การต่อสู้ดุเดือดจนน่าประหวั่นใจ อวิ๋นมู่หลันนั่งอยู่ในรถม้าเพียงคนเดียว ส่วนด้านนอกทั้งสาวใช้ คนติดตาม แม้กระทั่งหมอตำแย ล้วนรับมือหน่วยสังหารพิเศษที่โพกผ้าสีแดงเลือดหมูคลุมหน้าตนเอง เสียงไป๋อิงดังกึกก้อง มันเห่าสลับขู่คำราม และลูก ๆ ของมันอีกสามตัวก็กระทำเลียนแบบด้วยความกล้าหาญ อวิ๋นมู่หลันห่วงทุกคนจับใจ แต่นางไม่อาจคิดอย่างคนโง่เขลา การออกไปให้ผู้อื่นพบตนอาจเป็นภาระและสร้างอันตราย กระทั่งหมอตำแยกลับเข้ามาในรถม้าอีกครั้ง และบอกว่า “ฮูหยิน ไปกับข้า เราต้องใช้รถม้าล่อพวกมัน” หมอตำแยว่าจบก็จับมืออวิ๋นมู่หลันพานางลงจากรถม้าอย่างระมัดระวัง เวลานั้นแสงอาทิตย์เจียนลับขอบฟ้า นับว่าช่วยอำพรางสายตาผู้อื่นได้ดี เมื่อลงจากรถม้า อวิ๋นมู่หลันเห็นลูกสุนัขทั้งสามตัวอยู่ข้าง ๆ ไป๋อิง ยามนี้พวกมันไม่ใช่ลูกสุนัขดั่งที่นางคิดแล้ว ด้วยต่างช่วยกันไล่กัดพวกมือสังหารที่หมายจะเข้ามาถึงตัวอวิ๋นมู่หลัน “หนานหนาน ฮวน... และเหลียวหง จะปลอดภัยหรือไม่” ดวงตากลมโตจับจ้องไปที่เหลียวหง มันเป็นสุนัขสีแดงเพลิงตัวโต กว่าพี่น้อง ยามนี้แสยะเขี้ยวยาวพร้อมไล่กัดคนร้ายอย่างด
บ้านบรรพบุรุษของสกุลกวนอยู่บนพื้นที่สูงและอากาศดี เงียบสงบ อวิ๋นมู่หลันที่ห่วงหลายอย่างโล่งใจ เมื่อนางเห็นหลิวตงปลอดภัย ส่วนไป๋อิงกับลูกของมันอีกสามตัวได้แผลเล็กน้อยและฝ่ายที่คิดจับตัวนางนั้น สืบทราบได้ความว่าเป็นคนของเหนี่ยวซีกังซึ่งร่วมมือกับเจียงเฟย สองคนนี้เกี่ยวข้องกันได้อย่างไร เรื่องนี้สร้างความกังขายิ่งนัก ด้วยเจียงเฟยถือเนื้อถือตัวมาตลอด แต่นางกลับลดตัวมาสุงสิงกับเหนี่ยวซีกัง หรืออาจเป็นไปได้ว่านางเลือกทางให้ตนเองแล้ว ด้วยรู้ว่าหากต้องการหลุดจากเงื้อมมือของรัชทายาทก็คือต้องเข้าหาผู้ที่ชั่วร้ายกว่า และกล้าทำเรื่องซึ่งผู้อื่นไม่อยากยื่นมือเข้าไปยุ่ง “จับตัวไว้ได้ราว ๆ ห้าสิบคน และข้าสั่งให้คุมตัวไปยังค่ายหหารเพื่อรอรับโทษ ส่วนใต้เท้าเหนี่ยวหนีไปได้ แต่ฮูหยินอย่าได้กังวล ขณะที่ข้าตามจับตัวเขา มีกองกำลังนุ่งชุดหนังสัตว์โผล่มา และประกาศก้องว่าต้องการตัวเขา หากใครคิดแย่งชิงย่อมเป็นศัตรูฝ่ายนั้น” “หัวหน้าตงรู้หรือไม่พวกเขาเป็นใคร” แต่เดิมหลิวตงไม่อยากบอกนาง ทว่าเป็นปรมาจารย์จางที่กล่าวขึ้นเสียเอง “เขาคือชาวหนานหยาง เป็นคนที่ข้าไม่คิดอยากจะรับเป็
