“ไม่ใช่หน้าที่ฉัน”
ทิวัตถ์บอกเสียงหนักและสะบัด หน้าที่ของใครก็ต้องรับผิดชอบให้ได้ ไม่ใช่สิ่งที่เขาต้องมานั่งบอก ส่วนคนที่ยืนอยู่ข้างๆ อย่างปรีดิทาแสยะยิ้มใส่ความร้ายของผู้ชายที่เธอตกหลุมรัก ไม่ทันได้หายใจหายคอได้สะดวกเสียงหนึ่งก็แว่วดังจากด้านหลังให้รู้สึกอึดอัด
“ฉันนึกว่าแกจะไม่ยอมมา”
ทิวัตถ์พลิกตัวไปมองไม่ได้ตอบโต้ แค่เอียงคอรับ สายตามองนิ่งๆ อย่างไร้ความหมาย ก่อนจะวูบไหวในประโยคถัดมาของผู้ให้กำเนิด
“ลลิษกำลังมา” หยางจินบอกด้วยท่าทางนิ่งๆ สีหน้าแสดงอาการโล่งใจนิดๆ เมื่อเห็นลูกชายมาร่วมงานนี้ หลังเขาทำอะไรล้ำเส้น ล้ำข้อตกลงระหว่างกัน จากนั้นปล่อยประโยคสำคัญออกไป ลูกชายคนเล็กของเขาสมควรรู้ไว้
“อีกไม่นานพี่ชายแกจะกลับมา”
“มันยอมกลับมาแล้ว...” หนนี้ทิวัตถ์เลิกคิ้วขึ้นตั้งคำถามคล้ายไม่อยากเชื่อสักเท่าไร ปากเบ้เล็กน้อยเมื่อนึกถึงพี่ชายที่ไม่ได้เจอมานานหลังจากเอ่ยปากตัดขาดความเป็นพี่น้องกัน ตามองไปยังคนที่เขาชังเป็นอันดับหนึ่งที่มีคนสนิททั้งสองยืนประกบอยู่
“ก็คู่หมั้นเขาอยู่ที่นี่ แกสมควรดีใจกับลลิษที่พี่ชายแกจะกลับมา” การกลับมาของลูกชายคนโตคงทำให้หัวใจของว่าที่ลูกสะใภ้ดีขึ้นมาได้บ้าง ทว่าความกังวลยังฟุ้งกระจายอยู่ในอก คงเพราะความสัมพันธ์ที่ยังเหนียวแน่นที่ลูกชายดื้อด้านมีให้คนโปรดของตนเอง
ก็อย่างว่า แม้ในอดีตทิวัตถ์จะตัดขาดจากเขาหรือพี่ชายของมัน แต่มันไม่เคยตัดขาดจากลลิษาเลย
“ก็ดี”
คำพูดของทิวัตถ์สวนทางกับความรู้สึกบนใบหน้า
“ดี แต่จะดีกว่านี้ ถ้าแกไม่พาส่วนเกินมาด้วย”
คนเป็นพ่อได้แค่หวังว่าจะไม่มีศึกชิงนางเกิดขึ้น สายตาไม่วายมองเขม็งไปยังส่วนเกินที่พูดถึง ภายในอกมีความสงสัยเคลือบอยู่มาก ไม่รู้มันจะเอากลับมาอยู่ข้างกายทำไม หรือเพราะอยากจะเอาคืนเขาที่เข้าไปวุ่นวาย
“ก็ลลิษมากับผมไม่ได้” ทิวัตถ์เอียงคอตอบและจ้องมองหยางจิน
“แกก็เลยหาตัวแทนมา”
หยางจินเน้นทุกถ้อยคำราวกับอยากให้กระทบไปยังใจดวงบอบบาง ทิวัตถ์นั้นไม่ปฏิเสธ ส่วนปรีดิทายิ้มรับ แม้จะสะท้านและสะเทือนไปถึงหัวใจ แต่เธอเก็บอาการเก่ง มันไม่ได้เจ็บไปกว่าครั้งแรกที่ได้ฟังหรอก แล้วได้ยินถ้อยคำที่ทำให้เธอต้องยิ้มอย่างเสแสร้ง
“แล้วนี่ไม่คิดจะยกมือไหว้ฉันหน่อยหรือไง”
