รถม้าจอดที่มุมทิศเหนือของสถาบันการศึกษาหมินลู่ ส่วนรถม้าจากจวนโหวเซวียนผิงก็ตามมาด้านหลังเพื่อหลีกเลี่ยงการติดขัดในรถม้าฝนตกหนักขึ้นเรื่อยๆ และมีคนมากขึ้นเรื่อยๆ หลี่จิ้งที่ได้รับบาดเจ็บที่เท้า ทำให้นางไม่อาจลงจากรถม้าในเวลานี้ได้ ได้แต่รอให้รถม้าที่ส่งเด็กๆ เข้าเรียนให้น้อยลง นางถึงกล้าลงจากรถได้"ฮูหยินรอง มาส่งเด็กเข้าเรียนหรือ" ซ่งซีซีรู้ว่านางรับเลี้ยงบุตรชายคนหนึ่งไว้ แต่ไม่รู้ว่าเขาอายุเท่าไหร่แล้ว"ใช่ เข้าเรียนวันแรก ข้าเลยมาส่งเขา" เมื่อพูดถึงบุตรชาย รอยยิ้มก็ปรากฏบนใบหน้าของหลี่จิ้ง และนางก็ดูเป็นธรรมชาติมากขึ้น"อายุเท่าไหร่? ชื่ออะไรหรือ?"หลี่จิ้งพูดว่า "เขาอายุเจ็ดขวบ และชื่อจางเว่ยกั๋ว (มีความหมายปกป้องบ้านเมื่องรักประเทศ)"เสิ่นว่านจือยิ้มและพูดว่า "พอได้ยินชื่อนี้ก็รู้ว่าเป็นลูกหลานของแม่ทัพ"สีหน้าของหลี่จิ้งเหม่อลอย และก่อนที่เธอจะกำจัดความขมขื่นในดวงตาได้ นางก็พูดเบาๆ ว่า "ท่านสามีของข้าเคยตั้งชื่อให้เด็ก หากเป็นบุรุษ ให้ตั้งชื่อเกี่ยวกับบ้านเมือง""เป็นอย่างนี้นี่เอง" เสิ่นว่านจือไม่กล้าพูดถึงหัวข้อนี้อีกต่อไป ดวงตาของนางเริ่มแดงมากจนดูเหมือนกำลังจะร้องไห
ซ่งซีซีเรียกเสิ่นว่านจือมา และให้นางช่วยวางหลี่จิ้งไว้บนหลังของนาง จากนั้นรีบอุ้มหลี่จิ้งกลับไปที่รถม้า "รออยู่ที่นี่ ข้าจะช่วยเจ้าหามัน"หลี่จิ้งตัวสั่นไปทั้งตัว ผมของนางเต็มไปด้วยน้ำ ไม่รู้ว่าใบหน้านั้นเป็นน้ำตาหรือว่าน้ำฝนกันแน่ ริมฝีปากก็สั่นเทารุนแรงด้วย "ขอร้อง ขอร้องล่ะ ต้องตามหามันให้เจอ""อย่าลงมา!" ซ่งซีซีสั่งอย่างจริงจัง "ดูแลร่างกายของตนเอง อย่าทำให้วิญญาณของเขาในสวรรค์ไม่สงบ"หลี่จิ้งปิดหน้าและร้องไห้อย่างขมขื่นซ่งซีซีให้คนควบคุมรถม้าเฝ้าดูนางเอาไว้ แล้วกลับไปค้นหาต่อหลังจากผ่านไปครึ่งชั่วยาม รถม้าก็ค่อยๆ กระจายไป แต่ฝนยังคงไม่หยุด และท้องฟ้าก็มืดมนอย่างน่าสะพรึงกลัว คนทั้งหมดสี่คนรวมทั้งคนควบคุมรถม้าจากจวนโหวเซวียนผิงด้วย ค้นหาจนไม่สามารถยืดเอวให้ตรงได้ แต่ก็ไม่พบต่างหูนั้นเมื่อทุกคนกำลังจะยอมแพ้ ซ่งซีซีกลับเห็นแสงแวววาวแวบหนึ่งใกล้ทางเข้าสถาบัน นางรีบวิ่งเข้าไปและพบว่ามันคือต่างหูไข่มุกของนางจริงๆ นางรีบเอื้อมมือออกไปหยิบมันขึ้นมา เพียงแต่ต่างหูได้รับความเสียหายเหลือเพียงไข่มุกเท่านั้น ด้ายทองที่ห้อยต่างหูและทองคำสองใบที่ยึดไข่มุกก็หายไปหมดแล้วนี่ไม่ใช่ที่ที่น
