กลิ่นฟางเปียกกับกลิ่นม้าอบอวลทั่วคอก ร่างบางของคนตัวเล็กที่ก้มหน้าก้มตาถูพื้นดินที่เปื้อนโคลนและมูลม้าด้วยมือเปล่า ๆ
เสื้อตัวบางยังเปียกชื้นแนบตัว ผมยาวถูกรวบขึ้นลวก ๆ น้ำหยดลงจากปลายเส้นผมขณะเธอขยับมืออย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย ธราดลยืนพิงรั้วไม้ ห่างออกมาไม่กี่ก้าว ดวงตาคมจ้องมองเธอไม่วางตา สีหน้าอ่านอารมณ์ได้ยากนัก แต่ในแววตากลับนิ่งลึกจนแทบสัมผัสได้ถึงอะไรบางอย่างที่ปะทุอยู่เงียบ ๆ ลูกน้องสองสามคนที่ยืนอยู่ไม่ไกล ทำท่าจะเดินเข้ามาช่วย แต่เจ้านายหนุ่มเพียงยกมือขึ้นช้า ๆ ไม่ต้องพูดอะไร เสียงฝีเท้าก็หยุดกึก “พวกนายออกไปก่อน” เขาออกคำสั่งเสียงเรียบ ไม่ต้องเสียงดัง แต่อำนาจแฝงอยู่ในทุกถ้อยคำที่พูด ลูกน้องหันมองหน้ากันเล็กน้อย ก่อนจะรีบก้าวถอยหลังออกจากคอกม้า ทิ้งไว้เพียงความเงียบงัน กับเสียงแปรงขัดไม้ที่คนตัวเล็กยังคงก้มหน้าก้มตาทำต่อไปอย่างมุ่งมั่น เธอรู้ว่าเขายืนอยู่ตรงนั้น เพียงแต่ไม่อยากเงยหน้าขึ้นมอง ไม่ใช่ไม่กล้า...แค่ไม่อยากเห็นคนทำหน้ายักษ์ถมึงทึงก็เท่านั้น “จะล้างให้สะอาดก็ต้องใช้แรงเพิ่มขึ้นอีก” เสียงเข้มเอ่ยขึ้นในที่สุด เธอเงยหน้าขึ้นทันที แววตาต่อต้านผสมความเหนื่อยยิ่งเพิ่มดีกรีความอดทนให้ต่ำลงอย่างเห็นได้ชัด “ไม่ต้องมายืนเฝ้าแบบนี้หรอกค่ะ ฉันอึดอัด!” เธอโพล่งออกไปทั้งที่น้ำเสียงสั่น “ไม่ได้เฝ้า แค่อยากดูว่าเธอจะทำงานได้เก่งเท่าปากรึเปล่า?...ก็แค่นั้น” เขาตอบกลับออกไป แล้วพิงรั้วต่ออย่างใจเย็น ขณะที่เธอแทบอยากจะเขวี้ยงแปรงใส่เขาเสียให้รู้แล้วรู้รอด แดดยามบ่ายแสนร้อนอบอ้าวผนวกกับความชื้นในคอกม้าอบอวลผสมกับกลิ่นฟางและมูลสัตว์ หากร่างบางยังคงกัดฟันแน่นก้มหน้าก้มตาขัดพื้นไม้ด้วยแรงทั้งหมดที่มี เสื้อเปียกชื้นแนบเนื้อเริ่มแห้งแต่เหงื่อก็ผุดขึ้นแทนที่เต็มแผ่นหลัง ลมหายใจเริ่มติดขัด มือที่จับแปรงสั่นเล็กน้อย วิมลลักษณ์กัดฟันแน่น ฝืนตัวเองจนเกินไป ใจบอกให้หยุด แต่วิญญาณของความดื้อดึงยังคงสั่งให้เธอทำต่อ...