LOGIN“ฉันพูดได้หรือคะ”
หญิงสาวถามกลับทั้งที่ยังก้มหน้ากับสมุดโน้ตอยู่
“ว่ามา” หัสดินยืนกอดอกเปลือยเปล่าของตัวเอง มองเธอเงยหน้าขึ้น สีหน้าของหญิงสาวบ่งบอกไม่พอใจจริงๆ นั้นแหละ และเขาไม่เคยเห็นใครทำสีหน้าแบบนี้ใส่เขามาก่อน
“คุณเปียก”
“ก็ผมอาบน้ำ” เขายักไหล่
“คุณควรเช็ดตัวให้แห้งก่อน แล้วคุณก็ไม่ใส่รองเท้าแตะในบ้านด้วย คุณมีตั้งหลายคู่ เดินทั้งที่เท้าเปียกคุณจะลื่นล้มได้นะคะ”
เมื่อถูกตำหนิตรงๆ เขาชะงักไปเล็กน้อยแต่เก็บสีหน้าอยู่ ชายหนุ่มไหวไหล่แล้วเดินผลุบหายเข้าไปในห้องก่อนจะออกมาอีกครั้งด้วยเสื้อคลุมสีน้ำเงินเข้ม พอเขานั่งลงที่เก้าอี้ในห้องครัวแล้วเธอก็ยกกาแฟมาให้เขาก่อน แล้วค่อยถอยไปตั้งหลักตามมารยาท
กาแฟร้อนแต่เขายกดื่มแค่สองสามครั้งก็หมดแก้ว เธอจึงยกอาหารมาวางแทนที่
“คุณมาแต่เช้า กินอะไรมาหรือยัง” เขาถาม
“ฉันเอาปิ่นโตมาค่ะ”
“ตอบไม่ตรงคำถาม” เขาทำเป็นบ่น “นั่งกินด้วยกันซิ”
“จะดีหรือคะ”
“ไม่ดีหรอก ถ้าคุณจะยืนกิน” เขาพูดห้วนๆ ซึ่งแพรดาวเริ่มจับทิศทางได้แล้ว เขาเป็นคนพูดสั้นๆ ห้วนๆแบบนี้เอง
เมื่อเห็นว่าเขาอยากให้เธอนั่งกินข้าวด้วยกัน ตอนเช้าเธอรีบออกมาก็ยังไม่ได้กินอะไร เธอจึงเปิดปิ่นโตออกมานั่งกินตรงข้ามเขา แล้วก็นึกได้ รีบหยิบเงินทอนกับกระดาษแผ่นเล็กที่จดรายการอาหารให้เขาทราบว่าเธอใช้เงินไปเท่าไหร่
“เก็บเงินทอนไว้เถอะ”
“จะดีหรือคะ เงินทอนนี่ตั้งแปดร้อยเชียว”
“ค่าทำกับข้าว”
“ขอบคุณค่ะ” เมื่อเขาเต็มใจให้เธอก็ยินดีรับ นั่งกินอาหารเป็นเพื่อนเขาไปเงียบๆ ดูท่าทางเขาจะหิวจริงๆ จนต้องเติมข้าวสวยให้อีกรอบ
“ผมไม่ค่อยได้กินข้าวเช้านานแล้ว” เขาพูดลอยๆขึ้นมา
“ยังมีอีกนะคะ อยู่ในตู้เย็น คุณอุ่นด้วยไมโครเวฟแล้วก็กินได้เลย”
“ทอดมันก็อร่อยดี” เขาเป็นเชฟขนมหวาน แต่เรื่องอาหารคาวเขาก็เป็นนักชิมคนหนึ่ง
“อันนี้ฉันก็ทำเองค่ะ ซื้อกินไม่ค่อยถูกปาก”
“ชอบทำกับข้าวเหรอ”