เขาไปซื้อปิ่นปักผมสีแดงทองและใส่ไว้ในกล่อง หลังจากกลับถึงจวนและถามคนใช้ถึงรู้ว่าจ้านเส้าฮวนอยู่ในเรือนของท่านแม่ เขาก็ตรงไปที่เรือนท่านแม่จ้านเส้าฮวนถือกล่องเครื่องประดับอยู่ในนั้น เมื่อเห็นเขาเข้ามา จ้านเส้าฮวนก็ลุกขึ้นยืนทันทีและถามด้วยความระมัดระวัง "คืนนี้พี่ชายรองไม่ได้เข้าเวรเหรอ? ทำไมกลับมาล่ะ?""ให้เจ้า!" จ้านเป่ยว่างยื่นกล่องให้นาง แล้วพูดอย่างใจเย็น "ได้รับเงินอุดหนุนแล้วเลยซื้อปิ่นปักผมให้เจ้า"จ้านเส้าฮวนเต็มไปด้วยความสงสัย "ซื้อปิ่นปักผมให้ข้า ทำไมต้องซื้อปิ่นปักผมให้ข้าด้วย"นางกอดกล่องเครื่องประดับไว้แน่น เมื่อสองวันที่ผ่านมา เอาแต่ให้นางไปคืนชุดเครื่องประดับบนศีรษะอยู่เลย ทำไมจู่ๆ ก็ซื้อปิ่นปักผมให้นางในยามนี้ล่ะ?"ของขวัญแต่งงานของเจ้า และเห็นเจ้าต้องดูแลท่านแม่อย่างเหนื่อยล้าในหลายวันนี้...เฮะ เก็บไว้เถอะ" จ้านเป่ยว่างหันกลับไปมองฮูหยินผู้เฒ่าจ้านที่นอนอยู่บนเตียง "ท่านแม่ วันนี้ท่านรู้สึกเป็นอย่างไรบ้าง??"ฮูหยินผู้เฒ่าจ้านก็รู้สึกประหลาดใจเล็กน้อยกับพฤติกรรมของบุตรชาย หลังจากได้ยินคำถามของเขา นางจึงพูดว่า "น้องสาวของเจ้าดูแลข้าแบบนี้ต้องเหนื่อยจริงๆ วันนี้รู้
เมื่อจ้านเป่ยว่างกลับมาถึงจวนนั้น สาวใช้ก็ลากพวกนางออกไปสักที แต่ทั้งสองอยู่ในสภาพยุ่งเหยิงไม่น่ามอง ผมยุ่งเหยิง เสื้อผ้าขาดวิ่น และใบหน้ายังเต็มไปด้วยรอยเล็บมือและรอยตบ ราวกับป้าปากร้ายที่ทะเลาะกันในตลาดไม่มีผิดเลยฮูหยินผู้เฒ่านั่งบนเก้าอี้อย่างหายใจหอบ และจ้องเขม็งมองที่หวังชิงหลูอย่างดุเดือด "นางจะออกเรือนในเร็วๆ นี้ เจ้าไปทำร้ายใบหน้านางแล้วให้นางไปพบคนนอกได้อย่างไร"หวังชิงหลูนั่งอยู่บนพื้นและร้องไห้เสียงดัง รู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจอย่างยิ่งจ้านเป่ยว่างเดินเข้าไปช่วยพยุงหวังชิงหลูให้ลุกขึ้น จากนั้นหยิบตัวเงินกองหนึ่งออกมาให้นาง "ชุดเครื่องประดับทับทิมบนศีรษะคืนแล้ว ตัวเงินนี้เจ้าเก็บไว้""เจ้ารอง เจ้าบ้าแล้วใช่ไหม" ฮูหยินผู้เฒ่าจ้านลุกขึ้นยืนด้วยความกราดเกรี้ยว "เอาเครื่องประดับที่ซื้อมาแล้วไปคืน จวนแม่ทัพของเรายังมีหน้าเหลืออยู่หรือเปล่า?""เจ้านำมันกลับมาให้ข้า ไม่คืน ข้าไม่คืน" จ้านเส้าฮวนที่เพิ่งนั่งพักไปแป๊บหนึ่งก็พุ่งเข้ามา และทุบตีหน้าอกของเขา มีสภาพเสียท่ามากจ้านเป่ยว่างปล่อยให้นางทุบตี โดยไม่ขยับตัวด้วยสีหน้าเย็นชา เขาเบื่อหน่ายกับการใช้ชีวิตแบบนี้ เบื่อมากน่ารำคาญมา