โดยเฉพาะเจ้านายแสนใจดำอำมหิตคนนั้นที่ยังไม่ยอมขยับเขยื้อนร่างกายไปไหนไกล หากขายาว ๆ นั้นเดินออกไปเพื่อใช้เครื่องฉีดน้ำแรงดันสูง ในการฉีดพื้น ผนังคอก รางน้ำและที่ให้น้ำบริเวณอีกฝั่งของคอก แปรงในมือหลุดลงพื้นตอนที่ร่างบางพยายามยืดตัวขึ้นเต็มความสูง ใจเต้นแรง ร่างกายโงนเงน โลกทั้งใบหมุนคว้างไปหมด เสียงรอบข้างค่อย ๆ จางลง เธอเอื้อมมือคว้าไปบนอากาศ แต่กลับไม่สามารถคว้าอะไรได้เลยสักอย่าง แล้วในที่สุดทุกอย่างก็ดับวูบลง ร่างของเธอทรุดฮวบลงกับพื้น ดีที่ยังมีฟางแห้งรองรับร่างบางนั้นอย่างไร้เรี่ยวแรง เสียงฝีเท้าหนัก ๆ ดังขึ้นในวินาทีต่อมา ธราดลที่ยืนอยู่ไม่ไกลแทบจะพุ่งเข้ามาในทันที “มน! ตื่นสิ!” คนตัวโตทรุดตัวลงข้างเธอ มือใหญ่ประคองไหล่บางขึ้นมา ดวงหน้าเธอซีดเผือด เหงื่อซึมทั่วขมับ ลมหายใจอ่อนแรงจนแทบจับอัตราจังหวะการเต้นของหัวใจไม่ได้ “อย่าเพิ่งตายไปซะก่อนก็แล้วกัน…” เสียงเขาแผ่วลงจนน่าประหลาด ดวงตาคมมองเธออย่างร้อนรน ก่อนจะตัดสินใจช้อนร่างของเธอขึ้นในอ้อมแขน ร่างบอบบางผอมแห้งจนเกินไป รู้ว่าอ่อนแอแต่ก็ยังอวดดี อวดเก่ง ก่อนจะอุ้มร่างบางขึ้นบนหลังม้าโดยมีเขาคอยคุมบังเหียน ปลายทางคือเรือนใหญ่ของเขา...ที่ ๆ เขาไม่เคยนึกอยากให้คนตรงหน้าไปย่างกรายในรอบหลายปีที่ผ่านมา หากมนุษยธรรมที่ยังพอมีหลงเหลืออยู่บอกกับเขาว่า...อย่างน้อยเธอก็ไม่ควรตายในไร่ของเขา ท้ายที่สุดคนอื่นอาจจะมองได้ว่าเขาเป็นฆาตกร...เพื่อเอาคืนในสิ่งที่แม่เธอเป็นคนทำ แม้ใจจะนึกเกลียดคนตรงหน้ายิ่งกว่าสิ่งใดบนโลกทั้งหมด...แต่เหตุผลที่คัดค้านอยู่ภายในความคิดของตนตอนนี้... ล้วนสั่งให้ช่วยชีวิตเพื่อนมนุษย์อย่างเธอเอาไว้เสียก่อน... อย่างน้อยก็จนกว่าจะจับฆาตกรเข้าคุกได้นั่นล่ะ...จึงจะยอมปล่อยเธอไป ธราดลช้อนร่างบางขึ้นแนบอกอย่างรวดเร็ว ฝ่าแขนแกร่งโอบกระชับแน่นราวกับกลัวว่าเธอจะหายไปจากอ้อมกอดได้ทุกเมื่อ ร่างของเธอเบาราวกับขนนก ใบหน้าซีดเซียวซบอยู่กับอกเขาโดยไร้สติ "องุ่น...รีบตามมาเช็ดตัวพี่สาวเธอที!" คนปากหนักสั่งเสียงเข้มเอ่ยบอกสาวน้อยวัยสิบสี่ที่มักจะมาทำความสะอาดเรือนใหญ่กับผู้เป็นแม่ที่กำลังทำอาหารเย็นให้นายนายหนุ่มที่ครัวเป็นประจำ เสียงฝีเท้าของเขาหนักแน่นแต่เร่งรีบ ทันทีที่ถึงเรือนใหญ่ คนตัวโตหน้าดุจึงรีบอุ้มเธอลงจากอานม้าตรงขึ้นไปยังชั้นบนอย่างลืมตัว พาเข้าไปในห้องนอนของเขาเองโดยไม่ลังเล วางร่างเธอลงบนเตียงผ้าห่มสีเข้ม “อย่าอวดเก่งให้มันมากนัก…” เขาพึมพำเบาๆ ขณะย่อตัวลงนั่งข้างเตียง นิ้วมือสัมผัสใบหน้าเธอแผ่วเบา เธอยังไม่ฟื้น แต่หายใจสม่ำเสมอขึ้นนิดหน่อย ก๊อก! ก๊อก! ก๊อก! "ขออนุญาตเข้าไปค่ะนาย" สาวน้อยผมสั้นเต่อที่ฉลาดเป็นกรดไม่ลืมที่จะยกถังใบเล็กพร้อมผ้าขนหนูผืนเล็กติดมือมาด้วยตามคำสั่งของเจ้านายเมื่อครู่ "พี่มนเป็นอะไรเหรอคะ?" เอ่ยถามออกไปตามประสาซื่อ แม้จะนึกแปลกใจอยู่ครามครันว่าเพราะเหตุผลใดนายถึงพาพี่สาวคนสนิทของเธอกลับมาที่เรือนใหญ่ด้วย ปกติเห็นเกลียดกันยิ่งกว่ากิ้งกือไส้เดือน "เป็นลมที่คอกม้าน่ะ ฉันไม่อยากให้คนอื่นเข้าใจว่าฉันใช้งานลูกน้องจนเป็นลมตายไปเสียก่อน" สาวน้อยวัยสิบสี่พยักหน้าอย่างกำลังทำความเข้าใจ เดินกลับมานั่งลงข้าง ๆ แล้วค่อย ๆ เช็ดหน้าผากและซอกคอให้ร่างบางตรงหน้าด้วยความอ่อนโยน... "สงสารพี่มนชะมัด..." สาวน้อยอดพึมพำเบา ๆ ไม่ได้ ด้วยกลัวว่าเจ้านายจะได้ยินแล้วตัวเธอเองจะพลอดถูกเอ็ดไปด้วย “เอ่อ...นายคะ” "มีอะไร?" คนตัวโตนึกรำคายคนตรงหน้าที่เหมือนจะพูดอะไรกับเขา...แล้วก็ไม่พูด "คือ...ตัวพี่มนร้อนมากเลยค่ะ คือ...หนูต้อง..." "ต้องอะไรก็รีบพูดมาสิ...อ้ำ ๆ อึ้ง ๆ แล้วฉันจะรู้ไหม?" เสียงห้วนเอ่ยตอบกลับไปด้วยความร้อนรน...รู้สึกหงุดหงิดแปลก ๆ อย่างควบคุมอารมณ์ตัวเองไม่ค่อยจะได้ สายตาก็คอยชำเลืองมองคนป่วยอยู่บนเตียงที่ยังไม่ยอมตื่นขึ้นมาแม้แต่น้อย "คือหนูต้องเปลี่ยนเสื้อผ้าพี่มนค่ะ ความหมายก็คือต้องถอดเสื้อผ้าพี่มนออกนั่นแหละค่ะ เสื้อผ้าพี่มนเปียกไปหมดเลย แล้วพอเปลี่ยนเสร็จแล้ว...นายจะให้พี่มนใส่อะไรคะ?" ทันทีที่เจ้านายสั่งให้พูดก็ดูเหมือนว่าสาวน้อยตรงหน้าจะพูดรัวและเร็วจนไม่มีช่องว่างในการเว้นจังหวะให้หายใจ ความหมายที่แท้จริงของเธอก็คือ...คนตรงหน้าควรออกไปสักที แต่ก่อนจะออกไปก็ควรบอกให้เธอรู้เสียหน่อยว่า... พี่สาวของเธอที่นอนแบ็บอยู่บนเตียงจะสามารถใส่สิ่งใดห่อหุ้มร่างกายได้ หรือให้นอนเปลือยล่อนจ้อน...อย่างนั้นหรือ? คงไม่เหมาะมั้ง "เสื้อฉันในตู้...เธอหยิบไปให้เขาใส่ได้เลย" "งั้นหนูรบกวนนาย..." "ฉันรู้แล้ว...พอเธอตื่นก็ไล่ให้กลับไปเลยนะ ฉันจะแวะไปที่รีสอร์ตก่อน" คนตัวโตทำทีเป็นไม่สนใจ ก่อนจะเดินปึงปังออกไปจากห้องนอนของตนเอง จนองุ่นอดยิ้มตามไม่ได้ "โธ่เอ้ย!...