กลิ่นฟางเปียกกับกลิ่นม้าอบอวลทั่วคอก ร่างบางของคนตัวเล็กที่ก้มหน้าก้มตาถูพื้นดินที่เปื้อนโคลนและมูลม้าด้วยมือเปล่า ๆ
เสื้อตัวบางยังเปียกชื้นแนบตัว ผมยาวถูกรวบขึ้นลวก ๆ น้ำหยดลงจากปลายเส้นผมขณะเธอขยับมืออย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย ธราดลยืนพิงรั้วไม้ ห่างออกมาไม่กี่ก้าว ดวงตาคมจ้องมองเธอไม่วางตา สีหน้าอ่านอารมณ์ได้ยากนัก แต่ในแววตากลับนิ่งลึกจนแทบสัมผัสได้ถึงอะไรบางอย่างที่ปะทุอยู่เงียบ ๆ ลูกน้องสองสามคนที่ยืนอยู่ไม่ไกล ทำท่าจะเดินเข้ามาช่วย แต่เจ้านายหนุ่มเพียงยกมือขึ้นช้า ๆ ไม่ต้องพูดอะไร เสียงฝีเท้าก็หยุดกึก “พวกนายออกไปก่อน” เขาออกคำสั่งเสียงเรียบ ไม่ต้องเสียงดัง แต่อำนาจแฝงอยู่ในทุกถ้อยคำที่พูด ลูกน้องหันมองหน้ากันเล็กน้อย ก่อนจะรีบก้าวถอยหลังออกจากคอกม้า ทิ้งไว้เพียงความเงียบงัน กับเสียงแปรงขัดไม้ที่คนตัวเล็กยังคงก้มหน้าก้มตาทำต่อไปอย่างมุ่งมั่น เธอรู้ว่าเขายืนอยู่ตรงนั้น เพียงแต่ไม่อยากเงยหน้าขึ้นมอง ไม่ใช่ไม่กล้า...แค่ไม่อยากเห็นคนทำหน้ายักษ์ถมึงทึงก็เท่านั้น “จะล้างให้สะอาดก็ต้องใช้แรงเพิ่มขึ้นอีก” เสียงเข้มเอ่ยขึ้นในที่สุด เธอเงยหน้าขึ้นทันที แววตาต่อต้านผสมความเหนื่อยยิ่งเพิ่มดีกรีความอดทนให้ต่ำลงอย่างเห็นได้ชัด “ไม่ต้องมายืนเฝ้าแบบนี้หรอกค่ะ ฉันอึดอัด!” เธอโพล่งออกไปทั้งที่น้ำเสียงสั่น “ไม่ได้เฝ้า แค่อยากดูว่าเธอจะทำงานได้เก่งเท่าปากรึเปล่า?...ก็แค่นั้น” เขาตอบกลับออกไป แล้วพิงรั้วต่ออย่างใจเย็น ขณะที่เธอแทบอยากจะเขวี้ยงแปรงใส่เขาเสียให้รู้แล้วรู้รอด แดดยามบ่ายแสนร้อนอบอ้าวผนวกกับความชื้นในคอกม้าอบอวลผสมกับกลิ่นฟางและมูลสัตว์ หากร่างบางยังคงกัดฟันแน่นก้มหน้าก้มตาขัดพื้นไม้ด้วยแรงทั้งหมดที่มี เสื้อเปียกชื้นแนบเนื้อเริ่มแห้งแต่เหงื่อก็ผุดขึ้นแทนที่เต็มแผ่นหลัง ลมหายใจเริ่มติดขัด มือที่จับแปรงสั่นเล็กน้อย วิมลลักษณ์กัดฟันแน่น ฝืนตัวเองจนเกินไป ใจบอกให้หยุด แต่วิญญาณของความดื้อดึงยังคงสั่งให้เธอทำต่อ...