ดวงตาของจ้านเป่ยว่างเยือกเย็นราวกับน้ำแข็ง และเขาพูดอย่างเงียบๆ "ข้าอยากจะให้เจ้าบอกกับข้าจริงๆ ว่าเจ้าไม่ได้ทำสิ่งเหล่านั้นในเมืองลู่เปินเอ่อร์เลย"ยี่ฝางเยาะเย้ย "เจ้าไม่ชอบข้าเพราะเหตุการณ์เมืองลู่เปินเอ่อร์ หรือ ไม่หรอก เจ้ารังเกียจที่ข้าถูกจับบนภูเขาซีม่อน เจ้ารังเกียจที่ข้าเสียโฉม เจ้าคิดว่าข้าไม่บริสุทธิ์ แต่ข้าบอกเจ้าได้ ข้าบริสุทธิ์มาก"จ้านเป่ยว่างส่ายหัว "ไม่ เรื่องเหตุการณ์ที่ภูเขาซีม่อน ข้ารู้แต่เห็นใจเจ้า ไม่งั้นข้าจะไม่รับโทษแทนเจ้าหรอก สิ่งที่ข้ารับไม่ได้คือการกระทำทั้งหมดที่เจ้าทำในเมืองลู่เปินเอ่อร์""หยุดโกหกตัวเองได้แล้ว ได้ไหม?" ยี่ฝางยังคงเยาะเย้ย "เจ้าคิดว่าข้าผิดจริงๆ เหรอกับสิ่งที่ข้าทำในเมืองลู่เปินเอ่อร์?""เจ้าไม่คิดว่าเจ้าทำผิดหรือ" จ้านเป่ยว่างสูดลมหายใจ "จนกระทั่งถึงบัดนี้แล้ว เจ้ายังคิดว่าตนเองไม่ผิดหรือ?"ยี่ฝางไม่ได้สวมผ้าคลุมหน้า และแสงไฟส่องหน้าของนางทั้งหมด ดวงตาของนางลุกโชนด้วยความทะเยอทะยาน "จ้านเป่ยว่าง ไม่ใช่เจ้าคนเดียวที่ต้องการสร้างผลงาน ข้าก็อยากมีด้วย ข้าเป็นแม่ทัพหญิงอันดับแรกของประเทศ ต่อให้ซ่งซีซีจะสร้างผลงานในเขตหนานเจียงมากแค่ไหนก็
จ้านเป่ยว่างกล่าวว่า "แม้แต่จะเป็นชาวซีจิงก็ยังเป็นพลเรือน เรามีข้อตกลงที่จะไม่ทำร้ายพลเรือน นี่เป็นคำสัญญาที่ผู้นำให้กับประชาชน เป็นผลดีต่อประชาชนของทั้งสองประเทศ แต่เจ้าไปสังหารหมู่ ไม่เคยคิดเหรอว่าประชาชนชายแดนเฉิงหลิงของเราก็อาจถูกสังหารหมู่ด้วย?"ยี่ฝางสบถขึ้นมาเบา ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยการเยาะเย้ย "ในฐานะแม่ทัพ เจ้ากลับถามคำถามเช่นนี้ออกมา จ้านเป่ยว่าง จริงๆ แล้วเจ้าไม่เหมาะกับสนามรบ เจ้าเป็นคนจิตใจอ่อนโยนและไม่มีความสามารถในการดำเนินการ ถ้าไม่ใช่ข้าทำเช่นนั้นในวันนั้น เจ้าจะสร้างผลงานได้ยังไง แม้แต่ต่อหน้าผู้บัญชาเซียวที่เจ้าขอร้องนำกองทัพไปเผายุ้งฉางเมืองลู่เปินเอ่อร์ ก็เป็นเพราะข้าพยายามอย่างหนักเพื่อโน้มน้าวเขา ไม่เช่นนั้นเจ้าจะไม่ได้ทำผลงานแม้แต่การเผายุ้งฉางด้วยซ้ำ""เหตุผลที่เจ้าสร้างผลงานได้ เป็นเพราะข้าสร้างผลงาน ข้าทำสนธิสัญญาสันติภาพ ในฐานะแม่ทัพกำลังเสริม เจ้ารับผลงานของข้าไป ตอนนี้กลับมาโทษข้าที่สร้างผลงาน เจ้าไม่คิดว่าตนเองชั่วร้ายไปหน่อยหรือ"การเยาะเย้ยและดูถูกในน้ำเสียงของนาง เทียบเท่ากับการโยนความภาคภูมิใจในตนเองของจ้านเป่ยว่างลงพื้นและเหยียบย่ำมันไม่เป็นท่า
