เขาพุ่งตัวทะยานเข้าใส่กลุ่มอสูรที่เหลือ กระบี่สายฟ้าในมือฟาดฟันไปมาอย่างบ้าคลั่ง ประกายสายฟ้าเปล่งแสงสว่างวาบ ราวกับสายฟ้าฟาดจากฟากฟ้า

สายฟ้าสีครามพุ่งทะลวงอากาศ ฟาดผ่าร่างของอสูรดินเหนียวจนขาดสะบั้น ร่างของมันกระเด็นกระจัดกระจาย เศษดินปลิวไสวราวกับฝุ่นผง

ฟ่านหวงพลิกตัวกลางอากาศ รวบรวมปราณสายฟ้าไว้ที่ปลายเท้าแล้วพุ่งทะยานขึ้นไป เขายกกระบี่ขึ้นสูงเหนือศีรษะ ลมปราณไหลเวียนอย่างรวดเร็วทั่วร่างของเขา

ท้องฟ้ามืดครึ้มถูกปกคลุมด้วยเมฆดำ สายฟ้าสีครามพุ่งพล่านไปทั่ว กระบี่สายฟ้าเปล่งแสงสว่างจ้า ราวกับดวงตะวันที่ส่องประกายอยู่กลางท้องฟ้า

สายฟ้าขนาดมหึมาพุ่งทะยานขึ้นฟ้า ก่อนจะฟาดผ่าลงมากลางกองทัพอสูรดินเหนียว เสียงระเบิดดังสนั่น หวั่นไหว แผ่นดินสั่นสะเทือนอย่างรุนแรง

แรงระเบิดรุนแรงจนทำให้ดินแตกร้าว เศษดินกระเด็นกระดอนเป็นวงกว้าง อสูรดินเหนียวจำนวนมากถูกทำลายจนสิ้นซาก พลังทำลายล้างนี้รุนแรงถึงขนาดที่แม้แต่พื้นดินก็ยังถูกทำลายเป็นหลุมลึก

อย่างไรก็ตาม ฟ่านหวงรู้สึกได้ถึงเรี่ยวแรงที่ลดลงอย่างรวดเร็ว

“ใช้พลังมากเกินไปแล้ว” เขาพึมพำเบาๆ พร้อมกับรู้สึกวิงเวียน

ฟ่านหวงไม่อาจลอยตัวอยู่บนฟ้าได้นานกว่านี้อีกแล้ว เรี่ยวแรงของเขาหมดลงอย่างรวดเร็ว ร่างของเขาเริ่มเสียสมดุล

 “บ้าเอ้ย!”

ร่างของฟ่านหวงทิ้งตัวจากฟากฟ้าลงมาอย่างรวดเร็ว เสื้อคลุมสีขาวปลิวไสวไปตามแรงลม เส้นผมสีดำยาวสะบัดไปมา ฟ่านหวงบังคับสายฟ้าที่ปลายเท้าให้พุ่งลงสู่พื้นดินอย่างนุ่มนวล พร้อมร่างกายที่เหนื่อยหอบ

“อายุแค่นี้ก็ไม่ไหวซะแล้ว อ่อนหัดยิ่งนัก” เสียงของศิษย์พี่เฉิงเจิ้งดังขึ้น

ศิษย์พี่เฉินเจิ้งร่างท้วม ยืนกอดอกมองฟ่านหวงที่ร่วงหล่นจากฟากฟ้า เส้นผมสีดำยาวของฟ่านหวงกระเซอะกระเซิง ใบหน้าแสดงความเหนื่อยล้าอย่างเห็นได้ชัด

“โคจรลมปราณฟื้นฟูร่างกายซะ เดี๋ยวบิดาจะแสดงให้ดูว่าผู้แข็งแกร่งที่แท้จริงเป็นเช่นไร!”

