หลังจากที่ซ่งซีซีจากไป โหวผิงหยางก็ค่อยๆ กลับมามีสติอีกครั้งหลังจากมึนงงมาเป็นเวลานาน ดวงตาของเขาแดงก่ำ เขาคว้าคอเสื้อของเจียอี้ ยกมือขึ้นแล้วตบหน้านางอย่างแรงเจียอี้ตะโกนอย่างบ้าคลั่ง "เจ้ากล้าตีข้าเหรอ เจ้ากล้าตียังไง ไอ้ขี้ขลาด!"โหวผิงหยางทำหน้าน่ากลัว เป็นครั้งแราที่เขาจะวางอำนาจผู้เป็นสามี "ข้าไม่เพียงต้องการตบหน้าเจ้าเท่านั้น ข้าจะหย่ากับเจ้าด้วย""หย่าเหรอ?" เจียอี้หยุดชะงักครู่หนึ่ง ใบหน้าของนางมืดมนอย่างน่ากลัว "พูดอีกครั้งสิ""ผู้หญิงที่เลวทรามอย่างเจ้า ข้าไม่ขับไล่เจ้าออก แล้วยังเก็บไว้ให้เจ้ามาทำร้ายคนของจวนโหวผิงหยางของข้าหรือไง"กาน้ำชากระแทกหัวของโหวผิงหยางอย่างแรง และได้ยินแต่เสียงดังก้อง จากนั้นเครื่องปั้นดินเผานั้นก็แตกลงกับพื้นโหวผิงหยางโซเซไปสองก้าวและมองเจียอี้ที่มีท่าทางบ้าคลั่งอย่างไม่อยากเชื่อ ทันใดนั้นเขาก็รู้สึกว่าโกลกำลังหมุม และเลือดไหลออกมาจากหัว"ท่านโหว!" เมื่อเห็นเช่นนี้ คนรับใช้ก็รีบวิ่งเข้าไปช่วยพยุงโหวผิงหยางพลางตะโกนเสียงดัง "คนใช้ ตามหาหมอประจำจวนเร็วเข้า!""หย่ากับข้าหรือ ขับไล่ข้าออกงั้นเหรอ งั้นข้าก็จะสู้กับเจ้า" ท่านหญิงเจียอี้มองชายท
ทั้งสองเข้าไปในวังด้วยรถม้า ตั้งแต่เกิดคดีกบฏ ทั้งสองคนก็ยุ่งมาก พอกลับจวนไม่ได้พูดคุยอะไรก็เผลอหลับไปเลยบนรถม้า เซี่ยหลูโม่กอดซ่งซีซีไว้ในอ้อมแขนของเขาแล้วพูดว่า "ข้าต้องบอกอะไรบางอย่างกับเจ้าล่วงหน้าก่อน เผื่อเจ้าจะผิดหวัง""ข้ารู้ว่าท่านกำลังจะพูดอะไรฮ่องเต้จะไม่ประหารชีวิตเซี่ยอวี้น ใช่ไหม?" ซ่งซีซีโน้มตัวพิงหน้าอกกว้างของเขา เปลือกตาของนางเริ่มปิดลง นางไม่รู้สึกเหนื่อยจากการต่อสู้ที่ใช้กำลัง แต่การยุ่งกับงานต่างๆ พวกนี้ ต้องไปสอบสวนกับทุกตระกูล ยังต้องเฟังคำประชดประชนด้วย พอเจอกับคนที่หยิ่ง มันเหนื่อยทั้งกายและใจเลยเซี่ยหลูโม่วิเคราะห์ "ข้าเคยพูดถึงอ๋องเยี่ยน แต่เขาไม่ได้ให้เจ้าไปตรวจสอบอ๋องเยี่ยน ด้วยความสงสัยของเขาจะไม่สอบสวนอ๋องเยี่ยนได้อย่างไร ข้าเดาว่าต้องส่งคนอื่นไปสอบสวนแล้ว กลุ่มคนนั้น ข้าเดาว่าก็คือองครักษ์รักษาพระองค์และองครักษ์ลับ คนเหล่านี้ไม่ได้อยู่ภายใต้การบริหารของเจ้า แม้ว่าองครักษ์รักษาพระองค์บอกว่าให้เจ้าบริหารแต่มันก็ปค่ในนาม ก่อนที่ทุกอย่างจะชัดเจน เขาไม่มีื่งประหารชีวิตเซี่ยอวี้น อีกอย่างต้องการให้เซี่ยอวี้นมีชีวิตอยู่ เพื่อให้อ๋องเยี่ยนจะนั่งไม่ติดที่ตลอ
