สถานที่ ภายใน ห้องนอน เวลา เที่ยงคืน
คุณเคยจมน้ำไหม? น้ำที่มีแต่โคลนตม ...โคลนที่ทะลักเข้าปาก เท้าที่แตะไม่ถึงพื้น และมือที่พยายามไขว่คว้าหาสิ่งยึดเหนี่ยว
ผมกำลังรู้สึกเช่นนั้นในวินาทีนี้....
ผมไม่ได้รู้สึกอย่างนี้บ่อยนักหรอก มันจะโถมเข้าใส่ในสภาวะที่ตัวเองกำลังเผชิญกับปัญหาที่หาทางออกไม่ได้อยู่เสมอ อาการนั้นเสมือนคนโรคประสาท ย้ำคิดย้ำทำ คิดอยู่แค่ว่าจะไปให้พ้นสภาพที่เป็นอยู่ ทั้งๆที่ไม่รู้ว่าจะไปไหน ไปอย่างไร แต่สุดท้าย ผมเลือกที่จะเดิน...เดิน...เดิน...และเดิน...
ผมไม่ใช่คนชอบแก้ปัญหา แต่เป็นนักตัดปัญหา ตัดมันทิ้งๆไปซะให้มันพ้นๆตัวก็พอแล้ว ชีวิตมันก็แค่นี้ สั้นยาวก็เท่านี้ อยู่ไม่นานนักหรอก ยังไงก็ตายอยู่ดี
แปลกนะ... คนเราหนีความตายไม่พ้น แต่เพรียกหาความตายเสียเหลือเกิน ความตายนั้นสวยงามนักหรือ? ถึงได้ปรารถนานักยามเมื่อมีปัญหา มันคือทางออกแห่งปัญหาทั้งมวลหรือ? แต่ครั้งหนึ่ง.. ผมก็ใช้มันเพื่อเป็นทางออกของปัญหา และใช้มันเป็นการเรียกสายตาคนในครอบครัวให้เหลียวแล
วัยเด็กของผมไม่สดใส วัยรุ่นก็ไม่หวือหวา ชีวิตมันพลิกตะแคงให้เผชิญโลกอีกด้าน..ด้านที่ทำให้ดวงตาทั้งคู่มองการหมุ่นเปลี่ยนเวียนวนแห่งสรรพสิ่งและสรรพเสียงในแง่ร้าย “กร้าน” คำจำกัดความวิถีชีวิตของผม การพยายามตื่นจากฝันร้าย อาจสร้างตัวตนอีกคนขึ้น พี่ชายต่างแม่ของผมเรียกคนๆนั้นว่า ‘ดาร์ก’ ฟังดูเท่ห์เชียว
เคยไหม? ตื่นขึ้นมาแล้วมีคราบเลือดเปรอะเปื้อนที่มือทั้งสองข้าง มีรอยกรีดเป็นทางที่ข้อมือ มีแผลเป็นริ้วๆที่ต้นขา แต่คุณไม่รู้ว่าแผลเหล่านั้นได้มาตอนไหน อย่างไร?! แต่โชคดีหรือเปล่าก็ไม่รู้ที่แผลไม่ลึกนัก ทำให้แม่ไม่ทันสังเกตเห็น ช่วงนั้น ผมเห็นแม่ที่เฝ้ารอพ่อ แม้ว่าพ่อจะให้เงินแม่ใช้มากมายแค่ไหน แต่สถานะของแม่ก็เป็นแค่เมียเก็บ และผมก็ลูกนอกสมรส
“ไอ้ลูกเมียน้อย!”