โดยเฉพาะเจ้านายแสนใจดำอำมหิตคนนั้นที่ยังไม่ยอมขยับเขยื้อนร่างกายไปไหนไกล หากขายาว ๆ นั้นเดินออกไปเพื่อใช้เครื่องฉีดน้ำแรงดันสูง ในการฉีดพื้น ผนังคอก รางน้ำและที่ให้น้ำบริเวณอีกฝั่งของคอก แปรงในมือหลุดลงพื้นตอนที่ร่างบางพยายามยืดตัวขึ้นเต็มความสูง ใจเต้นแรง ร่างกายโงนเงน โลกทั้งใบหมุนคว้างไปหมด เสียงรอบข้างค่อย ๆ จางลง เธอเอื้อมมือคว้าไปบนอากาศ แต่กลับไม่สามารถคว้าอะไรได้เลยสักอย่าง แล้วในที่สุดทุกอย่างก็ดับวูบลง ร่างของเธอทรุดฮวบลงกับพื้น ดีที่ยังมีฟางแห้งรองรับร่างบางนั้นอย่างไร้เรี่ยวแรง เสียงฝีเท้าหนัก ๆ ดังขึ้นในวินาทีต่อมา ธราดลที่ยืนอยู่ไม่ไกลแทบจะพุ่งเข้ามาในทันที “มน! ตื่นสิ!” คนตัวโตทรุดตัวลงข้างเธอ มือใหญ่ประคองไหล่บางขึ้นมา ดวงหน้าเธอซีดเผือด เหงื่อซึมทั่วขมับ ลมหายใจอ่อนแรงจนแทบจับอัตราจังหวะการเต้นของหัวใจไม่ได้ “อย่าเพิ่งตายไปซะก่อนก็แล้วกัน…” เสียงเขาแผ่วลงจนน่าประหลาด ดวงตาคมมองเธออย่างร้อนรน ก่อนจะตัดสินใจช้อนร่างของเธอขึ้นในอ้อมแขน ร่างบอบบางผอมแห้งจนเกินไป รู้ว่าอ่อนแอแต่ก็ยังอวดดี อวดเก่ง ก่อนจะอุ้มร่างบางขึ้นบนหลังม้าโดยมีเขาคอยคุมบังเหียน ปลายทางคือเรือนใหญ่ของเขา...ที่ ๆ เขาไม่เคยนึกอยากให้คนตรงหน้าไปย่างกรายในรอบหลายปีที่ผ่านมา หากมนุษยธรรมที่ยังพอมีหลงเหลืออยู่บอกกับเขาว่า...อย่างน้อยเธอก็ไม่ควรตายในไร่ของเขา ท้ายที่สุดคนอื่นอาจจะมองได้ว่าเขาเป็นฆาตกร...เพื่อเอาคืนในสิ่งที่แม่เธอเป็นคนทำ แม้ใจจะนึกเกลียดคนตรงหน้ายิ่งกว่าสิ่งใดบนโลกทั้งหมด...แต่เหตุผลที่คัดค้านอยู่ภายในความคิดของตนตอนนี้... ล้วนสั่งให้ช่วยชีวิตเพื่อนมนุษย์อย่างเธอเอาไว้เสียก่อน... อย่างน้อยก็จนกว่าจะจับฆาตกรเข้าคุกได้นั่นล่ะ...จึงจะยอมปล่อยเธอไป ธราดลช้อนร่างบางขึ้นแนบอกอย่างรวดเร็ว ฝ่าแขนแกร่งโอบกระชับแน่นราวกับกลัวว่าเธอจะหายไปจากอ้อมกอดได้ทุกเมื่อ ร่างของเธอเบาราวกับขนนก ใบหน้าซีดเซียวซบอยู่กับอกเขาโดยไร้สติ "องุ่น...รีบตามมาเช็ดตัวพี่สาวเธอที!" คนปากหนักสั่งเสียงเข้มเอ่ยบอกสาวน้อยวัยสิบสี่ที่มักจะมาทำความสะอาดเรือนใหญ่กับผู้เป็นแม่ที่กำลังทำอาหารเย็นให้นายนายหนุ่มที่ครัวเป็นประจำ เสียงฝีเท้าของเขาหนักแน่นแต่เร่งรีบ ทันทีที่ถึงเรือนใหญ่ คนตัวโตหน้าดุจึงรีบอุ้มเธอลงจากอานม้าตรงขึ้นไปยังชั้นบนอย่างลืมตัว พาเข้าไปในห้องนอนของเขาเองโดยไม่ลังเล วางร่างเธอลงบนเตียงผ้าห่มสีเข้ม “อย่าอวดเก่งให้มันมากนัก…” เขาพึมพำเบาๆ ขณะย่อตัวลงนั่งข้างเตียง นิ้วมือสัมผัสใบหน้าเธอแผ่วเบา เธอยังไม่ฟื้น แต่หายใจสม่ำเสมอขึ้นนิดหน่อย ก๊อก! ก๊อก! ก๊อก! "ขออนุญาตเข้าไปค่ะนาย" สาวน้อยผมสั้นเต่อที่ฉลาดเป็นกรดไม่ลืมที่จะยกถังใบเล็กพร้อมผ้าขนหนูผืนเล็กติดมือมาด้วยตามคำสั่งของเจ้านายเมื่อครู่ "พี่มนเป็นอะไรเหรอคะ?" เอ่ยถามออกไปตามประสาซื่อ แม้จะนึกแปลกใจอยู่ครามครันว่าเพราะเหตุผลใดนายถึงพาพี่สาวคนสนิทของเธอกลับมาที่เรือนใหญ่ด้วย ปกติเห็นเกลียดกันยิ่งกว่ากิ้งกือไส้เดือน "เป็นลมที่คอกม้าน่ะ ฉันไม่อยากให้คนอื่นเข้าใจว่าฉันใช้งานลูกน้องจนเป็นลมตายไปเสียก่อน" สาวน้อยวัยสิบสี่พยักหน้าอย่างกำลังทำความเข้าใจ เดินกลับมานั่งลงข้าง ๆ แล้วค่อย ๆ เช็ดหน้าผากและซอกคอให้ร่างบางตรงหน้าด้วยความอ่อนโยน... "สงสารพี่มนชะมัด..." สาวน้อยอดพึมพำเบา ๆ ไม่ได้ ด้วยกลัวว่าเจ้านายจะได้ยินแล้วตัวเธอเองจะพลอดถูกเอ็ดไปด้วย “เอ่อ...นายคะ” "มีอะไร?" คนตัวโตนึกรำคายคนตรงหน้าที่เหมือนจะพูดอะไรกับเขา...แล้วก็ไม่พูด "คือ...ตัวพี่มนร้อนมากเลยค่ะ คือ...หนูต้อง..." "ต้องอะไรก็รีบพูดมาสิ...อ้ำ ๆ อึ้ง ๆ แล้วฉันจะรู้ไหม?" เสียงห้วนเอ่ยตอบกลับไปด้วยความร้อนรน...รู้สึกหงุดหงิดแปลก ๆ อย่างควบคุมอารมณ์ตัวเองไม่ค่อยจะได้ สายตาก็คอยชำเลืองมองคนป่วยอยู่บนเตียงที่ยังไม่ยอมตื่นขึ้นมาแม้แต่น้อย "คือหนูต้องเปลี่ยนเสื้อผ้าพี่มนค่ะ ความหมายก็คือต้องถอดเสื้อผ้าพี่มนออกนั่นแหละค่ะ เสื้อผ้าพี่มนเปียกไปหมดเลย แล้วพอเปลี่ยนเสร็จแล้ว...นายจะให้พี่มนใส่อะไรคะ?" ทันทีที่เจ้านายสั่งให้พูดก็ดูเหมือนว่าสาวน้อยตรงหน้าจะพูดรัวและเร็วจนไม่มีช่องว่างในการเว้นจังหวะให้หายใจ ความหมายที่แท้จริงของเธอก็คือ...คนตรงหน้าควรออกไปสักที แต่ก่อนจะออกไปก็ควรบอกให้เธอรู้เสียหน่อยว่า... พี่สาวของเธอที่นอนแบ็บอยู่บนเตียงจะสามารถใส่สิ่งใดห่อหุ้มร่างกายได้ หรือให้นอนเปลือยล่อนจ้อน...อย่างนั้นหรือ? คงไม่เหมาะมั้ง "เสื้อฉันในตู้...เธอหยิบไปให้เขาใส่ได้เลย" "งั้นหนูรบกวนนาย..." "ฉันรู้แล้ว...พอเธอตื่นก็ไล่ให้กลับไปเลยนะ ฉันจะแวะไปที่รีสอร์ตก่อน" คนตัวโตทำทีเป็นไม่สนใจ ก่อนจะเดินปึงปังออกไปจากห้องนอนของตนเอง จนองุ่นอดยิ้มตามไม่ได้ "โธ่เอ้ย!...