จักรพรรดิ์ซูชิงถามซ่งซีซีอีกครั้งว่า "ได้สอบสวนอะไรมาบ้างจากตระกูลขุนนางที่มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับจวนองค์หญิง"ซ่งซีซีกล่าวตามความจริง "ทูลฝ่าบาท ยังสอบสวนไม่เสร็จเพค่ะ จนถึงบัดนี้แค่พบว่าที่จวนโหวซิงหนิงมีบุตรีอนุของฝู้หม่ากู้ หลังจากสอบสวนก็พบว่าบุตรีอนุคนนี้ไม่ได้ทำภารกิจใดๆ เพราะหลังจากที่นางแต่เข้าจวนโหวซิงหนิงในวันที่สอง มารดาผู้ให้กำเนิดของนางก็เสียชีวิต เซี่ยอวี้นจึงไม่สามารถควบคุมนางได้ อีกอย่างนางได้รับความโปรดปรานอย่างลึกซึ้งจากซื่อจื่อของโหวซิงหนิง นางเลยได้พ้นจากจวนองค์หญิงใหญ่"แสงอันคมชัดฉายแวววาวในดวงตาจักรพรรดิ์ซูชิง "มีใครในจวนโหวซิงหนิงโหวรู้ตัวตนของนางบ้างไหม?""ทูลฝ่าบาท ทุกคนในจวนโหวซิงหนิงบอกว่าไม่รู้ ยังถามคนรับใช้ในคจวนด้วยและบอกว่าหลังจากอนุคนนี้แต่งเข้าไปก็แทบไม่เคยออกไปข้างนอกเลย"จักรพรรดิ์ซูชิงพูดว่า "แล้วอนุกู้ยังอยู่ในจวนโหวไหม?""นางให้กำเนิดบุตรชายคนหนึ่งและบุตรสาวคนหนึ่งหลังจากแต่งงาน ยังไม่ได้หย่า แต่ถูกส่งไปที่สำนักแม่ชีเพื่อหาคนมาดูแลนาง"จักรพรรดิ์ซูชิงกล่าวว่า "จวนโหวซิงหนิงไม่ควรใจง่าย ส่งคนไปจับตาดูพวกเขาและตรวจสอบว่าพวกเขาเคยติดต่อกับผู
เซี่ยหลูโม่เห็นด้วยกับการกระทำของนาง จะว่าไป ล้วนเป็นผู้บริสุทธิ์ที่ดึงไปเกี่ยวข้องด้วยนับตั้งแต่วันที่พวกนางเกิดมา ก็ถูกกำหนดว่าจะโดนหลอกใช้จากจุดนี้สามารถพิสูจน์ได้ว่าความคิดกบฏขององค์หญิงใหญ่มีมาหลายปีแล้วเซี่ยอวี้นบอกว่าเขาเป็นผู้บงการของการกบฏ ฮ่องเต้จะไม่เชื่อและขุนนางต่างๆ ในราชสำนักก็ไม่มีคนเชื่อเช่นกัน"ในเมื่อปกป้องพวกนางไว้แล้ว ก็ต้องจับตาดูพวกนางเอาไว้ด้วย เพราะถึงยังไงบางคนอยู่ในตระกูลชั้นสูงมานานหลายปีแล้ว และรู้จุดอ่อนของพวกเขาทุกคน จะปล่อยให้พวกนางถูกหลอกใช้อีกไม่ได้""ไม่ต้องกังวล ข้ารู้ด้วย" ซ่งซีซีกล่าวพระราชโองการมาถึงจวนโหวผิงหยาง ปลดตำแหน่งท่านหญิงเจียอี้ออก ยึดทรัพย์สินของนางคืน ไม่ได้รับเงินเดือนสตรีฝ่ายใน ลดตำแหน่งให้เป็นสามัญชน และไม่สามารถมียศได้อีก กล่าวอีกนัยหนึ่งแม้ว่าในที่สุดจะได้รับการยืนยันนางไม่ได้สั่งให้ฆ่าใครจริงๆ งั้นโหวผิงหยางก็ไม่สามารถไปขอยศให้นางหากหลังจากการสอบสวนแล้ว นางได้ฆ่าหรือสั่งคนอื่นไปฆ่าคนจะถูกจัดการตามกฎหมายเป็นอู๋ต้าปั้นที่ไปที่จวนโหวผิงหยางเพื่อประกาศกฤษฎีกา ท่านหญิงเจียอี้รีบวิ่งไปชนอู๋ต้าปั้นอย่างบ้าคลั่งและตะโกนว่า
