หลังจากประชุมผู้ถือหุ้นผ่านไป หัสวีร์รั้งตัวน้องชายให้อยู่ก่อน ชายหนุ่มอายุห่างกันสองปี รูปร่างก็ใกล้เคียงกัน เค้าโครงหน้าก็คล้ายกัน แต่หัสดินเป็นหนุ่มไทยแท้ในขณะที่พี่ชายเป็นลูกครึ่ง ในห้องทำงานของผู้บริหารระดับสูง มีห้องด้านข้างสำหรับออกกำลังกายและห้องอาบน้ำ หัสวีร์เป็นพวกชอบออกแรง แม้แต่ห้องพักในคอนโดสุดหรูก็มีเครื่องออกกำลังกายที่นั้น
“ซ้อมมวยเป็นเพื่อนพี่สักสองสามยกสิ”
“อย่างพี่วีร์นี่นะสองสามยก” หัสดินเบ้ปากแล้วเลื่อนปมเนกไทลง แม้ปากจะพูดแบบนั้นแต่ก็เดินตามพี่ชายไปที่ห้องออกกำลังกาย หลังปิดประตูห้อง สองหนุ่มก็ถอดเสื้อเชิ้ตออกเหวี่ยงไปด้านข้าง ริมฝีปากบางคลี่ยิ้ม หัสวีร์กระโดดฟุตเวิร์คไปมาแล้วออกหมัด หัสดินเบี่ยงตัวหลบอย่างว่องไว
“เฮ้! จะไม่ใส่นวมก่อนเหรอ”
“ไม่ไว้ใจคนที่นายเรียกว่าพี่ชายเหรอ” หัสวีร์ออกหมัดใส่แต่หัสดินไม่โต้ตอบเอาแต่หลบซ้ายเบี่ยงขวาไปมา “ฉันไม่ให้หน้าเป็นรอยหรอกน่า”
‘ไม่ให้หน้าเป็นรอย’
คล้ายความทรงจำในวัยเด็กถูกกระตุ้น แววตาของหัสดินเปลี่ยนเป็นไปและเปลี่ยนจากหลบหลีกเป็นพุ่งหมัดเข้าใส่ หัสวีร์ผิวปากแล้วเบี่ยงตัวหลบหมัดของหัสดิน พี่ชายต่างมารดาผิวปากแล้วยิ้มยียวน
“หมัดหนักแค่นี้เองเหรอ ไอ้กระจอก”
ใบหน้าหล่อเหลาขมกรามแน่นจนเป็นสันนูน หัสดินเหวี่ยงหมัดใส่ไม่ลดล่ะ หัสวีร์หมุนตัวมาด้านหลังแล้วใช้ท่อนแขนล็อกลำคออีกฝ่าย
“ใจเย็นดาร์ก ฉันแค่อยากคุยกับนาย”
ได้ยินเรียกชื่อ ‘ดาร์ก’ หัสดินจึงหยุดการเคลื่อนไหว เขาตบท่อนแขนของหัสวีร์เป็นเชิงให้ปล่อย หัสวีร์เห็นว่าอีกฝ่ายไม่โต้ตอบแล้วจึงยอมคลายวงแขนออกแล้วเดินไปหยิบผ้าขนหนูโยนให้หัสดินแล้วจึงหยิบของตนเองมาเช็ดหน้า
“ไม่เจอกันเป็นเดือนเลยนะ”
หัสวีร์ที่รู้ความลับของหัสดิน ‘ดาร์ก’ คือบุคลิกที่สองของหัสดิน เบื้องหน้าใครๆ ต่างรู้ว่าหัสดินน้องชายของเขาเป็นเชฟขนมหวาน ใบหน้าแย้มยิ้มและอ่อนโยนเสมอ แต่อีกภาคน้อยคนจะรู้คือ ‘ดาร์ก’ มันน่าจะเริ่มเมื่อ9ปีก่อนที่เขาสังเกตความแตกต่าง หลายครั้งที่หัสดินจำอะไรไม่ได้ไปชั่วขณะ ตัวหัสดินเองก็เหมือนไม่รู้ แต่คิดว่าเพราะตัวเองคร่ำเคร่งการสอบเข้ามหาวิทยาลัย จนกระทั่งหัสวีร์เจอหัสดินมีเรื่องทะเลาะวิวาทกับเพื่อนในชั้นเรียนและเขาเป็นคนไปพบอาจารย์แทนผู้ปกครอง จึงสังเกตว่าหัสดินไม่เหมือนหัสดิน
‘จะเรียกผมว่าอะไรก็ช่าง ยังไงผมกับไอ้ดินก็คนเดียวกัน’
หัสวีร์เคยเห็นแต่ในซีรีย์ ไม่คิดว่าจะเจอกับน้องชายต่างแม่ของตนเอง เขาก็ไม่รู้ว่าโรคซึมเศร้าที่แม่ของหัสดินกำลังรักษาตัวอยู่นั้นส่งผลให้หัสดินเป็นอย่างนี้หรือไม่ จนเมื่อหัสดินได้สติกลับมาเป็น ‘ดิน’คนเดิม เขาจึงพูดคุยกับน้องชายและบังคับให้ไปพบจิตแพทย์
โรคสองบุคลิก หรือที่เรียกอย่างเป็นทางการว่า โรคบุคลิกภาพแยกตัว (Dissociative Identity Disorder - DID) เป็นโรคทางจิตเวชชนิดหนึ่งที่ผู้ป่วยจะมี "หลายตัวตน" อยู่ในร่างเดียวกัน ตัวตนแต่ละตัวอาจมีชื่อ อายุ เพศ ความคิด ความรู้สึก ความทรงจำ และพฤติกรรมแตกต่างกันอย่างชัดเจน