ความหวังดีของผู้ใหญ่ที่อยากให้ผมเรียนโรงเรียนดีๆ แต่กลายเป็นเขาที่ถูกเพื่อนในห้องเรียนกลั้นแกล้ง ซ้ำร้ายคือเรียนโรงเรียนเดียวกับหัสวีร์ ผมไม่มีปัญหากับหัสวีร์เลยสักนิด คนๆนั้นเป็นคนที่คอยช่วยผมมาตลอดแม้ปากจะร้ายไปสักหน่อยก็ตาม และไม่ได้สนิทกันแบบพี่น้องท้องเดียวกัน เขายังมีความ ‘ไว้ตัว’ ไม่สนิทกับผมมากนัก แต่ถ้ารู้ว่าใครรังแกผม เขาจะเข้าช่วยทันที
คุณเคยจมน้ำไหม? น้ำที่มีแต่โคลนตม ...โคลนที่ทะลักเข้าปาก เท้าที่แตะไม่ถึงพื้น และมือที่พยายามไขว่คว้าหาสิ่งยึดเหนี่ยว..
หลายครั้งที่ผมผวาตื่นขึ้นกลางดึก เหงื่อไหลโทรมเต็ม ผมมองฝ่ามือตัวเองกลัวว่ามันจะเปื้อนเลือด
ใช่ ผมกลัว ...กลัวว่าจะเผลอทำร้ายตัวเอง.. ในนาทีนั้นผมรู้ว่าผมไม่เพรียกหาความตายมิได้ปรารถนามัน แต่กลัว..ความหวาดกลัวที่ไม่อาจอธิบายได้ ผมเริ่มตระหนักถึงการมีชีวิตอยู่ การมีตัวตนอยู่ในโลกใบนี้ แม้จะเป็นมีค่าเพียงเศษธุลี แต่มันก็คือชีวิต..ชีวิตของผม
เพราะต้องการกลบเกลือนจิตใจที่บอบช้ำ ผมยิ้มร่าเริงต่อหน้าทุกคน แม้คนที่รังแกผม ผมก็เดินเลี่ยง ไม่นานนัก ผมได้ยินว่าคนที่ชอบแกล้งผมประสบอุบัติเหตุบาดเจ็บเพราะตกบันได และต่อจากนั้น...อีกคนก็รถบิ๊กไบค์ล้ม
ไม่มีคนแกล้งผม ผมควรสบายใจใช้ชีวิตปกติ ผมเริ่มสนใจการทำอาหาร แรกที่เดียวมันเริ่มจากการช่วยแม่ในครัว ไปๆมาๆ ผมกลับรู้สึกว่าการอยู่ในห้องครัวมันทำให้จิตใจของผมสงบ ไม่ฟุ้งซ่าน
“ดินไม่ชอบทำกับข้าวแต่ชอบทำขนม ดินไปเรียนทำขนมดีไหมแม่”
“ดินชอบอะไรก็ทำเถอะลูก...แต่ว่า..แม่ก็อยากให้ลูกเรียนจนจบมหาวิทยาลัยและช่วยแบ่งเบาภาระคุณหัสวีร์เขานะ”
แม่ไม่ได้พูดถึงพ่อ แต่ให้เกียรติลูกชายของสามีมากกว่าอีก และเมื่อย้ายมาคฤหาสน์หลังใหญ่ หัสวีร์ให้การยอมรับฐานะของสองแม่ลูก ทำให้คนอื่นไม่มีใครกล้ากลั่นแกล้งทั้งสอง
