"คุณหนูเจ้าคะ คุณหนู” หยางหยางวิ่งเข้ามาที่จวนด้วยความรีบร้อน
“หยางหยางข้าเคยบอกเจ้าหรือไม่ว่าอย่าวิ่งไปมาในจวน “ เสี่ยวเอ๋อส่ายหัวไปมากับการกระทำของหยางหยางที่เฝ้าพรำสอนตลอดเวลา
“ข้าขอโทษเจ้าคะเพราะความตื่นเต้นของข้า ข้าเลยเผลอไป “ หยางหยางนั่งลงกับพื้นทั้งพูดทั้งเหนื่อยหอบในเวลาเดียวกัน
“ตื่นเต้นมีเรื่องอันใดกัน”
“ข้าไปเดินเล่นซื้อขนมที่ตลาดมาให้คุณหนูข้าได้ยินมาว่าที่หมู่บ้านใกล้ๆเขาได้จัดงานเทศกาลกัน ท่านพาข้าไปเที่ยวบ้างได้มั้ยเจ้าคะ ตั้งแต่มาอยู่ที่จวนแห่งนี้ข้าไม่เคยออกไปเที่ยวเลย”
“เจ้าก็รู้ว่าข้าไม่ชอบที่แออัดผู้คนเดินเบียดกันมากมาย.” เสี่ยวเอ๋อนางหยิบตำราขึ้นเตรียมจะมาอ่านก็ถูกหยางหยางแย่งไป
“โธ่คุณหนูไม่สงสารหยางหยางคนนี้บ้างหรือเจ้าคะ ข้าก็อยากไปเดินเล่นเหมือนหญิงสาวคนอื่นบ้าง” นางพูดพร้อมทำท่าทางออดอ้อนเหมือนแมวน้อยที่กำลังอ้อนเจ้าของอยู่
“งั้นเจ้าก็ไปเที่ยวเล่นกับสาวใช้ในจวนสิ.” เสี่ยวเอ๋อจึงหยิบตำรากลับคืนมาจากมือของหยางหยาง
“ท่านก็รู้นี่เจ้าคะ ว่าคุณหนูอยู่ที่ใดข้าต้องอยู่ที่นั้นแล้วจะให้ข้าทิ้งคุณหนูไปได้อย่างไร" หยางหยางนางเศร้าทันทีและก้มหน้าลงเหมือนน้อยใจ เสี่ยวเอ๋อจึงสงสารนาง นางก็ยังเด็กอยู่ไม่แปลกที่นางอยากจะไปเที่ยวเล่นบ้าง นางจึงตัดสินใจที่จะพาหยางหยางไปเที่ยวในคืนนี้
“ก็ได้ ข้าจะพาเจ้าไป แต่เจ้าต้องสัญญากับข้าก่อนว่าเจ้าอย่าทำให้ข้าเดือดร้อนและห้ามสร้างความวุ่นวายเข้าใจหรือไม่” เมื่อหยางหยางได้ยินคำพูดของเสี่ยวเอ๋อนางดีใจอย่างมากก่อนจะเงยหน้าขึ้นมายิ้มให้กับคุณหนูของนาง
“ข้าสัญญาเจ้าค่ะ ข้าจะไม่ดื้อไม่วิ่งไปทั่วและจะไม่ทำให้คุณหนูต้องเดือดร้อน”
“เจ้านี่นะเปลี่ยนอารมณ์ไวเสียจริง”เสี่ยวเอ๋อเผลอยิ้มออกมาเมื่อเห็นกิริยาของสาวใช้นางเปลี่ยนไป
“แฮะๆ “
“งั้นเดี๋ยวข้าเอาขนมไปใส่จานมาให้นะเจ้าคะ” หยางหยางดีใจนางจึงรีบจัดขนมและเตรียมน้ำชามาให้เสี่ยวเอ๋อได้กินระหว่างอ่านตำราไปด้วย