แนวทางการรักษา การรักษาโรคสองบุคลิกเน้นการทำให้ผู้ป่วย “รวมตัวตน” เข้าหากันได้มากขึ้น และรับมือกับบาดแผลในอดีตอย่างปลอดภัย การรักษาหลักๆ คือ จิตบำบัด (Psychotherapy) เช่น การพูดคุยแบบลึกๆ เพื่อทำความเข้าใจตัวตนแต่ละตัว, การเยียวยาบาดแผลในอดีต และช่วยให้ตัวตนต่างๆ เรียนรู้ที่จะทำงานร่วมกัน การใช้ยา ไม่มียารักษา DID โดยตรง แต่แพทย์อาจสั่งยารักษาอาการที่มาควบคู่ เช่น โรคซึมเศร้า, วิตกกังวล, หรือปัญหานอนไม่หลับ การสร้างความปลอดภัย คือสอนผู้ป่วยให้รู้จักวิธีดูแลตัวเองและหลีกเลี่ยงสิ่งกระตุ้นที่อาจทำให้อาการแย่ลง
‘การรักษาโรคนี้ต้องใช้เวลา นานหลายปี และความอดทนสูง เพราะมันไม่ใช่แค่เรื่องของการรวมตัวตน แต่คือการรักษาบาดแผลลึกๆ ของจิตใจด้วยครับ’
นั้นเป็นเรื่องที่เขาคุยกับจิตแพทย์ เดิมทีจิตแพทย์ต้องการคุยกับ ‘ผู้ปกครอง’ แต่หัสวีร์อาศัยที่ตัวเองโตเกินวัย ขอรับผิดชอบชีวิตของหัสดินเอง
‘ผมไม่อยากรักษา เป็นแบบนี้ก็ดีอยู่แล้ว’
‘นี่ดินหรือดาร์กพูด?’
‘หือ? คุณเรียกผมว่อะไรนะ’
‘ดาร์ก ก็นายมันด้านมืดของไอ้ดินนี่’ หัสวีร์ยักไหล่
‘ก็ดี ชัดเจนดี’ หัสดินยักไหล่ไม่ได้สนใจนัก ‘ยังไงผมก็ต้องเป็นด้านมืดของตระกูลศาตนันท์อยู่แล้ว’
‘นายไม่จำเป็นต้องทำเรื่องสกปรกพวกนั้น ฉันหาคนทำงานแทนได้’
‘แต่ไม่มีใครดูกิจการเหล่านั้นได้ดีเท่าคนในตระกูลอีกแล้ว’ คนที่ถูกเรียกว่าดาร์กหยิบกระป๋องเบียร์ขึ้นดื่ม ครั้งนั้นหัสวีร์ประหลาดใจเพราะค่อยเห็นน้องชายดื่มเครื่องดื่มพวกนี้ ไอ้หมอนั้นอ่อนแอ ชอบทำตาแดงๆ เหมือนคนจะร้องไห้ตลอดเวลา และอ่อนโยนกับสัตว์ตัวเล็กๆ แต่ไม่กล้าเลี้ยง
‘ผมไม่รักษา คุณก็เห็นว่าคนอื่นรังแกดินยังไง ถ้าไม่มีผมอยู่...ใครจะดูแลดิน คุณเองก็จะไปเมืองนอก หรือไม่คุณก็รอกลับเมืองไทยแล้วค่อยรักษาผมก็ได้’
หัสวีร์ก็เป็นห่วงน้องชายต่างแม่ เขาเคยสัญญากับหัสดินว่าจะดูแลเขาไม่ให้ต้องเจอเรื่องเจ็บปวดอีก แต่ใครจะดูแลคนๆหนึ่งไปได้ทั้งชีวิต คนๆ นั้นเองก็ต้องยืนด้วยลำแข้งตัวเอง
‘เอางั้นก็ได้’
แต่กระนั้นเขาก็ให้หัสดินพบจิตแพทย์เป็นประจำเสมอสมำ เพราะเกรงว่าจะมีเรื่องส่งผลต่อสุขภาพหรือร่างกายของเขาเอง
ตระกูลศาตนันท์มีธุรกิจหลายด้าน ตั้งแต่รุ่นปู่ทวดก็เป็นนักเลงเก่าเลี้ยงคนไว้มากมาย แม้วันเวลาผ่านมาเปลี่ยนผ่านรุ่นแล้วรุ่นเล่า เป็นตระกูลที่ร่ำรวยติดอันดับต้นๆ ของเอเชีย ในขณะเดียวกันก็เป็นที่กล่าวถึงในธุรกิจสีเทาที่ทำอยู่ ซึ่งหัสดินรับหน้าที่ดูแลกิจการเหล่านั้น อาจเพราะฉากหน้าเป็นเชฟหนุ่มอ่อนโยนใจดี ไม่ค่อยสนใจธุรกิจของครอบครัว เป็นเจ้าของกิจการร้านเบเกอรี่สุดหรูที่ลูกค้าต้องจองคิวถึงจะได้นั่งในมุมที่ดีที่สุด ลิ้มรสความอร่อยของเมนูต่างๆ บุคลิกของดาร์กทำให้ปกครองดูแลธุรกิจได้เป็นอย่างดี
“คุณมีอะไรจะคุยกับผมเหรอ” ดาร์กถามหลังเช็ดเหงื่อแล้ว