เรื่องที่แม่พลั้งมือทำร้ายเขา มีเพียงแค่ไม่กี่คนที่รู้ คุณปู่กับคุณย่าแม้เดิมที่ไม่พอใจสองแม่ลูกนักแต่ต่อมาก็ยื่นมือช่วยเหลือ ส่งแม่ของเขาไปรักษาตัวที่โรงพยาบาลด้านจิตเวช ช่วงนั้นเองที่คุณปู่กับคุณย่าเป็นคนเลี้ยงดูเขา
เคยไหม? ความรู้สึกที่ถูกโอบกอดด้วยความโดดเดี่ยว ถูกกอดรัดด้วยความอ้างว้าง ความเดี่ยวดายช่างหนาวเหน็บเป็นดั่งเข็มเล่มเล็กๆทิ่มแทรกผสมผสานในอณูเนื้อแห่งวิญญาณ มันปวดเจ็บได้แต่เก็บซ่อนจนดวงตาไร้ซึ่งความอ่อนโยน ผมเรียนเริ่มรู้วิธีผ่อนคลายและหลีกหนีสภาวะที่เรียกว่า “จมน้ำ” สร้างตัวตนขึ้นมาใหม่ เป็นในสิ่งที่ตัวเองเป็น ผมเริ่มรู้ตัวว่ามีตัวตนอีกคนก็เพราะลายมือของผมอยู่ในสมุดบันทึกเล่มนั้น ผมเขียนบันทึกเพื่อระบายความรู้สึก แต่มันกลับเป็นเครื่องยืนยันว่าผมมีอีกคนในตัวเอง
‘อย่ากลัว ฉันกับนายก็คนเดียวกัน’
อาจเพราะต้องการตอบแทนบุญคุณ หรือเพราะได้ปลดปล่อยตัวตนอีกคนของผมเอง ‘ดาร์ก’ จึงเป็นตัวผมอีกคนที่ทำธุรกิจมืด ในโลกมืดนั้น ทุกคนยอมรับ ‘ผม’ ยอมสยบใต้เท้า ผ่ายแพ้อย่างสิ้นท่า ไม่มีใครกล้าเหิมเกริมเมื่ออยู่ต่อหน้าดาร์ก ทุกคนรู้แค่ว่า ‘ดาร์ก’ คือผู้คุมธุรกิจมืด เป็นมาเฟียหนุ่มที่ไม่มีใครกล้ากระตุกหนวดเสืออย่างเขา
สถานที่ : ภายใน ห้องนอน เวลา 9.00 น.
ชายหนุ่มที่ยังไม่ได้หลับ นั่งเคาะแป้นคีย์บอร์ดเพื่อสรุปงาน เขารู้ว่าการหลับของเขาคือการตื่นของ หัสดิน ทั้งสองใช้ร่างกายเดียวกัน หากพักผ่อนไม่เต็มที่อีกคนก็จะย่ำแย่ไปด้วย แต่เขามีเรื่องที่ต้องจัดการ อีกไม่นาน ซีเคร็ท คลับ ไนต์คลับสุดหรู ก็จะเปิดกิจการเต็มรูปแบบ เขาต้องวางระบบจัดการให้ดี หลังจากเขา ‘หลับ’ หัสดินจะได้ตื่นมาอ่านรายงานและจัดการงานที่ค้างได้
เขาเซฟไฟล์งานเรียบร้อยแล้วลุกขึ้นบิดตัวไปมา เดินไปทิ้งตัวนอนบนโซฟาแทนที่จะเป็นเตียงนอนหนานุ่ม เขาคิดจะเอนหลังหลับตาสักครู่หนึ่งค่อยเก็บขวดเหล้าไปซ่อนไว้
เสียงประตูห้องเปิดออกและปิดอย่างแผ่วเบา การเคลื่อนไหวเงียบเฉียบทำให้เขาประหลาดใจ หรือจะเป็น ศัตรูที่ต้องการชีวิตของเขา!
หญิงสาวหลับๆ ตื่นๆ มาหลายวัน เธอไม่แน่ใจนักว่าผ่านมากี่วัน ทุกครั้งที่รู้สึกตัวจะมีมืออบอุ่นคอยกุมมือเธออยู่เสมอ จนกระทั่งวันนี้ตื่นเต็มตาก็พบว่าแม่นิตยานั่งอยู่ใกล้ๆ “คุณแม่...” น้ำเสียงแหบแห้งดังขึ้นแผ่วเบา แต่กระนั้นคุณนิตยาที่นั่งก้มอ่านข้อความในโทรศัพท์มือถือก็ได้ยิน เมื่อหันไปมองก็พบดวงตาคู่สวยปรือตามองมาทางนาง “ตื่นแล้วเหรอลูก” “หนูหิวน้ำ...” “จ๊ะๆ เดี๋ยวแม่รินน้ำให้นะ” คทาภัทรได้ยินเสียงจึงหันมาดู เขาเก็บโทรศัพท์มือถือแล้วเดินมาประคองน้องสาวให้นั่งเอนหลังพิงหัวเตียง แพรดาวอ้าปากงับหลอดดูดน้ำที่คุณนิตยาส่งให้แล้วดูดน้ำในแก้วด้วยความกระหาย “เบาๆลูกเดี๋ยวสำลัก” ดื่มน้ำไปหมดแก้วแล้วค่อยรู้สึกดีขึ้นมาหน่อย หญิงสาวกวาดสายตาไปรอบๆ พบว่าเป็นผู้ป่วยพิเศษ เธอจึงเอ่ยถามคทาภัทร “พี่ภัทรคะ...ที่นี่...” “โรงพยาบาลของเราเอง” “น้องแพรจำได้แค่ว่าเป็นลมในบ้านไร่แล้วที่เหลือก็จำอะไรไม่ได้เลย” หญิงสาวมองไม่เห็นคุณฐากูรก็อดเป็นกังวลไม่ได้ “คุณพ่อล่ะ
หลังจากปล่อยหมัดหนักๆ ใส่คนงานจนมันล้มหน้าคว่ำไปกับพื้นดินแล้ว ธามไทก็ตวัดตามองชายอีกคนที่เตะคนงานในไร่สองคนหมอบไปถึงสองคน เขาหรี่ตามองแล้วสาวเท้าไปยื่นมือไปหมายจะหยิบหมวกที่อีกฝ่ายสวมอยู่ แต่หัสดินปัดป้องมือข้างนั้นตามสัญชาติญาณ มืออีกข้างพุ่งไปหมายซัดเข้าที่เบ้าหน้าฝ่ายตรงข้าม “อย่าค่ะพี่ดิน!” แพรดาวพุ่งเข้าใส่ร่างหัสดินจากด้านข้าง ชายหนุ่มเสียหลักแต่สองเท้ายังมั่นคงไม่ล้มลงไปทั้งสองคน แพรดาวกอดเอวหัสดินแน่นแล้วเงยหน้าขึ้นมอง “อย่าทำร้ายคุณธามไทนะคะ แพรขอร้อง” “น้องแพร...” อารมรณ์กรุ่นโกรธเริ่มลดลง แทนที่ด้วยความปวดใจที่เห็นว่าคนรักขอร้องแทนผู้ชายคนอื่นอยู่! “ทำไมนายมาอยู่ที่นี่!” ธามไทตวาดอย่างหัวเสีย ทั้งที่เขาระวังดีแล้วแท้ๆ แต่ไอ้หมอนี้มาเหยียบถึงถิ่นเขาได้! เมื่อเปิดตัวเร็วขนาดนี้ เขาก็ไม่จำเป็นต้องหลบซ่อนอีก หัสดินถอดหมวกแก็ปแล้วโยนทิ้ง ยกมือขึ้นเสยผมยุ่งๆ ให้เข้าที่ ดวงตาคมหรี่มองอีกฝ่ายอย่างดูแคลน “ก็มารับตัวผู้หญิงของกูนะสิ!” สิ้นเสียงของหัสดิน ลูกน้องที่ตามมาด้วยก็เข้ามาประกบผู