พูดจบ เฉินเจิ้งก็สะบัดมือ ดึงเอาค้อนยักษ์ประจำกายออกมา ค้อนนั้นมีขนาดใหญ่โตและหนักหน่วง ด้ามจับยาวพอให้ใช้มือจับได้อย่างถนัด หัวค้อนทำจากโลหะสีดำมันวาว

“มาเถอะ! พวกเศษดินทั้งหลาย!” เฉินเจิ้งตะโกนเสียงดัง จากนั้นก็พุ่งตัวไปข้างหน้าด้วยพละกำลังอันมหาศาล

พื้นดินแตกร้าวตามแรงกระโดดของเขา เฉินเจิ้งใช้ค้อนยักษ์ฟาดลงมาใส่อสูรดินเหนียวตัวหนึ่ง เสียงฟาดกระแทกดังกึกก้องจนพื้นดินสั่นสะเทือน ร่างของอสูรดินเหนียวระเบิดกระจายเป็นเศษดินลอยกระจายไปทั่วทุกสารทิศ

อสูรดินเหนียวจำนวนมากพุ่งเข้ามา โอบล้อมเขาไว้จากทุกทิศทุกทาง ร่างของพวกมันสูงใหญ่และแข็งแกร่ง แขนขาอวบหนาและมีพละกำลังมหาศาล

“บิดาจะเอาพวกเจ้ามาใส่กระถางต้นไม้ให้หมด!” เฉินเจิ้งตวาดเสียงดัง เขากระชับค้อนในมือแน่น พร้อมกับหมุนค้อนรอบตัว ก่อนจะเหวี่ยงค้อนยักษ์ฟาดลงไปที่พื้นดิน

ตู๊มม!!!

พลังปราณมหาศาลระเบิดออกมาเป็นคลื่นพลังสั่นสะเทือน พื้นดินแตกกระจายเป็นวงกว้าง อสูรดินเหนียวที่อยู่รอบตัวเฉินเจิ้งทั้งหมดถูกแรงระเบิดส่งตัวลอยขึ้นกลางอากาศ ก่อนจะแตกกระจายเป็นเศษดินนับไม่ถ้วน

เฉินเจิ้งเหวี่ยงค้อนอย่างบ้าคลั่ง เส้นผมสีดำของเขาปลิวไสวไปตามแรงลม ดวงตาสีดำขลับของเขาเต็มไปด้วยความฮึกเหิม หนอนหนังสือยามค่ำคืน เมื่อต้องออกรบจริง นับว่าเทียบได้กับกองกำลังนับหมื่น

เขากระโดดขึ้นสูงเหนือพื้นดิน หมุนตัวกลางอากาศก่อนจะเหวี่ยงค้อนฟาดลงมาอีกครั้ง

ค้อนยักษ์ฟาดลงมาด้วยความรุนแรงจนเกิดเสียงระเบิดดังกึกก้อง พื้นดินแตกกระจายเป็นวงกว้าง อสูรดินเหนียวรอบตัวถูกพลังทำลายล้างจนไม่เหลือชิ้นดี

“เป็นยังไงล่ะ! นี่แหละพลังของบิดา! เจ้าเห็นหรือยัง?” เฉินเจิ้งหัวเราะอย่างสะใจ เขาหมุนตัวกลับมาแล้วแบกค้อนพาดบ่า ท่วงท่าสง่างามและดูทรงพลังอย่างที่สุด

ฟ่านหวงที่นั่งโคจรลมปราณฟื้นฟูพลังอยู่มองดูเฉินเจิ้งที่ยืนยิ้มอย่างภูมิใจ ดวงตาของเขาเหลือบมองด้วยความหมั่นไส้เล็กน้อย

ฟ่านหวงเบือนหน้าหนี ทำปากยื่นเล็กน้อย “ขี้โม้ยิ่งนัก”

ทันใดนั้นเอง เสียงคำรามดังก้องกัมปนาท อสูรดินเหนียวกลุ่มใหม่ก็ปรากฏตัวขึ้นจากด้านหลังเฉินเจิ้ง พวกมันมีจำนวนมากมายและรูปร่างใหญ่โต แขนขาของมันแข็งแกร่งดั่งเสาหิน ดวงตาแดงก่ำเต็มไปด้วยความดุร้าย

“ศิษย์พี่เฉินเจิ้ง! ระ…”

แต่ก่อนที่ฟ่านหวงจะทันได้พูดจา เฉินเจิ้งก็พลิกตัวกลับมาอย่างว่องไวเกินกว่าร่างท้วมของเขาจะดูเป็นไปได้ เขาถีบเท้าพุ่งเข้าใส่พวกมัน พร้อมกับเหวี่ยงค้อนยักษ์ในมือไปข้างหน้า

เปรี้ยง!!!