“ซีเคร็ท คลับที่จะเปิดสาขาใหม่ไปถึงไหนแล้ว”
“ไม่มีปัญหาอีกไม่เกินหนึ่งเดือนก็เรียบร้อย”
ซีเคร็ท คลับ เป็นไนต์คลับสุดหรู รับเฉพาะลูกค้าVIP ที่มีบัตรสมาชิกเท่านั้น
“ฉันคงไม่ได้ไปดู นายจัดการเองได้ใช่ไหม”
“ไม่มีปัญหา นอกจากคุณไรอันจะไม่ไว้ใจผม” ดาร์กพูดยิ้มๆ ระหว่างเขากับหัสวีร์มีความห่างเหินไม่สนิทสนมเหมือนตอนที่เป็น ‘ดิน’
ชื่อเล่นของหัสวีร์ คือ วีร์ เป็นชื่อที่เรียกกันเฉพาะคนในครอบครัว แต่ชื่อไรอันเป็นชื่อเล่นที่เรียกทั่วไป เวลาที่ดาร์กปรากฎตัวมักจะเรียกหัสวีร์ว่าไรอัน แต่ถ้าดินปรากฏตัว จะเรียกเขาว่า พี่วีร์ แบ่งแยกกันชัดเจนจนหัสวีร์อยากจะเขกหัวไอ้น้องชายต่างแม่คนนี้
“ก่อนคลับจะเปิด ฉันจะไปดูกิจการเสียหน่อย”
“ได้ครับ”
“ไอ้หมอนี่ไม่น่ารักจริงๆ”
หัสวีร์ส่ายหน้าไปมา แต่ดาร์กกลับยิ้มมุมปาก เขาก็เป็นแบบนี้ ตัวตนนี้ที่ปกป้องดินที่แสนอ่อนแอ เอ่อ อ่อนโยนคนนั้น
สถานที่ ภายใน ห้องนอน เวลา เที่ยงคืน คุณเคยจมน้ำไหม? น้ำที่มีแต่โคลนตม ...โคลนที่ทะลักเข้าปาก เท้าที่แตะไม่ถึงพื้น และมือที่พยายามไขว่คว้าหาสิ่งยึดเหนี่ยวผมกำลังรู้สึกเช่นนั้นในวินาทีนี้.... ผมไม่ได้รู้สึกอย่างนี้บ่อยนักหรอก มันจะโถมเข้าใส่ในสภาวะที่ตัวเองกำลังเผชิญกับปัญหาที่หาทางออกไม่ได้อยู่เสมอ อาการนั้นเสมือนคนโรคประสาท ย้ำคิดย้ำทำ คิดอยู่แค่ว่าจะไปให้พ้นสภาพที่เป็นอยู่ ทั้งๆที่ไม่รู้ว่าจะไปไหน ไปอย่างไร แต่สุดท้าย ผมเลือกที่จะเดิน...เดิน...เดิน...และเดิน... ผมไม่ใช่คนชอบแก้ปัญหา แต่เป็นนักตัดปัญหา ตัดมันทิ้งๆไปซะให้มันพ้นๆตัวก็พอแล้ว ชีวิตมันก็แค่นี้ สั้นยาวก็เท่านี้ อยู่ไม่นานนักหรอก ยังไงก็ตายอยู่ดี แปลกนะ... คนเราหนีความตายไม่พ้น แต่เพรียกหาความตายเสียเหลือเกิน ความตายนั้นสวยงามนักหรือ? ถึงได้ปรารถนานักยามเมื่อมีปัญหา มันคือทางออกแห่งปัญหาทั้งมวลหรือ? แต่ครั้งหนึ่ง.. ผมก็ใช้มันเพื่อเป็นทางออกของปัญหา และใช้มันเป็นการเรียกสายตาคนในครอบครัวให้เหลียวแล วัยเด็กของ
บทนำ “แพรดาว” หญิงสาวในวัยยี่สิบสอง เธออยู่กับ “ศรีฟ้า”แม่ของเพียงสองคน แพรดาวเรียกแม่ว่า “แม่จ๋า” จนติดปาก ตั้งแต่จำความได้เธอก็มีเพียงแม่จ๋าคนเดียว ไม่ปรากฏญาติพี่น้องที่ไหน ชีวิตสองแม่ลูกหาเช้ากินค่ำล้มลุกคลุกคลานมาด้วยกัน จนมาตอนนี้เช่าบ้านหลังน้อยอยู่ เธอเองก็ทำงานพิเศษมาตั้งแต่ยังเด็ก อะไรที่พอช่วยเหลือแม่จ๋าได้ ก็ทำทุกอย่าง ขอเพียงงานสุจริต เธอก็ไม่อายที่จะทำมัน หกเดือนก่อนแม่จ๋าของแพรดาวประสบอุบัติเหตุ โดยรถมอเตอร์ไซค์ชนได้รับบาดเจ็บสาหัส อยู่ห้องไอซียูนานครึ่งเดือนก่อนจะออกมาพักรักษาตัว แพรดาวเพิ่งเรียนจบคณะบริหารมาหมาดๆ ยังหางานทำไม่ได้ ด้วยความที่ต้องการใช้เงิน เธอจึงทำงานในตำแหน่งของแม่ไปก่อน ระหว่างนี้เธอก็ยื่นใบสมัครงานไปทั่ว แต่ก็ยังไม่มีข่าวดีมาเสียที ตอนนี้เลือกงานไม่ได้ มีอะไรก็ทำไปก่อน แพรดาวบอกกับตัวเอง เธอไม่ได้รังเกียจงานที่ตัวเองทำอยู่ เพียงแค่อยากทำงานให้ตรงสายงานที่เรียนมาก็เท่านั้น “หนูแพร” หญิงสาวหันไปตามเสียงเรียก พนักงานในชุดสีฟ้าสดใสโบกมือเรียกก่อนที่ร่างอวบอ้วนจะวิ่งมาถึง