ในจวนเสนาบดีกั๋วกงเว่ย ผู้ชายที่มีตำแหน่งข้าราชการได้ออกไปหมดเลย คนที่ไม่มีงานถูกเสนาบดีกั๋วกงเว่ยเรียกให้มารวมตัวที่ห้องโถงหลัก ซึ่งพวกเขาฟังเสียงเคาะประตูเป็นระยะๆตลอดชีวิตของเขา อารมณ์ต่างๆ ก็แสดงอยู่บนใบหน้าอย่างชัดเจน และเขาไม่เคยซ่อนมันไว้ เขาเป็นถึงเสนาบดีกั๋วกงเว่ยผู้ยิ่งใหญ่ และยศถาบรรดาศักดิ์นี้เขาได้มาด้วยความพยายามของตนเอง แม้ว่าลูกหลานของเขาจะได้รับข้าราชการ แต่ก็มีระดับงานไม่สูงนัก ไม่ทำให้คนอื่นอิจฉาริษยาขณะเดียวกันจะไม่กระตุ้นความสงสัยจากฮ่องเต้ดังนั้น ตราบใดที่เขาไม่ทำร้ายผู้ใดถึงชีวิต ก็ไม่มีใครกล้ามาทำตัวเย่อหยิ่งต่อหน้าเขา ผู้บัญชาการของกองทัพซวนเจียอะไรกัน เขาแค่ยอมรับกองทัพซวนเจีย ส่วนผู้บัญชาการก็แค่เศษขยะเท่านั้นเสียงเคาะประตูดังขึ้นอีกครั้ง เสนาบดีกั๋วกงเว่ยหยิบถ้วยชาขึ้นมาแล้วเป่าช้าๆ เขามองไปที่ลูกๆ และหลานๆ ที่เป็นกังวลแล้วพูดว่า "ไม่ต้องไปสน ปล่อยให้พวกเขาเคาะต่อไป""ท่านพ่อ ไม่เหมาะที่ปล่อยให้พวกเขาอยู่หน้าประตูสินะ ไม่ว่ายังไงนางมาทำงานตามคำสั่งจากฮ่องเต้นะ" เว่ยลี่หมิน ลูกชายคนโตของเสนาบดีกั๋วกงเว่ยถามอย่างระมัดระวังเว่ยลี่หมินเป็นขุนนางทหารด้วย
เสนาบดีกั๋วกงเว่ยมักจะเชื่อฟังคำพูดของเขามากที่สุด และความคิดของเขาก็ตรงกันกับเสนาบดีกั๋วกงเว่ยเอง เสนาบดีกั๋วกงเว่ยก็คิดเช่นนั้น และถึงขนาดพูดคำพูดพวกนี้มาก่อนทันทีที่นายสี่กล่าวเช่นนี้ ทุกคนก็พยักหน้าเห็นด้วย หลักๆ เป็นเพราะเสนาบดีกั๋วกงเว่ยเห็นด้วยก่อน เขามักจะชื่นชมบุตรชายคนนี้โดยตรงการคัดค้านของซื่อจื่อเว่ยดูเหมือนจะไร้น้ำหนักเล็กน้อย แต่ถึงแม้จะไร้น้ำหนัก แต่เขาก็ยังคงแสดงความคิดเห็นว่า "น้องสี่พูดแบบนี้ก็ผิด กองกำลังเมืองหลวงย่อมมีวิธีจัดการคดีของตัวเองโดยธรรมชาติ ซ่งซีซีเกิดในตระกูลแม่ทัพ และสร้างผลงานทางทหารในเขตหนานเจียงด้วย หากนางไม่มีความสามารถ ฮ่องเต้ก็คงไม่เปิดข้อยกเว้นให้นางในราชวงศ์เราและมอบงานสำคัญให้นาง บวกกับคดีที่นางช่วยจัดการนั้นไม่ใช่คดีธรรมดา แต่เป็นคดีกบฎ จริงๆ แล้ว คำว่าทำงานตามพระราชกฤษฎีกาก็มากพอที่นำเรากลับไปสอบสวนที่หอต้าหลี่ แต่นางไม่ได้ทำเช่นนั้น กลับมาหาเราถึงที่ ขนาดรออยู่ข้างนอกตั้งครึ่งชั่วยาม แสดงว่านางให้เกียรติจวนจวนเสนาบดีกั๋วกงมามากพอแล้ว""อีกอย่าง ท่านพ่อ คดีนี้เกี่ยวข้องกับคนมากมาย และพวกเขาคงไม่ค่อยมีเวลาว่าง ถ้าไม่ใช่จำเป็นจริงๆ พวกเขาค
นายสี่เว่ยลุกขึ้นยืนทันทีและตะโกนใส่องครักษ์ด้านหลังด้วยความโกรธว่า "เกิดอะไรขึ้น? บอกแล้วไม่ใช่หรือว่าอย่าเปิดประตู ใครเปิดประตูให้""ข้าเข้ามาด้วยตัวเอง หลังจากรอครึ่งชั่วยาม พวกเจ้าไม่เพียงแต่ไม่เปิดประตู ยังคิดจะใช้น้ำสกปรกไล่ำวกเรา งั้นข้าก็ต้องทำด้วยวิธีนี้แล้ว"ซ่งซีซีก้าวเข้าไปและมองไปรอบๆ ที่ผู้คนที่อยู่ในนั้น เสนาบดีกั๋วกงมีอายุมากที่สุด