“เปล่าค่ะ แค่แม่ไม่ค่อยมีเวลา หน้าที่เลยอยู่ที่ฉัน เราไม่ค่อยมีเงินกัน อยากกินอะไรทำกินเองประหยัดที่สุดค่ะ”
เขาเงยหน้ามองเธอเล็กน้อย “คุณอายุเท่าไหร่”
“ยี่สิบสองแล้วค่ะ”
“เรียนจบหรือยัง” เขาเลิกคิ้ว หน้าตาเหมือนเด็กมัธยม ไม่นึกว่าจะอายุเกินยี่สิบแล้ว
“จบได้ครึ่งปีแล้วค่ะ รอรับปริญญาสิ้นปี”
“หือ?” คราวนี้เขาจ้องหน้าเธอจริงจัง
“ตรวจประวัติฉันก็ได้” เธอยืนยันด้วยแววตา
“จบปริญญามาทำงานแบบนี้เหรอ” เขากินทอดมันปลากรายชิ้นสุดท้าย แม้ไม่ได้อร่อยเลิศระดับโรงแรมห้าดาวแต่ก็อร่อยถูกปากเขาทีเดียว
“ทำไมละคะ งานสุจริตนี่” เธอไม่ได้รู้สึกน้อยใจอะไร ถ้าเขาจะดูถูกเธอก็ไม่แปลกหรอก เพราเขาไม่ใช่คนแรกที่ถามเธอแบบนี้
เขายกแก้วน้ำขึ้นดื่ม สายตาสำรวจคนตรงหน้าอย่างเปิดเผย
“คิวงานคุณมาทำความอีกครั้งวันไหน”
“พฤหัสค่ะ”
ชายหนุ่มนิ่งไม่พูดอะไร ดื่มน้ำอีกแก้วแล้วก็ลุกออกไปดื้อๆ เธอเองก็ไม่ถามอะไรเขา เก็บถ้วยชามไปล้าง ครู่หนึ่งเขาออกมาด้วยเสื้อเชิ้ตแขนยาวแต่สวมกางเกงยีนส์สีดำสนิท เธอรู้สึกว่าเขายืนมองเธออยู่จึงเอี้ยวตัวหันไปมอง
ทั้งสองสบตากันหลายวินาที หัวคิ้วของหญิงสาวเริ่มขมวดด้วยความสงสัย
จะให้เธอติดกระดุมเสื้อให้อีกหรือไงนะ ?
“ผมจะไปทำงาน”
“เชิญค่ะ”
“ช่วยติดกระดุมแขนเสื้อให้หน่อย”
แพรดาวทวนคำที่ได้ยิน เห็นเขายืนนิ่งและไม่มีท่าทีจะขยับราวกับย้ำว่าต้องการให้เธอทำอย่างนั้นจริงๆ เธอจึงเช็ดมือกับผ้ากันเปื้อนแล้วช่วยติดกระดุมที่แขนเสื้อทั้งสองข้างให้
“เนคไท”
“คะ” เธอทำตาปริบๆ แต่สุดท้ายก็ก้าวเข้าไปใกล้แล้วจัดการผูกเนคไทให้ นิ้วเรียวงามขยับคล่องแคล่ว ครู่ต่อมาชายหนุ่มก็พร้อมจะไปทำงานแล้ว
แพรดาวมองเขาแล้วเผลอขมวดคิ้วไม่รู้ตัว เขาเหมือนลังเลครู่หนึ่งก่อนถือกระเป๋าหมุนตัวเดินออกไป เธอมองเขาไปจนสุดสายตาแล้วก็ยักไหล่เลียนแบบเขา ไม่ได้สนใจท่าทางแปลกๆของผู้ชายแล้วทำหน้าที่ของตัวเองต่อไป
“ช่วงนี้มีอะไรดีๆบ้างไหม?”