รอยน้ำเจิ่งนองบริเวณหน้าบ้านทำให้ต้องชะงักเท้าอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะมองหาสาเหตุ แพรดาวกวาดสายตาไปทั่วหน้าบ้านสองชั้นหลังเล็กที่อยู่เข้ามาในซอยประมาณห้าร้อยเมตร ร่างชายชราวัยหกสิบเจ็ดปีก้มๆเงยๆอยู่บริเวณแปลงปลูกดอกไม้เล็กๆหน้าบ้าน ปลายสายยางอยู่ในอ่างบัวน้ำล้นจนมีปลาหางนกยูงออกมานอนดิ้นเล่นน้ำอยู่บนพื้นดินเฉอะแฉะ “น้ำท่วมแล้วคุณตา” แพรดาวรีบสาวเท้าเดินเข้าไปปิดก๊อกน้ำ ชายชราหันมามองทำหน้าเหรอหราแต่ยิ้มให้จนเห็นฟันหลอซี่หน้า หญิงสาวรวบกระโปรงยาวคลุมเข่าสีดำก่อนทรุดตัวลงนั่งยองๆข้างๆ ชายชราที่กำลังสาละวนกำการย้ายต้นไม้ในกระถางลงดิน จนเผลอลืมดูน้ำที่เปิดใส่อ่างบัว มือหยาบและเหี่ยวย่นค่อยๆช้อนปลาหางนกยูงตัวน้อยนอนดิ้นรนบนพื้นดินกลับสู่พื้นน้ำดังเดิม คุณตาทำเหมือนไม่มีเธออยู่ใกล้ดูแลต้นไม้ใบหญ้าของตาต่อไป “คุณตาบรรพต คะ” บรรพตคือชื่อคุณตาเจ้าของบ้านเช่าที่แสนใจดี เรียกไม่ดังนัก แต่เหมือนคุณตาจะไม่สนใจเธอ หญิงสาวได้แต่ยิ้มเหงาๆ แล้วลุกขึ้นเดินเข้าบ้านเช่าของตัวเอง บ้านสองหลังปลูกใกล้กันในเนื้อที่บริเวณเดียวกัน หลายปีก่อนที
ชายชรานั่งอยู่ที่เก้าอี้เอนหลัง รู้สึกตัวว่ามีคนเข้าก็ขยับตัวอย่างเกียจคร้าน จ้องมองคนที่ก้าวเข้ามายืนตรงหน้า“คุณเองรึ” เสียงแหบแห้งเอ่ยาถาม “ไม่ได้เจอนาน”“ความจำดีจริงๆ” ชายหนุ่มร่างสูงโปร่งเอ่ยขึ้น ร่างสูงในชุดเสื้อเชิ้ตสีดำพับแขนเสื้อถึงข้อศอก เข้ากับรองเท้าหนังที่สวมอยู่ การเดินเข้ามาราวกับคนคุ้นเคยทำให้อีกฝ่ายเลิกคิ้วเล็กน้อย“ไม่เจอกันกี่ปีแล้ว” บรรพตถอนหายใจอีกเฮือกหนึ่ง“ก่อนที่คุณยายจะเสีย” เขาตอบแล้วเลื่อนเก้าอี้มานั่งข้างๆ ปรายตามองออกไปทางหน้าต่างซึ่งมองเห็นบ้านเล็กๆ ใกล้ๆ กัน “บ้านหลังนั้นมีคนเช่าแล้วเหรอ”“อืม” คุณตาตอบเบาๆ “คุณผู้หญิงเป็นยังไงบ้าง”“สบายดีครับ” เขาตอบไปตามตรง “รักษาตัวเองหลายปี อาการดีขึ้น แต่ก็ยังไปหาหมอตามนัดสม่ำเสมอ”“ก็ดีแล้ว” คุณตาพยักหน้าเศร้าๆ อดีตเคยรุ่งโรจน์ ทรัพยสินเงินทองมากมาย แต่ครอบครัวกลับแตกแยก ลูกหลานไม่เหลียวแลสนใจแต่เงินในบัญชี มันคือผลกรรมจากการได้มาโดยมิชอบทั้งสิ้น“แล้วคุณ...ไปหาหมอหรือเปล่า”ชายหนุ่มหัวเราะในลำคอ “ผมจัดการตัวเองได้”“ช่างเถอะ ผมยุ่งเรื่องของคุณหนูมากเกินไป”“ผมสามสิบแล้ว เลิกเรียกคุณหนูได้แล้ว” ชายหนุ่ม