ทำเป็นไม่สนใจเขา เป็นห่วงล่ะสิ หนูมองออกหรอกน่า" ประทับจิตเอ่ยออกไปพร้อมกับหัวเราะอย่างเต็มเสียง มือบางก็เช็ดเนื้อเช็ดตัวให้พี่สาวคนสวยตรงหน้าไปด้วย แม้เธอจะเป็นเด็กน้อยที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะแต่ก็อดเห็นใจในชะตาชีวิตของวิมลลักษณ์ไม่ได้ ทั้งคำครหาที่คนในไร่ต่างรุมประณามสาปแช่งแม่ของเธอ...จนลามปามมาถึงตัวของผู้เป็นลูกสาวตามความเกลียดชังที่เจ้านายหนุ่มมอบให้ หากคนรักเท่าผืนหนังคนชังเท่าผืนเสื่อฉันใด เชื่อได้ว่าแม่ของเธอก็คงจะอยู่ในกรณีฝั่งผืนหนังที่ว่า ด้วยความที่แม่ของเธอเป็นรุ่นน้องที่สนิทสนมกับแม่ของวิมลลักษณ์นับตั้งแต่ที่บุกเบิกในการทำงานที่ไร่แห่งนี้ใหม่ ๆ หลายปัจจัยที่ท่านเชื่อมั่นว่าวิมลรัตน์ไม่มีทางทำเช่นนั้น...แต่ก็อีกนั่นแหละ หลักฐานจะแก้ต่างก็ไม่มี แถมป้ารัตน์ของเธอก็ยังหนีหน้าหายตาไปหลายปีจนอดคิดไม่ได้ว่าคงจะเป็นเช่นนั้นจริง ๆ แต่ป้ารัตน์ของเธอรักพี่มนมาก...นึกแปลกใจอยู่เหมือนกันว่าทำไมถึงกล้าทิ้งลูกสาวที่เป็นดั่งแก้วตาดวงใจไว้ที่ไร่แห่งนี้เพียงคนเดียว พอคิดไปคิดมาสักพักก็ชักจะปวดหัว...ท้ายที่สุดจึงบอกตัวเองให้เลิกคิดฟุ้งซ่านเสียที...ก่อนจะเดินไปหยิบเสื้อในตู้เสื้อผ้าของเจ้านายที่มองไปมุมไหนก็มีแต่เสื้อเชิ้ตสีอ่อนทั้งนั้น กางเกงสักตัวก็หาไม่เห็น... สาวน้อยวัยสิบสี่จึงตัดสินใจหยิบเสื้อเชิ้ตสีฟ้าอ่อนมาหนึ่งตัวเพื่อสวมใส่ให้กับคนที่ยังนอนหลับใหลไม่ได้สติอยู่บนเตียง จัดการหยิบเสื้อผ้าที่ชื้นแฉะลงไปซักด้านล่าง... แล้วค่อยแวะขึ้นมาดูอาการพี่สาวของเธอใหม่อีกรอบนั่นล่ะเสียงน้ำไหลกระทบจานชามดังเป็นจังหวะเบา ๆ เธอพยายามระมัดระวังมากที่สุดเพื่อไม่ให้น้ำกระเซ็นมาใส่เสื้อเชิ้ตราคาแพงของเขา ในขณะที่คนตัวโตที่กำลังนั่งเอนตัวพิงพนักเหมือนไม่มีอะไรอยู่ในสายตานอกจากภาพยนตร์บนหน้าจอแอลอีดีที่กำลังฉายอยู่ แต่ในความเป็นจริง นัยน์ตาสีนิลกำลังเลื่อนไปทางห้องครัวบ่อยครั้งมากกว่าที่จะมองหน้าจอเสียอีก ดวงตาคมคู่นั้นแอบชำเลืองไปทางเธอเป็นระยะ ๆ ทุกครั้งที่เธอเอื้อมมือไปหยิบจานที่เพิ่งล้าง หรือสะบัดน้ำออกจากมือ เขาก็อดไม่ได้ที่จะเผลอมองอากัปกิริยาของคนร่างบางโดยไม่ให้เธอรู้ตัว ก่อนที่จานใบสุดท้ายจะถูกล้างจนเสร็จสิ้น มือบางคู่นั้นเช็ดมือจนแห้งก่อนจะหันตัวกลับมาทางเขา ธราดลนั่งหลังตรงก่อนจะเบนสายตาไปทางหน้าจอแอลอีดีขนาดใหญ่ พร้อมกับเร่งเสียงภาพยนตร์ที่กำลังฉายอยู่เบื้องหน้าให้ดังขึ้น วิมลลักษณ์ไม่แน่ใจมากนักว่าชุดปฐมพยาบาลยังเก็บไว้อยู่ที่เดิมหรือเปล่า ก่อนที่ดวงตากลมโตจะเหลือบไปเห็นว่ามันวางอยู่สูงกว่าที่ควร มือบางเอื้อมไปหยิบกล่องยาที่อยู่ด้านบนจนปลายเท้าเขย่ง "อ๊ะ...อีกนิดเดียว" ใบหน้าเล็กขมวดคิ้วเล็กน้อยก่อนจะใช้แขนเรียวยืดขึ้นจนสุดความสามารถ อีกเพียง
วิมลลักษณ์ไม่ได้ปรายตามองเขา หญิงสาวยังคงก้มหน้าหลุบตาลงต่ำอย่างทุกครั้งที่มักจะทำเป็นประจำยามที่ต้องเผชิญหน้ากับเจ้านายที่แสนใจร้าย เพียงแค่วันนี้เธอออกจะบ้าดีเดือดกับเขาไปสักหน่อย อดรู้สึกผิดไม่ได้กับสิ่งที่ตัวเองทำกับเขาก่อนหน้านี้ เธอตั้งใจจะหันหลังกลับไปเงียบ ๆ ทว่า"จะไปไหน?"คนตัวโตที่สวมใส่เพียงกางเกงผ้าฝ้ายขายาวเปลือยเปล่าท่อนบนทำเป็นถามเสียงเข้มออกไป มองคนตัวเล็กที่กำลังเดินก้มหน้าก้มตาไปทางครัวอย่างไม่มีทีท่าว่าจะเงยหน้ามองเขาสักนิด "จะไปเก็บถาดค่ะ"ยืนหันหลังตอบ...เธอรู้ว่าตัวเองไม่ควรทำกิริยาแบบนี้กับเขา แต่จะให้ทำยังไงได้ ตอนนี้เธอทั้งหิว ทั้งอาย ทั้งรู้สึกแย่กับตัวเองจนไม่อาจทนมองเขาต่อไปได้ไหว"นั่งกินข้าวกับฉันก่อน""ไม่เป็นไรค่ะ"จ๊อก!!!!บางทีเธอก็นึกเกลียดเสียงท้องตัวเองที่ปล่อยคิวผิดให้เจ้าตัวได้อายซ้ำแล้วซ้ำเล่า หิวน่ะมันก็หิวอยู่หรอก...แต่ศักดิ์ศรีมันค้ำคอมากกว่าน่ะสิ หรือบางทีศักดิ์ศรีอาจประทังชีวิตต่อไปไม่ได้...กองทัพยังต้องเดินด้วยท้องสินะ"จะเย่อหยิ่งให้ได้อะไรขึ้นมา ไม่ได้เต็มใจจะชวนหรอกนะ แค่ไม่อยากเป็นขี้ปากคนอื่นว่าใช้งานลูกน้องเยี่ยงทาส กักขังหน
ร่างหนาในความสูงเกือบหนึ่งร้อยเก้าสิบแซนติเมตรเปลือยกายแกร่งล่อนจ้อนเดินอาด ๆ เข้าไปในห้องน้ำ สิ่งแรกที่ทำคือเปิดฝักบัวให้แรงที่สุด ก่อนที่ร่างสูงจะยืนอยู่ใต้ฝักบัวเต็มความสูงเพื่อดับความร้อนรุ่มภายในกายของตนเอง ร้อนไปทั้งกาย...แต่แข็งอยู่แค่บางส่วน บางส่วนที่ว่าก็ดูเหมือนว่าจะไม่ยอมสงบโดยง่าย มันตั้งโด่ครั้งแล้วครั้งเล่าจนต้องมายืนเมื่อยมือเพื่อรูดเข้ารูดออกมันอยู่อย่างนี้"อะ...