รองมาด้วยสองคนที่อยู่ข้างๆ น่าจะเป็นน้องรองน้องสามของเสนาบดีกั๋วกงเว่ย งั้นก็คือคนของบ้านรองและบ้านสามก่อนที่จะมา ซ่งซีซีเคยเห็นภาพเหมือนของผู้คนเข้ารับราชาการของจวนจวนเสนาบดีกั๋วกง ดังนั้นนางจึงจำพวกเขาได้ชายวัยกลางคนสวมเสื้อคลุมสีฟ้าด้วยสีหน้ากังวล และมองนางอย่างประหลาดใจนั้นน่าจะคือซื่อจื่อของเสนาบดีกั๋วกงเว่ยชื่อเว่ยลี่หมินซ่งซีซีจำชายที่พูดด้วยความโกรธเมื่อกี้ได้ เว่ยลี่กั๋ว ลูกชายคนที่สี่ของเสนาบดีกั๋วกงเว่ย นางจำเขาได้เพราะเขาเป็นหัวหน้าธุรการของกระทรวงกลาโหม ที่นางมาครั้งนี้ก็เพระเขาและเรื่องอนุภรรยาของเขาที่ชื่อชิงลู่เมื่อเสนาบดีกั๋วกงเว่ยได้ยินว่านางบุกเข้ามาโดยตรง เขาก็ยิ่งโกรธมากขึ้น "เจ้าช่างบังอาจจัง ข้าไม่อนุญาตให้เจ้
นายสี่เว่ยพูดด้วยความโกรธจัด "ไม่จำเป็น มีอะไรก็รีบถาม ถามเสร็จก็ไสหัวออกไป!""เจ้าสี่!" ซื่อจื่อเว่ยก็โมโหเช่นกัน "อย่าหยาบคาย"นายสี่เว่ยกลอกตาแล้วพูดว่า "พี่ชาย พี่อย่าขี้ขลาดมากนัก ทำไมคุถึงกลัวนาง เราทำทุกอย่างอย่างซื่อตรงทำไมต้องกลัว"ซ่งซีซีมองไปที่นายสี่เว่ย และรู้ว่าอารมณ์ของเขาเหมือนกับเสนาบดีกั๋วกงเว่ยไม่มีผิด แต่เสนาบดีกั๋วกงเว่ยมีความสามารถจริงๆ ดังนั้นแม้ว่าหลายคนจะรู้สึกว่าไม่พอใจอารมณ์ของเขามากนัก แต่เมื่อพิจารณาถึงผลงานทางทหารที่เขาทำ ก็จะเลือกให้อดทนไว้นายสี่เว่ยแตกต่างออกไป เขาอาศัยอิทธิพลของพ่อ พอเจอกับสิ่งที่ไม่พอใจเขาจะเห่าอย่างดุเดือด เขาเป็นสุนัขที่พึ่งพาอำนาจของคนอื่น ด้วยอารมณ์ร้อนแบบนี้ เลยไม่มีผู้คนในกระทรวงกลาโหมกล้าไปมีเรื่องกับเขา ซึ่งทำให้เขายิ่งหยิ่งมากขึ้นแน่นอนว่าซ่งซีซีจะไม่ตามใจเขาและพูดว่า "ได้ ในเมื่อไม่ต้องการให้เจ้าหน้าที่บันทึกข้อความหลิงเข้ามา งั้นข้าจะใช้สมองมาจำบทสนทนา นายสี่เว่ยใช่ไหม? ช่วยนำอนุชิงลู่ของเจ้าออกมาด้วย ข้ามีเรื่องจะถามนาง"อนุชิงลู่เข้าจวนมาเจ็ดปีแล้วและให้กำเนิดบุตรชายสองคนและลูกสาวหนึ่งคนนางเป็นคนที่นายสี่เว่ยรักมาก
สนมฮุ่ยไทเฟยย่อมมีฐานะมั่นคงเช่นนี้ หลายปีมานี้ไม่ค่อยมีค่าใช้จ่าย รายรับกลับมากไม่น้อยเบี้ยหวัดจากในวัง ของกำนัลจากทุกบ้าน อีกทั้งบรรดาลูกหลานที่โตแล้วต่างก็สามารถตัดสินใจเองได้ บรรดาผู้ที่กตัญญูต่อท่านมีไม่น้อย โดยเฉพาะเสิ่นว่านจื่อ ยิ่งกตัญญูไม่ยั้งมือสำหรับหลานสาวคนเดียวนี้ ท่านไม่มีสิ่งใดที่เสียดายเลย คำพูดที่มักติดปากคือ เมื่อท่านสิ้นไป สมบัติทั้งปวงย่อมตกเป็นของหลานสาวบัดนี้เมื่อแม่ลูกสองคนไปถึงที่อยู่ของท่าน