ทำเป็นไม่สนใจเขา เป็นห่วงล่ะสิ หนูมองออกหรอกน่า" ประทับจิตเอ่ยออกไปพร้อมกับหัวเราะอย่างเต็มเสียง มือบางก็เช็ดเนื้อเช็ดตัวให้พี่สาวคนสวยตรงหน้าไปด้วย แม้เธอจะเป็นเด็กน้อยที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะแต่ก็อดเห็นใจในชะตาชีวิตของวิมลลักษณ์ไม่ได้ ทั้งคำครหาที่คนในไร่ต่างรุมประณามสาปแช่งแม่ของเธอ...จนลามปามมาถึงตัวของผู้เป็นลูกสาวตามความเกลียดชังที่เจ้านายหนุ่มมอบให้ หากคนรักเท่าผืนหนังคนชังเท่าผืนเสื่อฉันใด เชื่อได้ว่าแม่ของเธอก็คงจะอยู่ในกรณีฝั่งผืนหนังที่ว่า ด้วยความที่แม่ของเธอเป็นรุ่นน้องที่สนิทสนมกับแม่ของวิมลลักษณ์นับตั้งแต่ที่บุกเบิกในการทำงานที่ไร่แห่งนี้ใหม่ ๆ หลายปัจจัยที่ท่านเชื่อมั่นว่าวิมลรัตน์ไม่มีทางทำเช่นนั้น...แต่ก็อีกนั่นแหละ หลักฐานจะแก้ต่างก็ไม่มี แถมป้ารัตน์ของเธอก็ยังหนีหน้าหายตาไปหลายปีจนอดคิดไม่ได้ว่าคงจะเป็นเช่นนั้นจริง ๆ แต่ป้ารัตน์ของเธอรักพี่มนมาก...นึกแปลกใจอยู่เหมือนกันว่าทำไมถึงกล้าทิ้งลูกสาวที่เป็นดั่งแก้วตาดวงใจไว้ที่ไร่แห่งนี้เพียงคนเดียว พอคิดไปคิดมาสักพักก็ชักจะปวดหัว...ท้ายที่สุดจึงบอกตัวเองให้เลิกคิดฟุ้งซ่านเสียที...ก่อนจะเดินไปหยิบเสื้อในตู้เสื้อผ้าของเจ้านายที่มองไปมุมไหนก็มีแต่เสื้อเชิ้ตสีอ่อนทั้งนั้น กางเกงสักตัวก็หาไม่เห็น... สาวน้อยวัยสิบสี่จึงตัดสินใจหยิบเสื้อเชิ้ตสีฟ้าอ่อนมาหนึ่งตัวเพื่อสวมใส่ให้กับคนที่ยังนอนหลับใหลไม่ได้สติอยู่บนเตียง จัดการหยิบเสื้อผ้าที่ชื้นแฉะลงไปซักด้านล่าง... แล้วค่อยแวะขึ้นมาดูอาการพี่สาวของเธอใหม่อีกรอบนั่นล่ะร่างหนาที่พอได้ยินเสียงฝีเท้าคนเดินเข้ามาแกล้งทำเป็นหลับ ใบหน้าคมฟุบลงบนโต๊ะราวกับคนไม่ได้สติให้สมกับที่ซักซ้อมเพื่อขอความเห็นใจเมียก่อนหน้านี้"คุณดล!"คนถูกเรียกใบหน้าซีดเผือดอย่างเห็นได้ชัด ศีรษะก้มต่ำเหมือนคนหมดแรง มือข้างหนึ่งแนบอยู่ตรงข้างลำตัวราวกับไม่รู้สึกตัว จนคนตัวเล็กต้องเขย่าร่างหนาไม่ยอมให้เขาหลับ"คุณดลคะ! คุณอย่าหลับนะ ตื่นมาคุยกับมนก่อน...