เสียงกระแทกดังสนั่นหวั่นไหว ค้อนยักษ์ฟาดใส่อสูรดินเหนียวตัวหนึ่งจนร่างมันระเบิดกระจายเป็นเศษดินปลิวว่อน เฉินเจิ้งไม่รอช้า เขาตวัดค้อนกลับมาแล้วหมุนตัวฟาดซ้ำไปที่อสูรตัวถัดไป

“เจ้าพวกเศษดินโคลน! นี่แหละคือพลังของบิดา!” เฉินเจิ้งคำรามเสียงดังก้อง ร่างท้วมของเขาพลิ้วไหวไปมาอย่างคล่องแคล่วผิดกับรูปร่างอันใหญ่โต เขาหมุนค้อนรอบตัว ฟาดฟันเหล่าอสูรดินเหนียวที่กรูกันเข้ามาไม่ยั้ง

เปรี้ยง! เปรี้ยง! เปรี้ยง!

เสียงกระแทกดังกึกก้องทุกครั้งที่ค้อนยักษ์ของเฉินเจิ้งกระทบกับร่างอสูรดินเหนียว แต่ละครั้งก่อให้เกิดแรงระเบิดมหาศาลจนเศษดินปลิวว่อนราวกับพายุทราย

เฉินเจิ้งไล่ทุบตีอย่างบ้าคลั่งต่อเนื่อง ใบหน้าของเขายิ้มกว้างอย่างสะใจ “มาเลย! มาให้หมด! ข้าจะบดขยี้พวกเจ้าให้เป็นผุยผง!”

ฟ่านหวงที่นั่งโคจรลมปราณอยู่ได้แต่จ้องมองด้วยความตกตะลึงในความบ้าพลังของศิษย์พี่ เขาอดคิดไม่ได้ว่า ถึงจะอวดดีไปหน่อย แต่พลังของศิษย์พี่เฉินเจิ้งก็ไม่ธรรมดาเลยจริงๆ

“นี่น่ะหรือพลังของระดับที่แปด”

หลังจากไล่ทุบตีอสูรดินเหนียวจนแตกกระจายไปทั่ว เฉินเจิ้งก็แบกค้อนขึ้นพาดบ่า หันกลับมาหาฟ่านหวง

“เป็นไง ข้าเหนื่อยให้เจ้าเห็นแล้วหรือยัง?”

ฟ่านหวงเบ้ปากแล้วหันหน้าหนี “น่ารำคาญ!”

ทันใดนั้น เฉินเจิ้งก็พูดขึ้น “ฟ่านหวง ระหว่างที่นั่งโคจรลมปราณ อย่าลืมใช้วิชาตรวจจับหาหัวหน้าใหญ่ของพวกมันไปด้วย ข้าขี้เกียจทุบตีไอ้พวกเศษดินพวกนี้แล้ว”

“เจ้าตัวหนา ท่านเหนื่อยก็บอกมาเถอะ ไม่ต้องเสแสร้ง” ฟ่านหวงลอบคิดในใจ ก่อนจะเอ่ยว่า “รับทราบศิษย์พี่!”

เฉินเจิ้งหัวเราะเสียงดัง “ฮ่าๆๆ งั้นข้าจะคุ้มครองเจ้าเอง เจ้านั่งตรวจจับไปเถอะ!”