ท่านก็อดไม่ได้ที่จะเอ่ยถึงเรื่องที่เซี่ยเจิงจะไปภูเขาเหม่ยชานฝึกวรยุทธ์อีกครา"ไม่ใช่ว่าข้าไม่เห็นดีเห็นงาม เพียงแต่การไปนานถึงเพียงนั้น ปีหนึ่งกลับมาได้ไม่กี่ครั้ง อนาคตยังบอกว่าจะออกไปผจญภัยอีก เด็กหญิงน้อยๆ เช่นนี้ จะไปฝ่าโลกภายนอกได้อย่างไร? ข้าขัดท่านพ่อของเจ้าไม่ไหว เขาเป็นคนไม่เข้าใจโลก พูดอะไรก็ไม่เคยพูดให้เข้าใจได้ ข้าก็ไม่มีทาง""ท่านยาย หลานไม่ใช่เด็กสาวบอบบางหรอกเจ้าค่ะ ท่านลองดูหมัดของหลานเถิด" เซี่ยเจิงชูหมัดขึ้น โบกไปมาอยู่ตรงหน้าสนมฮุ่ยไทเฟย กล่าวอย่างภาคภูมิว่า "หมัดนี้ของหลาน แม้แต่หมูป่ายังต้องสลบเหมือด"สนมฮุ่ยไทเฟยทอดถอนใจ "บุตรีบ้านอื่น มือเอา
สองสามีภรรยาเอ่ยถึงเรื่องราวในอดีต ยิ่งพูดยิ่งรู้สึกอบอุ่นในใจ โดยเฉพาะซ่งซีซี ที่แต่เดิมรู้สึกว่าการแต่งงานครั้งนั้นเป็นการถูกบังคับ แต่ใครจะคาดคิดว่าจะได้พบกับความสุขเช่นวันนี้ช่างเป็นเรื่องที่ยากจะคาดเดานักทันใดนั้นก็มีคนวิ่งพรวดพราดเข้ามาทางประตู ยังไม่ทันเห็นหน้าชัด ก็โผเข้ากอดเซี่ยหลูโม่แล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงเปี่ยมไปด้วยความตื่นเต้นยินดี "ท่านพ่อ ของขวัญพิธีปักปิ่นที่ท่านมอบให้ข้านั้น ข้าชอบมากนัก ขอบคุณท่านพ่อ ข้ารักท่านพ่อที่สุดเลยเจ้าค่ะ"เซี่ยหลูโม่กล่าวว่า "ยังคงซุกซนเช่นเดิมหรือ? โตเป็นสาวแล้ว ต้องสุขุมให้มากหน่อย"แม้ว่าจะเอ่ยเช่นนั้น ทว่าดวงตากลับเปี่ยมด้วยความเอ็นดู มือช่วยจัดปิ่นที่นางสวมในพิธีปักปิ่นให้เรียบร้อย แล้วเอ่ยต่อว่า "เครื่องประดับหัวทับทิมแดงนั่นเจ้าไม่ชอบหรือ? ท่านแม่ของเจ้าตั้งใจเลือกให้นัก""ชอบเจ้าค่ะ ชอบทุกอย่างเลย" เซี่ยเจิงยิ้มจนตาหยี รักทุกสิ่งที่พ่อแม่มอบให้เซี่ยหลูโม่มองรอยยิ้มของบุตรสาวแล้วพลันรู้สึกเคลิ้มใจบุตรสาวยิ่งโต ยิ่งเหมือนซ่งซีซี ในวันแรกที่พบซ่งซีซีที่ภูเขาเหม่ยชาน นางก็ยิ้มเช่นนี้แต่หลังจากนั้น นางก็แทบไม่เคยยิ้มแบบนี้อีก ต่อ
สายหมอกเย็นยะเยือกปกคลุมยอด ดอกเหมยเบ่งบานหลายคราเซี่ยเจิงมีพรสวรรค์ทางวรยุทธ์สูงส่งนัก เรื่องนี้เรียกได้ว่าเก็บข้อดีของเซี่ยหลูโม่และซ่งซีซีมาไว้ทั้งหมดเหรินหยางอวิ๋นสามารถกล่าวได้อย่างภาคภูมิใจว่า เซี่ยเจิงคือลูกศิษย์ที่มีพรสวรรค์สูงสุดในบรรดาศิษย์ทั้งหลายของภูเขาเหม่ยชานอูโซเว่ยเองก็ไม่อาจปฏิเสธเรื่องนี้ได้ เมื่อนางถูกเซี่ยเจิงถามว่าใครเก่งกว่ากัน ระหว่างนางกับท่านพ่อ อูโซเว่ยได้แต่ตอบอย่างเลี่ยงๆ ว่า "พอๆ กัน ต่างก็มีข้อดี"วรยุทธ์ของเซี่ยเจิงที่ฝึกฝนมาจนถึงวันนี้ หาได้มาจากเพียงหมื่นสำนักเท่านั้นนางได้ร่ำเรียนจากทุกฝ่ายในภูเขาเหม่ยชานเมื่อนางมาถึงภูเขาเหม่ยชาน