หัวหน้าประยงค์กวาดตามองชายหนุ่มสามสี่คนที่เข้ามาสมัครทำงานในไร่ เป็นอย่างนี้เสมอ คนเก่าไปคนใหม่เข้ามาแทนที่ วัยรุ่นวัยแรงงานอยู่ทำงานไม่ค่อยทนเท่าไรนัก ที่นี่ห่างไกลตัวเมืองและแสงสี “ถอดหมวกสิ” ประยงค์สั่งชายหนุ่มที่สวมหมวกแก๊ปอยู่ อีกฝ่ายก็ทำตามสั่งอย่างว่าง่าย เขาพยักหน้าแล้วใช้โทรศัพท์มือถือถ่ายรูปบัตรประชาชนของแต่ละคนไว้เป็นหลักฐาน “ก็อย่างที่บอกค่าแรงรายวัน รับเงินทุกสิบห้าวัน เริ่มงานเลยไหม” “ได้ครับหัวหน้า” ‘ไม่อยู่ถึงขนาดนั้นหรอก’ หัสดินใส่หมวกตามเดิม เขาหันไปพยักหน้าให้ลูกน้องที่ตามมาด้วย เขาไม่ได้สนใจว่าหัวหน้าคนงานสั่งอะไร สายตากวาดมองไปทั่ว สำรวจเส้นทาง จำนวนคนและที่สำคัญมองหาใครบางคนที่ทำให้หัวใจของเขาร้อนเป็นไฟ ‘พิกัดล่าสุดของแพรดาวอยู่บริเวณนี้ หรือใกล้เคียงที่นี่ ถ้าไม่เพราะเกรงใจอัครเวชซึ่งเป็นว่าที่พ่อตาแม่ยายของเขาแล้วล่ะก็...เขาคงยกกำลังคนของตนมาถล่มชิงตัวแพรดาวไปไม่สนใจใครทั้งนั้น’ “นี่ๆ นังหนู หิ้วกระติกน้ำให้มันดีๆหน่อย น้ำมันหกหมดแล้ว” ประยงค์ตะคอกคนงานใหม่ท
“ฉันไม่รู้เรื่องนี้” ครั้งนี้การะเกดพูดความจริง หลายปีที่ผ่านมาไม่ได้ข่าวของเด็กผู้หญิงคนนั้น แม้เธอก่นด่าลูกชายทุกวี่วันที่พบหน้า จนลูกไม่อยากอยู่บ้านทั้งที่สร้างคฤหาสน์หลังใหญ่โตให้ทว่าลึกๆ แล้วกลับรู้สึกว่าการหาไม่พบนั้น อาจดีกว่าได้พบก็เป็นได้ “ถ้าอย่างนั้น...” ฐากูรหันไปมองลูกชาย เพราะข่าวที่ได้มาจากหัสดินก็ชัดเจนว่าธามไทเป็นคนจับตัวแพรดาวไป “มันก็ยี่สิบปีแล้ว” การะเกดถอนหายใจหนักหน่วง เพื่อนรุ่นราวคราวเดียวกับเธอ ลูกๆ ของแต่ละคน ต่างก็มีหลานมาให้อุ้มกันแล้ว ชีวิตที่จมกับความโกรธแค้นของเธอทำให้ธามไทไม่เคยมีใคร เพราะทุ่มเททำในสิ่งที่เธอต้องการเท่านั้น เงินที่ใช้ตามหาเด็กคนนั้นก็หมดไปหลายล้านแล้ว “คุณน้ารู้ไหมครับว่า ธามไทจับน้องสาวของผมไปที่ไหน” “มั่นใจจังนะว่าลูกชายฉันจับตัวลูกสาวเธอไป” การะเกดพูดด้วยน้ำเสียงไม่พอใจนัก “ไปกับผู้ชายคนอื่นหรือเปล่าก็ไม่รู้” “ไม่ครับ เพราะว่า...” คทาภัทรขยับแว่นตาแล้วตัดสินใจพูดไปตามจริง “เพราะที่ผ่านมาผมตามหาน้องสาวมาตลอด และทุกอย่างเชื่อมโยงไปที่นรบดี ตอนที่เจอ