เมื่อถึงเวลาเสี่ยวเอ๋อกับหยางหยางก็ได้ออกมาที่งานเทศกาลผู้คนมากมายรวมทั้งอาหารที่ขายเต็มท้องถนน โคมไฟเรียงรายเต็มสองฝั่งทาง หยางหยางตื่นตาตื่นใจเป็นอย่างมาก เสี่ยวเอ๋อก็ไม่ต่างกันนางจึงคิดได้ว่าโชคดีที่นางตัดสินใจออกมา ทำให้นางลืมความทุกข์นั้นไปบ้าง
“คุณหนูสิ่งนี้เรียกว่าอันใดกันเจ้าคะ “ หยางหยางชี้ที่ขนมที่เป็นผลไม้เคลือบด้วยน้ำตาล
“สิ่งนั้นหรือเขาเรียกว่าถังหูลู่เจ้าอยากลองชิมดูมั้ยเดี๋ยวข้าจะซื้อให้”
“ได้จริงหรือเจ้าคะ “ นางทำเหมือนเด็กน้อยที่กำลังได้ของเล่น
“ข้าเคยพูดเล่นกับเจ้าหรือไง” หยางหยางนางเข้ามากอดคุณหนูของนางด้วยความดีใจ
“คุณหนูของข้าใจดีที่สุดเลย”
“เอาอันนี้หนึ่งไม้ราคากี่หยวนหรือเจ้าคะ” เสี่ยวเอ๋อได้ถามพ่อค้าที่กำลังหยิบขนมให้ผู้คนในงานที่ยืนรอซื้ออยู่
“หนึ่งหยวนขอรับแม่หญิง” เสี่ยวเอ๋อหยิบถุงเงินของนางก่อนจะหยิบเหรียญจ่ายพ่อค้าไป
เมื่อหยางหยางนางได้ขนมไปนางจึงกินทันที
“อร่อยมากเลยเจ้าค่ะ คุณหนูท่านชิมดูมั้ยเจ้าคะ” นางยื่นขนมที่เหลืออีกลูกหนึ่งมาให้เสี่ยวเอ๋อ
“ข้าเคยกินแล้ว ถ้าอร่อยเจ้าก็เก็บไว้กินเองเถิด “ เสี่ยวเอ๋อจึงเดินไปที่อื่นต่อ งานแห่งนี้เต็มไปด้วยผู้คนและการแสดงร่วมถึงนักเล่าเรื่องที่มักจะเอาเรื่องราชวงค์มาเป็นเรื่องเล่า เสี่ยวเอ๋อนางไม่ชอบฟังเพราะส่วนมากจะเป็นการเล่าเรื่องความรักของฮ่องเต้และเหล่าสนมจึงเดินไปเรื่อยๆจนถึงสะพานข้ามแม่น้ำ นางมองดูแม่น้ำยามค่ำคืนมันช่างเงียบสงบแต่ก็แฝงไปด้วยความโดดเดี่ยวเสียเหลือเกิน ลมยามค่ำคืนที่พัดมากระทบเนื้อกายทำให้เสี่ยวเอ๋อรู้สึกหนาวเย็นไปถึงข้างในจิตใจ
“คุณหนูเจ้าคะ “ เมื่อนางหันไปมองสาวใช้ก็ต้องยิ้มและหัวเราะออกมาเมื่อหยางหยางนางได้ซื้อหน้ากากของตัวตลกที่เขาวางขายอยู่ที่การแสดงตลกเธอเดินผ่านมาก่อนหน้านี้
“ฮาฮ่า หยางหยางเจ้าไปซื้อใบหน้าของตัวตลกมาตอนใดกัน เจ้านี่ช่างสันหาเรื่องมาให้ข้าได้หัวเราะอยู่ตลอดเวลาเลย” เสี่ยวเอ๋อปิดปากหัวเราะออกมาอย่างชอบใจเมื่อหยางหยางนางยังเรียนแบบตัวละครตัวนั้นอีกด้วย