คุณดล!" เสียงเรียกด้วยความเป็นห่วงจนร่างบางถลาเข้าไปหาพร้อมกับเขย่าคนแกล้งหลับจนหัวสั่นหัวคลอน ทิ้งความโกรธทั้งหมดทั้งมวลก่อนหน้านี้ไว้ข้างหลังจนหมดสิ้น หัวใจแทบหลุดออกจากอกเมื่อเห็นร่างสูงไม่ตอบสนองใด ๆ"คุณดล! ตื่นสิ!" มือเล็ก ๆ สั่นเทา เขย่าไหล่เขาแรง ๆ น้ำเสียงสั่นเครือเต็มไปด้วยความหวาดกลัว "มน..." น้ำเสียงแหบพร่านั้นเอ่ยตอบกลับมาราวกับกำลังฝืนความง่วงงุนเต็มทน"ตื่นมาคุยกับมนก่อน มนจะพาคุณไปโรง'บาล แข็งใจไว้ก่อนนะคะ" เพียงเสี้ยววินาที ที่คนตัวโตพยายามเงยหน้าขึ้นมาช้า ๆ ดวงตาคมทอดมองร่างบางในชุดสวยหวาน มือหนาเอื้อมกอดคนตรงหน้าอย่างต้องการคำปลอบประโลมก่อนตาย ควรเป็นเช่นนั้นสินะ...ตามบทบาทของคนที่กำลังจะตายเพราะพิษงู"ขอฉัน
เป็นเวลาเกือบสัปดาห์ที่วิมลลักษณ์ยอมกลับมากับเขาแต่ไม่ยอมให้คนตัวโตเข้าใกล้แม่แต่น้อย ธราดลยอมแม้กระทั่งไปนอนที่บ้านพักท้ายไร่ที่เคยให้คนตัวเล็กไปอาศัยอยู่ ทั้งที่เธอไม่ได้ขอ เขาแค่อยากชดเชยกับสิ่งที่เคยทำร้ายเธอ ส่วนคนตัวเล็ก...เขาให้สิทธิ์เธอในการอยู่เรือนใหญ่ได้เต็มที่ ทว่าวิมลลักษณ์ก็ขอปฏิเสธ เธอขออยู่ที่เรือนพักรับรองท้ายไร่สะดวกใจกว่า ธราดลยอมรับปากอย่างว่าง่าย เธอสั่งอะไรเขาก็ยินดีทำให้ได้ทั้งนั้น เรียกได้ว่าชี้นกเป็นนก ชี้ไม้เป็นไม้ หรืออยากชี้ดาวชี้เดือนที่อยู่บนท้องฟ้า หากเขาปีนขึ้นไปสอยลงมาให้เธอได้...เขาก็จะทำแม้กระทั่งหน้าที่ในการเก็บกวาดคอกม้าหรืออาบน้ำม้าที่เคยเป็นของวิมลลักษณ์ทั้งหมด เขายินดีรับทำหน้าที่นั้นแทนเธอ ร่างสูงเต็มไปด้วยเหงื่อจากการทำงานหนัก ดยเฉพาะยามที่เจ้าสีนิลสะบัดขนใส่เขาจนเปียกม่อล่อกม่อแล่กไปครึ่งตัว "สีนิล!...ทำไมแกทำกับฉันแบบนี้" บ่นออกไปพร้อมกับชี้หน้าคาดโทษเจ้าม้าสีดำตัวแสบที่ยืนยิงฟันใส่เจ้านายของมันราวกับเห็นเป็นเรื่องตลกขบขัน ฟิ้ว!!!!เสียงปลิวพร้อมกับสิ่งของบางอย่างลอยละล่องตกลงมาที่ศีรษะของเจ้าของไร่หนุ่มอย่างพอดิบพอดี ก่อนจะพบว่ามัน
"คุณดลปล่อยมน!""ปล่อยแน่มน...แต่เราต้องคุยกันก่อน เปิดประตูเข้าไป...ไปคุยกันข้างใน" ข้างในที่ว่าหมายถึงห้องพักของเธอ วิมลลักษณ์นึกแปลกใจที่เขารู้ได้อย่างไรว่าเธอพักที่นี่...ไม่พอคือรู้ด้วยว่าเป็นห้องพักห้องนี้ ทั้งที่เขาเป็นคนเดินนำเธอกึ่งลากกึ่งจูงให้ตามเขามา แต่ก็อย่างว่า...คนอย่างเขามีหรือที่อยากรู้อะไรแล้วจะไม่ได้คำตอบ คนที่บ้าอำนาจตลอดเวลาเช่นเขา...