หลังจากท่องเที่ยวต่างประเทศนานนับเดือน ทันทีที่กลับถึงกรุงเทพฯ คุณการะเกดประหลาดใจที่เห็นคนเคยรู้จักมาเยี่ยมเยือนถึงบ้าน“เกิดอะไรขึ้น คนตระกูลอัครเวชยกโขยงมาเยื่อนบ้านนรบดีได้” คุณฐากูรสูดลมหายใจลึก ในขณะที่คุณนิตยายืนจับมือคทาภัทรลูกชายคนโต คุณการะเกดเองก็ประหลาดใจ สองครอบครัวไม่ถูกกันมานานเป็นยี่สิบกว่าปี แม้ติดตามข่าวอยู่เสมอตามประสาคนในแวดวงเดียวกัน และเจอกันตามงานสังคมบ้าง แต่ก็ไม่เคยมาเจอกันที่บ้านแบบนี้“นั่งก่อนสิ ประเดี๋ยวจะคิดว่านรบดีไร้มารยาท” การะเกดอยู่ในวัยเดียวกับนิตยา ถ้าจะพูดให้ถูกทั้งสองก็เคยเป็นเพื่อนสนิทกันมาก่อน อัครเวชฐานะร่ำรวยตั้งแต่รุ่นปู่ทวด จากต่างนรบดีที่สร้างเนื้อสร้างตัวด้วยตนเอง สามีของเธอคือไพศาลเดิมที่เป็นร่วมโรงเรียนเดียวกับฐากูร ที่ไพศาลได้เข้าโรงเรียนดีๆ ได้ก็เพราะเรียนดีได้ทุนเรียนฟรี จากที่สามีมักเล่าให้ฟังเสมอ คือทั้งสองช่วยเหลือกันและกัน กระทั่งเรียนมหาวิทยาลัย ครอบครัวอัครเวชก็ให้ทุนค่าเล่าเรียน จนกระทั่งทำงาน สามีของเธอก็ยังทำงานที่อัครเวช แต่แน่นอนว่า ทุกคนต้องใฝ่ฝันอยากมีกิจการของตัวเอง เป็นเจ้าคนนายคน และเธอเองก็สนับสนุนสามีให้ท
แพรดาวถูกส่งตัวมาทำงานในไร่มันสำปะหลัง ธามไททิ้งเธอไว้กับหัวหน้าคนงานชื่อประยงค์ เป็นชายร่างใหญ่วัยสี่สิบปลายๆ พ่อม่ายเมียทิ้งไปอยู่กับนักร้องคาเฟ่ในเมือง ประยงค์เห็นผู้หญิงที่เจ้านายเอามาทิ้งไว้ก็ขมวดคิ้ว ถึงจะบอกให้ ‘ใช้งานตามใจ’ แต่ดูแล้วคงทำตามใจไม่ได้ เหมือนโดนโยนเผือกร้อนใส่มือยังไงไม่รู้ หญิงสาวรูปร่างเล็กแต่สู้งานไม่น้อย เขาชี้นิ้วสั่งให้ทำอะไรก็ทำ ให้หิ้วกระติกน้ำไปให้คนงานก็ไม่มีอิดออด เจ้าพวกหนุ่มๆในไร่เห็นแล้วก็มองตาเป็นมัน เขาต้องใช้ร่างกายตัวเองบังสายตาไอ้พวกนั้นไว้ ยังไงก็ผู้หญิงของเจ้านาย สำหรับแพรดาวแล้ว งานเหล่านี้ไม่ได้นักหนาอะไรเลย แต่เพราะทำงานตากแดดและยังถูกลักพาตัวมาอีก เธอจึงรู้สึกหน้ามืดวิงเวียน แต่พยายามประคองตัวเองไว้ จนถึงเวลาเลิกงาน หัวหน้าประยงค์จึงเรียกเธอขึ้นรถกระบะมาส่งที่บ้านของเจ้านาย “พรุ่งนี้ฉันต้องทำอะไรบ้างคะ” “พรุ่งนี้ค่อยว่ากัน” “ขอบคุณค่ะ” แพรดาวยกมือไหว้แล้วลงจากรถ เธอยืนลังเลครู่ใหญ่ กำลังเตรียมใจว่าจะต้องเจออะไรบ้าง ก็เป็นจังหวะที่บานประตูเปิดออกพร้อมร่