“แม่จ๋า แม่ช่วยชิมไข่พะโล้ของหนูแพรหน่อยซิ” หญิงสาวร้องถามพลางยกชามพะโล้ออกมาให้แม่ที่เพิ่งเดินออกมาจากห้องนอน
“มีอะไรเหรอ ลูกไม่สบายเหรอ ถ้าไม่สบายไม่ต้องไปทำงานก็ได้นะลูก” คนเป็นแม่เข้าใจไปว่าลูกไม่สบายเลยชิมอะไรไม่รู้รส แต่พอตักพะโล้ในชามลองชิมดู รสชาติก็ปกติดี
“ก็อร่อยดีนี่ลูก”
“แพรไม่ได้เป็นอะไรค่ะ พอดีลูกค้าจ้างแพรทำกับไข้พะโล้ค่ะ แพรไม่มั่นใจเลยให้แม่ช่วยชิมก่อน”
“เอ๋? แล้วลูกค้ารู้ได้ไงว่าลูกทำกับข้าวล่ะ” แม่ถามอย่างประหลาดใจ
“สองสามวันก่อน แพรไปทำความสะอาดที่ห้องชุดของลูกค้า แล้ววางปิ่นโตไว้ เขาตื่นมากินข้าวกล่องของแพรแล้วจ้างแพรทำไข่พะโล้ค่ะ”
“มีเรื่องแบบนี้ด้วยเหรอ”
“แต่ดูเขาเป็นคนดีนะคะ ไม่น่าจะมีปัญหาอะไร”
“แล้วลูกบอกหัวหน้าหรือเปล่า”
“เปล่าค่ะ คิดว่าเขาคง..ไม่จริงจังอะไร”
“ปกติบริษัทก็จะมีแม่บ้านที่ทำอาหารได้ ถ้าลูกค้าต้องการเชฟไปทำอาหารที่บ้านก็ต้องติดต่อกับทางบริษัท”
“ถ้างั้นเอาไงดีคะแม่” แพรดาวไม่อยากให้มีปัญหา คนรวยทำอะไรประหลาดอยู่ด้วย
“ครั้งเดียวคงไม่เป็นไร ลูกก็คุยกับลูกค้าดีๆ อย่าไปรับงานนอกเหนือหน้าที่เราอีกก็แล้วกัน”
“ค่ะแม่ งั้นแพรออกไปก่อนนะคะ แพรทำกับข้าวเผื่อแม่กับคุณตาแล้วค่ะ”
“จ๊ะลูก”
แพรดาวเดินไปหิ้วถุงใส่พะโล้กับกล่องข้าวของเธอแล้วรีบออกไปทำงาน เธอต้องตอกบัตรที่บริษัทก่อน แล้วทางบริษัทจะไปส่งตามที่ทำงานที่แต่ละคนมีตาราง บางวันก็ทำงานคนเดียว บางวันก็หลายคนแล้วแต่ที่แต่งาน เดี๋ยวนี้หนุ่มสาวสมัยใหม่ ทำงานไม่ค่อยมีเวลาดูแลห้องพัก คอนโดหรูๆในกรุงเทพฯ หลายแห่งผ่านมือเธอมาแล้วทั้งนั้น บางคนชอบจัดปาร์ตี้ เสร็จงานแล้วก็คือหน้าที่ของพวกเธอ พนักงานทำความสะอาดที่ไม่คอยมีใครเห็นคุณค่า ถึงเธอจะมาทำงานแทนแม่ แต่ก็ต้องเข้าอบรมเหมือนคนอื่น แต่เธอได้เปรียบกว่านิดหน่อยตรงโปรไฟล์ดี จบปริญญาตรี ภาษาอังกฤษพอไหว ลูกค้าชาวต่างชาติมักเรียกใช้งานเธอเป็นประจำ
ขณะเดินออกมาหน้าบ้าน คุณตาบรรพตตื่นเช้าและกำลังรดน้ำต้นไม้ดอกไม้เล็กๆหน้าบ้าน หญิงสาวทักทายปกติเช่นทุกวัน
“คุณตาขา วันนี้มีไข่พะโล้นะคะ” เธอร้องบอกแล้วกำลังจะเดินผ่าน แต่ชายชรากลับเอ่ยถามเธอก่อน ซึ่งปกติคุณตาเจ้าของบ้านแทบไม่เคยชวนเธอคุยเลย
“ช่วงนี้มีอะไรดีๆบ้างไหม?”