“เจ้ายิ้มก็เป็นหรือนี่ข้าคิดว่าจะยิ้มไม่เป็นเสียอีก” เสี่ยวเอ๋อต้องตกใจจนหัวใจของนางไม่อยู่กับเนื้อกับตัวนางคิดว่าเป็นโจรหรือบุรุษที่คิดมิดีมิร้ายกับนาง นางจึงหันไปมองต้นเสียงที่ยืนอยู่ข้างหลังนางก็พบว่าเป็นองค์รัชทายาทที่มิได้แต่งตัวในชุดที่เคยแต่งแต่เสี่ยวเอ๋อจำได้ดีไม่ว่าาเขาจะแต่งตัวอยู่ในเสื้อผ้าชุดใด ทำให้นางโล่งอกขึ้นมาทันที
“องค์รัชทายาท” ด้วยความตกใจเสี่ยวเอ๋อจึงได้อุทานสัพนามขององค์รัชทายาทออกมาทำให้เขารีบใช้มือปิดปากของนางไว้กลัวชาวบ้านจะได้ยินและพากันแตกตื่นในการปรากฎตัวของเขา
“ชู่!! อย่าดังสิข้ามิได้อยากให้ผู้คนรู้ว่าข้าเป็นใคร”
เสี่ยวเอ๋อเมื่อโดนฝ่ามือของเขาปิดปากไว้นางจึงทำได้เพียงพยักหน้าให้กับเขาเบาๆก่อนที่องค์รัชทายาทจะปล่อยมือออกจากใบหน้าของนางเมื่อเขารู้สึกตัว หยางหยางนางเห็นองค์รัชทายาทตอนนี้นางทำได้เพียงยืนก้มหน้าไม่กล้าที่จะเงยหน้ามองเพราะกลัวความผิดในครั้งที่แล้ว
“ข้าขอคำนับองค์รัชทายาท เมื่อครู่ข้าต้องขออภัยด้วย”
เสี่ยวเอ๋อก้มคำนับองค์รัชทายาทอีกครั้งจนเขาต้องรีบจับแขนนางไว้ก่อนนางจะก้มลงเพราะผู้คนเริ่มมองมาทางเขาทั้งคู่
“ข้าบอกเจ้าว่าอย่าเรียกข้าว่าองค์รัชทายาทเรียกข้าว่า จางเหว่ย”
“ได้เจ้าคะคุณชายจางเหว่ย” เสี่ยวเอ๋อพอจะเข้าใจจึงเรียกเขาว่าคุณชายจางเหว่ย
“ค่ำคืนนี้ดวงจันทร์ช่างสวยดีนัก เจ้าว่าเช่นนั้นหรือไม่”
จางเหว่ยได้หันไปมองบนท้องฟ้าดวงจันทร์ที่เต็มดวงสาดส่งมากระทบแม่น้ำ เสี่ยวเอ๋อเองก็ได้หันมองดูตามที่เขากล่าว
“ช่างสวยจริงๆเจ้าคะ “
“วันนี้เป็นวันที่ดีข้าไม่คิดเลยว่าการที่ข้าจะแอบออกมาจากวังจะทำให้ได้พบเจ้าอีกครั้งนี่นับว่าเป็นโชคชะตาที่มีต่อกันสินะ” เขาว่าพร้อมมองดูใบหน้าที่เขาเฝ้าฝันหาทุกค่ำคืนบัดนี้นางได้ยืนอยู่ต่อหน้าเขาแล้ว หลังจากที่จากกันวันนั้นองค์รักษ์ได้ไปสืบหาชื่อแซ่ของนางมา และได้รู้ว่านางเป็นบุตรสาวของเสนาฝ่ายขวาแถมยังเป็นภรรยาของเสี่ยวเฟิ่งสหายสนิทของเขาอีกด้วย แต่ที่เขารู้มาเสี่ยวหลินนางไม่ค่อยสบายมาตั้งแต่เด็ก ทำไมนางถึงได้ออกมาเที่ยวเล่นยามค่ำคืนที่น้ำค้างลงเช่นนี้ได้ แถมเขายังรู้มาอีกด้วยว่าเสี่ยวหลินมีน้องสาวฝาแฝดที่ชื่อเสี่ยวเอ๋อแต่ที่แปลกใจคือ ตั้งแต่วันที่เสี่ยวหลินแต่งออกมาอยู่ที่จวนเสี่ยวเฟิ่ง เสี่ยวเอ๋อก็ไม่เคยปรากฏตัวอีกเลย องค์รักษ์ได้ถามชาวบ้านตามระแวกนั้นก็ไม่มีผู้ใดเห็นนางเลย มันทำให้องค์รัชทายาทสนใจเรื่องราวของนางยิ่งนัก
