“ถ้ามีอะไรอยากให้เนมช่วยบอกเนมได้เลยนะคะ เนมก็เคยเลี้ยงเด็กอยู่บ้างค่ะ”
จารวีขันอาสา ฝ่ายคุณแม่มือใหม่พยักหน้ารับ แต่หากเธอยังไหวก็อยากจะเลี้ยงยัยหนูด้วยตัวเอง สองเท้าก้าวไวๆ กลับไปหาลูกสาวแสนรัก
“หลับสบายเลยนะคะคนเก่ง”
ปราณปรียายังหลับด้วยท่าทางน่าเอ็นดู รอยยิ้มกระจายเต็มดวงหน้าของคนเป็นแม่ แม้จะรู้สึกง่วงแต่ปรีดิทากลับเดินไปหยิบหนังสือที่นงลักษณ์เก็บใส่กระเป๋ามาด้วยออกมาเปิด เธอต้องเตรียมข้อมูลสำหรับการสอน โน้ตบุ๊กก็ถูกเปิดขึ้นด้วย
พอเวลาผ่านไปสักพัก ปรีดิทาก็หยิบสมาร์ตโฟนขึ้นต่อสายหาคนสำคัญ
“ป้าอยู่ได้ใช่ไหมคะ”
นงลักษณ์เป็นอีกคนที่หญิงสาวห่วงใยไม่น้อย เมื่อได้ฟังคำตอบก็เบาใจไปได้บ้าง และเมื่อจัดการหลายอย่างเสร็จก็ก้าวเท้าขึ้นเตียงไปนอนกับลูกสาว
แง้งง
ปรีดิทาสะดุ้งตัวตื่นขึ้นในหนึ่งชั่วโมงต่อมา เพราะเสียงร้องของลูก
“หิวนมหรือจ๊ะคนดี”
หญิงสาวรีบเอาลูกเข้าอก เฝ้ามองแกกินนมด้วยความหิว หลังจากอิ่มแกก็กลับมาตาแป๋วอีกครั้ง
“เราออกไปเดินเล่นกันนะคะหนูปราณ” เธอไม่อยากให้ลูกอุดอู้อยู่แต่ในห้องสี่เหลี่ยม จึงพายัยตัวเล็กไปเดินเล่น สำรวจบ้านที่ตนเองคุ้นเคย
เดินออกมาไม่กี่ก้าว เท้ากลับต้องหยุดกึกเพราะพบกับคนแปลกหน้าเดินตรงเข้ามาหา ปฏิกิริยาของร่างกายถอยหนีโดยพลัน
“สวัสดีค่ะคุณโปรด”
“ค่ะ”
ปรีดิทาขานรับหลังได้รับการทักทายจากผู้หญิงรูปร่างใหญ่กว่าตนเองเล็กน้อย ความสูงก็เช่นกัน มีจารวียืนอยู่ด้านหลัง
“นี่คนของคุณลลิษค่ะ ส่งมาให้คุณโปรด”
“ให้โปรด?” ปรีดิทาตั้งคำถามอย่างใคร่รู้ แล้วได้ฟังคำอธิบาย
“เธอเป็นพี่เลี้ยงเด็กค่ะ และคุณลลิษก็ส่งของใช้เด็กมาให้ด้วยค่ะ”
“โปรดเลี้ยงลูกเองได้” หญิงสาวบอกเสียงหนัก ในใจคล้ายมีความขุ่นเคืองนิดๆ ที่กำลังถูกก้าวก่าย
“ถ้าคุณเหนื่อยหนูช่วยได้ค่ะ คุณไท่รับหนูไว้แล้ว ยังไงก็เมตตาหนูด้วยนะคะ หนูไม่อยากตกงาน หนูชื่อรำนำค่ะ”
คนที่อายุน้อยกว่าปรีดิทาราวๆ สองปีอธิบายพร้อมแนะนำตัว หวังว่าตนเองจะถูกต้อนรับ
ปรีดิทายืนนิ่ง ยังไม่ได้เอ่ยใดๆ ออกไป จังหวะหนึ่งปากแค่นยิ้ม ทีคนของเธอเขาผลักไสให้ห่างไป แต่กับคนของเธอคนนั้นกลับรีบอ้าแขนต้อนรับ ก็อย่างว่าคนไม่สำคัญจะไปสู้อะไรกับคนในหัวใจ
“ถ้าโปรดอยากให้ช่วย โปรดจะเรียกนะ” หญิงสาวตอบกลับ แล้วพยายามมองในแง่ดี มีคนช่วยเลี้ยง ยัยหนูของเธอก็จะได้รับการดูแลอย่างเต็มที่ แล้วสองเท้าก็ก้าวขยับพาลูกเดินไปรอบๆ บ้าน