พูดจบ เขาก็หันไปเผชิญหน้ากับอสูรดินเหนียวกลุ่มใหม่ที่โผล่มาไม่ขาดสาย…

อ่านหนังสือเล่มนี้ต่อได้ฟรี
สแกนรหัสเพื่อดาวน์โหลดแอป

บทล่าสุด

  • วิถีสุริยะพิชิตเวหา   บทที่ 52 นิทาน

    “เมื่อหนึ่งปีครึ่งที่ผ่านมา...” เสียงของนักเล่านิทานเกริ่นเล่า“ครั้งนั้นปักษาอัคคีบุกเข้าโจมตีอาณาจักรต้าเฉิง มีศิษย์แห่งสำนักเทียนหยางผู้หนึ่ง นามว่า เสี่ยวต้าหมิง ออกกำจัดปักษาอัคคีผู้นั้น ทว่า เป็นที่น่าเสียดาย หลังจากกำจัดปักษาอัคคีได้ วีรบุรุษเสี่ยวต้าหมิงผู้นั้น ก็ได้จากโลกนี้ไปตลอดการ”มารดามันเถอะ! เจ้าเล่าเรื่องของข้าไม่พอ ยังตั้งชื่อข้าว่าเสี่ยวต้าหมิง คนอันใดมีทั้งใหญ่ทั้งเล็กในตัวเอง เท่านั้นไม่พอ ยังบังอาจสาปแช่งให้ข้าตายเมื่อนักเล่านิทานเล่าเรื่องจบ จางอี้หมิงก็เดินปรี่เข้าไปสอบถาม“ท่านเสี่ยวต้าหมิงช่างยิ่งใหญ่น่าเคารพยิ่ง” จางอี้หมิงกล่าววาจาชื่นชมตัวเอง “ข้าอยากทราบว่า เป็นผู้ใดเล่าเรื่องนี้ให้กับเจ้าฟัง”นักเล่านิทานยกมื่อคารวะทีหนึ่ง “เรียนคุณชายท่านนี้ ผู้ที่ถ่ายทอดเรื่องราวนี้ให้กับข้าน้อยฟัง คือ ท่านปราจารย์ซ่งอิน แห่งสำนักเทียนหยาง”“!!!”จางอี้หมิงยืนนิ่งครู่หนึ่ง ก่อนให้รางวัลตอบแทนนักเล่านิทานไปสามอีแปะ พลางคิดในใจ “เจ้าซ่งอินเป็นปรมาจารย์ตั้งแต่เมื่อไหร่ ข้าออกมาจากสำนักแค่เดือนเดียวก็คิดแต่งตั้งตัวเองแล้ว

  • วิถีสุริยะพิชิตเวหา   บทที่ 51 ชายผู้เขียนอักษร

    ณ เมืองหลวงของอาณาจักรต้าเฉิง เขตเมืองชั้นในของเมืองคึกคักไปด้วยผู้คน แม้จะไม่แออัดเท่าเขตเมืองชั้นนอก แต่ก็ถือว่ามีจำนวนมากพ่อค้าแม่ค้าต่างเปิดร้านกันอย่างขมีขมัน*(กะตือรือร้น) กลิ่นหอมของหมั่นโถวร้อนๆ ลอยมาจากแผงขายอาหาร เสียงตะโกนเรียกลูกค้าของพ่อค้าแม่ค้าแข่งกันดังก้องทั่วถนน ไม่ว่าจะร้านของกินหรือร้านเครื่องประดับ ต่างแข็งขันกันอย่างเข้มข้นจางหลันซือ บุตรสาวของท่านอ๋องจางส่วง นั่งอยู่ในรถม้าสีดำขลับ ประดับลวดลายดอกเหมยงามสง่า นางเป็นสตรีที่ได้รับการกล่าวขานว่างามเลิศ ทั้งยังมีนิสัยซุกซนข้างกายนางมีซงเอ๋อร์ สาวใช้ประจำตัวของพี่ชายของนาง จางอี้หมิง สตรีผู้มีใบหน้างดงามราวเทพธิดาในอาภรณ์สีชมพูอ่อนอันเรียบง่าย ที่ขับเน้นผิวขาวผุดผ่องของนางให้ดูอ่อนโยนดุจบุปผาแรกแย้มซงเอ๋อร์มิใช่เพียงสาวใช้ธรรมดา แต่นางเป็นว่าที่อนุภรรยาของจางอี้หมิง และเป็นสตรีที่ได้รับความรักใคร่จากคนในตระกูลจาง และถูกให้ความสำคัญในระดับสูงรถม้าของทั้งสองแล่นผ่านถนนสายหลักของเมือง สายตาของจางหลันซือก็สะดุดเข้ากับผู้คนที่ยืนต่อแถวยาวเหยียดไปจนสุดสายตา คล้ายกำลังรอคอยบางสิ่งบา