เสียงคุณตาลอยวนเวียนมาในสมอง แพรดาวเอียงคอไปมา แบบนี้น่าจะเรียกว่าเรื่องประหลาดมากกว่าเรื่องดีๆนะคะคุณตา
หัสดินสวมแจ็กเก็ตหนังสีดำสนิทแล้วตามด้วยหมวกกันน็อตเต็มใบ เขาขึ้นคร่อมรถบิ๊กไบค์ของตนแล้วมุ่งหน้าไปบริษัท ใช้เวลาฝ่าการจราจรในกรุงเทพฯ ราวๆ ยี่สิบนาทีก็ถึงที่หมาย หลังจากรถในที่ผู้บริหารแล้ว เขาก็เดินเลี้ยวเข้าไปในห้องน้ำชาย ใบหน้าเคร่งขรึมปรากฏรอยยิ้มและยิ้มจนดวงตาหยีเล็ก เขาไม่ชอบที่ตัวเองฝืนความเป็นตัวเองอย่างนี้ แต่นี่เป็นสิ่งที่เขาทำจนชิน เพื่อให้คนรอบข้างสบายใจ
ตอนนี้เขาคือหัสดิน ผู้ถือหุ้นรองจากหัสวีร์ พี่ชายต่างแม่ของเขา
เขาปรับอารมณ์ครู่หนึ่งก็ออกจากห้องน้ำ ด้วยใบหน้าระบายยิ้มทะเล้น เมื่อเจอพนักหน้าก็กล่าวทักทายอย่างเป็นกันเอง ร่างสูงโปรงชะงักไปเล็กน้อยเมื่อเห็นรมิดา -เลขาข้างกายหัสวีร์
“คุณดิน” รมิดาเรียกชื่ออย่างสนิทสนม “กำลังลุ้นเลยว่าจะมาประขุมผู้ถือหุ้นทันไหม”
“ยังไงก็ต้องมา ไม่งั้นถูกตัดออกจากกองมรดกแน่” หัสดินหัวเราะร่วน “วันนี้ไม่ได้หิ้วขนมมาฝาก ถ้าคุณฝนว่างแวะไปที่ร้านได้นะครับ”
“ค่ะ กินฟรีใช่ไหมคะ”
“สำหรับคุณฝน ฟรีทุกเมนูครับ”
“ไอ้ดิน! มาเตรียมแผนประชุมงานก่อน”
“ครับๆ ทราบแล้วครับท่านประธานพันล้าน”
“คุณดินกินมื้อเช้ามาหรือยังคะ ฝนจะได้สั่งไว้ให้”
“ผมกินมาแล้วครับ ขอแค่กาแฟร้อนก็พอ”
หัสดินตอบแล้วเดินเข้าห้องทำงานของพี่ชาย หัสวีร์ดันแพ้มเอกสารตรงหน้าให้น้องชายร่วมบิดาแล้วเอนหลังพิงพนักเก้าอี้
“สีหน้าดีขึ้น มีอะไรดีๆหรือเปล่า”
“หือ? ผมเหรอ ก็ปกตินี่”
“ไปหาหมอตามนัดหรือเปล่า”
“พี่อย่าห่วงเรื่องไร้สาระของผมเลย”
“ไอ้ดิน นายนี่มันโตแล้วไม่น่ารักเลย” หัสวีร์ส่ายหน้าไปมา เรื่องที่หัสดินเป็นโรคสองบุคลิกนั้น เขาเองก็รู้ แต่ระยะหลังไม่เห็นน้องชายแสดงท่าทีผิดปกติอะไร เขาก็เบาใจลงบ้าง ถึงไม่ใช่พี่น้องแท้ๆ แต่ก็โตมาด้วยกัน ยังไงเขาก็มองหัสดินเป็นน้องชายคนหนึ่ง