อ่า...หลายรอบแล้วนะ!...อ๊า"เสียงบ่นพึมพำในขณะที่ภายในหัวกำลังคิดถึงเรือนร่างนุ่มนิ่มขาวผ่องที่เพิ่งสัมผัสด้วยสองมือหนา ก่อนหน้านี้หลายปีเขาเองก็ต้องยื่นเมื่อยมือเพราะดันเผลอไปเห็นของดีบางอย่างเข้า ภาพนั้นยังติดตา...ตรึงใจ แต่ก็รู้ดีว่าไม่สามารถเปิดเผยทุกอย่างออกไปได้ในตอนนั้น...ยิ่งเรื่องราวกลับตาลปัตรเป็นไปในทางลบเช่นนี้ ยิ่งรู้สึกหงุดหงิดงุ่นง่านกับตัวเองอยากจะโกรธให้มากกว่านี้อยากจะเกลียดให้มากกว่านี้อยากจะร้ายให้มากกว่านี้เป็นร้อยเท่าพันเท่ากับสิ่งที่แม่เธอทำแต่พอเห็นแววตาคู่นั้นที่มองมา เขากลับนึกโกรธนึกเกลียดตัวเองทุกครั้งที่ทำร้ายเธอ...ธราดลรู้ดีว่าไม่สามารถถอยหลังกลับไปยืนในความรู้สึกเดิม ๆ
"กรี๊ด!!!!!!"เสียงกรีดร้องดังขึ้นด้วยความตกใจไม่พอ ทันทีที่เห็นนัยน์ตาคมกริบจ้องกลับมายังเธออย่างคาดโทษ นัยน์ตาอำมหิตที่มองมาจากนอกโลกยังรุ้ว่าเป็นเขา...คนที่เกลียดเธอและแม่จนเข้ากระดูกดำ!"เธอจะร้องแหกปากให้ได้อะไรขึ้นมา! หรือว่าจงใจให้คนอื่นเข้ามาเห็นว่าเธอกับฉันอยู่ด้วยกัน เพื่อจะจับฉันอย่างนั้นเหรอ? แผนโง่ ๆ" เอ่ยออกไปอย่างกระทบกระทั่ง ก่อนจะปล่อยร่างบางให้เป็นอิสระในทันทีราวกับตัวเองจับไปโดนของร้อน...ทั้งที่เจ้าตัวเขาก็ไม่ได้ขอร้องให้ช่วย"ฉันไม่เคยคิดทำอะไรสิ้นคิดแบบนั้น!...และฉันก็ไม่รู้ว่ามาอยู่ที่บ้านของคุณได้ยังไง?""แล้วแต่จะคิด" ร่างหนากับผ้าขนหนูผืนเดียว ตอบออกไปอย่างไม่ยี่หระ...และไม่แม้แต่จะอธิบายสิ่งใดต่อจากนั้น ปล่อยให้คนตัวเล็กที่นั่งอยู่นพื้นเข้าใจไปอีกอย่างร่างบางนั่งก้มหน้าอยู่อย่างนั้น...น้ำตาร่วงหยดลงพื้นช้า ๆ หญิงสาวกัดฟันแน่น ไม่ยอมให้เสียงสะอื้นเล็ดรอดออกมาให้เขาได้ยิน เขาทำร้ายร่างกายเธอด้วยการใช้งานยังไม่พอ นี่ยังทำร้ายจิตใจด้วยการเหยียบย่ำศักดิ์ศรีจนไม่เหลือชิ้นดี ใจคอเขาจะไม่ให้เธอเหลือความภาคภูมิใจไว้กับตัวเองเลยสินะ...แววตาเคียดแค้นฉายแววออกทางดว