“ถ้าอยากให้โปรดไหว้ส่งๆ ก็ได้ค่ะ สวัสดีค่ะ” สีหน้าบ่งบอกได้ถึงความรู้สึก แม้เธอจะยกมือไหว้หยางจิน แต่ไร้ซึ่งความเคารพ คนที่กล้าเอาเด็กไปต่อรอง ไม่สมควรจะได้รับอะไรทั้งนั้น ถ้าอีกฝ่ายเป็นผู้ใหญ่ที่ดี เธอจะไม่รังเกียจที่จะยกมือไหว้แน่นอน
“ปากดี”
หยางจินออกสีหน้าดุดัน ไม่นึกชอบปรีดิทาเลย อีกฝ่ายมีทั้งมุมอ่อนและแข็ง ควบคุมได้ยาก ราวหนึ่งนาทีก็เห็นสายตาของลูกชายมองไปด้านหลังจึงพลิกตัวไปมองบ้าง
เห็นลลิษาก้าวเท้าเข้ามาในงานพร้อมกับครอบครัวของเจ้าตัว ในจังหวะหนึ่งสายตาของหยางจินกลับวาวขึ้น เพราะมองเลยไปยังแขกอีกคนที่ไม่คิดว่าจะมางานนี้ด้วย ชั่ววินาทีก็รีบปรับสีหน้าไม่ให้มีคนจับสังเกตได้
ด้านทิวัตถ์ทำได้แค่มอง เพราะรู้มาตลอดว่าครอบครัวของลลิษาชอบพี่ชายของเขามากกว่า เพราะอำนาจและบารมี
สายตาดึงกลับมามองหยางจินบ้าง เพราะอีกฝ่ายสนิทกับครอบครัวของหญิงสาวเพราะอำนาจและความเป็นใหญ่ไม่ต่างกัน ต่างฝ่ายต่างช่วยค้ำจุนกัน จากนั้นเลือกเดินไวๆ ตรงไปยังโต๊ะตัวหนึ่งที่มีผู้จับจองที่นั่งอยู่สามคนแล้ว ปรีดิทานั่งลงข้างๆ อย่างรู้งาน สายตามองไปรอบๆ มีแต่ผู้คนที่เธอไม่รู้จัก
ราวสองนาทีถ้วนเธอกลับได้เห็นคนที่รู้จักกัน แต่หากเลือกได้ ไม่ขอจะรู้จักดีกว่า แล้วพยายามไม่ใส่ใจ
“จ้องตาเป็นมันขนาดนั้น โปรดว่าคุณเดินเข้าไปหาเธอเถอะค่ะ” พอดึงตากลับมายังโต๊ะที่ตัวเองนั่งอยู่ก็เห็นชัดถึงสายตาคู่คมที่มองไปยังผู้หญิงคนนั้นที่อยู่ในชุดสีขาว มีลักษณะการแต่งตัวคล้ายกับเธอ
ไม่สิ เธอต่างหากที่แต่งเหมือนลลิษา ส่วนคนต้องตอบยังนิ่ง เหมือนไม่ได้ยินคำบอก
“ทำไมเธอถึงไม่เลือกคุณล่ะคะ เธอน่าจะเลือกหมั้นกับคุณ” ปรีดิทาเอ่ยถามในสิ่งที่อยากรู้
ครั้งนี้ทิวัตถ์หันขวับมามองคนข้างกายด้วยตาดุๆ ไม่แปลกใจที่ปรีดิทาจะใจกล้าเอ่ยถาม เพราะนิสัยกล้าได้กล้าเสีย มีความใจกล้าเป็นเหตุผลหนึ่งที่เขาเลือกจะแต่งงานกับหญิงสาว และปรีดิทายังเป็นคนฉลาดที่บางครั้งเขายังกลัว
จังหวะต่อมามุมปากหยันขึ้นใส่ตัวเองเมื่อได้ยินประโยคต่อมา
“คุณเองก็อยู่ข้างๆ เธอมาตลอดไม่ใช่หรือคะ คงถึงขั้นตายแทนกันได้ ถ้าเธอยอมตกลงเรื่องของเราคงไม่เกิด” ปรีดิทาร่ายคำถาม
จำได้ว่าเธอตกหลุมรักทิวัตถ์ในตอนที่เขาย้ายมาทำงานที่โรงพยาบาลเดียวกัน เขานิ่งๆ ดูคูลๆ เป็นที่สนใจของใครหลายคน หนึ่งในนั้นคือเธอ แต่ที่รุกหน้าจีบเขา เพราะชอบที่เขารู้สึกอย่างไรก็แสดงออกเช่นนั้น เขาไม่ประจบประแจง ไม่เข้าข้างใครเพราะผลประโยชน์