ฝ่ามือใหญ่สอดไปใต้เสื้อนอนน่ารัก แล้วหัสดินต้องประหลาดใจเมื่อรู้ว่าผิวเรียบเนียนนุ่มนั้นไม่มีอาภรณ์ชิ้นน้อยปกปิด เขาผละจากริมฝีปากหวานเพื่อให้หญิงสาวได้สูดอากาศหายใจ แม้อยู่ในความมืดเขายังเห็นประกายตางดงามของคนรัก “มันอึดอัด น้องแพรเลยไม่ได้ใส่...” แพรดาวพูดเสียงเบาหวิว ปกตินอนคนเดียวก็ใส่ชุดนอนแต่ไม่ใส่ชุดชั้นใน และตั้งแต่แต่งงานกันมาก็ไม่เห็นว่าสามีหมาดๆ จะเป็นฝ่ายเริ่มอะไรสักนิด แรกๆ แพรดาวถึงกับหาชุดชั้นในเซ็กส์ซี่มาใส่ แต่เพราะเขาหลับเป็นตายเธอก็ก็ถอดใจ ไม่คิดว่าคืนที่ไม่ได้เตรียมตัว เขาจะเป็นฝ่ายเริ่มแบบนี้ “ไม่ใส่อะไรนอนก็ได้นะ งั้นพี่ถอดด้วยน้องแพรจะได้ไม่เขิน” หัสดินยิ้มทะเล้นให้แล้วขยับตัวถอยออกมาเพื่อถอดเสื้อนอนของตัวเองออก สายตาของแพรดาวปรับกับความมืดในห้องได้แล้วจึงเห็นร่างกายกำยำของคนรัก เขาโน้มตัวแล้วพูดเสียงพร่า “พี่ดินเป็นของน้องแพรแล้วอยากมองก็มองอยากจับลูบคลำตรงไหนก็ได้” เขาดึงมือเล็กมาวางบนแผ่นอกของตน แพรดาวเขินอายแต่ก็ลองลูบกล้ามเนื้อแน่นของคนตรงหน้า เพียงการสัมผัสแผ่วเบากลับปลุกเร้าเลือดในกายให้เดือดพล่านจนเข
แพรดาวเพิ่งได้พบหน้าคุณพ่อคุณแม่ของหัสดินครั้งแรกก็ตอนที่ผู้หลักผู้ใหญ่มาพบหน้าเพื่อเจรจาการสู่ขอและแต่งงาน คุณแม่ของหัสดินดูเป็นกังวลอยู่ไม่น้อยแต่พอได้คุยกันตามลำพังและรู้ว่าเธอรู้เรื่องที่เขาเป็นโรคสองบุคลิกแล้วและอยู่ระหว่างการรักษาตัว ‘ถ้าหนูแพรไม่รังเกียจ ก็ฝากลูกชายแม่ด้วยนะจ๊ะ’ ‘จะรังเกียจได้ยังไงคะ พี่ดินยังไม่เคยรังเกียจตอนที่น้องแพรเป็นแค่แม่บ้านกับเด็กเสิร์ฟเลยค่ะ และไม่ว่าจะเป็นเชฟดินหรือมิสเตอร์ดาร์ก น้องแพรก็รักทั้งสองคนค่ะ’ สวนเรือนหอนั้น สร้างขึ้นใหม่ในบริเวณเดียวกับคฤหาสน์ตระกูลศาตนันท์ ตอนนี้อยู่ระหว่างการก่อสร้าง สองหนุ่มสาวตัดสินใจพักด้วยกันที่คอนโดของหัสดิน ‘จะไม่คับแคบไปเหรอ อยู่คอนโดสองคนแบบนั้น’ คทาภัทรอดเป็นกังวลไม่ได้ แต่อีกส่วนก็ดีใจเพราะอยู่ใกล้กัน ‘ดีเสียอีก ห้องเล็กดูแลง่าย เลี้ยงแมวก็ได้ แล้วก็ใกล้ที่ทำงานด้วยค่ะ’ ตั้งแต่ตัดสินใจรับการรักษา แพรดาวไม่เห็นบุคลิกของมิสเตอร์ดาร์กเลย เพียงแค่บางครั้งเธอรู้สึกเหมือนทั้งสองคนรวมอยู่ในร่างผู้ชายตรงหน้า เชฟดินที่ดูอ่อนโยนขี้เล่นเส