“แม่บ้านค่ะ” หญิงสาวเอ่ยตอบ แต่สายจ้องไปที่ปิ่นโต หัสดินมองตามสายตาเธอ แล้วก็เขาก็ทำหน้าประดักประเดิก“นี่ของเธอเหรอ”“ใช่ค่ะ อาหารกลางวันของดิฉัน” หญิงสาวตอบทำตาปริบๆ เขากินไปไม่กี่คำหรอก แต่ว่า นั้นข้าวกลางวันของเธอเชียวนะ“เอ่อ... ผมไม่รู้” เขาทำหน้านิ่งกลบความเก้อเขิน “เธอเข้ามาในห้องนี้ได้ยังไง”“ก็เข้าทางประตูยังไงคะ” แม่บ้านไม่ได้ตั้งใจจะพูดจากวนประสาท แต่หงุดหงิดที่ถูกขโมยของกิน ถ้าเขาถามสักคำจะไม่ว่าอะไรเลย“ไม่มีใครบอกเหรอว่าผมอยู่ในห้อง” เขาจ้างแม่บ้านทำความสะอาดห้องสัปดาห์ละสองครั้ง แต่แม่บ้านจะมาตอนที่เขาไม่อยู่ เขาเองก็ไม่เคยเจอแม่บ้านที่จ้างผ่านบริษัททำความสะอาด ออกจะแปลกใจที่เห็นหญิงสาวตัวเล็กอยู่ในห้องของเขาแบบนี้“ไม่ค่ะ” เธอตอบรวดเร็วไม่ลังเล “ฉันก็มาทำงานตามตารางที่ทางบริษัทให้มา”“ฮืม”เขาเพียงแค่พยักหน้ารับ เขาเป็นคนกำหนดตารางทำความสะอาดให้แม่บ้านมาที่นี่ แต่ละสัปดาห์จะมาไม่ตรงกัน เขาสลับสับเปลี่ยนวันอยู่เสมอ เพื่อความปลอดภัยของเขาเอง ‘ดิน’ เองก็มีศัตรูทางการค้ามากอยู่ไม่น้อย “ทำไม?” “คะ?” หญิงสาวเอียงคอมองอย่างสงสัย
“แม่จ๋า แม่ช่วยชิมไข่พะโล้ของหนูแพรหน่อยซิ” หญิงสาวร้องถามพลางยกชามพะโล้ออกมาให้แม่ที่เพิ่งเดินออกมาจากห้องนอน “มีอะไรเหรอ ลูกไม่สบายเหรอ ถ้าไม่สบายไม่ต้องไปทำงานก็ได้นะลูก” คนเป็นแม่เข้าใจไปว่าลูกไม่สบายเลยชิมอะไรไม่รู้รส แต่พอตักพะโล้ในชามลองชิมดู รสชาติก็ปกติดี “ก็อร่อยดีนี่ลูก” “แพรไม่ได้เป็นอะไรค่ะ พอดีลูกค้าจ้างแพรทำกับไข้พะโล้ค่ะ แพรไม่มั่นใจเลยให้แม่ช่วยชิมก่อน” “เอ๋? แล้วลูกค้ารู้ได้ไงว่าลูกทำกับข้าวล่ะ” แม่ถามอย่างประหลาดใจ “สองสามวันก่อน แพรไปทำความสะอาดที่ห้องชุดของลูกค้า แล้ววางปิ่นโตไว้ เขาตื่นมากินข้าวกล่องของแพรแล้วจ้างแพรทำไข่พะโล้ค่ะ” “มีเรื่องแบบนี้ด้วยเหรอ” “แต่ดูเขาเป็นคนดีนะคะ ไม่น่าจะมีปัญหาอะไร” “แล้วลูกบอกหัวหน้าหรือเปล่า” “เปล่าค่ะ คิดว่าเขาคง..ไม่จริงจังอะไร” “ปกติบริษัทก็จะมีแม่บ้านที่ทำอาหารได้ ถ้าลูกค้าต้องการเชฟไปทำอาหารที่บ้านก็ต้องติดต่อกับทางบริษัท” “ถ้างั้นเอาไงดีคะแม่” แพรดาวไม่อยากให้มีปัญหา คนร
“ฉันพูดได้หรือคะ” หญิงสาวถามกลับทั้งที่ยังก้มหน้ากับสมุดโน้ตอยู่ “ว่ามา” หัสดินยืนกอดอกเปลือยเปล่าของตัวเอง มองเธอเงยหน้าขึ้น สีหน้าของหญิงสาวบ่งบอกไม่พอใจจริงๆ นั้นแหละ และเขาไม่เคยเห็นใครทำสีหน้าแบบนี้ใส่เขามาก่อน “คุณเปียก” “ก็ผมอาบน้ำ” เขายักไหล่ “คุณควรเช็ดตัวให้แห้งก่อน แล้วคุณก็ไม่ใส่รองเท้าแตะในบ้านด้วย คุณมีตั้งหลายคู่ เดินทั้งที่เท้าเปียกคุณจะลื่นล้มได้นะคะ” เมื่อถูกตำหนิตรงๆ เขาชะงักไปเล็กน้อยแต่เก็บสีหน้าอยู่ ชายหนุ่มไหวไหล่แล้วเดินผลุบหายเข้าไปในห้องก่อนจะออกมาอีกครั้งด้วยเสื้อคลุมสีน้ำเงินเข้ม พอเขานั่งลงที่เก้าอี้ในห้องครัวแล้วเธอก็ยกกาแฟมาให้เขาก่อน แล้วค่อยถอยไปตั้งหลักตามมารยาท กาแฟร้อนแต่เขายกดื่มแค่สองสามครั้งก็หมดแก้ว เธอจึงยกอาหารมาวางแทนที่ “คุณมาแต่เช้า กินอะไรมาหรือยัง” เขาถาม “ฉันเอาปิ่นโตมาค่ะ” “ตอบไม่ตรงคำถาม” เขาทำเป็นบ่น “นั่งกินด้วยกันซิ” “จะดีหรือคะ” “ไม่ดีหรอก ถ้าคุณจะยืนกิน” เขาพูดห้วนๆ ซึ่งแพรดาว