จ้านเป่ยว่างยกม่านขึ้น และออกไปกับยี่ฝางทีละคน เสียงฝีเท้าของพวกเขาเบามากจนแทบไม่ได้ยิน และไม่มีการเคลื่อนไหวใดๆ จากภายนอกพอรออยู่สักพักเขาก็เปิดประตูแล้วรีบซ่อนตัวอยู่หลังประตู หลังจากแน่ใจว่าไม่มีการเคลื่อนไหวใดๆ เขาก็โผล่หัวออกมาดูเพียงมองแวบเดียว เลือดของเขาก็แข็งตัวโคมไฟลมที่ด้านหน้าทางเดินส่องสว่างขึ้นบนขั้นบันได มีศพสามศพตกอยู่บนบันได พวกนางเป็นสาวใช้ข้างกายยี่ฝาง และถูกดาบปิดคอตาย ไม่ทันส่งเสียงร้องด้วยซ้ำเลือดไหลลงมาตามขั้นบันไดหิน ทำให้บันไดหินเปื้อนไปด้วยสีแดงสดทันใดนั้นจ้านเป่ยว่างก็นึกถึงคดีสังหารหมู่ของตระกูลซ่ง และตะโกนว่า "ท่านพ่อท่านแม่..."ขณะที่เขากำลังจะกระโดดออกไป แต่ถูกยี่ฝางรั้งไว้ใบหน้าของยี่ฝางซีดและริมฝีปากของเขาสั่นเล็กน้อย "เกรงว่า เกรงว่าเป้าหมายคือข้า"จ้านเป่ยว่างเข้าใจทันทีว่าเป็นไปได้ที่สายลับของเมืองซีจิงกำลังหาทางแก้แค้น เมื่อกี้นางยังบอกว่าตนเองไม่ผิด ทันใดนั้นจ้านเป่ยว่างมีสติขึ้นมาอีกครั้ง คำแก้ต่างเหล่านั้นล้วนเสแสร้งไปเมื่อกี่ยี่ฝางแก้ตัวอย่างมั่นอกมั่นใจมากแค่ไหน บัดนี้ก็กลัวมากแค่นั้นเงาสีดำตกลงไปอย่างเงียบๆ ในลานบ้าน พวกเขาแต
หวังชิงหลูยังไม่ทันจะตั้งตัวก็เห็นชายชุดดำบุกรุกเข้ามาด้วยดาบ ดาบนั้นมีเลือดหยดลงมา และเห็นได้ชัดว่ากำลังฆ่าคนมาตลอดทางนางกรีดร้อง จากนั้นหันกลับและกระแทกประตู "ยี่ฝาง เปิดประตู เปิดประตูสิ!"เยว่เอ๋อร์และจินเอ๋อร์ปกป้องหวังชิงหลู ร่างกายของพวกนางสั่นเทาเหมือนแกลบ "อย่า…"ชายในชุดดำรูดดาบไปที่คอของพวกนาง รู้สึกแต่ว่ามีความเย็นที่คอ จากนั้นเลือดก็กระเซ็นออกไปและไหลทุกที่ดาบฟันคอของนาง และยังไม่ทันส่งเสียงอย่างใดก็ล้มลงกับพื้นหวังชิงหลูขวัญหนีจนล้มลงกับพื้น เอามือปิดหู ร้องไห้พลางตะโกนว่า "ช่วยด้วย ช่วยด้วย"ชายชุดดำฟันดาบออกไปทางหวังชิงหลูแล้ว จ้านเป่ยว่างกระโดดขึ้นในอากาศและเตะชายคนนั้นออกไป จากนั้นยืนอยู่ข้างหวังชิงหลูพร้อมถือดาบในมือทันที"เข้าไปซ่อนตัวไว้!" จ้านเป่ยว่างผลักหวังชิงหลู ก่อนราวกับว่าเขากำลังเผชิญหน้ากับศัตรูที่น่าเกรงขามหวังชิงหลูร้องไห้และพูดว่า "ยี่ฝางปิดประตูแล้ว"จ้านเป่ยว่างเตะประตู แต่มันไม่สามารถเตะออกไปได้เลย เขาต่อสู้พลางตะโกนว่า "ยี่ฝาง เปิดประตู!"ยี่ฝางถือดาบด้วยท่าทางบูดบึ้งอยู่ข้างใน มือของนางสั่นเล็กน้อย เพิกเฉยต่อคำพูดของเขาและไม่มีวี่แววจ
สนมฮุ่ยไทเฟยย่อมมีฐานะมั่นคงเช่นนี้ หลายปีมานี้ไม่ค่อยมีค่าใช้จ่าย รายรับกลับมากไม่น้อยเบี้ยหวัดจากในวัง ของกำนัลจากทุกบ้าน อีกทั้งบรรดาลูกหลานที่โตแล้วต่างก็สามารถตัดสินใจเองได้ บรรดาผู้ที่กตัญญูต่อท่านมีไม่น้อย โดยเฉพาะเสิ่นว่านจื่อ ยิ่งกตัญญูไม่ยั้งมือสำหรับหลานสาวคนเดียวนี้ ท่านไม่มีสิ่งใดที่เสียดายเลย คำพูดที่มักติดปากคือ เมื่อท่านสิ้นไป สมบัติทั้งปวงย่อมตกเป็นของหลานสาวบัดนี้เมื่อแม่ลูกสองคนไปถึงที่อยู่ของท่าน