“เป็นเกียตริของข้าที่ได้พบท่านเจ้าคะ “
เสี่ยวเอ๋อที่ยืนอยู่ก็ต้องตกใจอีกคราที่อยู่ๆองค์รัชทายาทได้เอาเสื้อคุมชั้นนอกของเขามาคุมตัวให้นาง
"ข้าได้ยินมาว่าเจ้าร่างกายไม่ค่อยแข็งแรงแม้ข้าจะดีใจที่เจอเจ้าแต่ข้าก็อดเป็นห่วงร่างกายของเจ้าไม่ได้อยู่ดี เอาเสื้อของข้าใส่คุมตัวเจ้าไว้เถอะดูเสื้อผ้าอาภรณ์ของเจ้าที่บางนี้แล้ว ดูก็รู้ว่าเจ้าคงจะหนาวสินะ"
แม่นางอยากปฎิเสธแต่ก็ไม่อยากจะปฎิเสธน้ำใจขององค์รัชทายาทนางทำได้เพียงใช้เสื้อคุมกายของนางไว้และเดินตามองค์รัชทายาทไปเรื่อยๆ นางได้เพียงแค่คิดทำไมหลินเฟิ่งถึงไม่ห่วงนางหรือแสนดีกับนางเช่นดั่งองค์รัชทายาทบ้างนะ เมื่อนางคิดอะไรเพลินๆก็ต้องสะดุดหัวชนเข้ากับอกของจางเหว่ยอย่างจังเมื่ออยู่ๆเขาก็หยุดเดินและหันมาหานาง ทำให้นางที่ไม่ทันได้ตั้งตัวถึงกับชนอกแกร่งของเขาจนเกือบล้มแต่ทว่าเขาเองก็มีไหวพริบที่ดีจึงคว้าเอวบางของนางเข้ามากอดอยู่ในอ้อมอกจึงทำให้นางไม่ล้มหรือบาดเจ็บ
ลมหนาวพัดโบกโบยมากระทบผิวกายของเสี่ยวเอ๋อที่ยืืนดูชาวบ้านช่วยกันเก็บเกี่ยวข้าวของเมื่อถึงฤดูหนาวอีกครา ตอนนี้นางได้มาเที่ยวที่บ้านเกิดของแม่ขององค์รัชทายาทเพื่อมาพักเหนื่อยกับงานที่นางได้มอบหมาย นางคิดว่าเมื่อเป็นพระชายาแล้วจะสบายแต่ก็ยังมีงานที่พระชายาต้องทำอีกมากมายตลอดระยะเวลาที่ผ่านมานางได้เรียนรู้และทำเต็มที่มาตลอด จางเหว่ยจึงพานางออกมาเที่ยวเพื่อพักผ่อนบ้าง เมื่อมาอยู่ที่เงียบสงบเช่นนี้ทำให้นางได้นึกย้อนไปยังอดีต ถ้านางยังทนอยู่กับหลินเฟิ่งจะเป็นอย่างไร แต่นางก็เพียงคิดได้เพียงเท่านั้นก็ถูกโอบกอดทางด้านหลังด้วยแขนอันอบอุ่นของจางเหว่ย นางจึงเอนตัวไปพึงอกแกร่งของเขา"เจ้าไม่หนาวหรือไง ""ไม่หนาวหรอกเจ้าค่ะตอนนี้ข้ามีผ้าห่มที่แสนจะอบอุ่นที่สุดในใต้หล้า""ผ้าห่มอันใดกัน""ก็อ้อมกอดท่านไงเจ้าคะ""ข้าต้องรู้สึกดีใจใช่หรือไม่" จางเหว่ยพูดด้วยน้ำแผ่วเบาเต็มไปด้วยความน้อยใจอยู่ลึกๆ"ทำไมถึงพูดเช่นนั้นกันเจ้าคะ""ก็ตลอดเวลาที่เจ้าอยู่กับข้าในฐานะพระชายาข้ายังไม่เคยรับรู้ความรู้สึกของเจ้าที่มีต่อข้าเลย ข้าไม่รู้ด้วยซ้ำว่าที่เจ้าทำดีกับข้าอยู่ทุกวันนี้เพราะว่าหน้าที่พระชายาหรือว่าเจ้ามีความ