ยังเป็นเด็กหญิงตัวน้อย ผิวขาวเนียนราวหยก รอยยิ้มหวานละมุน ผู้ใดเห็นก็ต้องเอ็นดูนางช่างพูด ช่างคุ้นเคยเร็ว อีกทั้งปากหวานนัก หลอกล่อให้บรรดาหัวหน้าสำนักต่างถ่ายทอดวิชาให้หมดเปลือกเดิมทีนางมีนิสัยซุกซน แต่ด้วยการมุ่งมั่นฝึกวรยุทธ์ และฝึกฝนวิชาเนื้อใน จิตใจก็สงบนิ่งขึ้นมากครั้นถึงปีที่สิบห้า นางได้เข้าพิธีเก็บปิ่นพิธีเก็บปิ่นจัดขึ้นอย่างยิ่งใหญ่ ของขวัญย่อมหลั่งไหลมาดังสายน้ำ ส่งเข้ามาไม่ขาดสายซ่งซีซีได้มอบ
แสงแดดสาดลงบนกิ่งไม้ ใต้พุ่มใบหนาแน่น เผยให้เห็นขาเล็กๆ คู่หนึ่งแกว่งไปมา ดูแล้วชวนให้รู้สึกสบายใจนักนางมีนามเดิมว่าเซี่ยเจิง ชื่อนี้จารึกอยู่ในหยกพงศ์ต่อมาถูกเปลี่ยนเป็นชื่อเล่นว่าจิ้งเหยียนว่ากันว่าเพราะมารดาของนางรังเกียจที่นางพูดมาก จึงตั้งชื่อนี้เพื่อกดทับให้นางสงบลงเซี่ยเจิงเองเห็นว่าตั้งชื่อนี้ก็เปล่าประโยชน์ อีกทั้งฟังดูไม่น่าฟัง จิ้งเหยียนก็คือการเงียบงัน เช่นนั้นแล้วนางมีปากไว้ทำไม หากไม่ได้พูด เอาแต่กินหรือ?เช่นนั้นไม่ต้องกินจนอ้วนกลมไปหรอกหรือ?“ท่านหญิงของข้า ท่านอยู่ที่นี่เอง หาเสียจนข้าเหนื่อย” เป่าจูเงยหน้าขึ้นจากใต้ต้นไม้ ทั้งโกรธทั้งขบขัน “รีบลงมาเถิด ท่านอ๋องกับพระชายากำลังตามหาท่านอยู่”“ท่านอาเป่าจู พวกเขาเรียกหาข้าด้วยเรื่องอันใดกัน?” เสียงใสๆ ดังลงมาจากบนต้นไม้ แฝงด้วยความสบายใจและอิ่มหนำ“พระชายาจะไปภูเขาเหม่ยชาน บอกว่าจะพาท่านไปด้วย ท่านอยากไปหรือไม่?” เป่าจูเอ่ยเซี่ยเจิงได้ยินดังนั้น ก็รีบลื่นไถลลงจากลำต้นไม้ สองข้างไหล่มีเจ้าสุนัขจิ้งจอกสีขาวสองตัวเกาะอยู่ นางยิ้มดีใจกล่าวว่า “จริงหรือ? เช่นนั้นรีบไปเถิด”สองสุนัขจิ้งจอกนั้น ตัวหนึ่งชื่อเซวียนเช
เพียงแต่ ข้าก็รู้ดีว่าในใจของซ่งซีซีไม่ได้มีเสด็จน้อง นางเลือกแต่งกับเสด็จน้อง ก็เพียงเพราะไม่อยากเข้าวังถวายงานแม้นไม่ใช่สามีภรรยาที่จิตใจเป็นหนึ่งเดียว เช่นนั้นข้าจึงแต่งตั้งซ่งซีซีเป็นแม่ทัพใหญ่กองทัพซวนเจีย ให้รับผิดชอบดูแลกองทัพซวนเจียแทนในสายตาของผู้อื่น กองทัพซวนเจียยังคงอยู่ในมือของสามีภรรยาคู่นี้ ข้าไม่ได้ตัดอำนาจของเสด็จน้องเพิ่มเติมเมื่อมองในขณะนั้นแล้ว นับเป็นความคิดที่แยบยลอย่างยิ่งแต่ข้ากลับไม่คาดคิดว่าสามีภรรยาจะไม่ใช่คู่ที่ใจไม่ตรงกันเสมอไป เมื่อนานวันเข้าย่อมเกิดความรักใคร่ อีกทั้งผลประโยชน์ก็เป็นหนึ่งเดียวกันข้าไม่รู้เลย เพราะข้ากับฮองเฮาแต่ไหนแต่ไรมาก็ไม่ได้ใจตรงกัน ข้าเองก็ไม่เคยไตร่ตรองเรื่องของสามีภรรยาแต่โชคดีที่ แม้ว่าพวกเขาสองสามีภรรยาจะรักใคร่กันภายหลัง แต่ก็ไม่เคยเกิดความทะเยอทะยานที่คิดจะชิงอำนาจเป็นข้าที่ระแวงเกินไปเดิมที ข้าเห็นว่าซ่งซีซีแม้จะมีวรยุทธ์สูงส่ง แต่การบัญชาการกองทัพซวนเจียย่อมลำบาก อีกทั้งมีผู้ไม่ยอมรับนางมากมาย ข้าคิดว่านางอาจถอดใจในสามหรือห้าเดือน เช่นนั้นข้าก็จะหาคนใหม่มาแทนที่แต่ไม่คาดเลยว่า เหล่าทหารหัวแข็งในกองทัพซวนเจี
