ยามเย็นคล้อย แสงสีส้มของอาทิตย์ลับขอบฟ้าทาบทอเหนือปลายชายคาเรือนสกุลลู่
เผิงเหยียนเฉิงสวมอาภรณ์สีสุภาพ แผ่นหลังตั้งตรง สายตาคอยจับจ้องทางเดินกรวดเล็กๆ ที่ทอดยาวจากเรือนของลู่ซือหนาน สายลมพัดชายเสื้อเขาเบาๆ เหมือนกำลังเร่งเร้าให้เขาพูดในสิ่งที่อัดแน่นในอก
เสียงฝีเท้าสาวเบาๆ ดังขึ้น ลู่ซือหนานเดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าศาลา นางสวมเสื้อคลุมสีครามอ่อน หน้าตาเรียบสงบ หากดวงตาแดงเรื่อราวเพิ่งกลั้นน้ำตาไม่ให้อาบแก้ม
เผิงเหยียนเฉิงเงยหน้ามอง แล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงสั่นพร่า
“เดิมที ข้าตั้งใจจะบอกเจ้าหลังสอบได้ยศ ได้ตำแหน่ง กลับมาในฐานะที่คู่ควรกับเจ้า แต่ตอนนี้ข้าทนไม่ไหวอีกแล้ว”
นางชะงัก ดวงตาเบิกโพลงเล็กน้อย แต่ยังไม่เอ่ยตอบ เขาเดินเข้ามาใกล้ทีละก้าว แล้วหยุดอยู่ตรงหน้านาง หัวใจเต้นแรงจนรู้สึกว่าทั้งสวนเงียบงัน เหลือเพียงเสียงหัวใจตนเองและของนาง
“ลู่ซือหนาน ข้ารักเจ้า” เขาเอ่ยเสียงแน่น แม้สั้น แต่หนักแน่นเหลือเกิน
“ข้ารู้ตัวตั้งแต่เมื่อใดไม่แน่ใจ รู้เพียงว่ายามเห็นเจ้าปรุงยาให้ ยามเจ้าถือกล่องขนมมายื่นเงียบๆ หรือยามเจ้าม
ยามเย็นในเรือนรับรองของสกุลหยาง แสงแดดยามสนธยาโปรยลงในสวนข้างเรือนรับรอง ภายในห้องเรียบง่ายมีเพียงโต๊ะเตี้ยหนึ่งตัว และตะกร้าหนังสือเรียงรายบนชั้นริมผนัง เผิงเหยียนเฉิงนั่งอยู่หน้าโต๊ะ กำลังคัดลอกบทกลอนลงบนกระดาษด้วยพู่กันลายงาม ข้างตัวคืออาหมิงที่คอยยืนเฝ้าอยู่เงียบๆเสียงฝีเท้ากระทบพื้นไม้ดังขึ้นนอกห้อง ตามด้วยเสียงอาหมิงกระซิบเบาแต่จริงจัง“คุณชาย คุณหนูหยางมายืนขอพบท่านอีกแล้วขอรับ นี่เป็นครั้งที่สามในวันนี้”เผิงเหยียนเฉิงหยุดมือที่ถือพู่กัน สีหน้ากังวลเล็กน้อยก่อนจะถอนใจเบาๆ“ไม่ต้องให้เข้ามา บอกไปว่า....”“ข้าเป็นบุตรีเจ้าบ้านแห่งสกุลหยาง เรือนนี้เป็นเรือนของข้า ข้าไม่มีสิทธิ์พบแขกของเรือนหรือ” เสียงของหยางมี่อิงดังแทรกเข้ามาก่อนที่เขาจะกล่าวจบ“เอาอย่างไรดีขอรับ บ่าวที่อยู่หน้าเรือนก็เป็นคนของสกุลหยาง คงต้านทานนางไม่ได้นาน”“ถอยไป!” เสียงสาวใช้ข้างกายของหยางมี่อิงดังขึ้นก่อนตัวนางจะปรากฏเข้ามาในห้องของเขาโดยไม่ได้เต็มใจเชื้อเชิญสตรีในชุดผ้าแพรสีชมพูอ่อนก้าวพรว