แต่ก็พอรู้ได้ยินมาบ้างจากเพื่อนๆ ที่เป็นหมอ เป็นนางพยาบาลในที่ทำงานเก่าของเขาว่า ก่อนหน้านั้นเขาเคยมีคนของหัวใจ ผู้หญิงคนนั้นเป็นลูกของคนที่มีอิทธิพล แต่กลับไม่ได้สมหวัง ทว่าก็ไม่ค่อยรู้รายละเอียดสักเท่าไร เพราะเขาไม่ค่อยเอ่ยบอกกับใคร
เธอในตอนนั้นก็ไม่ได้สนใจเรื่องในอดีต มองปัจจุบันมากกว่า และคิดแค่ว่าจะทำให้คนที่เธอสนใจหันมามองกันและรักกันให้ได้
ในวันที่ได้แต่งงานกัน หัวใจของเธออิ่มเอม คิดว่าทำให้เขารักได้แล้ว ทว่าสุดท้ายสิ่งเหล่านั้นมันก็แค่ชั่วครั้งชั่วคราว เมื่อหัวใจของเขาก็ยังมีเธอคนนั้นอยู่
เธอก็เป็นได้แค่ตัวแทนที่หมดค่าจะให้ความสนใจ
“เธอต้องขอบคุณลลิษาสิที่ทำให้มันเกิดขึ้น” ทิวัตถ์โน้มใบหน้าไปกระซิบข้างหูของปรีดิทา แต่สายตากลับยังมองอยู่ที่เดิม โต๊ะที่มีหยางจินและลลิษานั่งอยู่
ปรีดิทาแค่นหัวเราะ ขอบคุณเหรอ
เอาเข้าจริง เธอก็ต้องขอบคุณลลิษา เพราะอีกฝ่ายทำให้ได้รู้ว่าเงานั้นมีลักษณะอย่างไรได้ชัดเจนขึ้น แล้วต่างฝ่ายต่างดึงตัวเองกลับมาอยู่กับความเงียบ ไม่นานปากนุ่มกลับต้องขบแน่น เพราะสัมผัสได้ว่าถูกจ้องมอง บางครั้งแอบมอง บางครั้งมองอย่างโจ่งแจ้ง
ปรีดิทาดึงตาไปมองกลับด้วยความไม่พอใจ หลังผู้ชายคนหนึ่งที่นั่งอยู่ถัดไปเอาแต่มองเธอไม่เลิก ส่วนคนข้างกายน่ะเหรอ ไม่ได้สนใจเลยสักนิด เขามีจุดโฟกัสอยู่แค่จุดเดียว กระทั่งเธอเอ่ยขึ้น
“โปรดขอตัวไปโทร.หาเนม โปรดเป็นห่วงลูกค่ะ”
สิ้นคำบอก ร่างเล็กขยับตัวลุกขึ้นเพื่อหนีจากสายตาที่เฝ้ามอง และมีความห่วงลูกร่วมด้วย ทว่าทิวัตถ์กลับขยับตัวลุกขึ้นด้วยจึงเอ่ยบอกเสียงหนัก
“โปรดไปเองได้ค่ะ”
“เชิญ”
“เชิญ” ทิวัตถ์ผายมือเชิญแล้วเห็นปรีดิทาเดินไวๆ ไปหน้าทางเข้างาน ส่วนตัวเขาวางตาไปที่เดิม ปรีดิทาเดินไวๆ ไปหามุมที่ผู้คนไม่มาก กระนั้นกลับต้องหันมองด้านหลัง เพราะผู้ชายคนนั้นเดินตามเธอมาจึงรู้สึกกังวล ก่อนจะโล่งใจเมื่ออีกฝ่ายแค่มาหามุมสูบบุหรี่ เธอรีบเดินห่างออกไปแล้วหยิบสมาร์ตโฟนขึ้นมาแนบหูพูดคุยกับจารวี “ยังไงโปรดฝากดูแลยัยหนูด้วยนะ” เธอได้เอ่ยปากให้จารวีช่วยดูแลต่อไปอีกนิด โชคดีที่ยัยหนูไม่งอแง คิดว่างานคงจะจบลงอีกไม่เกินสองชั่วโมง ไม่ทันจะได้ขยับตัวกลับเข้างาน ผู้หญิงคนหนึ่งก็เดินตรงปรี่เข้ามาหา “ไงคุณหมอโปรด” คนที่เอ่ยด้วยน้ำเสียงเยาะเย้ยนิดๆ อย่างออมสินแต้มยิ้มไม่จริงใจบนดวงหน้