ย่อมทำได้ทุกอย่างอยู่แล้ว"คุยกันข้างนอกก็ได้ค่ะ มนอึดอัด" ตอบออกไปโดยไม่ยอมมองหน้า...คนตัวสูงก็เหลือเกิน...ยืนกักเธอไว้ด้วยวงแขนกว้างทั้งสองข้าง ในขณะที่ร่างบอบบางยืนหันหน้าเข้าหาประตูห้องพัก"ถ้าไม่อายที่จะคุยกันท่านี้ก็แล้วแต่นะ ฉันได้ทั้งนั้น""คุณดล!...เลิกบังคับมนสักที""แล้วเธอหนีฉันมาทำไมล่ะมน ฉันจะเป็นบ้าตายเพราะเธออยู่แล้ว!"เสียงร้องโวยวายเริ่มดังขึ้น จนแขกที่เข้าพักเริ่มเปิดประตูออกมาดูเพื่อหาที่มาของเสียง...ท้ายที่สุดวิมลลักษณ์จึงจำใจยอมเปิดประตูห้องพัก ตั้งใจจะรีบปิดทันทีที่เข้าไปได้ หากมีหรือที่จะทันแรงวัวแรงควายของคนตัวโตหน้าหนาที่ยืนประกบเธอตลอดเวลาอย่างคนเอาแต่ใจ "คุณดล!""จ๋าจ้ะ...คิดถึงมนที่สุดในโลกเลย" ไม่พู
แสงนวลอ่อน ๆ ของพระจันทร์ในยามค่ำคืนลอดสว่างผ่านม่านหน้าต่าง ทาบเป็นลวดลายบนพื้นห้องว่างเปล่า วิมลลักษณ์ยืนเหม่อมองไปยังผืนทะเลเบื้องหน้าที่ทอดยาวสุดลูกหูลูกตาในเวลานี้ลมทะเลพัดโชยบางเบา ร่างบอบบางในชุดเดรสสีขาวเดินเท้าเปล่าไปตามแนวทรายที่เย็นเฉียบ ดวงตาคู่สวยทอดมองออกไปยังผืนน้ำกว้างใหญ่ที่กำลังส่องประกายระยิบระยับเธอไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเพราะเหตุใดจึงพาตัวเองมาที่นี่ รู้แค่ว่า...หัวใจเหนื่อยล้าเกินกว่าจะเผชิญหน้ากับเขาอีก บางครั้งเธอเองก็อยากให้เขามั่นใจ...ว่าเขารักเธอด้วยหัวใจจริง ๆ ไม่ใช่เพียงเพราะความใกล้ชิดผูกพันในช่วงระยะเวลาที่ผ่านมา หรืออาจเป็นเพราะการตอบสนองทางร่างกายของเธอและเขาที่เข้ากันได้ดี วิมลลักษณ์อาศัยจังหวะที่เขากลับไปในเช้ามืดวันนั้น...ก่อนที่ช่วงสาย ๆ คุณหมอจะให้เซ็นอนุญาตให้เธอออกจากโรงพยาบาล ร่างบางพร่ำบอกกับผู้เป็นแม่ให้ปิดเรื่องนี้ไว้เป็นความลับ...เธอใช้ชีวิตอยู่กับท่านในช่วงสองสามวันที่ผ่านมา และพบว่าแม่ของเธอมีคนที่จะสามารถดูแลท่านได้เป็นอย่างดีชายคนนั้นมีวัยใกล้เคียงกับท่านชื่อว่า 'แดเนียล' ความรักของคนทั้งสองแม้ไม่หวือหวาเหมือนความรักหนุ่มสาวแต่วิมลลักษณ
เสียงฝีเท้าเร่งรีบดังขึ้นทันทีที่ประตูลิฟต์เปิดออกไปยังชั้นที่ชายหนุ่มร่างสูงตั้งใจมาหายอดดวงใจของเขาในเวลานี้ เดินเร็วเสียจนใครบางคนที่ตามมาด้วยถึงกับเดินตามไม่ทัน ธราดลผลักประตูเข้ามาในห้องผู้ป่วยอย่างไม่ทันได้เคาะ ดวงตาคมไหวระริกด้วยความกังวล ใบหน้าเขาซีดเผือดอย่างเห็นได้ชัด"น้ารัตน์...""คุณดล..."ธราดลยกมือไหว้คนตรงหน้า ในขณะที่วิมลรัตน์เองก็รีบยกมือไหว้คนตรงหน้าด้วยเช่นกัน นัยน์ตาคมกริบสีนิลจับจ้องไปยังร่างบางที่กำลังหลับตาพริ้มบนเตียงสีขาว เธอนอนนิ่ง ๆ อยู่เช่นนั้น มีเพียงเสียงจังหวะของลมหายใจที่ดังสม่ำเสมอ ริมฝีปากซีดน้อย ๆ ทำให้หัวใจเขาบีบรัดแน่นเข้าไปอีก หากสักพักนายตำรวจหนุ่มจึงตามเข้ามาสมทบ"ผมมีเรื่องอยากคุยกับน้ารัตน์""ได้สิคะ...น้าเองก็อยากคุยกับคุณดลเหมือนกัน"ชายหนุ่มร่างสูงที่กระวนกระวายใจแทบทุกวินาทีรู้สึกใจชื้นขึ้นเมื่อรู้ว่าคนที่เขาเป็นห่วงพ้นขีดอันตราย หากสิ่งที่เขาต้องการจะพุดกับแม่ของเธอ...เป็นเรื่องที่เขาตั้งใจจะทำมานานแล้ว ธราดลเดินนำหน้าหญิงวัยกลางคนออกไปพูดคุยธุระกันด้านนอก ในห้องนั้นจึงเหลือเพียงเยาวภา ประทับจิต และสารวัตรหนุ่มที่เดินมานั่งตรงเก้าอี้ม
แกร๊ก!!!เสียงเปิดประตูเข้ามาพร้อมกับบุคคลที่ยืนอยู่ในนั้นดวงตาเบิกกว้างด้วยความดีใจ แทบไม่เชื่อสายตาเมื่อเห็นหญิงว่าวัยกลางคนในชุดเสื้อคลุมเรียบ ๆ เดินเข้ามา...คือ 'วิมลรัตน์'"รัตน์...รัตน์จริง ๆ ด้วย""ป้ารัตน์!""แม่..."เสียงแผ่วเบาที่แทบจะไม่ได้ยินหลุดออกจากริมฝีปากซีด ๆ ของเธอวิมลรัตน์ยิ้มทั้งน้ำตา ก่อนจะรีบสาวเท้าเข้ามานั่งข้างเตียง จับมือบุตรสาวพร้อมกับดอบกอดร่างบางไว้แน่นเสมือนไม่อยากให้คนตรงหน้าต้องเจ็บปวดทรมานแม้สักนิดเดียววิมลลักษณ์กอดตอบด้วยความคิดถึง เพ่งมองใบหน้าที่คุ้นเคย ใบหน้าที่เธอคิดถึงทุกค่ำคืนความอบอุ่นจากมือที่สั่นเล็กน้อยของแม่ทำให้น้ำตาของเธอไหลออกมาเงียบ ๆ น้ำตาแห่งความดีใจที่ได้เห็นหน้าผู้ให้กำเนิดกำลังกลบน้ำตาแห่งความเสียใจเมื่อครู่ไปโดยสิ้นเชิงแม่ของเธอเองก็กลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่ท่านค่อย ๆ ยกมืออีกข้างลูบศีรษะลูกสาวอย่างแผ่วเบา แล้วเอ่ยออกมาเสียงสั่นด้วยความคิดถึง"แม่ขอโทษ...ที่ปล่อยให้ลูกต้องอยู่ลำพังมาโดยตลอด..."วิมลลักษณ์ร้องไห้สะอึกสะอื้น ซุกหน้ากับฝ่ามือแม่อย่างเด็กน้อยที่เฝ้ารออ้อมกอดอันแสนอบอุ่นมานานแสนนาน"แม่...แม่จ๋า ขอมนไปอยู่กับแม่ด้วยนะ"