ในจวนปลัดอำเภอเมืองตุนโจว เช้าวันหนึ่งที่อากาศเย็นแต่ไม่ถึงกับหนาว โจวจิงหยูนั่งอยู่ในเรือนกลาง ลมหอบบางๆ พัดชายม่านผืนบางให้พลิ้วไหว แต่มิอาจทำให้อารมณ์ขุ่นเคืองของนางจางลงได้
บนโต๊ะไม้ฝังลายมุกตรงหน้า นางวางกระดาษแผ่นหนึ่งที่เพิ่งอ่านจบ เป็นข่าวจากเมืองหลวง กล่าวถึงพิธีสมรสอันยิ่งใหญ่ของ “เผิงโหว” ผู้ได้รับพระราชทานสมรสจากฮ่องเต้ และเจ้าสาวผู้ได้เป็นถึง ฮูหยินขั้นสองแห่งจวนโหว
ใบหน้างดงามแต่เฉี่ยวคมของโจวจิงหยูบึ้งตึง ขณะที่นิ้วเรียวยังคงกำแน่นกับพัดในมือ เสียงพัดกระทบโต๊ะเป็นจังหวะ ขณะที่นางหรี่ตาลงแล้วเอ่ยเสียงเย็น
“หึ ในที่สุดก็ได้ขึ้นแท่นฮูหยินสมบูรณ์แบบ สมกับที่วางหมากมาดี”
เสียงฝีเท้าดังขึ้นช้าๆ ก่อนที่สามีของนางซ่งจื่ออวี้ จะเดินเข้ามาในห้อง สีหน้าชายหนุ่มเรียบนิ่ง แต่แฝงด้วยความไม่พอใจ เขาเดินตรงเข้ามาหานาง แล้วเอ่ยอย่างตรงไปตรงมา
“เจ้าจะโมโหเรื่องเผิงเหยียนเฉิงอีกทำไม ในเมื่อเจ้าก็เป็นภรรยาข้าแล้ว”
โจวจิงหยูเชิดหน้าเล็กน้อย กล่าวเสียงห้วน
“ข้ามิได้โมโหเพราะคิดถึงเขา”
&l
ในเช้าวันหนึ่งที่อากาศเย็นจัดผิดฤดู โจวจิงหยูสวมอาภรณ์เนื้อดีคลุมด้วยเสื้อนอกบุผ้าขนสัตว์สีเข้ม ยืนอยู่บนศาลาริมเนินเขาเล็กๆ ทางด้านตะวันตกของเมืองตุนโจว เบื้องหน้าเป็นภาพทุ่งหญ้าแห้งกรังและหมู่บ้านเล็กๆ ที่ห่างไกลจากตัวเมืองข้างกายนางคือเสี่ยวหนิว สาวใช้คนสนิทผู้ไม่เคยขัดคำสั่ง“หมู่บ้านตีนเขาซื่อเจีย มีชาวบ้านอยู่ไม่ถึงห้าสิบคน อยู่ห่างจากตุนโจวพอสมควร ไม่มีใครไปมาเท่าใด” เสี่ยวหนิวรายงานเสียงเรียบ โจวจิงหยูพยักหน้าเบา ๆ“ดี...เลือกคนที่อาการยังไม่หนักนัก แต่มีเชื้อชัดเจน พอให้แพร่กระจายได้”นางส่งสายตาให้กับบุรุษในชุดคลุมดำซึ่งยืนรออยู่ห่างออกไป คนผู้นี้เป็นอดีตทหารรับจ้างของสกุลโจว ที่โจวจิงหยูใช้เป็นเงามืดลอบทำงานไม่เปิดเผย“จงออกเดินทางทันที ไปยังหมู่บ้านซ่างเจิ้นในเขตอวิ๋นหลิง ทางนั้นมีรายงานโรคระบาดในฤดูที่แล้ว ค้นหาคนที่ยังมีอาการ แล้วจงนำตัวกลับมา กักไว้ในกระท่อมท้ายหมู่บ้านซื่อเจีย”ชายผู้นั้นก้มศีรษะรับคำสั่งแล้วหายลับไปในเส้นทางลาดเขาเสี่ยวหนิวเอ่ยเบาๆ ขณะยื่นแผนที่เล็กๆ ที่ขีดเส้นไว้
ณ จวนโหว เมืองหลวงหลังพิธีแต่งงานอันยิ่งใหญ่ผ่านพ้นไปเพียงไม่กี่วัน จวนโหวก็กลับเข้าสู่บรรยากาศสงบสุข แต่แฝงไว้ด้วยความอบอุ่นและเบิกบานบรรยากาศในจวนโหวเผิงเต็มไปด้วยความอบอุ่นและบรรยากาศแห่งความสุข ลู่ซือหนานปรับตัวเข้ากับบทบาทฮูหยินของจวนโหวได้อย่างงดงาม นางจัดระเบียบภายในอย่างเรียบร้อย ดูแลบ่าวไพร่ด้วยความเมตตาแต่เด็ดขาดส่วนเผิงเหยียนเฉิงเมื่อออกจากจวนก็ปฏิบัติหน้าที่ในราชสำนักอย่างเต็มความสามารถ กลับถึงเรือนยามใดก็จะมีรอยยิ้มเมื่อนางอยู่ตรงหน้าทุกค่ำคืนที่จวนโหว เต็มไปด้วยเสียงหัวเราะอ่อนหวานของนางเอกและเสียงพูดคุยเบาๆ ของสามีภรรยา ทั้งสองมักร่วมโต๊ะอาหาร พูดคุยเรื่องราษฎร์เรื่องหลวง บางคืนเผิงเหยียนเฉิงก็พานางเอกออกไปเดินชมสวนในยามจันทร์สว่าง คล้ายทุกอย่างจะราบรื่นไร้สิ่งใดให้กังวลเสี่ยวหลานในฐานะสาวใช้คนสนิท ก็มีหน้าที่แน่นอนในจวนใหม่ ได้แต่งชุดบ่าวของจวนโหวอย่างภาคภูมิใจ คอยดูแลคุณหนูของตนอย่างใกล้ชิดไม่เปลี่ยนวันนี้ ลู่ซือหนานตื่นแต่เช้า นางสวมผ้าไหมเรียบหรูสีอ่อนผูกปมเรียบง่าย คลุมเส้นผมด้วยปิ่นหยกที่เผิงเหยียนเฉิงให้เป็นของขวั
ในจวนปลัดอำเภอเมืองตุนโจว เช้าวันหนึ่งที่อากาศเย็นแต่ไม่ถึงกับหนาว โจวจิงหยูนั่งอยู่ในเรือนกลาง ลมหอบบางๆ พัดชายม่านผืนบางให้พลิ้วไหว แต่มิอาจทำให้อารมณ์ขุ่นเคืองของนางจางลงได้บนโต๊ะไม้ฝังลายมุกตรงหน้า นางวางกระดาษแผ่นหนึ่งที่เพิ่งอ่านจบ เป็นข่าวจากเมืองหลวง กล่าวถึงพิธีสมรสอันยิ่งใหญ่ของ “เผิงโหว” ผู้ได้รับพระราชทานสมรสจากฮ่องเต้ และเจ้าสาวผู้ได้เป็นถึง ฮูหยินขั้นสองแห่งจวนโหวใบหน้างดงามแต่เฉี่ยวคมของโจวจิงหยูบึ้งตึง ขณะที่นิ้วเรียวยังคงกำแน่นกับพัดในมือ เสียงพัดกระทบโต๊ะเป็นจังหวะ ขณะที่นางหรี่ตาลงแล้วเอ่ยเสียงเย็น“หึ ในที่สุดก็ได้ขึ้นแท่นฮูหยินสมบูรณ์แบบ สมกับที่วางหมากมาดี”เสียงฝีเท้าดังขึ้นช้าๆ ก่อนที่สามีของนางซ่งจื่ออวี้ จะเดินเข้ามาในห้อง สีหน้าชายหนุ่มเรียบนิ่ง แต่แฝงด้วยความไม่พอใจ เขาเดินตรงเข้ามาหานาง แล้วเอ่ยอย่างตรงไปตรงมา“เจ้าจะโมโหเรื่องเผิงเหยียนเฉิงอีกทำไม ในเมื่อเจ้าก็เป็นภรรยาข้าแล้ว”โจวจิงหยูเชิดหน้าเล็กน้อย กล่าวเสียงห้วน“ข้ามิได้โมโหเพราะคิดถึงเขา”&l
ดึกแล้วเสียงครื้นเครงของงานเลี้ยงเริ่มซาลง แขกเหรื่อทยอยกลับ บ่าวไพร่ทยอยเก็บโต๊ะ เหลือเพียงเสียงดนตรีเบาๆ ที่ยังเล่นเพื่อเป็นมงคลให้บ่าวสาวคืนนี้จันทร์เต็มดวงส่องแสงนวลเหนือฟ้าเมืองหลวง ทอแสงลงมาบนเรือนหอหลังใหญ่ในจวนโหว เรือนที่วันนี้ถูกตกแต่งอย่างงดงามด้วยโคมแดง ผ้าม่านลายมงคล และเทียนที่สว่างไสวอยู่สองมุมห้องในห้องหอ ลู่ซือหนานนั่งสงบอยู่ข้างเตียงในชุดเจ้าสาวสีแดง ผมเงางามถูกเกล้าอย่างพิถีพิถัน ติดปิ่นทองลายบุปผา ดวงหน้าแดงเรื่อเพราะไออุ่นในห้องและความเขินอายที่ยากจะระงับเบื้องหน้าโต๊ะกลมขนาดเล็กมีถ้วยเหล้าชุนถังเจียวเป่ย เหล้ามงคลสำหรับคู่บ่าวสาววางอยู่พร้อมจอกทองหนึ่งคู่ เสี่ยวหลานที่รู้เวลายิ้มแล้วถอยออกจากห้องอย่างเงียบเชียบ เหลือเพียงลู่ซือหนานกับเสียงหัวใจของตนเองไม่นาน บานประตูไม้สลักก็เปิดออกเบาๆ เผิงเหยียนเฉิง ในชุดเจ้าบ่าวสีแดง ก้าวเข้ามาช้าๆ ใบหน้าเขายิ้มอ่อน แต่นัยน์ตาเต็มไปด้วยความรู้สึกลึกซึ้งจนแทบกลั้นไม่อยู่“ข้ามาช้าไปหรือไม่” เขาถามเสียงนุ่ม น้ำเสียงไม่มั่นใจนักลู่ซือหนานหลบตานิดหนึ่ง ก่อนพยักหน้าเบาๆ &