ท่านก็อดไม่ได้ที่จะเอ่ยถึงเรื่องที่เซี่ยเจิงจะไปภูเขาเหม่ยชานฝึกวรยุทธ์อีกครา"ไม่ใช่ว่าข้าไม่เห็นดีเห็นงาม เพียงแต่การไปนานถึงเพียงนั้น ปีหนึ่งกลับมาได้ไม่กี่ครั้ง อนาคตยังบอกว่าจะออกไปผจญภัยอีก เด็กหญิงน้อยๆ เช่นนี้ จะไปฝ่าโลกภายนอกได้อย่างไร? ข้าขัดท่านพ่อของเจ้าไม่ไหว เขาเป็นคนไม่เข้าใจโลก พูดอะไรก็ไม่เคยพูดให้เข้าใจได้ ข้าก็ไม่มีทาง""ท่านยาย หลานไม่ใช่เด็กสาวบอบบางหรอกเจ้าค่ะ ท่านลองดูหมัดของหลานเถิด" เซี่ยเจิงชูหมัดขึ้น โบกไปมาอยู่ตรงหน้าสนมฮุ่ยไทเฟย กล่าวอย่างภาคภูมิว่า "หมัดนี้ของหลาน แม้แต่หมูป่ายังต้องสลบเหมือด"สนมฮุ่ยไทเฟยทอดถอนใจ "บุตรีบ้านอื่น มือเอา
สองสามีภรรยาเอ่ยถึงเรื่องราวในอดีต ยิ่งพูดยิ่งรู้สึกอบอุ่นในใจ โดยเฉพาะซ่งซีซี ที่แต่เดิมรู้สึกว่าการแต่งงานครั้งนั้นเป็นการถูกบังคับ แต่ใครจะคาดคิดว่าจะได้พบกับความสุขเช่นวันนี้ช่างเป็นเรื่องที่ยากจะคาดเดานักทันใดนั้นก็มีคนวิ่งพรวดพราดเข้ามาทางประตู ยังไม่ทันเห็นหน้าชัด ก็โผเข้ากอดเซี่ยหลูโม่แล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงเปี่ยมไปด้วยความตื่นเต้นยินดี "ท่านพ่อ ของขวัญพิธีปักปิ่นที่ท่านมอบให้ข้านั้น ข้าชอบมากนัก ขอบคุณท่านพ่อ ข้ารักท่านพ่อที่สุดเลยเจ้าค่ะ"เซี่ยหลูโม่กล่าวว่า "ยังคงซุกซนเช่นเดิมหรือ? โตเป็นสาวแล้ว ต้องสุขุมให้มากหน่อย"แม้ว่าจะเอ่ยเช่นนั้น ทว่าดวงตากลับเปี่ยมด้วยความเอ็นดู มือช่วยจัดปิ่นที่นางสวมในพิธีปักปิ่นให้เรียบร้อย แล้วเอ่ยต่อว่า "เครื่องประดับหัวทับทิมแดงนั่นเจ้าไม่ชอบหรือ? ท่านแม่ของเจ้าตั้งใจเลือกให้นัก""ชอบเจ้าค่ะ ชอบทุกอย่างเลย" เซี่ยเจิงยิ้มจนตาหยี รักทุกสิ่งที่พ่อแม่มอบให้เซี่ยหลูโม่มองรอยยิ้มของบุตรสาวแล้วพลันรู้สึกเคลิ้มใจบุตรสาวยิ่งโต ยิ่งเหมือนซ่งซีซี ในวันแรกที่พบซ่งซีซีที่ภูเขาเหม่ยชาน นางก็ยิ้มเช่นนี้แต่หลังจากนั้น นางก็แทบไม่เคยยิ้มแบบนี้อีก ต่อ
สายหมอกเย็นยะเยือกปกคลุมยอด ดอกเหมยเบ่งบานหลายคราเซี่ยเจิงมีพรสวรรค์ทางวรยุทธ์สูงส่งนัก เรื่องนี้เรียกได้ว่าเก็บข้อดีของเซี่ยหลูโม่และซ่งซีซีมาไว้ทั้งหมดเหรินหยางอวิ๋นสามารถกล่าวได้อย่างภาคภูมิใจว่า เซี่ยเจิงคือลูกศิษย์ที่มีพรสวรรค์สูงสุดในบรรดาศิษย์ทั้งหลายของภูเขาเหม่ยชานอูโซเว่ยเองก็ไม่อาจปฏิเสธเรื่องนี้ได้ เมื่อนางถูกเซี่ยเจิงถามว่าใครเก่งกว่ากัน ระหว่างนางกับท่านพ่อ อูโซเว่ยได้แต่ตอบอย่างเลี่ยงๆ ว่า "พอๆ กัน ต่างก็มีข้อดี"วรยุทธ์ของเซี่ยเจิงที่ฝึกฝนมาจนถึงวันนี้ หาได้มาจากเพียงหมื่นสำนักเท่านั้นนางได้ร่ำเรียนจากทุกฝ่ายในภูเขาเหม่ยชานเมื่อนางมาถึงภูเขาเหม่ยชาน