"เสื้อผ้าผู้หญิงของนายเหรอน่ะ" ผู้เป็นแม่เอ่ยถามลูกสาววัยสิบสี่ที่นั่งซักเสื้อผ้าในกะละมังใบเล็กอย่างทะมัดทะแมง "ผู้หญิงที่ไหนล่ะแม่? ของพี่มนเขา" "ของมน?" เอ่ยถามออกไปเหมือนไม่อยากเชื่อในสิ่งที่ได้ยินจากปากลูกสาว "ก็นายอุ้มพี่มนมาจากคอกม้า เห็นว่าใช้งานจนเป็นลม...กลัวเป็นขี้ปากคนอื่น" "แล้วเอามาไว้ที่บ้าน? แม่ว่าชักจะแปลก ๆ" "ใช่ไหมแม่? แต่นายคงไม่อยากดูแลเองนั่นล่ะ เลยต้องเอาพี่มนมาด้วย" เด็กสาวเงียบไปอีกอึดใจ...ก่อนจะหันมาสบตาแม่คล้ายจะมีความคิดไปในทิศทางเดียวกัน "ที่แปลกกว่านั้นคืออะไรรู้ไหมแม่?" "แล้วแกจะพูดให้แม่อยากรู้ทำไมเนี่ย...จะเล่าก็เล่ามา แต่อย่าเสียงดังไป หน้าต่างมีหู ประตูมีช่อง" ผู้เป็นแม่ตั้งใจรอฟังประโยคสำคัญจากปากลูกสาว "นายพาพี่มนไปนอนที่ห้อง...ห้องที่ว่าก็คือห้องนอนของนายเอง" "อกอีแป้นจะแตก!" "อุทานได้เชยมากแม่...แค่ขึ้นไปนอนบนเตียง นายไม่ได้ทำอะไรพี่มน...นี่ก็ออกไปรีสอร์ต เดี๋ยวสักพักพี่มนตื่นก็คงกลับไปเองนั่นล่ะ" "รู้แล้วก็เหยียบไว้เลย ไม่ต้องเล่าไปเล่ามา...เข้าใจที่แม่พูดไหม?" น้ำเสียงที่เอ่ยออกไปสั่งกำชับอย่างหนักแน่น ด้วยความที่ทำงานที่นี่มาน
กลิ่นฟางเปียกกับกลิ่นม้าอบอวลทั่วคอก ร่างบางของคนตัวเล็กที่ก้มหน้าก้มตาถูพื้นดินที่เปื้อนโคลนและมูลม้าด้วยมือเปล่า ๆ เสื้อตัวบางยังเปียกชื้นแนบตัว ผมยาวถูกรวบขึ้นลวก ๆ น้ำหยดลงจากปลายเส้นผมขณะเธอขยับมืออย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อยธราดลยืนพิงรั้วไม้ ห่างออกมาไม่กี่ก้าว ดวงตาคมจ้องมองเธอไม่วางตา สีหน้าอ่านอารมณ์ได้ยากนัก แต่ในแววตากลับนิ่งลึกจนแทบสัมผัสได้ถึงอะไรบางอย่างที่ปะทุอยู่เงียบ ๆลูกน้องสองสามคนที่ยืนอยู่ไม่ไกล ทำท่าจะเดินเข้ามาช่วย แต่เจ้านายหนุ่มเพียงยกมือขึ้นช้า ๆ ไม่ต้องพูดอะไร เสียงฝีเท้าก็หยุดกึก“พวกนายออกไปก่อน” เขาออกคำสั่งเสียงเรียบ ไม่ต้องเสียงดัง แต่อำนาจแฝงอยู่ในทุกถ้อยคำที่พูดลูกน้องหันมองหน้ากันเล็กน้อย ก่อนจะรีบก้าวถอยหลังออกจากคอกม้า ทิ้งไว้เพียงความเงียบงัน กับเสียงแปรงขัดไม้ที่คนตัวเล็กยังคงก้มหน้าก้มตาทำต่อไปอย่างมุ่งมั่นเธอรู้ว่าเขายืนอยู่ตรงนั้น เพียงแต่ไม่อยากเงยหน้าขึ้นมองไม่ใช่ไม่กล้า...แค่ไม่อยากเห็นคนทำหน้ายักษ์ถมึงทึงก็เท่านั้น“จะล้างให้สะอาดก็ต้องใช้แรงเพิ่มขึ้นอีก” เสียงเข้มเอ่ยขึ้นในที่สุด เธอเงยหน้าขึ้นทันที แววตาต่อต้านผสมความเหนื่อยยิ่ง