เสียงพลิกหน้าตำราเบาๆ ดังคล้ายจังหวะลมหายใจของเขา หากแต่ในใจกลับไม่อาจสงบอย่างที่ตั้งใจไว้เผิงเหยียนเฉิงวางพู่กันลงบนแท่นหมึกช้าๆ ดวงตาทอดมองออกไปนอกหน้าต่างไม้ฉลุ มองเห็นร่มเงาของต้นท้อและบานหน้าต่างอีกด้านหนึ่งที่เพิ่งแง้มออก แล้วก็ปิดลงทันทีราวกับมีใครสักคนแอบมองอยู่ก่อนหน้าเขาหลับตา ถอนหายใจเบาๆ ก่อนปล่อยให้ความคิดย้อนกลับไปในวันที่เขามาถึงเรือนสกุลหยาง นับแต่นั้นมาหยางมี่อิงก็แทบจะตามเขาทุกฝีก้าวเมื่อตื่นเช้าออกมาเดินเล่นรับลม นางก็ปรากฏตัวพร้อมขันน้ำชาผลไม้ เมื่อเขากลับเข้าห้องเพื่ออ่านตำรา นางก็มาเคาะประตูอ้างจะยืมตำราดูบางครั้งถึงกับฝากสาวใช้มายืนรอหน้าห้องตั้งแต่ฟ้ายังไม่สว่างและถึงเขาจะหลบอยู่ในห้อง หาข้ออ้างอ่านตำราที่แม้จะจำได้จนหมดแล้วอย่างเคร่งเครียด หวังจะตัดความฟุ้งซ่านจากนาง แต่สายตาคู่นั้นยังตามมาหลอกหลอนอยู่เสมอ‘หากเป็นเช่นนี้ต่อไป ข้ายังจะมีใจอ่านอะไรได้อีกหรือ’ เขาคิดในใจ พลางหลับตาลงเล็กน้อย ยกพัดผ้าขึ้นปิดครึ่งหน้าเพื่อระบายความร้อนที่มิได้มาจากอากาศ“ในการสอบครั้งนี้ สิ่งที่ข้าต้องเผชิญไม่
รุ่งสางของวันที่สองในการเดินทาง ฟ้าสีเทาหม่นค่อยๆ แปรเปลี่ยนเป็นสีทองอ่อน รถม้าสีเรียบคันหนึ่งเคลื่อนผ่านประตูเมืองหลวงอย่างเงียบเชียบ ท่ามกลางขบวนรถพ่อค้าและผู้เดินทางนับไม่ถ้วนที่มุ่งเข้าสู่ใจกลางแห่งแผ่นดินแคว้นสือบนรถม้านั้น เผิงเหยียนเฉิงสวมอาภรณ์เรียบง่าย สีหม่น กลมกลืนไปกับฝุ่นทาง หากแต่แววตากลับแน่วแน่ เปี่ยมด้วยจุดมุ่งหมาย“ในที่สุดก็ถึงแล้ว...” เขาพึมพำ คลี่ยิ้มจางๆ เมื่อเห็นกำแพงเมืองหลวงสูงตระหง่านที่ตนเคยใฝ่ฝันจะยืนหยัด ณ เบื้องหน้าอาหมิงที่นั่งข้างคนบังคับรถชะโงกหน้าเข้าไปในรถ “คุณชาย ขณะนี้เข้าสู่เขตเมืองชั้นในแล้วขอรับ อีกไม่ไกลก็จะถึงจวนสกุลหยาง”เผิงเหยียนเฉิงพยักหน้า หยิบจดหมายที่ลู่หยวนฉีเขียนแนะนำเขาให้กับสหายเก่าซึ่งเป็นประมุขสกุลหยางขึ้นมาดูอีกครั้ง ตัวอักษรเรียบหรูหนักแน่น ตอกย้ำความจริงใจที่ว่าที่ท่านพ่อตาของเขามีให้เมื่อถึงหน้าประตูเรือนสกุลหยาง รถม้าจอดหน้าทางเข้า อาหมิงลงไปแจ้งต่อบ่าวที่ทำหน้าที่เฝ้าประตู“ขอเข้าเฝ้านายท่านหยาง คุณชายของข้าข้ามีนามว่าเผิงเหยียนเฉิง มาส่งจดหมายจากนา