ยังเป็นเด็กหญิงตัวน้อย ผิวขาวเนียนราวหยก รอยยิ้มหวานละมุน ผู้ใดเห็นก็ต้องเอ็นดูนางช่างพูด ช่างคุ้นเคยเร็ว อีกทั้งปากหวานนัก หลอกล่อให้บรรดาหัวหน้าสำนักต่างถ่ายทอดวิชาให้หมดเปลือกเดิมทีนางมีนิสัยซุกซน แต่ด้วยการมุ่งมั่นฝึกวรยุทธ์ และฝึกฝนวิชาเนื้อใน จิตใจก็สงบนิ่งขึ้นมากครั้นถึงปีที่สิบห้า นางได้เข้าพิธีเก็บปิ่นพิธีเก็บปิ่นจัดขึ้นอย่างยิ่งใหญ่ ของขวัญย่อมหลั่งไหลมาดังสายน้ำ ส่งเข้ามาไม่ขาดสายซ่งซีซีได้มอบ
แสงแดดสาดลงบนกิ่งไม้ ใต้พุ่มใบหนาแน่น เผยให้เห็นขาเล็กๆ คู่หนึ่งแกว่งไปมา ดูแล้วชวนให้รู้สึกสบายใจนักนางมีนามเดิมว่าเซี่ยเจิง ชื่อนี้จารึกอยู่ในหยกพงศ์ต่อมาถูกเปลี่ยนเป็นชื่อเล่นว่าจิ้งเหยียนว่ากันว่าเพราะมารดาของนางรังเกียจที่นางพูดมาก จึงตั้งชื่อนี้เพื่อกดทับให้นางสงบลงเซี่ยเจิงเองเห็นว่าตั้งชื่อนี้ก็เปล่าประโยชน์ อีกทั้งฟังดูไม่น่าฟัง จิ้งเหยียนก็คือการเงียบงัน เช่นนั้นแล้วนางมีปากไว้ทำไม หากไม่ได้พูด เอาแต่กินหรือ?เช่นนั้นไม่ต้องกินจนอ้วนกลมไปหรอกหรือ?“ท่านหญิงของข้า ท่านอยู่ที่นี่เอง หาเสียจนข้าเหนื่อย” เป่าจูเงยหน้าขึ้นจากใต้ต้นไม้ ทั้งโกรธทั้งขบขัน “รีบลงมาเถิด ท่านอ๋องกับพระชายากำลังตามหาท่านอยู่”“ท่านอาเป่าจู พวกเขาเรียกหาข้าด้วยเรื่องอันใดกัน?” เสียงใสๆ ดังลงมาจากบนต้นไม้ แฝงด้วยความสบายใจและอิ่มหนำ“พระชายาจะไปภูเขาเหม่ยชาน บอกว่าจะพาท่านไปด้วย ท่านอยากไปหรือไม่?” เป่าจูเอ่ยเซี่ยเจิงได้ยินดังนั้น ก็รีบลื่นไถลลงจากลำต้นไม้ สองข้างไหล่มีเจ้าสุนัขจิ้งจอกสีขาวสองตัวเกาะอยู่ นางยิ้มดีใจกล่าวว่า “จริงหรือ? เช่นนั้นรีบไปเถิด”สองสุนัขจิ้งจอกนั้น ตัวหนึ่งชื่อเซวียนเช
เพียงแต่ ข้าก็รู้ดีว่าในใจของซ่งซีซีไม่ได้มีเสด็จน้อง นางเลือกแต่งกับเสด็จน้อง ก็เพียงเพราะไม่อยากเข้าวังถวายงานแม้นไม่ใช่สามีภรรยาที่จิตใจเป็นหนึ่งเดียว เช่นนั้นข้าจึงแต่งตั้งซ่งซีซีเป็นแม่ทัพใหญ่กองทัพซวนเจีย ให้รับผิดชอบดูแลกองทัพซวนเจียแทนในสายตาของผู้อื่น กองทัพซวนเจียยังคงอยู่ในมือของสามีภรรยาคู่นี้ ข้าไม่ได้ตัดอำนาจของเสด็จน้องเพิ่มเติมเมื่อมองในขณะนั้นแล้ว นับเป็นความคิดที่แยบยลอย่างยิ่งแต่ข้ากลับไม่คาดคิดว่าสามีภรรยาจะไม่ใช่คู่ที่ใจไม่ตรงกันเสมอไป เมื่อนานวันเข้าย่อมเกิดความรักใคร่ อีกทั้งผลประโยชน์ก็เป็นหนึ่งเดียวกันข้าไม่รู้เลย เพราะข้ากับฮองเฮาแต่ไหนแต่ไรมาก็ไม่ได้ใจตรงกัน ข้าเองก็ไม่เคยไตร่ตรองเรื่องของสามีภรรยาแต่โชคดีที่ แม้ว่าพวกเขาสองสามีภรรยาจะรักใคร่กันภายหลัง แต่ก็ไม่เคยเกิดความทะเยอทะยานที่คิดจะชิงอำนาจเป็นข้าที่ระแวงเกินไปเดิมที ข้าเห็นว่าซ่งซีซีแม้จะมีวรยุทธ์สูงส่ง แต่การบัญชาการกองทัพซวนเจียย่อมลำบาก อีกทั้งมีผู้ไม่ยอมรับนางมากมาย ข้าคิดว่านางอาจถอดใจในสามหรือห้าเดือน เช่นนั้นข้าก็จะหาคนใหม่มาแทนที่แต่ไม่คาดเลยว่า เหล่าทหารหัวแข็งในกองทัพซวนเจี