กิจวัตรในแต่ละวันของคู่แม่ลูกไม่มีอะไรมาก เป็นสิ่งที่ทำวนซ้ำๆ ไปมา และก็ผ่านมาแล้วอีกห้าวันที่บ้านขาดเจ้าของบ้าน
ทิวัตถ์ไม่หวนกลับมา ปรีดิทาก็ไม่ได้เรียกร้องหา
“วันนี้มีแกงเลียงนะคะคุณโปรด”
“จ้ะ”
“แล้วเมื่อคืนหลับสบายดีไหมคะ”
“ดีจ้ะ ยัยหนูไม่ค่อยงอแง”
เธอกับจารวีทักทายกันเป็นปกติ สายตาไม่วายมองไปด้านหลังที่มีรำนำยืนอยู่ เธอเฝ้าสังเกตอีกฝ่ายมาหลายวัน ถือว่าไม่ได้สอบตกอะไรในการทำงานหลายๆ อย่าง ก่อนจะหันไปมองจารวีอีกครั้ง
“อาทิตย์หน้าโปรดอาจจะต้องขอให้ช่วยดูยัยหนูให้เป็นบางช่วงนะ โปรดมีสอน”
“ได้ค่ะคุณโปรด”
จารวียิ้มรับ รำนำเองก็พร้อมจะทำหน้าที่ของตัวเอง
ส่วนในด้านคนที่หายไปเวลานี้นั่งอยู่หลังพวงมาลัยในรถที่จอดสนิทอยู่ สีหน้าพบความเหนื่อยและเมื่อยล้าหลังต้องอดหลับอดนอนเพื่อตามหาสถานที่หนึ่ง จากนั้นก้าวเท้าจากรถคันเก่าเพื่อเปลี่ยนไปเป็นรถแอสตันมาร์ตินที่เขาเป็นเจ้าของ
สีหน้าของทิวัตถ์นิ่งเรียบไม่แสดงความรู้สึก มือหยิบสมาร์ตโฟนขึ้นมากดพิมพ์ข้อความแล้วส่งไปหาคนคนหนึ่ง เพราะถึงเวลาแล้ว
เวลาของตัวแทน
มุมปากเหยียดยิ้มหยันนิดๆ แล้วขับเคลื่อนรถออกไปตามเส้นทางที่เขาคุ้นเคย
ด้านปรีดิทาเมื่ออิ่มท้องแล้วก็เดินไวๆ กลับหาไปลูกสาวที่เป็นเด็กดี ไม่ค่อยมีอาการงอแงเท่าไร ในจังหวะที่จะโน้มหน้าไปหอมแก้มขาวใสก็มีเสียงข้อความดังขึ้น
ฝ่ามือนุ่มหยิบสมาร์ตโฟนมาเปิดดู พอได้เห็นข้อความที่ถูกส่งมากลีบปากอิ่มก็เม้มแน่นทันที
“คืนนี้เธอต้องเป็นลลิษ”
บทที่ 4 ตัวแทน (2) หลังจากได้รับข้อความนั้นปรีดิทาขบเนื้อปากด้านล่างไม่รู้กี่หน ความอึดอัดเคลื่อนย้ายเข้าสู่หัวใจมากขึ้น ดวงตาอมโศกหันมองยัยตัวเล็กที่หลับไปอีกครั้ง จนเวลาล่วงผ่านมาถึงตอนเย็น เสียงที่ทำให้เธอรู้สึกว่ามวลอากาศลดน้อยลงก็แว่วดัง เสียงของรถแอสตันมาร์ตินที่เคลื่อนมาจอด เขาคงกลับมาแล้ว ตามมาด้วยเสียงที่ทำให้เธอสะดุ้งนิดๆ ก๊อก ก๊อก ปรีดิทาไม่ได้ถ่วงเวลาที่จะก้าวเดินไปเปิดประตู รู้ดีว่าอย่างไรก็ต้องเกิดขึ้น จึงเปล่าประโยชน์หากจะชักช้า แต่ในตอนที่ประตูค่อยๆ ถูกเปิดก็มีลมหายใจสะดุดอยู่เหมือนกัน ทว่าคนที่ยืนอยู่หน้าห้องนั้นไม่ใช่ทิวัตถ์ “คุณโปรดคะ คุณไท่ให้เนมมาบอกว่า ให้คุณโปรดอาบน้ำแล้วรีบขึ้นไปหาบนห้องค่ะ” คำบอกกล่าวนั้นปรีดิทาหน้าจืดลงไปแม้จะเตรียมใจไว้แล้ว ความกังวลวนเวียนกลับเข้ามาเมื่อหันไปมองปราณปรียา “โปรดฝากเนมดูยัยหนูสักพักได้ไหม” “ได้ค่ะ เดี๋ยวเนมกับรำจะช่วยดูแลคุณหนูเองค่ะ” ปรีดิทายิ้มขอบคุณ สองเท้าก้าวกลับเข้าด้านใน แต่ไม่ได้ไปอาบน้