แต่!แต่คนหนึ่งจะมีจิตใจที่มั่นคงและกล้าหาญได้อย่างไรเล่า?ใครจะคิดว่าในวันนั้นซ่งซีซีไม่ได้รับความไว้วางใจจากข้า แต่กลับขี่ม้าไปยังหนานเจียงเพื่อแจ้งข่าวให้เสด็จน้องทราบนี่เป็นเรื่องใหญ่ที่น่าตกใจและน่าทึ่งจริงๆ!หญิงที่หย่าร้างออกจากบ้าน ไม่มีผู้ติดตามหรือองครักษ์ กล้าบุกเข้าไปในค่ายทหารหนานเจียง ความกล้าหาญและความเด็ดเดี่ยวเช่นนี้ในราชสำนักนี้ไม่มีใครทำได้หลายคนเสด็จน้องและข้าก็ต่างกัน เขาเชื่อในตัวซ่งซีซี และเตรียมทัพก่อนเวลา เพื่อรับมือกับกองทัพพันธมิตรแคว้นซาและซีจิงสนามรบจะอันตรายแค่ไหน ข้ารู้ดีไม่ต้องเล่ารายละเอียดเมื่อข่าวดีในการยึดหนานเจียงมาถึง น้ำตาไหลนองหน้าข้าหลังจากนั้นเสด็จน้องส่งคำกราบทูลเพื่อยกย่องทหารซ่งซีซีและพรรคพวกของนางแน่นอนว่าเป็นผู้มีคุณูปการใหญ่ ข้าจะให้รางวัลแก่พวกเขาแต่จ้านเป่ยว่างและยี่ฝางกลับทำให้ข้าผิดหวัง ข้าจึงต้องคิดอย่างลึกซึ้งถึงเหตุผลที่คนจากซีจิงทำลายข้อตกลงในสนามรบหนานเจียงข้าก็ไม่ใช่คนที่เริ่มคิดเรื่องนี้ในเวลานี้ แต่การแบ่งเขตแดนของเส้นแนวกั้นหลิ่งหลิงก็เป็นหนึ่งในผลงานการบริหารของข้า ข้าจึงพอใจในใจคนเรามักจะโลภ แต่ก็ต้องรู
เมื่อครั้งที่ข้าขึ้นครองราชย์ การศึกชิงคืนหนานเจียงก็ดำเนินมาแล้วหลายปี ชายแดนเฉิงหลิงก็ยังไม่สงบ ส่งผลให้ท้องพระคลังร่อยหรอ ราษฎรพลัดถิ่นไร้ที่อยู่อาศัยยามที่ข้าสวมอาภรณ์มังกร ประทับเหนือบัลลังก์มังกร ก็ลั่นวาจาในใจว่า ถึงจะไม่อาจเปรียบได้กับสมเด็จพระบรมราชบุพการีผู้ทรงพระปรีชาสามารถ แต่ข้าก็จะไม่เป็นจักรพรรดิที่โง่เขลาไร้ความสามารถ ข้าจะต้องชิงคืนหนานเจียง ทำให้แคว้นซางรุ่งเรือง ราษฎรมีความสุขต่อมาข้าจึงได้รู้ว่า มนุษย์นั้นมีเพียงในยามโง่เขลาหรือมีสติปัญญาเป็นเลิศเท่านั้น ถึงกล้าตั้งปณิธานยิ่งใหญ่เช่นนี้ได้หนานเจียงพ่ายแพ้ ตระกูลซ่งทั้งเจ็ดพี่น้องล้วนพลีชีพในสนามรบแรกเริ่ม เสด็จพ่อและข้าก็ยังมีความหวังลมๆ แล้งๆ คิดว่าแม่ทัพใหญ่ซ่งมีประสบการณ์ในสนามรบมาก อีกทั้งทหารที่เขานำก็กล้าหาญเชี่ยวชาญเสียดายที่เสบียงล่าช้า ทหารต้องสู้รบทั้งที่ท้องว่าง แม้จะทุ่มสุดกำลัง ก็ยังสู้ฝ่ายศัตรูไม่ได้ยิ่งเมื่อเคยยึดหนานเจียงกลับมาได้แล้ว แต่ต้องเสียคืนไป ผู้คนก็ยิ่งเชื่อว่าแม่ทัพใหญ่ซ่งยังมีหวังจะตีคืนได้ด้วยเหตุผลหลายประการและความลังเลมากมาย ทำให้ข้าไม่อาจส่งกองทัพเป่ยหมิงของเสด็จน้องไปได