ด่านเคราะห์ กวนเฉินหลางได้รับของฝากจากอวิ๋นมู่หลันพร้อมจดหมายที่เขียนถึงเรื่องราวต่าง ๆ ยามห่างกัน เขาอ่านไปหลายรอบ และโหยหารอยยิ้มกับเสียงหวาน ๆ ของนาง ‘ลูกของเสี่ยวเฮยแข็งแรงทุกตัว ข้าตั้งชื่อให้พวกมันทั้งหมด และมีอยู่สามตัวที่ข้าไม่คิดยกให้ใคร ยามนี้ท้องข้าโตจนหายใจอึดอัด ทั้งหมอตำแย รวมถึงผู้อื่นบอกว่าท่านพี่คงได้ลูกสาวที่งดงามและแข็งแรงเหนือบุรุษ แต่ข้ากลับคิดว่าเขาเป็นลูกชายมากกว่า’ ชายหนุ่มนึกถึงช่วงเวลาที่อยู่กับอวิ๋นมู่หลัน และนั่นทำให้เขารู้ว่ามีคนคอยอยู่ ยามนี้กวนเฉินหลางมีครอบครัวแล้ว ซึ่งเขาจะต้องดูแลทุกชีวิต รวมถึงแผ่นดินต้าเหอและพี่น้องทุกคนในกองทัพอินทรีทองคำ “พี่กวน ค่ายกลชาวหมิน ไม่ได้ซับซ้อนเช่นหนานหยาง อันที่จริงเราจะทำลายก็ได้ แต่การที่พี่หยั่งเชิงเช่นนี้ เพราะรอให้ผู้ร้ายตัวจริงแสดงตัวใช่หรือไม่” โจวจื่อเว่ยถามเช่นนั้น เขาคะเนสิ่งที่กวนเฉินหลางตั้งใจเอาไว้ได้ “อีกไม่กี่วัน คนร้ายจะปรากฏให้เราเห็น ส่วนการช่วยองค์ชายแปด อาจไม่ได้ง่าย ๆ อย่างที่ข้าคิด คงต้องเสี่ยงภัยสักหน่อย เจ้าเองก็เชี่ยวชาญเรื่องแผนที่และการแปลงโ
อวิ๋นมู่หลันปวดท้องตั้งแต่ฟ้ายังไม่ทันสาง กระทั่งฟ้ามืดลงในเย็นวันเดียวกันยังไม่มีทีท่าจะดีขึ้น “เด็กตัวโตเกินไป!” หมอตำแยเอ่ยเช่นนั้น แต่ปรมาจารย์จางที่อยู่ด้านนอกมีความสงสัยทั้งห่วงลูกศิษย์ ถึงไม่เคยทำคลอดสตรี ทว่าพบเห็นเรื่องราวต่าง ๆ มามิน้อย ทั้งยังเชี่ยวชาญเรื่องจับชีพจร การฝังเข็ม ดูโหงวเฮ้ง จนสามารถคาดเดาเพศเด็กในท้องมารดาได้ “ขอข้าตรวจชีพจรนาง อาจมีสิ่งที่พวกเรามองข้าม” ชายสูงวัยเอ่ยจบจึงก้าวไปยังห้องทำคลอด ซึ่งมีฉากกั้นไว้ นางยื่นมือผ่านฉากผ้าบาง ๆ ปรมาจารย์จางจับชีพจรในอึดใจต่อมา แล้วเอ่ยถาม “เจ้าหายใจลำบากหรือไม่ ยามเด็กในท้องดิ้น รู้สึกเช่นไร” อวิ๋นมู่หลันคิดตาม นางทบทวนถึงช่วงเวลายามเด็กในท้องดิ้น และไป๋อิงกับลูก ๆ ของมันมักมาดม หรือส่งเสียงหงิง ๆ พร้อมคลอเคลียคล้ายให้กำลังใจ “ศิษย์มักเหนื่อยง่าย มีครั้งหนึ่งหลังจากเด็กในท้องดิ้นจนหายใจไม่สะดวก หมอตำแยช่วยจับชีพจร นางบอกว่ามันไม่คงที่” เมื่อเอ่ยถึงตรงนี้ อวิ๋นมู่หลันก็นึกไปถึงช่วงก่อนเดินทางมาถึงบ้านบรรพบุรุษ “จำได้ว่า ลูกดิ้นฝั่งด้านซ้ายไ