แต่!แต่คนหนึ่งจะมีจิตใจที่มั่นคงและกล้าหาญได้อย่างไรเล่า?ใครจะคิดว่าในวันนั้นซ่งซีซีไม่ได้รับความไว้วางใจจากข้า แต่กลับขี่ม้าไปยังหนานเจียงเพื่อแจ้งข่าวให้เสด็จน้องทราบนี่เป็นเรื่องใหญ่ที่น่าตกใจและน่าทึ่งจริงๆ!หญิงที่หย่าร้างออกจากบ้าน ไม่มีผู้ติดตามหรือองครักษ์ กล้าบุกเข้าไปในค่ายทหารหนานเจียง ความกล้าหาญและความเด็ดเดี่ยวเช่นนี้ในราชสำนักนี้ไม่มีใครทำได้หลายคนเสด็จน้องและข้าก็ต่างกัน เขาเชื่อในตัวซ่งซีซี และเตรียมทัพก่อนเวลา เพื่อรับมือกับกองทัพพันธมิตรแคว้นซาและซีจิงสนามรบจะอันตรายแค่ไหน ข้ารู้ดีไม่ต้องเล่ารายละเอียดเมื่อข่าวดีในการยึดหนานเจียงมาถึง น้ำตาไหลนองหน้าข้าหลังจากนั้นเสด็จน้องส่งคำกราบทูลเพื่อยกย่องทหารซ่งซีซีและพรรคพวกของนางแน่นอนว่าเป็นผู้มีคุณูปการใหญ่ ข้าจะให้รางวัลแก่พวกเขาแต่จ้านเป่ยว่างและยี่ฝางกลับทำให้ข้าผิดหวัง ข้าจึงต้องคิดอย่างลึกซึ้งถึงเหตุผลที่คนจากซีจิงทำลายข้อตกลงในสนามรบหนานเจียงข้าก็ไม่ใช่คนที่เริ่มคิดเรื่องนี้ในเวลานี้ แต่การแบ่งเขตแดนของเส้นแนวกั้นหลิ่งหลิงก็เป็นหนึ่งในผลงานการบริหารของข้า ข้าจึงพอใจในใจคนเรามักจะโลภ แต่ก็ต้องรู
เมื่อครั้งที่ข้าขึ้นครองราชย์ การศึกชิงคืนหนานเจียงก็ดำเนินมาแล้วหลายปี ชายแดนเฉิงหลิงก็ยังไม่สงบ ส่งผลให้ท้องพระคลังร่อยหรอ ราษฎรพลัดถิ่นไร้ที่อยู่อาศัยยามที่ข้าสวมอาภรณ์มังกร ประทับเหนือบัลลังก์มังกร ก็ลั่นวาจาในใจว่า ถึงจะไม่อาจเปรียบได้กับสมเด็จพระบรมราชบุพการีผู้ทรงพระปรีชาสามารถ แต่ข้าก็จะไม่เป็นจักรพรรดิที่โง่เขลาไร้ความสามารถ ข้าจะต้องชิงคืนหนานเจียง ทำให้แคว้นซางรุ่งเรือง ราษฎรมีความสุขต่อมาข้าจึงได้รู้ว่า มนุษย์นั้นมีเพียงในยามโง่เขลาหรือมีสติปัญญาเป็นเลิศเท่านั้น ถึงกล้าตั้งปณิธานยิ่งใหญ่เช่นนี้ได้หนานเจียงพ่ายแพ้ ตระกูลซ่งทั้งเจ็ดพี่น้องล้วนพลีชีพในสนามรบแรกเริ่ม เสด็จพ่อและข้าก็ยังมีความหวังลมๆ แล้งๆ คิดว่าแม่ทัพใหญ่ซ่งมีประสบการณ์ในสนามรบมาก อีกทั้งทหารที่เขานำก็กล้าหาญเชี่ยวชาญเสียดายที่เสบียงล่าช้า ทหารต้องสู้รบทั้งที่ท้องว่าง แม้จะทุ่มสุดกำลัง ก็ยังสู้ฝ่ายศัตรูไม่ได้ยิ่งเมื่อเคยยึดหนานเจียงกลับมาได้แล้ว แต่ต้องเสียคืนไป ผู้คนก็ยิ่งเชื่อว่าแม่ทัพใหญ่ซ่งยังมีหวังจะตีคืนได้ด้วยเหตุผลหลายประการและความลังเลมากมาย ทำให้ข้าไม่อาจส่งกองทัพเป่ยหมิงของเสด็จน้องไปได