แสงแดดยามสายส่องลอดม่านบางของรถม้า คันล้อเคลื่อนไปอย่างมั่นคงตามเส้นทางหลวงที่ทอดยาวสู่เมืองหลวง ไกลออกจากเมืองเจียงเฉินทุกลมหายใจเข้าออกในรถม้าคันเล็ก เผิงเหยียนเฉิงนั่งอย่างสงบ สายตาเหลือบมองผ่านช่องผ้าม่านด้านข้าง เห็นทิวไม้ไหวพลิ้วเรียงรายข้างทาง เสียงล้อรถดังเอี๊ยดเบาๆ ไปตามทางดินแข็งกระทั่งรถหยุดพักในยามเที่ยงที่ร่มไม้ใหญ่ อาหมิงจึงก้าวขึ้นมานั่งร่วมด้วย นำน้ำชาและผลไม้แห้งมาให้รับประทานคลายเมื่อย ก่อนพูดขึ้นเสียงเคร่ง“คุณชาย นายท่านและฮูหยินคาดว่าคุณหนูโจวตั้งใจตามพวกเราไปยังเมืองหลวงด้วย”เผิงเหยียนเฉิงเลิกคิ้วเล็กน้อย สีหน้าไม่แปลกใจนัก “ข้าคิดไว้แล้วว่านางไม่ยอมละความพยายามง่ายๆ”อาหมิงพยักหน้ารับ“นายท่านจึงได้เตรียมการไว้ล่วงหน้า ท่านเขียนจดหมายฝากคุณชายให้ไปพักกับสหายเก่าแห่งสกุลลู่ซึ่งอาศัยอยู่ย่านชานเมืองหลวง จวนหลังนั้นลับตาผู้คนและสงบ ท่านว่าจะเป็นที่พำนักชั่วคราวที่เหมาะสมก่อนการสอบ”ชายหนุ่มรับจดหมายนั้นมาถือไว้ พลิกดูผนึกครั่งสีทองอ่อน มีตราประจำสกุลลู่ประทับไว้ เขานิ่งไปครู่ห
ยามเย็นคล้อย แสงสีส้มของอาทิตย์ลับขอบฟ้าทาบทอเหนือปลายชายคาเรือนสกุลลู่เผิงเหยียนเฉิงสวมอาภรณ์สีสุภาพ แผ่นหลังตั้งตรง สายตาคอยจับจ้องทางเดินกรวดเล็กๆ ที่ทอดยาวจากเรือนของลู่ซือหนาน สายลมพัดชายเสื้อเขาเบาๆ เหมือนกำลังเร่งเร้าให้เขาพูดในสิ่งที่อัดแน่นในอกเสียงฝีเท้าสาวเบาๆ ดังขึ้น ลู่ซือหนานเดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าศาลา นางสวมเสื้อคลุมสีครามอ่อน หน้าตาเรียบสงบ หากดวงตาแดงเรื่อราวเพิ่งกลั้นน้ำตาไม่ให้อาบแก้มเผิงเหยียนเฉิงเงยหน้ามอง แล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงสั่นพร่า“เดิมที ข้าตั้งใจจะบอกเจ้าหลังสอบได้ยศ ได้ตำแหน่ง กลับมาในฐานะที่คู่ควรกับเจ้า แต่ตอนนี้ข้าทนไม่ไหวอีกแล้ว”นางชะงัก ดวงตาเบิกโพลงเล็กน้อย แต่ยังไม่เอ่ยตอบ เขาเดินเข้ามาใกล้ทีละก้าว แล้วหยุดอยู่ตรงหน้านาง หัวใจเต้นแรงจนรู้สึกว่าทั้งสวนเงียบงัน เหลือเพียงเสียงหัวใจตนเองและของนาง“ลู่ซือหนาน ข้ารักเจ้า” เขาเอ่ยเสียงแน่น แม้สั้น แต่หนักแน่นเหลือเกิน“ข้ารู้ตัวตั้งแต่เมื่อใดไม่แน่ใจ รู้เพียงว่ายามเห็นเจ้าปรุงยาให้ ยามเจ้าถือกล่องขนมมายื่นเงียบๆ หรือยามเจ้าม