ผู้ที่ทำเรื่องชั่วช้า คงมีแต่ชาวหนานหยาง” หลิวอู้กล่าว แต่โจวจื่อเว่ยไม่เห็นด้วย เขาเอ่ยว่า “เจ้าคิดตื้นเขินเกินไป ระหว่างที่ข้าปะปนอยู่กับทหารรับจ้างของ หมิน เชื่อหรือไม่ว่าไม่พบชาวหนานหยางแม้แต่คนเดียว ที่สำคัญทหารที่คุมคนพวกนั้นนิยมกินเต้าหู้ใส่น้ำมันพริก และราดด้วยน้ำราดเข้มข้นที่ใช้น้ำหมึกดำในตัวปลาหมึกมาผสม มันมีรสเค็มจากเกลือ และอมหวานจากการหมักผลไม้กับข้าวเหนียว ทั้งเผ็ดที่ปลายลิ้นด้วยพริกไทยดำ” “พวกที่นิยมกินอาหารเช่นนี้เห็นจะมีแต่ทหารเมืองหลวงกับชาวต้าเหอแถบบรูพา” หลิวอู้เอ่ยและคิดตาม คนพวกนั้นล้วนอยู่ในความดูแลของสกุลเหนี่ยว หรือเป็นได้ว่ามีผู้แอบอ้างใช้ชื่อของแคว้น หมินและหนานหยางทำเรื่องชั่วช้า! “รู้เช่นนี้ เจ้ายังคิดว่าพวกที่ทำค่ายกลเป็นชาวหนานหยางหรือไม่” “ข้าคิดน้อยเกินไปใต้เท้าโจว เช่นนี้สมควรมีความผิด” โจวจื่อเว่ยโบกมือไม่ใส่ใจ ยามนี้ทุกคนควรร่วมมือกันมากกว่าหาเรื่องจับผิด จากนั้นเสี่ยวเฮยก็แยกเขี้ยวขาว ๆ ก่อนที่จะเห่าเสียงดังกรรโชก เนื่องจากหูมันได้ยินการเคลื่อนไหว “ข้าจะปล่อยเสี่ยวเฮยเข้าไป
ความโกลาหลเกิดขึ้นหลังจากนั้น เมื่ออวิ๋นมู่หลันกำลังจะคลอดจริง ๆ นางพยายามอดกลั้นแล้ว แต่เสียงยังร้องดังจนคนที่อยู่ด้านนอกไม่อาจทนไหว “ต่อไปข้าจะไม่ให้นางตั้งครรภ์อีก” ปรมาจารย์จางว่า และหลิวตงที่ไม่ค่อยกล้ามีปากเสียงกับผู้รอบรู้ กระนั้นเขาก็ไม่อาจสงบปากสงบคำได้ “ท่านหมายความเช่นไร ฮูหยินกับท่านแม่ทัพรักใคร่กัน ใช่เรื่องที่ท่านจะมาห้ามปรามหรือ อีกอย่างกว่าจะตั้งครรภ์นี้ แม่ทัพกวนต้องใช้ความพยายามทุ่มเททั้งกายใจ เสียเหงื่อมิน้อย ก่อนหน้านั้นก็ถูกพิษจินฉานเล่นงาน ผมขาวทั้งศีรษะ ร่างกายก็มีไอเย็น ดวงตาข้างหนึ่งบางครายังกลายเป็นสีดำทั้งหน่วย” “เฮอะ แม่ทัพของเจ้าไร้น้ำยาที่ดี มิเช่นนั้นศิษย์รักของข้าจะต้องทรมานเช่นนี้หรือ หลายชั่วยามแล้วที่นางเจ็บครรภ์ อย่างไรข้าจะปรุงน้ำแกงสลายความต้องการของบุรุษให้กวนเฉินหลางดื่ม” ชายสูงวัยกล่าวเช่นนั้นหลิวตงจึงฮึดฮัดหนัก เขาทั้งรักเคารพกวนเฉินหลาง ส่วนผู้อื่นมาอาศัยเรือนสกุลกวนอยู่โดยแท้ ยังกล้าวางมาดใหญ่โต พ่อบ้านหมิงที่อยู่ตรงหน้าเห็นท่าแล้วว่าสถานการณ์จะบานปลายจึงเอ่ยว่า “ท่านทั้งสองต่างห่วงใยคนที่รัก ฉะนั้น