  • วิถีสุริยะพิชิตเวหา   ความเดิมภาคที่แล้ว

    จางอี้หมิงบุตรชายเพียงคนเดียวของท่านอ๋องจางส่วง ถูกจอมมารปีศาจทำร้ายจนบาดเจ็บสาหัส นอนหลับไปนับปี เมื่อตื่นขึ้น พบว่าพลังปราณสูญเสียสมดุลจนใช้งานไม่ได้ข้างกายของเขามีแม่นางซงเอ๋อร์ สาวใช้ประจำกายและว่าที่อนุภรรยาในอนาคตคอยเฝ้าดูแลไม่ห่างหนทางที่ง่ายที่สุดคือฝึกฝนใหม่แบบย้อนกลับเพื่อปรับสมดุลพลังปราณ หนทางที่ยากที่สุดคือหาสมุนไพรหายากสิบแปดชนิด และหนทางสุดท้ายคือ บำเพ็ญคู่กับสตรีพรหมจรรย์ เขาจึงจำเป็นต้องเลือกหนทางการฝึกฝนร่วมกับเหล่าศิษย์หน้าใหม่ ซึ่งถือว่าง่ายดายและปัญหาน้อยที่สุดเขาได้พบเจอกับแม่นางหลินหนิงผู้มีความน่ารักสดใสดวงตากลมโต ได้รู้จักแม่นางหวงจื่อรั่วผู้มีใบหน้าหมดจดงดงามราวเทพธิดาเพิ่มมากขึ้น แม้นางจะเป็นคนของจวนอ๋องแต่ทว่าความสนิทมีน้อยนัก จนกระทั่งได้มาฝึกร่วมกันอีกครั้งการฝึกฝนใหม่ในครั้งนี้ได้พบกับถัวเค่อชี ผู้มีใจริษยาต่อจางอี้หมิงมาตลอด พบกันคราวนี้ถัวเค่อชีต้องปฏิบัติหน้าที่เป็นอาจารย์ผู้ฝึกฝนจางอี้หมิง ซึ่งนี่เป็นโอกาสที่ดีที่เขาจะได้ "ข่ม" จางอี้หมิงบ้าง แต่แล้วเรื่องราวกลับไม่เป็นเช่นนั้นแต่ถึงอย่างไรก็แล้วแต่ จางอี้หมิ

  • วิถีสุริยะพิชิตเวหา   บทที่ 50 จากลา (จบภาค1)

    ที่ชั้นเก้าของหอเทียนหยาง ศิษย์สายตรงทั้งเจ็ดคนของสำนักกู่เจิ้งมารวมตัวกันพร้อมหน้าพร้อมตา บรรยากาศในห้องสงบเงียบ ทว่าครุกรุ่นไปด้วยแรงกดดันทุกคนล้วนเป็นศิษย์ระดับสูง ผู้ที่ผ่านการฝึกฝนมาอย่างเข้มงวด ทุกคนคุกเข่าคารวะอาจารย์เจ้าสำนักกู่เจิ้ง ซึ่งยืนอยู่เบื้องหน้าพร้อมกับสายตาที่ล้ำลึกเกินหยั่งถึงเจ้าสำนักโบกมือให้ทุกคนลุกขึ้น พลางกวาดสายตามองไปรอบห้อง เขามองพวกเขาอย่างเงียบงันอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะกล่าวเสียงเรียบแต่หนักแน่นว่า“ปีที่แล้ว ลัทธิมารแดนปีศาจเคลื่อนไหว ครั้งนี้ ลัทธิมารแดนสวรรค์เคลื่อนไหว เป็นข้าเองที่หละหลวมในการป้องกัน… หลังจากนี้ จะไม่มีครั้งที่สาม”แววตาของเจ้าสำนักฉายประกายแน่วแน่ เขาโบกมือให้ทุกคนลุกขึ้นนั่งลงบนเบาะของตนเอง จากนั้นเขาเองก็ทรุดตัวลงนั่งที่โต๊ะกลางห้อง หยิบใบชามาบดด้วยมืออย่างประณีต ก่อนจะเทน้ำร้อนลงในถ้วย เสียงไอร้อนพวยพุ่งขึ้นแตะจมูก กลิ่นหอมอ่อนๆ ของชาแผ่ซ่านไปทั่วห้อง เจ้าสำนักสูดกลิ่นหอมของชาเบาๆ ก่อนจะกล่าวต่อด้วยน้ำเสียงสงบ“เห็นที พวกเราคงต้องจริงจังกับเรื่องศิลาเฝิ่นเหิงกันบ้างแล้ว นี่อาจไม่ใช่เพียงแค่เรื่อ