ขบวนเจ้าสาวเคลื่อนตัวเข้าสู่ประตูเมืองหลวงในยามสาย ขบวนมงคลยาวเหยียดนำโดยขบวนนักดนตรีส่งเสียงเป็นจังหวะรื่นเริง ท่ามกลางสายตาของชาวเมืองที่ออกมายืนแน่นสองฝั่งถนนเพื่อชมขบวนเจ้าสาวอันทรงเกียรติของจวนโหวเผิงเกี้ยวเจ้าสาวสีแดงเข้มตัดขอบทองประดับด้วยพู่ไหมสีแดงสดและกระดิ่งเงินเบาๆ ที่สั่นไหว เคลื่อนไปอย่างช้าๆ ข้างเกี้ยวเผิงเหยียนเฉิงในชุดเจ้าบ่าวเต็มยศควบม้าคู่ใจอย่างมั่นคง ดวงตาแน่วแน่มุ่งหน้าสู่ประตูใหญ่ของจวนโหวซึ่งเพิ่งได้รับพระราชทานอย่างเป็นทางการจากฮ่องเต้เมื่อขบวนมาถึงหน้าเรือนโหว เสียงประทัดยาวชุดใหญ่ก็ดังขึ้นเป็นสัญญาณต้อนรับเกี้ยวเจ้าสาว เสียงประทัดแดงปลิวว่อนเต็มพื้นประหนึ่งโรยด้วยกลีบดอกไม้แดง ตำรับพิธีแต่งงานของขุนนางชั้นสูงถูกปฏิบัติอย่างครบถ้วน เหล่าข้ารับใช้สกุลเผิงออกมายืนเรียงรายสองข้างประตูคารวะเจ้าสาวเมื่อถึงหน้าประตูจวน ขันทีหลวงที่รับมอบหมายจากในวังเดินออกมาเปิดม่านเกี้ยวชั้นนอก เสี่ยวหลานช่วยประคองลู่ซือหนานลงจากเกี้ยวในขณะที่นางยังคงคลุมหน้าเผิงเหยียนเฉิงเดินเข้ามาพร้อมถาดทองเล็กที่มีผลทับทิมสองผล และเชิญลู่ซือหนานเข้าเรือนด้วยตั
ขบวนเกี้ยวเคลื่อนออกจากเจียงเฉินท่ามกลางเสียงประโคมกลองมงคลและเสียงโห่ร้องอวยพรของชาวบ้าน ขบวนอันสง่างามเดินทางผ่านเส้นทางเลียบแม่น้ำและป่าเขาเป็นเวลาหนึ่งวัน จนกระทั่งถึงเมืองซินหลิน เมืองเล็กๆ ที่เป็นจุดพักระหว่างทางก่อนเข้าสู่เขตเมืองหลวงเมื่อถึงโรงเตี๊ยมใหญ่ใจกลางเมืองซินหลิน บ่าวไพร่ต่างช่วยกันจัดห้องพักให้คู่บ่าวสาวแยกกันอย่างเคร่งครัดตามธรรมเนียม ลู่ซือหนานถูกพาไปยังห้องฝั่งในที่ตกแต่งด้วยผ้าม่านสีแดงจาง กลิ่นกำยานหอมอ่อนๆ ลอยคลุ้ง เสี่ยวหลานจัดแจงทุกอย่างเสร็จก็ยิ้มแย้ม พลางแซวเบาๆ ด้วยเสียงขบขัน“คุณหนูเจ้าคะ อีกเพียงวันเดียวก็จะได้อยู่กับท่านโหวแล้วอดใจรออีกนิดเถิดเจ้าค่ะ อย่าทำตาเศร้าเช่นนั้นเลย”ลู่ซือหนานหัวเราะน้อยๆ แก้มแดงซ่านแต่ก็พยักหน้าเบาๆในอีกมุมหนึ่งของโรงเตี๊ยม ฝั่งห้องพักของเผิงเหยียนเฉิง อาหมิงยืนกอดอกมองนายตนเดินไปเดินมาอย่างกระสับกระส่าย ใบหน้าหล่อเหลาเต็มไปด้วยความหงุดหงิด ปลายนิ้วเคาะโต๊ะเบาๆ อย่างคนที่ใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว“นายท่าน อย่าคิดอะไรแผลงๆ นะขอรับ”“เจ้าบอกว่าอะไร”