ในขณะที่ภายในเรือนวุ่นวายไม่หยุดหย่อน ด้านนอกจวน ลู่ซือหนานนั่งอยู่ในรถม้ากับอันเหม่ยฉินที่มารับนางด้วยตนเองก็ยิ้มให้แก่กันบ่าวของอันเหม่ยฉินที่แฝงตัวกลับออกมารายงานสถานการณ์ด้านใน จากนั้นรถม้าก็เริ่มเคลื่อนตัวกลับเรือนหลังจากซุ่มดูสถานการณ์อยู่กว่าหนึ่งก้านธูป“ท่านแม่ ท่านคิดถูก” นางหันไปทางมารดา อันเหม่ยฉินที่นั่งสงบอยู่ข้างๆอันเหม่ยฉินพยักหน้าเบาๆ ก่อนเอ่ยเสียงเรียบ “นางกล้าทำให้เจ้าด่างพร้อย ข้าก็กล้าทำให้นางตกเหวเอง”ลู่ซือหนานนั่งยิ้มอย่างสงบ ใบหน้าขาวนวลเรียบนิ่ง ทว่าในดวงตาทอแววเด็ดเดี่ยวและไม่สะทกสะท้านเมื่อกลับไปถึงเรือน ลู่หยวนฉีที่รออยู่ก็รีบไปรับบุตรีและภรรยาลงมาจากรถม้าด้วยความห่วงใยทั้งสามกลับเข้าไปนั่งพูดคุยในห้องโถง ทั้งสองมองบุตรีด้วยความภาคภูมิใจ“ลูกของข้า ไม่ใช่สตรีอ่อนแออย่างที่พวกเขาคิด” อันเหม่ยฉินเอ่ยเสียงเรียบ มือข้างหนึ่งบีบมือนางสามีเบาๆ“ใช่” ลู่หยวนฉีพยักหน้า“พรุ่งนี้ เหยียนเฉิงจะเตรียมตัวเก็บของเดินทางไปสอบแล้ว อย่าให้ข่าววุ่นวายคืนนี้รบกวนใจเขาเด็ดขาด แม้อยากเล่าให้ฟังก็ตามทีเถ
“มีโจรบุกเข้าเรือน รีบไปดูหนานเอ๋อร์เร็ว” เสียงคุณหนูซุนดังขึ้นด้วยความเป็นห่วง ก่อนจะรีบตรงไปยังเรือนหลังเล็กด้วยสีหน้าซีดเผือดหลังจากมีบ่าวในเรือนมาแจ้งเรื่องเสียงที่ออกมาจากห้องพักโจวจิงหยูผู้แสร้งตกใจถึงขีดสุด แสร้งคว้ามือสาวใช้ตนไว้ “เจ้าแน่ใจหรือว่าเป็นพวกโจร เร็วเข้า อย่าให้เกิดเรื่องกับคุณหนูลู่เป็นอันขาด”แต่ในดวงตาเจือความตื่นเต้นระคนคาดหวัง นางแทบอดใจรอให้ภาพหญิงสาวตกอยู่ในอ้อมแขนบุรุษมิได้เสียงฝีเท้าหลายสายเร่งเร้า เสียงอื้ออึงของข้ารับใช้ดังลั่นเรือนข้างหลัง โคมไฟส่องสว่างไหววูบตามแรงลมที่เปิดประตูหน้าต่างเสียหมด ร่างของคุณหนูซุนหรงอวี้และฮูหยินเจ้าของเรือนเดินนำหน้าด้วยสีหน้าตื่นตระหนก ข้างหลังมีแขกสตรีอีกหลายคนจากตระกูลขุนนางในเมืองเจียงเฉินที่มาร่วมงานประตูเรือนพักถูกเปิดออก ทุกสายตาพุ่งตรงไปยังเตียงกลางห้อง ก่อนที่ทุกอย่างจะชะงักงันอย่างหมดแรงไม่ใช่ลู่ซือหนาน!บุรุษบนเตียงที่กำลังก้มหน้าซุกซอกคอหญิงสาวอย่างหลงใหลคือไป๋ซื่ออัน ส่วนหญิงสาวบนเตียง แม้จะพยายามเบือนหน้าหนีแสง แต่ก็เผยให้เห็นใบหน้าคมสวยของหลิวอี้หรู อี้จีจากหอ