การปรากฏตัวของสองหนุ่มตระกูลศาตนันท์ ทำให้นักข่าวและช่างภาพหันไปสนใจแสงแฟลชวูบวาบชวนตาพร่า แม้คนมากมายเพียงใดแต่สายตาของหัสดินมีเพียงแพรดาวเท่านั้น หัสวีร์เดินเข้ามาแล้วยกมือไหว้ผู้ใหญ่ทั้งสองท่าน เขาสวมสูทสีน้ำเงินเข้มจนเกือบดำในขณะที่น้องชายต่างมารดาสวมสูทสีดำลบบุคลิกเชฟหนุ่มขี้เล่นไปหมดสิ้น “ผมเป็นตัวแทนตระกูลศาตนันท์ แต่คิดว่าอีกไม่กี่วันญาติผู้ใหญ่ของเราจะขอเข้าไปเยี่ยมเยือนทักทายที่บ้านนะครับ” คทาภัทรได้ยินก็กระตุกยิ้มมุมปาก ดูเหมือนจะมีคนรีบร้อนแต่งงานจริงๆ “เรื่องที่ควรทำให้ถูกต้องก็ควรรีบทำ ใช่ไหมครับคุณคทาภัทร” หัสวีร์พูดขึ้นอย่างรู้ทัน เอาเถอะอย่างไรวันข้างหน้าก็เป็นญาติกันแล้ว เขาจะมาใส่ใจท่าทีไร้สาระนี้เพื่ออะไร คนเป็นพ่อแม่ย่อมมองออกว่าลูกสาวมีใจให้ใคร ทำให้ถูกครรลองย่อมดีกว่าปล่อยให้ลูกสาวไปค้างแรมกับผู้ชายโดยไม่มีสถานะที่ชัดเจน แล้วแพรดาวก็สัญญาแล้วว่าต่อให้แต่งงานแล้วก็จะยังทำงานที่บริษัทอัครเวช ครอบครัวของศาตนันท์เองก็อยู่กรุงเทพฯ ไม่ได้ห่างกันไกลจนมาเยี่ยมเยือนกันไม่ได้ หัสดินก้าวเท้าเข้าไป
ขอบตาของคทาภัทรดำคล้ำเพราะอดนอน ในขณะที่น้องสาวหน้าชื่นตาบานจนน่าหมั้นไส้ เพิ่งคุยกันเรื่องนี้แท้ๆ แต่แพรดาวกลับมาค้างคืนกับหัสดิน แม้รู้ว่าน้องสาวทำตามที่พูดแน่นอน แต่เขาก็ไม่สบายใจอยู่ดี “พี่ภัทร” แพรดาวเข้าไปกอดเอวพี่ชาย การมีพี่น้องนี้ดีแบบนี้เองเหรอที่ผ่านมาใช้ชีวิตกับแม่จ๋าแค่สองคน หนีเจ้าหนี้บ้าง หลบซ่อนคนต้องย้ายโรงเรียน ผ่านเรื่องมากมายสุดท้ายก็ได้อยู่กับครอบครัวและคนที่รัก คทาภัทรได้แต่ถอนหายใจแล้วก็ยิ้มบางๆ เคยจินตนาการไว้เขาต้องเป็นพี่ชายที่หวงน้องสาว ใครจะมาจีบน้องต้องผ่านเขาก่อน นี่พอเกิดขึ้นจริงเขาก็อดปวดหัวไม่ได้เลย แต่ทำอย่างไรได้เล่า ก็เขามีน้องสาวคนเดียว และเป็นคนที่เขาเคยทำหายไป “เอาล่ะๆ ไม่ได้ยอมรับไอ้ เอ่อ หัสดินหรอกนะ” “ค่ะ น้องแพรทราบแล้ว” หญิงสาวไม่อยากกวนอารมณ์พี่ชาย ทุกอย่างคลี่คลายไปได้ด้วยดีแล้วก็ไม่อยากให้มีเรื่องไม่สบายใจอีก “ทำไมพี่ภัทรไม่ชอบพี่ดินล่ะคะ” “พี่ก็ไม่ชอบทุกคนที่เข้าใกล้น้องแพรนั้นแหละ” เขาสารภาพไปตามตรง “แต่ที่สำคัญ หัสดินไม่ใช่คนดีนักหรอก” แพรดาว