เสี่ยวเอ๋อเมื่อกลับมาคืนนั้นนางก็ได้ไตร่ตรองเรื่องราวที่ผ่านมานางจะไม่แก้แค้นอีกต่อไป ต่อจากนี้นางจะหาความสุขให้ตนเองบ้าง หากนางจะแก้แค้นกันไปมาก็ไม่มีวันสิ้นสุด แถมตอนนี้นางเองก็มีเรื่องที่ต้องทำอีกมากมายเช่นวันนี้ที่นางกำลังถูกเหล่านางในสวมเสื้อผ้าอาภรณ์และเครื่องประดับมากมายแถมยังรุมกันเติมเครื่องประทินที่หนาเตอะจนนางหนักที่ใบหน้า "พระชายาวันนี้ท่านสวยมากเลยนะเจ้าค่ะ"หยางหยางหยิบกระจกขึ้นมาให้เสี่ยวเอ๋อส่องมองตนเอง"ใช่ข้าจริงหรือหยางหยาง ""ใช่สิเจ้าคะ วันนี้เป็นวันของท่านข้าดีใจมากๆจนแทบจะร้องไห้แล้วเจ้าค่ะ " หยางหยางนางก้มลงปาดน้ำตาด้วยความปิติยินดีต่อคุณหนูของนางที่วันนี้จะเป็นพระชายาเต็มตัว"เจ้านี่ขี้แยยิ่งนักฟู่หลางในวันข้างหน้าเจ้าช่วยพาหยางหยางขี้แยผู้นี้ไปฝึกวรยุทธกับเจ้าด้วยสิ ข้าละไม่ชอบเห็นน้ำตาของนางเลย""ข้าคงสอนนางไม่ได้หรอกเจ้าค่ะ ""ทำไมกัน" "ก็เพราะตอนนี้นางมีผู้ที่ปกป้องนางได้และคอยดูแลนางตลอดทุกฝีก้าว""เอ๊ะ!!ใครกันทำไมข้าถึงไม่รู้ ""ก็องครักษ์เฉินอ้ายไงเจ้าค่ะ" ฟู่หลางพูดไปยิ้มไปที่ได้แหย่หยางหยางเล่น"นี่ฟู่หลางเจ้าหยุดพูดเดี๋ยวนี้นะ " หยางหยางอายจนหน้าแด
ในค่ำคืนที่เหน็บหนาวลมพัดเยือกเย็นจนแล่นเขาสู่หัวใจของหลินเฟิ่งเขาเองแม้จะทำใจเรื่องเสี่ยวเอ๋อได้แล้ว แต่ทว่าเขายังคงคิดถึงนางเสมอมา คืนนี้เขานอนไม่หลับจึงลุกออกมายืนชมจันทร์อยู่ที่ด้านนอก เมื่อเขารู้สึกง่วงนอนจึงจะเดินเข้าไปที่ห้องก็ต้องเห็นว่ามีคนสองคนที่กำลังแอบออกไปนอกจวน เขาเริ่มเอะใจเลยจะเดินไปถามแต่เมื่อเดินเข้าไปใกล้ๆกลับพบว่าเป็นซูหมิงและฟางเยี่ยสาวรับใช้ของนาง"ดึกขนาดนี้แล้วนางจะพากันไปที่ใด ทั้งๆที่ตั้งครรภ์อยู่ช่างไม่รู้ความเสียจริง" หลินเฟิ่งจึงตามออกมาอย่างเงียบๆ เขาไม่รู้เลยว่าที่ตามออกมาวันนี้จะทำให้เขาได้รู้ความจริงว่าที่แท้จริงแล้ว