อี้หยาง อี้เหยา โลงศพไม้ที่ตั้งอยู่ในเรือนทางทิศใต้ให้ความสงบร่มรื่นไร้ความน่ากลัว ไม่มีกลิ่นอายอัปมงคล นั่นเป็นเพราะด้านในมีเพียงเสื้อผ้ากับของใช้ฮูหยินผู้เฒ่ากวน หาได้มีศพนางอย่างเช่นทุกคนคาคคิด “ในครั้งนั้น ฮูหยินผู้เฒ่ากวนกระโดดลงหน้าผาสูง ไม่มีใครพบร่างนางอีก ท่านแม่ทัพจึงสั่งให้ตั้งโรงศพไว้ที่นี่ พร้อมประกาศว่าเขาจะแต่งอนุและมอบหมายหน้าที่ให้นางดูแลบ้านบรรพบุรุษเป็นเวลาสามปี จากนั้นจึงจะให้ย้ายเข้าไปอยู่ในจวนท่านแม่ทัพ ด้วยเหตุผลนี้ สตรีหลายคนที่คิดจะแต่งกับท่านแม่ทัพจึงขยาดกลัว” หมิงซีกล่าวถึงตรงนี้ก็เงียบเสียงลง แต่ท่าทางเขาคล้ายมีบางสิ่งที่เล่ายังไม่จบ “ข้ายังเป็นคนอื่นอีกหรือ พ่อบ้านหมิง” อวิ๋นมู่หลันเอ่ยถาม “หามิได้ เพียงแต่ข้ากลัวว่าอาจไม่สมควร...” หมิงซีกล่าว และคนที่รอไม่ไหวจึงโพล่งขึ้น “พระชายาเฟยยังรักปักใจต่อท่านแม่ทัพ ดังนั้นใครที่คิดแต่งเข้ามาเป็นอนุหรือฮูหยินจะถูกนางขัดขวางเรื่อยมา และนั่นทำให้มีข่าวลือแพร่สะพัดน่ากลัวว่า หากแม่สื่อที่ออกจากจวนแม่ทัพไปขอดวงชะตาลูกสาวบ้านใด เมื่อพวกนางได้สวมชุดแต่งงาน และขึ้น
เช้าวันรุ่งขึ้น หลิวอู้รู้ว่าเสี่ยวเฮยกับสุนัขอีกสองตัวพบทางออกแล้ว ซึ่งต้องดำน้ำออกไป ทว่าเป็นระยะทางไกลเกือบห้าลี้ สำหรับทหารที่ถูกฝึกมาอย่างดีย่อมเอาตัวรอด ทว่ายามนี้มีทั้งคนสูงวัย และร่างกายหรงอู่เยว่บาดเจ็บภายใน การที่จะออกไปจากถ้ำใต้บาดาลไม่ใช่เรื่องง่าย โจวจื่อเว่ยกำลังวาดแผนที่ตามหลิวอู้บอก จึงทำให้รู้ว่าพื้นที่ต้องฝ่าผืนน้ำเย็นเฉียบ มีทั้งระดับลึกมากราว ๆ สองจั้ง กระนั้นยังมีจุดที่พักได้ ด้วยบางพื้นที่สามารถใช้การเดิน ทว่าการฝ่าสายน้ำยังมีอันตรายจากสัตว์มีพิษ และพืชใต้น้ำที่สามารถส่งพิษทำให้หายใจติดขัด “แม่ทัพกวนอย่าได้ห่วงข้า เราต้องออกจากที่นี่โดยไว หากยื้อเวลา นานอาจเกิดเหตุร้ายต่อฮ่องเต้” องค์ชายแปดกล่าวเช่นนั้น กวนเฉินหลางจึงตัดสินทำตามเขาบอก หลิวอู้สั่งทหารให้รออยู่ในจุดต่าง ๆ ของถ้ำ เป็นระยะ ๆ เพื่อคอยความช่วยเหลือ ส่วนสุนัขที่พามาด้วยล้วนว่ายน้ำและดำน้ำได้ “เสี่ยวเฮยของข้าคงสนุกทีเดียว เมื่อได้เล่นน้ำเช่นนี้” กวนเฉินหลางว่าและลูบศีรษะมัน เป็นตอนนั้นที่เขาเห็นว่าปลอกคอเสี่ยวเฮยที่อวิ๋นมู่หลันเย็บให้ใกล้ขาด