“ถ้ามีอะไรอยากให้เนมช่วยบอกเนมได้เลยนะคะ เนมก็เคยเลี้ยงเด็กอยู่บ้างค่ะ” จารวีขันอาสา ฝ่ายคุณแม่มือใหม่พยักหน้ารับ แต่หากเธอยังไหวก็อยากจะเลี้ยงยัยหนูด้วยตัวเอง สองเท้าก้าวไวๆ กลับไปหาลูกสาวแสนรัก “หลับสบายเลยนะคะคนเก่ง” ปราณปรียายังหลับด้วยท่าทางน่าเอ็นดู รอยยิ้มกระจายเต็มดวงหน้าของคนเป็นแม่ แม้จะรู้สึกง่วงแต่ปรีดิทากลับเดินไปหยิบหนังสือที่นงลักษณ์เก็บใส่กระเป๋ามาด้วยออกมาเปิด เธอต้องเตรียมข้อมูลสำหรับการสอน โน้ตบุ๊กก็ถูกเปิดขึ้นด้วย พอเวลาผ่านไปสักพัก ปรีดิทาก็หยิบสมาร์ตโฟนขึ้นต่อสายหาคนสำคัญ “ป้าอยู่ได้ใช่ไหมคะ” นงลักษณ์เป็นอีกคนที่หญิงสาวห่วงใยไม่น้อย เมื่อได้ฟังคำตอบก็เบาใจไปได้บ้าง และเมื่อจัดการหลายอย่างเสร็จก็ก้าวเท้าขึ้นเตียงไปนอนกับลูกสาว แง้งง ปรีดิทาสะดุ้งตัวตื่นขึ้นในหนึ่งชั่วโมงต่อมา เพราะเสียงร้องของลูก “หิวนมหรือจ๊ะคนดี” หญิงสาวรีบเอาลูกเข้าอก เฝ้ามองแกกินนมด้วยความหิว หลังจากอิ่มแกก็กลับมาตาแป๋วอีกครั้ง “เร
“ไม่กี่อาทิตย์คงหนีได้แล้ว” ทิวัตถ์รู้ดีว่าเขาจะเป็นที่พักพิงของปรีดิทาไม่นานหรอก หลังจากนี้เจ้าตัวคงคิดหาทางจะจากไป หญิงสาวกดหน้าแล้วตบท้ายด้วยรอยยิ้ม เธอไม่ปฏิเสธ เธอจะหนีไปอย่างแน่นอน โดยเงินส่วนหนึ่งจากเขาก็จะช่วยสนับสนุน คนที่ไม่มีอะไรจะเสียไปมากกว่านี้อีกแล้วอย่างเธอก็ไม่ต่างจากหมาจนตรอก เธอทำและยอมได้ทุกอย่าง เพื่อลูก เพื่อในวันหนึ่งจะได้กลับมามีความสุขอีกครั้ง “เอาที่ที่หยางจินหาไม่เจอด้วยละกัน ขี้เกียจฟังคำอ้อนวอนอีก” “ไม่ต้องห่วงค่ะ แม้แต่คุณก็จะหาโปรดไม่เจอ และโปรดจะไม่มีวันเป็นหมาจนตรอกแบบนี้อีก” เธอขอสัญญาว่าจะทำอย่างที่เอ่ยแน่นอน พลางหันไปมองจารวีที่กำลังเดินผ่านหน้าห้องรับแขก “เนม” “คะคุณโปรด” “ช่วยหยิบอุปกรณ์ทำแผลให้โปรดหน่อยสิ” ปรีดิทาบอกเสียงเรียบ สายตาเบนไปมองคนที่สมควรได้รับการทำแผล จารวีล่าถอยไปหยิบอุปกรณ์ ไม่นานก็กลับมายื่นให้แก่เจ้านาย “ขอบคุณจ้ะ” หญิงสาวยิ้มขอบคุณ แล้วหันไปสบตากับคนที่นั่งเงียบที่กำลังคล้ายจะอ้าปา