ลูกในท้องของซูหมิงนั้นไม่ใช่ลูกของตนเอง เพราะว่าตอนนี้เขาได้ยินเต็มสองหูจากปากของนางเอง เมื่อนางออกมานั้นเพราะนางนัดพบกับชายชู้ หลิ่นเฟิ่งที่ได้ฟังเรื่องทั้งหมดเขาโกรธแค้นซูหมิงอย่างมากที่หลอกลวงตระกูลของเขา ความแค้นนี้หลินเฟิ่งจึงคิดจะสะสางในค่ำคืนนี้เสียให้สิ้นซากเมื่อเขาถูกชายที่ไร้หัวนอนปลายเท้าย่ำยีศักดิ์ศรีถึงเพียงนี้ เขาจึงได้ตามชายผู้นั้นไปเมื่อทั้งสามคนแยกย้ายกัน "หืมข้าล่ะชอบจริงๆกลิ่นของเงินนี้ เจ้าอย่าคิดว่าจะหนีจากข้าไปได้
หลายวันผ่ามาเสี่ยวเอ๋อได้เข้ามาที่วังหลวงเรียนรู้มารยาทและแข่งกับบุตรของเสนาบดีฝ่ายซ้ายและเก็บคะแนนในรอบต่างๆ แต่เมื่อใจขององค์รัชทายาทอยู่ที่ใครมันก็ไม่ใช่เรื่องยากที่เขาจะเลือกว่าใครคือพระชายาเพียงแต่ต้องทำตามลำดับพิธีเท่านั้น เมื่อทุกอย่างเสร็จสิ้นและผลออกมาว่าบุตรสาวของตระกูลเสี่ยว เสี่ยวเอ๋อได้รับเลือกเป็นพระชายาขององค์รัชทายาทและจะจัดพิธีแต่งตั้งอีกไม่กี่วัน ทำให้เสนาบดีฝ่ายซ้ายไม่พอใจและเริ่มที่จะทำตามแผนที่วางไว้ แต่ก็ต้องถูกเปิดโปงและถูกจับในที่ว่าราชการลับนั้นโดยมีคนขององค์รัชทายาทจับกุมมาครบทุกคน และหลินเฟิ่งเองก็ได้นำหลักฐานการก่อกบฏมายื่นต่อฮ่องเต้ ทำให้คนชั่วเหล่านั้นถูกประหารและครอบครัวต้องถูกเนรเทศออกจากแคว้นแห่งนี้ไป รวมถึงตระกูลของซูหมิงด้วยเพราะวันนั้นพ่อขอฃนางก็อยู่ที่นั้นด้วย แต่ซูหมิงถูกหลินเฟิ่งขออภัยโทษจากฮ่องเต้ให้และบอกว่านางไม่รู้เรื่องอันใดของครอบครัวเลย จึงทำให้นางรอดออกมาหลินเฟิ่งได้รับการแต่งตั้งเมื่อมีความดีความชอบให้เขาได้เป็นรับตำแหน่งเป็นเสนาบดีกรมพระคลัง เพราะความจงรักภักดีของเขาเลยได้ตำแหน่งนี้มาจางเหว่ยได้เข้ามาหาเสี่ยวเอ๋อที่ตำหนักของนางที่ถูกแ