ในงานเลี้ยง สาวใช้ของซุนหรงอวี้เดินถือกาน้ำชารินให้แก่เหล่าคุณหนูสกุลดังที่มาร่วมงาน ก่อนที่เจ้าของงานจะประกาศออกมา“น้ำชานี้ข้าได้มาจากเมืองหลวง เป็นใบชาพระราชทานแก่บิดาของข้า เชิญทุกท่านลิ้มรส” นางกล่าวอย่างภูมิใจ ลู่ซือหนานลังเลไม่กล้าดื่มในตอนแรก หากแต่โจวจิงหยูจับตามอง อีกทั้งน้ำชานี้ก็รินจากกาเดียวกัน นางจึงตัดสินใจแสร้งแตะเข้าไปอย่างช้าๆกลิ่นหอมของชาเจือด้วยรสแผ่วจางของสมุนไพรบางอย่างบ่งบอกว่ามีบางสิ่งผิดปกติ ยามนั้นสีหน้าและท่วงท่าของลู่ซือหนานยังคงสงบเสงี่ยม หากแต่ดวงตานางเริ่มพร่าเบาๆ เหมือนคนที่ดื่มเหล้าแรงเกินไป หรือกำลังตกอยู่ในฤทธิ์ยานางอุตส่าห์เลี้ยงขนมจานนั้นแล้ว แต่ไม่คิดว่าจริงๆแล้วยาจะถูกป้ายลงไปในถ้วยชา ดังนั้นผู้อื่นหากดื่มชาจากกาเดียวกันก็จะไม่เป็นอันตรายใดๆลู่ซือหนานวางถ้วยชาลงช้าๆ ก่อนมือบางจะสั่นเล็กน้อย“ขะ...ข้า รู้สึกเวียนศีรษะเล็กน้อย” เสียงของนางแผ่วเบา แฝงไออ่อนแรงคุณหนูซุนหรงอวี้ขมวดคิ้วเล็กน้อย “คุณหนูลู่ไม่สบายหรือ”“งั้นรีบพานางไปพักเถิด ห้องของข้าอยู่ไม่ไกลจากที่นี่” โจวจิงหยูซึ่งแต่งกายงดงามอยู
ยามเฉินของวันจัดงานเลี้ยง ลู่ซือหนานนั่งอยู่หน้าโต๊ะเครื่องแป้ง เสี่ยวหลานกำลังช่วยเกล้าผมให้นาง มือของนางใช้ปิ่นหยกที่เรียบง่ายแต่ประณีต เป็นของที่มารดานางมอบให้เมื่อนางมีอายุครบสิบห้าปี“คุณหนู...” เสี่ยวหลานลังเลเล็กน้อยก่อนพูดต่อ“วันนี้ต้องออกนอกจวน ข้าห่วงนัก”ลู่ซือหนานยิ้มบาง ริมฝีปากนั้นแดงระเรื่อจากแผ่นชาด“ข้าก็กังวลแต่ไม่อาจหลีกเลี่ยง เทียบเชิญจากจวนบุตรีนายอำเภอ แม้รู้ว่าอาจมีเล่ห์เหลี่ยม ก็ยังต้องเผชิญ”เสี่ยวหลานเงยหน้าขึ้น สีหน้าเศร้า “หากคุณชายเผิงรู้เข้า เขาต้องไม่ยอมให้ท่านแน่เจ้าค่ะ”หญิงสาวนิ่งชั่วขณะ แต่แววตากลับมั่นคง “เขากำลังเตรียมสอบ ต้องใช้สมาธิ ข้าไม่อยากให้เขาเป็นกังวลเรื่องข้า”ขณะนั้นประตูห้องเปิดออกเบาๆ อันเหม่ยฉินเดินเข้ามาในชุดเรียบหรู มือถือผ้าคลุมไหล่ปักลายเมฆทอง “ซือหนาน แม่เตรียมผ้าคลุมให้เจ้า แม้จะอบอุ่นแล้ว แต่อย่าให้ลมเย็นพัดจนเจ้าไม่สบาย”ลู่ซือหนานรับไว้ ยิ้มให้มารดา ก่อนเอ่ยเสียงอ่อน “ข้าจะไม่ประมาทเจ้าค่ะแม่”ลู่หยวนฉีเดินเข้ามาต่อจากภรรยา สวมชุดลำลองเรียบง่าย แต่สีหน้ายั