แพรดาวออกมาจากห้องน้ำด้วยชุดนอนเสื้อยืดตัวยาวลายหมีพูห์สีเหลืองอ่อน กางเกงขาสั้นแต่เหมือนไม่ได้ใส่อะไร ชายเสื้อยืดยาวคลุมสะโพกอย่างพอดี มือเล็กก็ดึงชายเสื้อลงอีกแต่มันก็ไม่ได้ช่วยอะไรนัก กลิ่นบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปทำให้แพรดาวเดินไปตามกลิ่นหอมๆ ทีแรกก็ไม่คิดว่าตัวเองจะหิว แต่พอได้กลิ่นอาหารท้องก็ร้องทันที “โทษทีนะ พี่หลับไปนาน ไอ้มิสเตอร์ดาร์กมันยัดแต่เบียร์ไว้ในตู้เย็น มีบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปอยู่ กินรองท้องไปก่อน ถ้าไงพี่จะโทรสั่งอาหารมาให้อีกที” “ไม่เป็นไรค่ะ นี่ก็เยอะนะคะ” เธอยิ้มเขย่งปลายเท้าเพื่อเปิดตู้ชั้นบนเพื่อหยิบชาม แต่หัสดินเอื้อมมือไปหยิบก่อน “ไปนั่งรอดีๆ” เขาพูดน้ำเสียงอ่อนโยน แล้วก็ยิ้มเมื่อเห็นว่าเธอทำตามอย่างว่าง่ายก็อารมณ์ดีขึ้น เขาตักบะหมี่ใส่ชามแล้วยกมาบริการให้ จากนั้นก็ยกชามของตนเองมาวางแล้วนั่งลงฝั่งตรงข้าม “ว้าว วันนี้เชฟดินต้มบะหมี่ให้กินเลยนะเนี้ย” แพรดาวยิ้มทะเล้นแล้วกินบะหมี่ในชามของตน “เอาไว้คราวหน้าจัดให้ทั้งคาวและหวานครบเซ็ต” “จะรอค่ะ” แพรดาวสูดเส้นบะหมี่อย่างมีควา
จูบ? แบบนี้เรียกจูบที่ไหนกัน ไอ้ดินมันไม่ได้สอนเลยหรือไงนะ นั้นคือสิ่งที่มิสเตอร์ดาร์กคิด แต่สิ่งที่แพรดาวทำคือรวบรวมความกล้าทั้งหมดที่มีประกบริมฝีปากกับเขาก่อน เพียงสัมผัสเบาๆกลับทำให้จิตใจที่ว้าวุ่นสงบลง เธอผละจากริมฝีปากเขาแล้วกลับมานั่งที่เดิม อยากจะต่อว่าแต่ก็ทำไม่ลง ชายหนุ่มจึงได้แต่ส่ายหน้าไปมาก่อนยิ้มมุมปาก “มิน่า ไอ้ดินมันถึงได้หลงเธอนัก” “พูดแบบนี้หมายความว่าไง” แพรดาวย่นจมูกใส่ “หรือว่า...แพรไม่คู่ควรกับพี่ดินเหรอคะ” “สมัยไหนแล้วมาใช้คำโบราณแบบนี้” เขาหัวเราะแล้วนึกอยากสูบบุหรี่ แต่นึกได้ทิ้งบุหรี่และไฟแช็กไปนานแล้ว “แล้วทำไมมิสเตอร์ดาร์กพูดแบบนั้นละคะ” “ก็เธอไม่ทิ้งเขา ทั้งที่รู้ว่าเขาเป็นคนโรคจิต” “ก็ไม่ใช่ฆาตกรนี่คะ” เธอยิ้มบางๆออกมา “ตอนที่น้องแพรเป็นแค่แม่บ้าน พี่ดินก็ใจดีกับแพรมาก หรือตอนที่แพรเป็นพนักงานเสิร์ฟที่ซีเคร็ทคลับ มิสเตอร์ดาร์กก็ดูแลแพร ไม่ว่าทั้งจะเป็นมิสเตอร์ดาร์กหรือพี่ดิน แพรก็รักทั้งสองคนมาก แพรให้คุณมีความสุขกับชีวิต...”