ข้าเคยอ่านบันทึกการชันสูตรศพโดยมือชันสูตรแล้ว คำให้การของเขานั้นตรงกับบันทึกแทบทุกประการรายละเอียดอื่นๆ ของคดีก็เช่นกัน ข้าซักถามทีละข้อ เมื่อมั่นใจว่าตรงกันหมดแล้ว จึงส่งตัวเขาไปยังสำนักเขตจิงจ้าว และให้ท่านกงไต้เหรินส่งคนไปค้นหาอาวุธสังหารข้านึกว่าเมื่อจับคนร้ายได้ คดีนี้ก็ถือว่าเสร็จสิ้น ไม่นับว่าสิ่งที่ข้าอดทนลอบเฝ้าอยู่หลายวันนั้นสูญเปล่าใครจะรู้ว่า พอไปถึงสำนักเขตจิงจ้าว หลิวเซิ่งกลับกลับคำให้การ บอกว่าถูกข้าบีบบังคับจนต้องรับสารภาพ คำสารภาพที่ข้าให้เขาเอ่ยออกมา ล้วนเป็นสิ่งที่ข้าบังคับให้เขาพูดทีละคำเขาร้องขอความเป็นธรรม ยืนกรานว่าตนเองบริสุทธิ์กลับกัน เขายังกล่าวหาข้าว่าเป็นโจรหญิง ขอให้สำนักเขตจิงจ้าวจับข้าและข่าวร้ายก็มาอีก ระบุจุดที่เขาบอกว่าโยนอาวุธสังหารไป สำนักเขตจิงจ้าวส่งคนหลายสิบลงงมหา กลับไม่พบเสื้อผ้าหรือมีดเลยแม้แต่น้อยสำนักเขตจิงจ้าวสอบสวนอยู่หลายวัน เพราะเขามีบาดแผล จึงไม่ได้ใช้การทรมาน เขายังคงร้องขอความเป็นธรรม ตะโกนเสียงแหบพร่า ว่าตนบริสุทธิ์ไร้ซึ่งหลักฐาน อีกทั้งยังถูกข้อกล่าวหาว่าข้าบีบบังคับคำสารภาพ จึงจำต้องปล่อยตัวเขาไปก็ในตอนนั้นเอง ข้าจ
ผู้ใต้บัญชาทำงานรวดเร็วยิ่งนัก ตอนที่เขาลืมตาตื่น เครื่องทรมานก็ถูกขนเข้ามาเรียบร้อยแล้วเตาถ่านถูกตั้งขึ้น คีมเหล็กถูกเผาจนแดง แส้ที่เปื้อนเลือดฟาดกลางอากาศสองสามครั้ง เพี้ยะ เพี้ยะ ดังสะท้านใจหลิวเซิ่งถึงอย่างไรก็เคยฆ่าคนมาก่อน ใจคอจึงหนักแน่นแม้ยามเผชิญกับสถานการณ์เช่นนี้ มิแม้แต่กระพริบตา กล่าวว่า “พวกเจ้าตั้งศาลเถื่อนเช่นนี้ ถือเป็นความผิดใหญ่หลวง พวกเจ้ายังมีขื่อมีแปหรือไม่?”คนบางประเภทก็มักเป็นเช่นนี้ คิดว่ากฎหมายใช้บังคับกับใครก็ได้ ยกเว้นตนเองตนกระทำผิด แต่กลับคิดใช้กฎหมายปกป้องตนกับคนประเภทนี้ ไม่จำเป็นต้องโต้แย้ง การโต้แย้งมีแต่จะยิ่งเปิดช่องให้เขาพูดจาไร้สาระมากขึ้นข้าหยิบคีมเหล็กที่ถูกเผาจนแดงก่ำหนีบเข้าที่แขนเขาทันที พอกดแน่นลงไป เสื้อก็ละลายจนเป็นรู เสียงเนื้อถูกไหม้ดัง ซี่ๆๆ…เสียงกรีดร้องโหยหวนดังลั่นไม่เป็นไร ที่นี่เป็นห้องใต้ดินลับ ต่อให้ร้องจนเสียงขาดหาย ก็ไม่มีผู้ใดได้ยินแม้กระดูกจะแข็งเพียงใด แต่เมื่ออยู่ต่อหน้าเครื่องทรมาน ก็ไร้ซึ่งพลังต่อต้านข้ายังมิทันได้เริ่มถอนเล็บ เขาก็สารภาพทุกสิ่งอย่างละเอียดทั้งสองครอบครัวสนิทกันจริง พ่อแม่ทั้งสองฝ่ายร