หลินเฟิ่งโยนซูหมิงลงที่เตียงของนางอย่างแรงก่อนจะเดินไปปิดประตูห้องเพื่อไม่ให้ใครเข้ามา"ท่านพี่ข้าเจ็บนะเจ้าคะ""หึ !! แล้วเสี่ยวหลินนางไม่เจ็บรึไงนางโดนโบยไปที่หลังโดนเนื้อนางจนเลือดไหลออกมาเจ้าว่าเจ็บหรือไม่" หลินเฟิ่งตวาดใส่ซูหมิงจนนางเงียบไปสักพักก่อนจะตอบเขาคืน"ทำไมท่านพี่ถึงมาพูดกับข้าเช่นนี้เล่าเจ้าค่ะ ข้าไม่ได้ทำอันใดผิดเสียหน่อย" นางยังคงหาคำแก้ต่างให้ตนเอง"เจ้าอย่าคิดว่าข้าจะโง่เชื่อเจ้าเหมือนท่านแม่ของข้า เรื่องทั้งหมดมันเป็นแผนของเจ้า" หลินเฟิ่งเข้ามาบีบที่ไหล่เล็กของซูหมิงจนนางรู้สึกถึงแรงบีบว่าเขาโมโหนางขนาดไหนจนตัวนางสั่นไปหมด"ท่านพี่ทำไมพูดปรักปรำข้าเช่นนี้ ของข้าหายจริงๆนะเจ้าคะ" ซูหมิงน้ำตาบีบน้ำตาออกมาให้หลินเฟิ่งเห็นว่านางไม่รู้เรื่องที่เกิดขึ้นจริงๆ"เจ้าจะให้ข้าเอายาที่เจ้าเอาไปให้เสี่ยวหลินไปตรวจหรือไม่ ยาตัวนั้นมีเพียงตระกูลเจ้าเท่านั้นที่มี อีกอย่างวันก่อนข้าเข้าไปหาเสี่ยวหลินที่ห้องของนาง นางได้บอกกับข้าว่าเจ้าไปต่อว่านางเรื่องคืนเข้าหอ เรื่องนี้เจ้าว่านางจะพูดโกหกข้าหรือ" แรงบีบที่แขนของซูหมิงรุนแรงขึ้นเรื่อยๆเหมือนกับว่าหลินเฟิ่งจะบีบบังคับให้นางพูดความจ
ซูหมิงเก็บอารมณ์เอาไว้นางไม่ได้ไปหาฮูหยินใหญ่แต่กลับห้องของนางพร้อมบอกฟางเยี่ให้ทำตามแผนที่วางเอาไว้ รุ่งเช้าของอีกวันเสี่ยวเอ๋อกับหยางหยางก็เดินชมดอกไม้ตามปกติของนาง แต่จู่ๆก็เกิดเรื่องขึ้นเมื่อฮูหยินใหญ่และซูหมิงที่เดินเข้ามาหานางอย่างกับมีเรื่องอะไรเกิดขึ้น"ท่านแม่มาหาข้าแต่เช้ามีเรื่องอันใดหรือเจ้าคะ" "เจ้าเห็นแหวนประจำตระกูลของซูหมิงหรือไม่""ข้าไม่เคยเห็นนะเจ้าคะ ""แต่ซูหมิงบอกว่าของนางได้หายไปหาเท่าไหร่ก็หาไม่เจอข้าให้คนใช้หาจนทั่วจวนแล้วมีเพียงห้องของเจ้าที่ยังไม่ได้หา""ข้าไม่เคยเห็นจริงๆนะเจ้าค่ะ""งั้นเจ้าก็ให้คนใช้ของข้าเข้าไปหาเพื่อพิสูจน์ความบริสุทธิใจของเจ้าเถอะ" ฮูหยินใช้สายตาสั่งคนใช้ของนางให้เข้าไปค้นห้องของเสี่ยวเอ๋อเสี่ยวเอ๋อนางไม่รู้จริงๆว่าแหวนประจำตระกูลของซูหมิงเป็นเช่นไร ต่อให้หาที่ห้องของนางเช่นไรก็หาไม่เจอแน่ๆ สักพักคนใช้ของฮูหยินใหญ่ก็ตะโกนออกมาจากด้านใน"ข้าเจอแล้วเจ้าค่ะ ใช่อันนี้มั้ยเจ้าคะ"คนใช้ถือถุงยาที่ซูหมิงเอามาให้เสี่ยวหลินเมื่อวานนี้ออกมา สีหน้าของเสี่ยวเอ๋อเปลี่ยนไปทันที หรือทั้งหมดนี่จะเป็นแผนของซูหมิง"มันอยู่ในห่อยานี่เจ้าค่ะ" ฟางเมิงสาว