“ไม่ใช่หน้าที่ฉัน” ทิวัตถ์บอกเสียงหนักและสะบัด หน้าที่ของใครก็ต้องรับผิดชอบให้ได้ ไม่ใช่สิ่งที่เขาต้องมานั่งบอก ส่วนคนที่ยืนอยู่ข้างๆ อย่างปรีดิทาแสยะยิ้มใส่ความร้ายของผู้ชายที่เธอตกหลุมรัก ไม่ทันได้หายใจหายคอได้สะดวกเสียงหนึ่งก็แว่วดังจากด้านหลังให้รู้สึกอึดอัด “ฉันนึกว่าแกจะไม่ยอมมา” ทิวัตถ์พลิกตัวไปมองไม่ได้ตอบโต้ แค่เอียงคอรับ สายตามองนิ่งๆ อย่างไร้ความหมาย ก่อนจะวูบไหวในประโยคถัดมาของผู้ให้กำเนิด “ลลิษกำลังมา” หยางจินบอกด้วยท่าทางนิ่งๆ สีหน้าแสดงอาการโล่งใจนิดๆ เมื่อเห็นลูกชายมาร่วมงานนี้ หลังเขาทำอะไรล้ำเส้น ล้ำข้อตกลงระหว่างกัน จากนั้นปล่อยประโยคสำคัญออกไป ลูกชายคนเล็กของเขาสมควรรู้ไว้&nbs
บทที่ 4 ตัวแทน (2) หลังจากได้รับข้อความนั้นปรีดิทาขบเนื้อปากด้านล่างไม่รู้กี่หน ความอึดอัดเคลื่อนย้ายเข้าสู่หัวใจมากขึ้น ดวงตาอมโศกหันมองยัยตัวเล็กที่หลับไปอีกครั้ง จนเวลาล่วงผ่านมาถึงตอนเย็น เสียงที่ทำให้เธอรู้สึกว่ามวลอากาศลดน้อยลงก็แว่วดัง เสียงของรถแอสตันมาร์ตินที่เคลื่อนมาจอด เขาคงกลับมาแล้ว ตามมาด้วยเสียงที่ทำให้เธอสะดุ้งนิดๆ ก๊อก ก๊อก ปรีดิทาไม่ได้ถ่วงเวลาที่จะก้าวเดินไปเปิดประตู รู้ดีว่าอย่างไรก็ต้องเกิดขึ้น จึงเปล่าประโยชน์หากจะชักช้า แต่ในตอนที่ประตูค่อยๆ ถูกเปิดก็มีลมหายใจสะดุดอยู่เหมือนกัน ทว่าคนที่ยืนอยู่หน้าห้องนั้นไม่ใช่ทิวัตถ์ “คุณโปรดคะ คุณไท่ให้เนมมาบอกว่า ให้คุณโปรดอาบน้ำแล้วรีบขึ้นไปหาบนห้องค่ะ” คำบอกกล่าวนั้นปรีดิทาหน้าจืดลงไปแม้จะเตรียมใจไว้แล้ว ความกังวลวนเวียนกลับเข้ามาเมื่อหันไปมองปราณปรียา “โปรดฝากเนมดูยัยหนูสักพักได้ไหม” “ได้ค่ะ เดี๋ยวเนมกับรำจะช่วยดูแลคุณหนูเองค่ะ” ปรีดิทายิ้มขอบคุณ สองเท้าก้าวกลับเข้าด้านใน แต่ไม่ได้ไปอาบน้
“ถ้ามีอะไรอยากให้เนมช่วยบอกเนมได้เลยนะคะ เนมก็เคยเลี้ยงเด็กอยู่บ้างค่ะ” จารวีขันอาสา ฝ่ายคุณแม่มือใหม่พยักหน้ารับ แต่หากเธอยังไหวก็อยากจะเลี้ยงยัยหนูด้วยตัวเอง สองเท้าก้าวไวๆ กลับไปหาลูกสาวแสนรัก “หลับสบายเลยนะคะคนเก่ง” ปราณปรียายังหลับด้วยท่าทางน่าเอ็นดู รอยยิ้มกระจายเต็มดวงหน้าของคนเป็นแม่ แม้จะรู้สึกง่วงแต่ปรีดิทากลับเดินไปหยิบหนังสือที่นงลักษณ์เก็บใส่กระเป๋ามาด้วยออกมาเปิด