ข้าเคยอ่านบันทึกการชันสูตรศพโดยมือชันสูตรแล้ว คำให้การของเขานั้นตรงกับบันทึกแทบทุกประการรายละเอียดอื่นๆ ของคดีก็เช่นกัน ข้าซักถามทีละข้อ เมื่อมั่นใจว่าตรงกันหมดแล้ว จึงส่งตัวเขาไปยังสำนักเขตจิงจ้าว และให้ท่านกงไต้เหรินส่งคนไปค้นหาอาวุธสังหารข้านึกว่าเมื่อจับคนร้ายได้ คดีนี้ก็ถือว่าเสร็จสิ้น ไม่นับว่าสิ่งที่ข้าอดทนลอบเฝ้าอยู่หลายวันนั้นสูญเปล่าใครจะรู้ว่า พอไปถึงสำนักเขตจิงจ้าว หลิวเซิ่งกลับกลับคำให้การ บอกว่าถูกข้าบีบบังคับจนต้องรับสารภาพ คำสารภาพที่ข้าให้เขาเอ่ยออกมา ล้วนเป็นสิ่งที่ข้าบังคับให้เขาพูดทีละคำเขาร้องขอความเป็นธรรม ยืนกรานว่าตนเองบริสุทธิ์กลับกัน เขายังกล่าวหาข้าว่าเป็นโจรหญิง ขอให้สำนักเขตจิงจ้าวจับข้าและข่าวร้ายก็มาอีก ระบุจุดที่เขาบอกว่าโยนอาวุธสังหารไป สำนักเขตจิงจ้าวส่งคนหลายสิบลงงมหา กลับไม่พบเสื้อผ้าหรือมีดเลยแม้แต่น้อยสำนักเขตจิงจ้าวสอบสวนอยู่หลายวัน เพราะเขามีบาดแผล จึงไม่ได้ใช้การทรมาน เขายังคงร้องขอความเป็นธรรม ตะโกนเสียงแหบพร่า ว่าตนบริสุทธิ์ไร้ซึ่งหลักฐาน อีกทั้งยังถูกข้อกล่าวหาว่าข้าบีบบังคับคำสารภาพ จึงจำต้องปล่อยตัวเขาไปก็ในตอนนั้นเอง ข้าจ
ผู้ใต้บัญชาทำงานรวดเร็วยิ่งนัก ตอนที่เขาลืมตาตื่น เครื่องทรมานก็ถูกขนเข้ามาเรียบร้อยแล้วเตาถ่านถูกตั้งขึ้น คีมเหล็กถูกเผาจนแดง แส้ที่เปื้อนเลือดฟาดกลางอากาศสองสามครั้ง เพี้ยะ เพี้ยะ ดังสะท้านใจหลิวเซิ่งถึงอย่างไรก็เคยฆ่าคนมาก่อน ใจคอจึงหนักแน่นแม้ยามเผชิญกับสถานการณ์เช่นนี้ มิแม้แต่กระพริบตา กล่าวว่า “พวกเจ้าตั้งศาลเถื่อนเช่นนี้ ถือเป็นความผิดใหญ่หลวง พวกเจ้ายังมีขื่อมีแปหรือไม่?”คนบางประเภทก็มักเป็นเช่นนี้ คิดว่ากฎหมายใช้บังคับกับใครก็ได้ ยกเว้นตนเองตนกระทำผิด แต่กลับคิดใช้กฎหมายปกป้องตนกับคนประเภทนี้ ไม่จำเป็นต้องโต้แย้ง การโต้แย้งมีแต่จะยิ่งเปิดช่องให้เขาพูดจาไร้สาระมากขึ้นข้าหยิบคีมเหล็กที่ถูกเผาจนแดงก่ำหนีบเข้าที่แขนเขาทันที พอกดแน่นลงไป เสื้อก็ละลายจนเป็นรู เสียงเนื้อถูกไหม้ดัง ซี่ๆๆ…เสียงกรีดร้องโหยหวนดังลั่นไม่เป็นไร ที่นี่เป็นห้องใต้ดินลับ ต่อให้ร้องจนเสียงขาดหาย ก็ไม่มีผู้ใดได้ยินแม้กระดูกจะแข็งเพียงใด แต่เมื่ออยู่ต่อหน้าเครื่องทรมาน ก็ไร้ซึ่งพลังต่อต้านข้ายังมิทันได้เริ่มถอนเล็บ เขาก็สารภาพทุกสิ่งอย่างละเอียดทั้งสองครอบครัวสนิทกันจริง พ่อแม่ทั้งสองฝ่ายร