“อะไรดีๆของคุณตานี่แบบไหนล่ะคะ” แพรดาวยิ้มทะเล้น “แค่คุณตายังให้แพรกับแม่อยู่บ้านหลังนี้ก็เรียกว่าเรื่องดีที่สุดของแพรแล้วล่ะคะ”
“อย่างนั้นเรอะ” คุณตาแค่พยักหน้ารับ มุมปากมีรอยยิ้มเล็กๆ
“แพรไปทำงานก่อนะคะ”
แพรดาวรีบเดินเร็วๆไปขึ้นรถเมล์ที่หน้าปากซอย กระโดดขึ้นรถเมล์สายที่เธอต้องการ มาถึงบริษัทใช้เวลาสี่สิบนาทีซึ่งเร็วกว่าปกติมาก อาจเพราะยังเช้าอยู่ รีบตอกบัตรแล้วแจ้งว่าวันนี้เธอจะไปที่คอนโดของลูกค้าเอง หญิงสาวต้องนั่งรถเมล์ต่ออีกเวลาเท่าเดิม ลงรถแล้วก็วิ่งกระหืดกระหอบมาคอนโดของผู้ชายประหลาดๆคนนั้น
ดีใจที่เขาไม่ลืมว่าสั่งเธอให้มาเช้า เพราะมาถึงแสดงบัตรกับพนักงานดูแลคอนโดแล้วก็อนุญาตให้เธอขึ้นตึกได้ทันที
ชายหนุ่มลืมตามองเพดานห้องที่คุ้นเคย กะพริบตาอยู่หลายครั้งจนมั่นใจว่าตื่นมาในห้องของตัวเองแล้วจึงยันตัวลุกขึ้นนั่ง เสยผมที่ลงมาปรกหน้า นึกหงุดหงิดที่ผมของเขายาวค่อนข้างเร็ว สองสัปดาห์ต้องไปร้านตัดผมครั้งหนึ่ง สองสามวันนี้เงาดำหายไปไหนนะ ปกติก่อกวนเขาตลอด บางวันแทบไม่ได้ทำงานทำการ
หัสดินปวดต้นคอ ช่วงนี้เขาต้องอ่านเอกสารหนาหลายร้อยหนา มีเรื่องที่ต้องตัดสินใจอย่างเด็ดเดี่ยว ความเครียดทำให้เขาปวดท้ายทอยบ่อยๆ ชายหนุ่มลุกขึ้น เขาสวมเพียงกางเกงผ้าฝ้ายขายาวสีครีม ท่อนบนเปลือยเปล่าด้วยความเคยชิน เดินนวดต้นคอออกมาจากห้องนอน กำลังเดินลากเท้าจะไปเข้าห้องน้ำ นอนแช่น้ำอุ่นในอ่างจากุชี่ แต่จมูกก็ได้กลิ่นหอมๆ ท้องของเขาก็ร้องโครกครากออกมาทันที
กลิ่นนี่... หิวจัง
“อรุณสวัสดิ์ค่ะ” แพรดาวร้องทัก เธอกำลังอุ่นพะโล้ของเขา เธอยิ้มด้วยสีหน้าปกติไม่มีท่าทีขัดเขินหรือจะให้ท่าแต่ประการใด
“เธอ...” เขาพยายามนึกชื่อของผู้หญิงแปลกๆ คนนี้ “พนักงานทำความสะอาด”
“ค่ะ” เอาเถอะ จำชื่อเธอไม่ได้ก็ดีแล้ว เกิดมีเรื่องอะไรขึ้นมา ร้องเรียนเธอไม่ได้ก็แล้วกัน คิดแล้วก็กลั้นหัวเราะ ไม่ได้ใส่ใจที่ถูกจำชื่อไม่ได้
“กาแฟร้อนไหมคะ หรือจะทานข้าวเลย ฉันอุ่นกับข้าวให้อยู่ค่ะ”
“ทั้งสองอย่าง” เขาตอบง่ายๆ แล้วเดินไปทางห้องน้ำ
แพรดาวรู้ว่าเขาไปห้องน้ำ เขามีห้องน้ำขนาดใหญ่ อ่างจากุชี่ที่เธอต้องใช้พลังงานในการทำความสะอาดมากเป็นห้องน้ำที่เธอรู้สึกเซ็กซี่ที่ด้านหนึ่งมันเป็นกระจกใส มองเห็นวิวด้านนอก คงรู้สึกเหมือนแช่น้ำอุ่นบนก้อนเมฆละมั้ง เธอคิดเล่นๆ ถึงเขาจะสั่งแค่ข้าวกล้องกับไข่พะโล้ แต่เธอก็แถมทอดมันปลากรายมาเพิ่มให้เขาด้วย
หญิงสาวยังไม่ชงกาแฟให้เขา รอจนออกมาจากห้องน้ำก่อน ระหว่างนั้น เธอก็ก็เดินไปเก็บเสื้อผ้าในตะกร้าของเขาเตรียมเอาไปส่งซักรีด ห้องของเขาเหมือนไม่มีคนอยู่ โต๊ะ ตู้ เก้าอี้ ทุกอย่างอยู่สภาพเดิมราวกับไม่ถูกขยับ ควรรอให้เขากินอาหารเช้าให้เสร็จก่อนแล้วค่อยทำความสะอาดน่าจะดี
ราวสิบห้านาทีต่อมา เขาเดินตัวเปียกโดยมีผ้าขนหนูผืนใหญ่พันรอบเอว เดินผ่านเธอทั้งที่ไม่จำเป็นต้องผ่านก็ได้เธอขมวดคิ้วรอบทำหน้ายุ่ง เขาไม่ชอบใส่รองเท้าในบ้านหรือไง แล้วจะซื้อมาไว้ทำไมกัน เพราะรอยเท้าของเขามันเป็นรอยย่ำน้ำและเขาอาจลื่นล้มก็ได้
ชายหนุ่มรู้สึกถึงสายตาของหญิงสาวที่จ้องมอง เขาไม่แปลกใจหรอกถ้าเธอจะมอง แต่พอเห็นมองแบบเคืองโกรธ เขาก็อดประหลาดใจไม่ได้
“มีอะไร”
“เปล่าค่ะ” เธอสายหน้าแล้วก้มจดรายการของที่ต้องซื้อให้เขา
“มีซิ” เขายืนยัน
แม้เห็นเพียงแค่แผ่นหลังแต่แพรดาวก็จำได้ หญิงสาวนอนตะแคงมองแผ่นหลังกว้างของชายในชุดดำที่ยืนอยู่ริมเตียงของมารดา เธอขยับตัวลุกขึ้นนั่งขยี้ตาไล่ความงัวเงียออกไป คนตัวสูงรับรู้การเคลื่อนไหวจึงหันมามอง “มิสเตอร์...” แพรดาวเรียกได้แค่นั้นเขาก็ยกนิ้วชี้แตะริมฝีปากเป็นสัญญาบอกให้เงียบๆ เธอพยักหน้าเข้าใจ และเมื่อเขาชี้นิ้วไปทางประตู เธอก็รู้ว่าเขาหมายความว่าอย่างไร มือเล็กยกขึ้นลูบผมสองสามทีแล้วก้มมองตัวเองก่อนลุกขึ้นเดินตามเขาออกไปที่นอกห้อง “การผ่าตัดเรียบร้อยดี?” เขาถามขณะเดินนำเธอมาที่บริเวณจุดที่จัดไว้ให้ญาตินั่งพักผ่อนได้ “ค่ะ ใช้เวลาห้าชั่วโมง ทุกอย่างราบรื่นดี ตอนนี้ก็รอดูผลตรวจชิ้นเนื้อแล้วก็พักฟื้นหลังการผ่าตัดค่ะ ถ้าฟื้นตัวเร็วไม่มีติดเชื้อหลังการผ่าตัดก็จะได้กลับไปพักฟื้นที่บ้าน” “อืม”ชายหนุ่มในชุดดำเอ่ยรับรู้ในลำคอ ดวงตาดุดันมองเส้นผมที่ยุ่งเหยิงเพราะเพิ่งตื่นนอน เขายื่นมือไปลูบอย่างไม่รู้ตัว เส้นผมนุ่มลื่นลูบไม่กี่เข้าที่เข้าทาง ความใกล้ชิดสนิทสนมผสานกับความอ่อนโยนที่ได้รับทำเอาแพรดาวทำตัวไม่ถูก และเหมือนชายหน
เสียงหมัดหนักๆ กระแทกใส่ท้องคนแรงๆ แต่อีกฝ่ายก็ส่งเสียงไม่ได้เพราะมีเศษผ้าอุดปากอยู่ เสียงคนซูดปากเพราะเจ็บแทนแต่ก็ได้แค่ยืนมองเจ้านายกระหนำหมัดและเท้าใส่คนที่สลบไปรอบหนึ่งแล้วแต่ถูกน้ำสาดให้ตื่นมารับหมัดหนักๆอีก “ทำไมวันนี้เจ้านายเราโหดจังวะ” “นั้นสิ ปกติไม่ลงมือเองนะ” “สงสัยอารมณ์ไม่ดี” “ไอ้หมอนั้นซวยเลย” สายตาคมกริบตวัดตามองมาทางลูกน้องสี่คน ที่ยื่นเอามือประสานไว้ด้านหน้าด้วยท่าทีนอบน้อม แต่สายตาดุจคมมีดนั้น ก็ทำให้พวกเขาถึงกับผวาเฮือกจนแทบลืมหายใจกันไปเลยทีเดียว “สงสารมากก็มาให้กูซ้อมนี่” “ไม่สงสารๆครับเจ้านาย” ทั้งสี่ส่ายหน้ารัว “งั้นมาลากมันไป” ดาร์กปรายตามองชายคนหนึ่งที่โดนซ้อมจนแทบมองเค้าหน้าเดิมไม่ออก ทั้งหน้าตาที่บวมปูดและเนื้อตัวที่เต็มไปด้วยบาดแผล “อยู่ดีไม่ว่าดี ดันมาซ่าที่ซีเคร็ท คลับ” ลูกน้องคนหนึ่งบ่นพึมพำแล้วเข้าไปลากคนนั้นออกมา ‘ดาร์ก’ ก้มมองมือตัวเองที่เลอะคราบเลือด ลูกน้องที่ยืนใกล้ๆ รีบเอาผ้าเย็นมาให้เขาเช็ดมือ “คราบเลื
หลายวันมานี่ศรีฟ้าหลับๆ ตื่น ไม่ค่อยได้สติเต็มที่นัก ทุกครั้งจะรู้ว่าแพรดาวอยู่ใกล้เสมอ และรู้ว่าตัวเองทำให้ลูกต้องลำบากและพอรู้ว่าอยู่โรงพยาบาลเอกชนก็ยิ่งกังวลมากยิ่งขึ้น “น่าจะย้ายแม่ไปโรงพยาบาลรัฐนะลูก” “ที่นี่ดีแล้วค่ะแม่ ถ้าไปโรงพยาบาลรัฐ แม่ต้องรอคิวรักษานาน” “แต่ค่ารักษา...” “แม่จ๋าไม่ต้องห่วงนะ เจ้านายของหนูแพรจะช่วยออกให้ก่อนแล้วหนูแพรจะทำงานใช้หนี้เอง เอาล่ะๆ แม่จ๋าห้ามดื้อต้องหายเร็วๆ จะได้ออกจากโรงพยาบาลเร็วๆนะคะ” ศรีฟ้าไม่อยากทำให้ลูกต้องลำบากใจอีกจึงยอมทำตามที่ลูกสาวสั่ง เมื่อครู่ลูกออกไปซื้อของกิน นางก็เลยได้นอนเพียงลำพัง ไม่เคยคิดว่าตัวเองจะกลายเป็นภาระของลูกขนาดนี้ เสียงประตูเลื่อนเปิดออกเบาๆ แต่เพราะในห้องที่ค่อนข้างเงียบทำให้คนที่นอนอยู่ได้ยินและนึกว่าเป็นลูกสาวกลับมาแล้ว ทว่าเมื่อหันหน้ามามองก็เห็นภาพชายคนหนึ่งก้าวเข้ามาใกล้ นางเบิกตากว้าง คนตัวสูงเลื่อนเก้าอี้มานั่งข้างเตียงคนป่วย เขาขยับแว่นตาเล็กน้อยแล้วพูดน้ำเสียงหนักแน่น “พี่จ๋า...ผมยังเรียกแบบนี้ได้ใช่ไหม”
“เนื้องอกที่สมอง” แพรดาวทวนคำที่ได้ยิน ถ้อยคำที่หมออธิบายอาการป่วยของแม่ทั้งหมดเธอจับใจความได้แค่นี้ “ต้องทำการเจาะชิ้นเนื้อ (biopsy) วิเคราะห์ว่าเป็นเนื้อดีหรือมะเร็ง รู้เร็วรักษาเร็วโอกาสกลับมาเป็นปกติก็จะยิ่งเร็วขึ้น” “ครับ คุณหมอรักษาได้เลยครับ” หัสดินเป็นฝ่ายตอบแทนหญิงสาวที่ยืนนิ่งไปแล้ว เขาบีบมือเธอเบาๆ ทำให้อีกฝ่ายได้สติแล้วพยักหน้ารับตามที่เขาพูด หลังจากคุณหมอกับพยาบาลออกจากห้องไปแล้ว แพรดาวก็แทบไม่มีแรงยืนโชดดีที่หัสดินประคองไว้ได้ทันและพาเธอไปนั่งที่โซฟา “แพร...แพรน่าจะสังเกตอาการแม่ได้เร็วกว่านี้” “อย่าโทษตัวเองเลยนะ คนเจ็บคนป่วยเราไม่มีทางรู้ล่วงหน้า” “หมอบอกว่า ถ้าไม่รักษา แม่อาจจะชักและ...” แพรดาวรู้สึกมีก้อนแข็งๆจุกที่คอ “ไม่ต้องกังวลไป หมอที่นี่เก่ง เชื่อใจหมอเถอะ” เขาลูบแผ่นหลังบอบบางอย่างปลอบโยน “เรื่องค่ารักษาก็ไม่ต้องกังวล พี่ช่วยเอง” ได้ยินคำว่า ‘ค่ารักษา’ แพรดาวก็เพิ่งนึกได้ ใครคนหนึ่งก็พูดไว้แบบนี้ “เป็นอะไรไป ไม่ต้องเกรงใจพี่นะ พี