สถานที่ ภายใน ห้องนอน เวลา เที่ยงคืน คุณเคยจมน้ำไหม? น้ำที่มีแต่โคลนตม ...โคลนที่ทะลักเข้าปาก เท้าที่แตะไม่ถึงพื้น และมือที่พยายามไขว่คว้าหาสิ่งยึดเหนี่ยวผมกำลังรู้สึกเช่นนั้นในวินาทีนี้.... ผมไม่ได้รู้สึกอย่างนี้บ่อยนักหรอก มันจะโถมเข้าใส่ในสภาวะที่ตัวเองกำลังเผชิญกับปัญหาที่หาทางออกไม่ได้อยู่เสมอ อาการนั้นเสมือนคนโรคประสาท ย้ำคิดย้ำทำ คิดอยู่แค่ว่าจะไปให้พ้นสภาพที่เป็นอยู่ ทั้งๆที่ไม่รู้ว่าจะไปไหน ไปอย่างไร แต่สุดท้าย ผมเลือกที่จะเดิน...เดิน...เดิน...และเดิน... ผมไม่ใช่คนชอบแก้ปัญหา แต่เป็นนักตัดปัญหา ตัดมันทิ้งๆไปซะให้มันพ้นๆตัวก็พอแล้ว ชีวิตมันก็แค่นี้ สั้นยาวก็เท่านี้ อยู่ไม่นานนักหรอก ยังไงก็ตายอยู่ดี แปลกนะ... คนเราหนีความตายไม่พ้น แต่เพรียกหาความตายเสียเหลือเกิน ความตายนั้นสวยงามนักหรือ? ถึงได้ปรารถนานักยามเมื่อมีปัญหา มันคือทางออกแห่งปัญหาทั้งมวลหรือ? แต่ครั้งหนึ่ง.. ผมก็ใช้มันเพื่อเป็นทางออกของปัญหา และใช้มันเป็นการเรียกสายตาคนในครอบครัวให้เหลียวแล วัยเด็กของ
หลังจากประชุมผู้ถือหุ้นผ่านไป หัสวีร์รั้งตัวน้องชายให้อยู่ก่อน ชายหนุ่มอายุห่างกันสองปี รูปร่างก็ใกล้เคียงกัน เค้าโครงหน้าก็คล้ายกัน แต่หัสดินเป็นหนุ่มไทยแท้ในขณะที่พี่ชายเป็นลูกครึ่ง ในห้องทำงานของผู้บริหารระดับสูง มีห้องด้านข้างสำหรับออกกำลังกายและห้องอาบน้ำ หัสวีร์เป็นพวกชอบออกแรง แม้แต่ห้องพักในคอนโดสุดหรูก็มีเครื่องออกกำลังกายที่นั้น “ซ้อมมวยเป็นเพื่อนพี่สักสองสามยกสิ” “อย่างพี่วีร์นี่นะสองสามยก” หัสดินเบ้ปากแล้วเลื่อนปมเนกไทลง แม้ปากจะพูดแบบนั้นแต่ก็เดินตามพี่ชายไปที่ห้องออกกำลังกาย หลังปิดประตูห้อง สองหนุ่มก็ถอดเสื้อเชิ้ตออกเหวี่ยงไปด้านข้าง ริมฝีปากบางคลี่ยิ้ม หัสวีร์กระโดดฟุตเวิร์คไปมาแล้วออกหมัด หัสดินเบี่ยงตัวหลบอย่างว่องไว “เฮ้! จะไม่ใส่นวมก่อนเหรอ” “ไม่ไว้ใจคนที่นายเรียกว่าพี่ชายเหรอ” หัสวีร์ออกหมัดใส่แต่หัสดินไม่โต้ตอบเอาแต่หลบซ้ายเบี่ยงขวาไปมา “ฉันไม่ให้หน้าเป็นรอยหรอกน่า” ‘ไม่ให้หน้าเป็นรอย’ คล้ายความทรงจำในวัยเด็กถูกกระตุ้น แววตาของหัสดินเปลี่ยนเป็นไปและเปลี่ยนจากหลบหลีกเป็นพุ่งหมั
“ฉันพูดได้หรือคะ” หญิงสาวถามกลับทั้งที่ยังก้มหน้ากับสมุดโน้ตอยู่ “ว่ามา” หัสดินยืนกอดอกเปลือยเปล่าของตัวเอง มองเธอเงยหน้าขึ้น สีหน้าของหญิงสาวบ่งบอกไม่พอใจจริงๆ นั้นแหละ และเขาไม่เคยเห็นใครทำสีหน้าแบบนี้ใส่เขามาก่อน “คุณเปียก” “ก็ผมอาบน้ำ” เขายักไหล่ “คุณควรเช็ดตัวให้แห้งก่อน แล้วคุณก็ไม่ใส่รองเท้าแตะในบ้านด้วย คุณมีตั้งหลายคู่ เดินทั้งที่เท้าเปียกคุณจะลื่นล้มได้นะคะ” เมื่อถูกตำหนิตรงๆ เขาชะงักไปเล็กน้อยแต่เก็บสีหน้าอยู่ ชายหนุ่มไหวไหล่แล้วเดินผลุบหายเข้าไปในห้องก่อนจะออกมาอีกครั้งด้วยเสื้อคลุมสีน้ำเงินเข้ม พอเขานั่งลงที่เก้าอี้ในห้องครัวแล้วเธอก็ยกกาแฟมาให้เขาก่อน แล้วค่อยถอยไปตั้งหลักตามมารยาท กาแฟร้อนแต่เขายกดื่มแค่สองสามครั้งก็หมดแก้ว เธอจึงยกอาหารมาวางแทนที่ “คุณมาแต่เช้า กินอะไรมาหรือยัง” เขาถาม “ฉันเอาปิ่นโตมาค่ะ” “ตอบไม่ตรงคำถาม” เขาทำเป็นบ่น “นั่งกินด้วยกันซิ” “จะดีหรือคะ” “ไม่ดีหรอก ถ้าคุณจะยืนกิน” เขาพูดห้วนๆ ซึ่งแพรดาว