บทที่ 3 ตัวแทน ปรีดิทาถึงกับปากสั่นในความเลือดเย็นของทิวัตถ์ ไม่น่าเชื่อเลยว่าเขาจะเป็นคนเดียวกันกับคนที่เธอตกหลุมรัก จนได้แต่งงานกัน ความหวานปะแล่มๆ ไม่ได้โดดเด่นตามสไตล์คนพูดน้อยอย่างเขาทำให้หัวใจของเธอชุ่มฉ่ำได้ เธอไม่ได้ต้องการการเอาอกเอาใจ ขอแค่เขารักก็เพียงพอ ก่อนดึงตัวเองกลับมามองนงลักษณ์อย่างลำบากใจ ฝ่ายคนที่ไม่เป็นที่ต้อนรับวางหน้าเครียด เพราะไม่อยากปล่อยให้คุณหนูอยู่ที่นี่ตามลำพัง ต่างฝ่ายต่างมองหน้ากัน กระทั่งปรีดิทาเปิดตาขึ้นหลังหลับลงเพื่อตัดสินใจ “ตอนนี้โปรดจำเป็นต้องพึ่งเขาค่ะป้า” นอกจากทิวัตถ์จะเลือดเย็นแล้ว เขายังสอนให้เธอเป็นเช่นนั้นด้วยเช่นกัน ในเวลานี้ทางเลือกของเธอแทบไม่มี การทำให้ลูกปลอดภัยจากห
“ขึ้นรถ” ปรีดิทายังไม่ได้ก้าวเท้าขึ้นไป เธอนิ่งคล้ายกำลังตัดสินใจ แน่นอนว่าเธออยากหนี อยากไปตอนนี้เลย แต่การหนีต้องจบลงในครั้งเดียว ไม่ใช่หนีแบบไม่จบไม่สิ้น หนีไปแล้วยังถูกตามเจอแล้วถูกจับกลับมา หรือต้องอยู่แบบหวาดระแวง สมองจึงขบคิดและทบทวน ที่ผ่านมาเธอไม่เคยคิดว่าต้องรับมือกับหยางจินจึงไม่ได้หาหนทางใดๆ ไว้เลย เธอก็อยู่ส่วนเธอ ส่วนหยางจินก็ไม่ได้เข้ามายุ่มย่าม และตัวของชายหนุ่มเองนั้นก็พูดถึงบิดาให้ฟังน้อยมาก จนแทบจะไม่พูดด้วยซ้ำ แต่เธอก็พอรับรู้ได้ว่าอีกฝ่ายเป็นคนที่ทิวัตถ์ชัง ชั่วครู่หนึ่งหญิงสาวก็หยิบสมาร์ตโฟนโทร.บอกเพื่อนบ้านที่รออยู่ว่าไม่ต้องรออีกแล้ว จากนั้นก้าวเท้าขึ้นรถ แล้วความเงียบก็กลืนกินไปทั่ว ปรีดิทานั่งขบปากอย่างกังวล หนทางเดียวที่มองเห็นตอนนี้มีแต่เขา มีแต่ยอมไปก่อน แต่การยอมนี้ต้องนำพาเธอกับลูกไปสู่อิสระอย่างเ
บทที่ 2 จนตรอก “ถ้าจะมารับเด็กกลับไป แกต้องเอาใบหย่ามาก่อน” แค่ปลายเท้าเดินเข้าไปหยุดยังโซนห้องรับรองแขก เสียงทรงอำนาจจากปากผู้ชายที่ทิวัตถ์ชิงชังเป็นอันดับหนึ่งก็ดังขึ้น หยางจินนั้นแสดงความต้องการ กรอบหน้าเงยมองลูกชายที่เพิ่งได้คืนกลับมา แล้วเห็นเจ้าตัวมองไปรอบๆ ราวกับมองหาอะไรสักอย่าง “ไม่ต้องห่วง หนูลลิษดูแลอยู่” หยางจินเอ่ยบอก เขาก็ไม่ได้ใจร้ายถึงกับจะทิ้งขว้างยัยเด็กตัวเล็กนั่นหรอก ฝ่ายแขกผู้มาใหม่ยังมีสีหน้าราบเรียบวางเฉย ขณะขยับตัวไปพิงกับกรอบประตู มือข้างหนึ่งล้วงเข้าไปในกระเป๋ากางเกงด้วยท่าทางสบายๆ “หนูลลิษพาเด็กนั่นมา ให้พ่อมันเห็นหน้าหน่อย” หยางจินพลิกตัวไปส่งเสียงเรียกอีกหนึ่งคนสำคัญ หลังลูกชายคนเล็กสาดค