หลังจากเดินออกจากห้องคนไข้พิเศษได้ไม่กี่ก้าว คทาภัทรก็เก็บความสงสัยไว้ไม่อยู่ เขาหยิบโทรศัพท์มือถือโทรหามารดาทันที และเมื่อได้ยินเสียงผู้เป็นแม่ เขาก็ยิงคำถามโดยไม่รั้งรอ “คุณแม่ครับ แม่จำพี่เลี้ยงที่คุณแม่เคยจ้างเมื่อยี่สิบปีก่อนได้ไหม” “จำได้สิลูก มีอะไรเหรอ” “พี่เลี้ยงคนนั้นชื่ออะไรนะครับ” “ชื่อเหรอ...ชื่อจันทร์กระจ่าง” คุณนิตยาแทบไม่ต้องคิดนานเลย เพราะพี่เลี้ยงคนนั้นจ้างมาเป็นพี่เลี้ยงให้ลูกชายแต่ทำงานได้ดีจึงให้อยู่ด้วยกันจนกระทั่งลูกคนที่สองเกิด “คุณแม่ได้ข่าวเธอไหมครับ” “ตอนนั้น ยัยจ๋าลาออกไปแต่งงาน แม่ก็ยังบ่นเสียดายอยู่เลย ติดต่อกันอยู่ครึ่งปีก็หายไป แม่ก็ไม่ได้ถามอะไรอีกเพราะคิดว่าคงจะมีครอบครัวแล้วคงไม่อยากให้เราไปวุ่นวายกับเขา” “จ๋า...ชื่อเล่นชื่อจ๋าใช่ไหมครับ” “ใช่จ๊ะ ตอนเด็กๆ ลูกติดพี่เลี้ยงมากเลยนะ” คุณนิตยาพูดแล้วก็ถอนหายใจ “ถ้าลูกดาวยังอยู่ก็คงดีสินะ” “ครับแม่” “แล้วลูกมีอะไรหรือเปล่า ทำไมอยู่ดีๆ ถามเรื่องนี้” “ไม่มีอะไรครับ จู่ๆ
หัสดินยืนที่หน้าตู้ขายเครื่องดื่มอัตโนมัติ ในมือถือถุงอาหารกล่องที่ซื้อมาจากร้านสะดวกซื้อที่ชั้นล่างของโรงพยาบาล ยืนคิดอยู่ว่าจะซื้อกาแฟร้อนดีไหมเพราะอยากให้เธอพักผ่อนบ้าง เขารู้ดีว่าตอนนี้เธอคงนอนไม่หลับเป็นแน่ งั้นเปลี่ยนเป็นเครื่องดื่มอุ่นร้อนอย่างอื่นดีไหม “คุณหัสดิน?” ชายหนุ่มหันไปตามเสียงที่ได้ยิน เขาหรี่ตามองอย่างครุ่นคิดแต่อีกฝ่ายยิ้มขบขันแล้วเดินเข้ามาใกล้ “ผมคณาภัทรครับ” เขาแนะนำตัวเองแล้วยกมือไหว้อีกฝ่ายตามมารยาทในฐานะที่อายุน้อยกว่า “ลูกชายของพ่อฐากรูกับแม่นิตยาไงครับ คุณหัสดินจำไม่ได้แน่เลย” “อ้อ! ขอโทษด้วย มาเจอแบบนี้เลยจำไม่ได้” “แต่คงจำได้นะครับว่านี่โรงพยาบาลของผม” คณาภัทรยิ้มแล้วดันแว่นตาชิดใบหน้า เขาเห็นอีกฝ่ายทำหน้างุนงงก็ยิ้มกว้างขึ้น “ตอนนี้คุณพ่อยกให้ผมดูแลจัดการทั้งหมดแล้ว” “ยินดีด้วยครับ” หัสดินผงกศีรษะให้ ครั้งก่อนที่เจอยังเห็นแต่งตัวง่ายๆ แต่วันนี้สวมเสื้อสูทผูกเนคไทเลยดูแปลกตาไปสักหน่อย แต่ก็เหมาะสมแล้วสำหรับผู้บริหารโรงพยาบาลเอกชน “คุณดินมาที่นี่มีใครเป็นอะไรหรือ