“แม่จ๋า แม่ช่วยชิมไข่พะโล้ของหนูแพรหน่อยซิ” หญิงสาวร้องถามพลางยกชามพะโล้ออกมาให้แม่ที่เพิ่งเดินออกมาจากห้องนอน “มีอะไรเหรอ ลูกไม่สบายเหรอ ถ้าไม่สบายไม่ต้องไปทำงานก็ได้นะลูก” คนเป็นแม่เข้าใจไปว่าลูกไม่สบายเลยชิมอะไรไม่รู้รส แต่พอตักพะโล้ในชามลองชิมดู รสชาติก็ปกติดี “ก็อร่อยดีนี่ลูก” “แพรไม่ได้เป็นอะไรค่ะ พอดีลูกค้าจ้างแพรทำกับไข้พะโล้ค่ะ แพรไม่มั่นใจเลยให้แม่ช่วยชิมก่อน” “เอ๋? แล้วลูกค้ารู้ได้ไงว่าลูกทำกับข้าวล่ะ” แม่ถามอย่างประหลาดใจ “สองสามวันก่อน แพรไปทำความสะอาดที่ห้องชุดของลูกค้า แล้ววางปิ่นโตไว้ เขาตื่นมากินข้าวกล่องของแพรแล้วจ้างแพรทำไข่พะโล้ค่ะ” “มีเรื่องแบบนี้ด้วยเหรอ” “แต่ดูเขาเป็นคนดีนะคะ ไม่น่าจะมีปัญหาอะไร” “แล้วลูกบอกหัวหน้าหรือเปล่า” “เปล่าค่ะ คิดว่าเขาคง..ไม่จริงจังอะไร” “ปกติบริษัทก็จะมีแม่บ้านที่ทำอาหารได้ ถ้าลูกค้าต้องการเชฟไปทำอาหารที่บ้านก็ต้องติดต่อกับทางบริษัท” “ถ้างั้นเอาไงดีคะแม่” แพรดาวไม่อยากให้มีปัญหา คนร
“แม่บ้านค่ะ” หญิงสาวเอ่ยตอบ แต่สายจ้องไปที่ปิ่นโต หัสดินมองตามสายตาเธอ แล้วก็เขาก็ทำหน้าประดักประเดิก“นี่ของเธอเหรอ”“ใช่ค่ะ อาหารกลางวันของดิฉัน” หญิงสาวตอบทำตาปริบๆ เขากินไปไม่กี่คำหรอก แต่ว่า นั้นข้าวกลางวันของเธอเชียวนะ“เอ่อ... ผมไม่รู้” เขาทำหน้านิ่งกลบความเก้อเขิน “เธอเข้ามาในห้องนี้ได้ยังไง”“ก็เข้าทางประตูยังไงคะ” แม่บ้านไม่ได้ตั้งใจจะพูดจากวนประสาท แต่หงุดหงิดที่ถูกขโมยของกิน ถ้าเขาถามสักคำจะไม่ว่าอะไรเลย“ไม่มีใครบอกเหรอว่าผมอยู่ในห้อง” เขาจ้างแม่บ้านทำความสะอาดห้องสัปดาห์ละสองครั้ง แต่แม่บ้านจะมาตอนที่เขาไม่อยู่ เขาเองก็ไม่เคยเจอแม่บ้านที่จ้างผ่านบริษัททำความสะอาด ออกจะแปลกใจที่เห็นหญิงสาวตัวเล็กอยู่ในห้องของเขาแบบนี้“ไม่ค่ะ” เธอตอบรวดเร็วไม่ลังเล “ฉันก็มาทำงานตามตารางที่ทางบริษัทให้มา”“ฮืม”เขาเพียงแค่พยักหน้ารับ เขาเป็นคนกำหนดตารางทำความสะอาดให้แม่บ้านมาที่นี่ แต่ละสัปดาห์จะมาไม่ตรงกัน เขาสลับสับเปลี่ยนวันอยู่เสมอ เพื่อความปลอดภัยของเขาเอง ‘ดิน’ เองก็มีศัตรูทางการค้ามากอยู่ไม่น้อย “ทำไม?” “คะ?” หญิงสาวเอียงคอมองอย่างสงสัย
ชายชรานั่งอยู่ที่เก้าอี้เอนหลัง รู้สึกตัวว่ามีคนเข้าก็ขยับตัวอย่างเกียจคร้าน จ้องมองคนที่ก้าวเข้ามายืนตรงหน้า“คุณเองรึ” เสียงแหบแห้งเอ่ยาถาม “ไม่ได้เจอนาน”“ความจำดีจริงๆ” ชายหนุ่มร่างสูงโปร่งเอ่ยขึ้น ร่างสูงในชุดเสื้อเชิ้ตสีดำพับแขนเสื้อถึงข้อศอก เข้ากับรองเท้าหนังที่สวมอยู่ การเดินเข้ามาราวกับคนคุ้นเคยทำให้อีกฝ่ายเลิกคิ้วเล็กน้อย“ไม่เจอกันกี่ปีแล้ว” บรรพตถอนหายใจอีกเฮือกหนึ่ง“ก่อนที่คุณยายจะเสีย” เขาตอบแล้วเลื่อนเก้าอี้มานั่งข้างๆ ปรายตามองออกไปทางหน้าต่างซึ่งมองเห็นบ้านเล็กๆ ใกล้ๆ กัน “บ้านหลังนั้นมีคนเช่าแล้วเหรอ”“อืม” คุณตาตอบเบาๆ “คุณผู้หญิงเป็นยังไงบ้าง”“สบายดีครับ” เขาตอบไปตามตรง “รักษาตัวเองหลายปี อาการดีขึ้น แต่ก็ยังไปหาหมอตามนัดสม่ำเสมอ”“ก็ดีแล้ว” คุณตาพยักหน้าเศร้าๆ อดีตเคยรุ่งโรจน์ ทรัพยสินเงินทองมากมาย แต่ครอบครัวกลับแตกแยก ลูกหลานไม่เหลียวแลสนใจแต่เงินในบัญชี มันคือผลกรรมจากการได้มาโดยมิชอบทั้งสิ้น“แล้วคุณ...ไปหาหมอหรือเปล่า”ชายหนุ่มหัวเราะในลำคอ “ผมจัดการตัวเองได้”“ช่างเถอะ ผมยุ่งเรื่องของคุณหนูมากเกินไป”“ผมสามสิบแล้ว เลิกเรียกคุณหนูได้แล้ว” ชายหนุ่ม
รอยน้ำเจิ่งนองบริเวณหน้าบ้านทำให้ต้องชะงักเท้าอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะมองหาสาเหตุ แพรดาวกวาดสายตาไปทั่วหน้าบ้านสองชั้นหลังเล็กที่อยู่เข้ามาในซอยประมาณห้าร้อยเมตร ร่างชายชราวัยหกสิบเจ็ดปีก้มๆเงยๆอยู่บริเวณแปลงปลูกดอกไม้เล็กๆหน้าบ้าน ปลายสายยางอยู่ในอ่างบัวน้ำล้นจนมีปลาหางนกยูงออกมานอนดิ้นเล่นน้ำอยู่บนพื้นดินเฉอะแฉะ “น้ำท่วมแล้วคุณตา” แพรดาวรีบสาวเท้าเดินเข้าไปปิดก๊อกน้ำ ชายชราหันมามองทำหน้าเหรอหราแต่ยิ้มให้จนเห็นฟันหลอซี่หน้า หญิงสาวรวบกระโปรงยาวคลุมเข่าสีดำก่อนทรุดตัวลงนั่งยองๆข้างๆ ชายชราที่กำลังสาละวนกำการย้ายต้นไม้ในกระถางลงดิน จนเผลอลืมดูน้ำที่เปิดใส่อ่างบัว มือหยาบและเหี่ยวย่นค่อยๆช้อนปลาหางนกยูงตัวน้อยนอนดิ้นรนบนพื้นดินกลับสู่พื้นน้ำดังเดิม คุณตาทำเหมือนไม่มีเธออยู่ใกล้ดูแลต้นไม้ใบหญ้าของตาต่อไป “คุณตาบรรพต คะ” บรรพตคือชื่อคุณตาเจ้าของบ้านเช่าที่แสนใจดี เรียกไม่ดังนัก แต่เหมือนคุณตาจะไม่สนใจเธอ หญิงสาวได้แต่ยิ้มเหงาๆ แล้วลุกขึ้นเดินเข้าบ้านเช่าของตัวเอง บ้านสองหลังปลูกใกล้กันในเนื้อที่บริเวณเดียวกัน หลายปีก่อนที
บทนำ “แพรดาว” หญิงสาวในวัยยี่สิบสอง เธออยู่กับ “ศรีฟ้า”แม่ของเพียงสองคน แพรดาวเรียกแม่ว่า “แม่จ๋า” จนติดปาก ตั้งแต่จำความได้เธอก็มีเพียงแม่จ๋าคนเดียว ไม่ปรากฏญาติพี่น้องที่ไหน ชีวิตสองแม่ลูกหาเช้ากินค่ำล้มลุกคลุกคลานมาด้วยกัน จนมาตอนนี้เช่าบ้านหลังน้อยอยู่ เธอเองก็ทำงานพิเศษมาตั้งแต่ยังเด็ก อะไรที่พอช่วยเหลือแม่จ๋าได้ ก็ทำทุกอย่าง ขอเพียงงานสุจริต เธอก็ไม่อายที่จะทำมัน หกเดือนก่อนแม่จ๋าของแพรดาวประสบอุบัติเหตุ โดยรถมอเตอร์ไซค์ชนได้รับบาดเจ็บสาหัส อยู่ห้องไอซียูนานครึ่งเดือนก่อนจะออกมาพักรักษาตัว แพรดาวเพิ่งเรียนจบคณะบริหารมาหมาดๆ ยังหางานทำไม่ได้ ด้วยความที่ต้องการใช้เงิน เธอจึงทำงานในตำแหน่งของแม่ไปก่อน ระหว่างนี้เธอก็ยื่นใบสมัครงานไปทั่ว แต่ก็ยังไม่มีข่าวดีมาเสียที ตอนนี้เลือกงานไม่ได้ มีอะไรก็ทำไปก่อน แพรดาวบอกกับตัวเอง เธอไม่ได้รังเกียจงานที่ตัวเองทำอยู่ เพียงแค่อยากทำงานให้ตรงสายงานที่เรียนมาก็เท่านั้น “หนูแพร” หญิงสาวหันไปตามเสียงเรียก พนักงานในชุดสีฟ้าสดใสโบกมือเรียกก่อนที่ร่างอวบอ้วนจะวิ่งมาถึง