  • วิถีสุริยะพิชิตเวหา   บทที่ 49 บำเพ็ญคู่ปรับสมดุลลมปราณ

    จางอี้หมิงนั่งนิ่งตาค้าง ทำอะไรไม่ถูก ได้แต่มองนัยน์ตาของศิษย์พี่คนงาม ที่ฉายแววความร้อนฉ่า ริมฝีปากสีแดงเรื่อยังคงหลงเหลือรสชาติของสุรา นางจ้องมองเขาด้วยสายตาที่ทำให้หัวใจเต้นแรงจนแทบหลุดออกจากอก“เจ้ารู้จักการบำเพ็ญคู่หรือไม่?” นางกระซิบถามด้วยเสียงแผ่วเบา ราวกับเสียงลมพัดผ่านในค่ำคืน จางอี้หมิงรู้สึกได้ถึงสัมผัสจากปลายนิ้วของนางที่ลากไล้เบาๆ บนแผ่นอกของเขา“ท่านเมาแล้ว” จางอี้หมิงพยายามตั้งสติ แต่เสียงของเขากลับสั่นไหว เจียงเยว่ยิ้มมุมปาก ก่อนจะยกมือเรียวขึ้นปิดริมฝีปากเขา“ข้าตั้งใจเมา” นางตอบเบาๆ สายตาของนางเต็มไปด้วยแรงดึงดูดที่ไม่อาจต้านทานใช่สิ หากไม่เมาท่านจะกล้าเช่นนี้หรือจางอี้หมิงมองดูนางอย่างหลงใหล มือของเจียงเยว่วางแนบลงบนแผ่นอกของเขา หัวใจของเขาเต้นรัวจนแทบไม่เป็นจังหวะ ก่อนที่เสียงกระซิบของนางจะดังขึ้นอีกครั้ง“หรือว่าเจ้าไม่ต้องการ?”เขาสูดหายใจเข้าลึก สบตากับนางก่อนจะตอบเสียงพร่า “ข้าเองก็คิดแบบเดียวกับท่าน”ข้าหมายตาท่านมาตลอด!จากนั้น จางอี้หมิงก็รวบตัวเจียงเยว่เข้ามาอุ้มขึ้น นางแนบตัวเข้าหาเขาโดยไม

  • วิถีสุริยะพิชิตเวหา   บทที่ 48 กักตัวที่บ้านพัก

    จางอี้หมิงยืนนิ่งอยู่กลางสมรภูมิ ดวงตาเรียบเฉยจ้องมองร่างไร้วิญญาณของถัวเค่อชีที่นอนแน่นิ่งอยู่บนพื้น เลือดสีเข้มค่อย ๆ ไหลซึมไปตามพื้นดิน กลิ่นคาวโชยขึ้นมาปะปนกับไอเย็นของค่ำคืนเขาสูดลมหายใจลึก ก่อนจะเก็บดาบประจำกายเข้าฝัก เสียง “แกร๊ก” ของดาบที่เลื่อนเข้า ที่ฟังดูดังก้องกังวาลท่ามกลางความเงียบงันเขาหันกลับไปทางศิษย์พี่หญิงเจียงเยว่ที่ยังนอนอ่อนล้าอยู่บนพื้น หญิงสาวมีใบหน้าซีดเซียว เหงื่อเย็นชื้นบนหน้าผาก ผมดำยาวหลุดรุ่ยออกจากปิ่นปักบางส่วน ดวงตาของนางยังคงสั่นไหวด้วยความเหนื่อยล้าและความตึงเครียดจางอี้หมิงเดินไปนั่งลงข้าง ๆ นาง แล้วเหลียวหันไปมองหน้านางเบา ๆ“เป็นข้าที่ทำให้เจ้าเดือดร้อน…” เสียงของเจียงเยว่แผ่วเบาราวสายลมของนางเอ่ยขึ้นจางอี้หมิงส่ายหน้าเล็กน้อยก่อนตอบกลับด้วยน้ำเสียงราบเรียบ“เป็นข้าที่ตัดสินใจเอง ไม่เกี่ยวกับท่าน”แววตาของศิษย์พี่เจียงเยว่อันแน่นไปด้วยความสับสนความซึ้งใจ กับความกังวล แม้นี่จะเป็นสิ่งที่สมควรจะทำ แต่ก็นับว่าขัดต่อกฎของสำนักเช่นกันเสียงฝีเท้าหลายคู่ดังขึ้นจากด้านหลัง ศิษย์พี่ของสำนักเร่งร

บทอื่นๆ
สำรวจและอ่านนวนิยายดีๆ ได้ฟรี
เข้าถึงนวนิยายดีๆ จำนวนมากได้ฟรีบนแอป GoodNovel ดาวน์โหลดหนังสือที่คุณชอบและอ่านได้ทุกที่ทุกเวลา
อ่านหนังสือฟรีบนแอป
สแกนรหัสเพื่ออ่านบนแอป
DMCA.com Protection Status