เธอต้องเตรียมข้อมูลสำหรับการสอน โน้ตบุ๊กก็ถูกเปิดขึ้นด้วย พอเวลาผ่านไปสักพัก ปรีดิทาก็หยิบสมาร์ตโฟนขึ้นต่อสายหาคนสำคัญ “ป้าอยู่ได้ใช่ไหมคะ” นงลักษณ์เป็นอีกคนที่หญิงสาวห่วงใยไม่น้อย เมื่อได้ฟังคำตอบก็เบาใจไปได้บ้าง และเมื่อจัดการหลายอย่างเสร็จก็ก้าวเท้าขึ้นเตียงไปนอนกับลูกสาว แง้งง ปรีดิทาสะดุ้งตัวตื่นขึ้นในหนึ่งชั่วโมงต่อมา เพราะเสียงร้องของลูก “หิวนมหรือจ๊ะคนดี” หญิงสาวรีบเอาลูกเข้าอก เฝ้ามองแกกินนมด้วยความหิว หลังจากอิ่มแกก็กลับมาตาแป๋วอีกครั้ง “เร
“ไม่กี่อาทิตย์คงหนีได้แล้ว” ทิวัตถ์รู้ดีว่าเขาจะเป็นที่พักพิงของปรีดิทาไม่นานหรอก หลังจากนี้เจ้าตัวคงคิดหาทางจะจากไป หญิงสาวกดหน้าแล้วตบท้ายด้วยรอยยิ้ม เธอไม่ปฏิเสธ เธอจะหนีไปอย่างแน่นอน โดยเงินส่วนหนึ่งจากเขาก็จะช่วยสนับสนุน คนที่ไม่มีอะไรจะเสียไปมากกว่านี้อีกแล้วอย่างเธอก็ไม่ต่างจากหมาจนตรอก เธอทำและยอมได้ทุกอย่าง เพื่อลูก เพื่อในวันหนึ่งจะได้กลับมามีความสุขอีกครั้ง “เอาที่ที่หยางจินหาไม่เจอด้วยละกัน ขี้เกียจฟังคำอ้อนวอนอีก” “ไม่ต้องห่วงค่ะ แม้แต่คุณก็จะหาโปรดไม่เจอ และโปรดจะไม่มีวันเป็นหมาจนตรอกแบบนี้อีก” เธอขอสัญญาว่าจะทำอย่างที่เอ่ยแน่นอน พลางหันไปมองจารวีที่กำลังเดินผ่านหน้าห้องรับแขก “เนม” “คะคุณโปรด” “ช่วยหยิบอุปกรณ์ทำแผลให้โปรดหน่อยสิ” ปรีดิทาบอกเสียงเรียบ สายตาเบนไปมองคนที่สมควรได้รับการทำแผล จารวีล่าถอยไปหยิบอุปกรณ์ ไม่นานก็กลับมายื่นให้แก่เจ้านาย “ขอบคุณจ้ะ” หญิงสาวยิ้มขอบคุณ แล้วหันไปสบตากับคนที่นั่งเงียบที่กำลังคล้ายจะอ้าปา
บทที่ 3 ตัวแทน ปรีดิทาถึงกับปากสั่นในความเลือดเย็นของทิวัตถ์ ไม่น่าเชื่อเลยว่าเขาจะเป็นคนเดียวกันกับคนที่เธอตกหลุมรัก จนได้แต่งงานกัน ความหวานปะแล่มๆ ไม่ได้โดดเด่นตามสไตล์คนพูดน้อยอย่างเขาทำให้หัวใจของเธอชุ่มฉ่ำได้ เธอไม่ได้ต้องการการเอาอกเอาใจ ขอแค่เขารักก็เพียงพอ ก่อนดึงตัวเองกลับมามองนงลักษณ์อย่างลำบากใจ ฝ่ายคนที่ไม่เป็นที่ต้อนรับวางหน้าเครียด เพราะไม่อยากปล่อยให้คุณหนูอยู่ที่นี่ตามลำพัง ต่างฝ่ายต่างมองหน้ากัน กระทั่งปรีดิทาเปิดตาขึ้นหลังหลับลงเพื่อตัดสินใจ “ตอนนี้โปรดจำเป็นต้องพึ่งเขาค่ะป้า” นอกจากทิวัตถ์จะเลือดเย็นแล้ว เขายังสอนให้เธอเป็นเช่นนั้นด้วยเช่นกัน ในเวลานี้ทางเลือกของเธอแทบไม่มี การทำให้ลูกปลอดภัยจากห