หยวนจื่อบอกให้คนของตนเตรียมส่งคนเข้ามาตรวจร่างกายของเถียนลู่ฟาง นี่คือสิ่งที่จะเชื่อมโยงกับหลักฐานที่นางให้คนไปจัดฉากไว้ ทั้งเสื้อผ้าบุรุษ และพยานบุคคลที่บอกว่าเห็นผู้ชายออกจากห้องหอเรือนของหนันเฉินเทียน ทั้งที่อีกฝ่ายพักในเรือนหลักไม่ได้ยุ่งเกี่ยวกับเถียนลู่ฟางเนื่องจากการแต่งครั้งนี้เป็นเพียงการแก้เคล็ด “การแต่งงานของเจ้ากับเทียนเอ๋อร์ ล้วนเป็นพิธีซึ่งทำเพื่อเสริมดวงให้เขา และสิ่งสำคัญที่ข้าอยากรู้ เจ้ายังเป็นสตรีที่บริสุทธิ์หรือไม่” หยวนจื่อโพล่งขึ้น “แล้ว หนันฮูหยินต้องการทำเช่นไรกัน ข้าแต่งเข้าบ้านท่านแล้ว ใยต้องทนให้ผู้อื่นเหยียดหยาม” เถียนลู่ฟางส่งเสียงดัง และนางไม่พอใจเป็นอย่างมากให้ยามนี้ “เพียงแต่ตรวจร่างกาย หากยังไม่พบร่องรอยถูกข่มเหง ข้าก็ยินดีให้เจ้าอยู่ในเรือนต่อไป” หยวนจื่อกล่าว “ฮึ อย่างไรข้าก็เป็นฮูหยินผู้หนึ่งของสกุลหนัน และได้เข้าหอแล้ว เรื่องนี้ให้คนเป็นสามีตรวจสอบจะไม่ดีกว่าหรือ” หยวนจื่อหัวเราะเสียงดังทีเดียว และเอ่ยอย่างหยามหมิ่นเถียนลู่ฟาง “เจ้ายังมีสติดีหรือไม่ แน่นอนเจ้าเข้าหอกับเทียนเอ๋อร์ แต่นั่นเป็นเพ
เถียนลู่ฟางทั้งโมโห ทั้งฉุนเฉียว แต่แรกนางมั่นใจว่าคงเข้ามาที่หอบรรพชนเพียงสองสามชั่วยาม แต่ตอนนี้เกือบสามวันแล้วที่ถูกกักบริเวณ แต่หากกล่าวให้ถูกต้อง นางถูกขังเสียมากกว่า กระนั้นหนันฮูหยินยังมีความเมตตาอยู่บ้าง ด้วยมีข้าวสวยกับน่องไก่ส่งมาให้ทางช่องเล็กๆ เพียงวันละหนึ่งครั้ง ภายในหอบรรพชนนี้อากาศเย็น ไม่ร้อน ทว่าบรรยากาศชวนให้นางหวาดกลัวมิน้อย ตกกลางคืนมีเสียงสุนัข และเงาแมวดำวิ่งไปมา แม้ไม่ใช่คนขี้ขลาด แต่เถียนลู่ฟาง ทั้งเครียด และยากควบคุมตนไม่ให้คิดมากไม่ได้ เมื่ออยากออกไปข้างนอก เสียงของคนที่ยืนเฝ้าประตูก็ตอบว่า หากไม่มีคำสั่งหยวนจื่อ ให้ไฟไหม้หอบรรพชน เถียนลู่ฟางก็มิอาจก้าวออกไป “มารดาคนสกุลหนันเถิด... ข้าเป็นถึงฮูหยินห้า ไป ไปเชิญสามีข้า มารับกลับเรือนเดี๋ยวนี้” เถียนลู่ฟางร้องโวยวายอย่างคนขาดสติอยู่นานทีเดียว กระทั่งมีกลิ่นธูปหอมจัดลอยเข้าจมูก นางเลยผ่อนคลายลงก่อนจะค่อยๆ หมดสติไป กระทั่งนางรู้สึกว่าลำคอแห้งผาก ทั้งยังวิงเวียนศีรษะมาก ไป๋รั่วรั่วจึงเข้ามาด้านใน พร้อมกาน้ำชา “ฮูหยินห้า...” อีกฝ่ายเรียกนาง แล
หญิงสาวขยับร่างกายบนฟูกหนาหนุ่ม และยามนี้ละอายใจยิ่งนัก เนื้อตัวก็ปวดเมื่อยไปหมด พออยากขยับร่างกาย ก็รู้สึกว่าร้าวไปทั้งร่าง นางตกเป็นของหนันจิ้งโหย่ว...แน่นอน เขาไม่ใช่สามีที่นางแต่งเข้าสกุลหนัน “ท่านย่ำยีข้า หญิงสาวไม่ได้โวยวาย แต่เอ่ยอย่างเจ็บปวด” หนันจิ้งโหย่วมองนาง มองแล้วอมยิ้ม ไม่ได้ยั่วล้อ แต่มองอย่างชัดเจนว่าพึงใจที่ตนได้ร่วมรักกันอย่างสุดเหวี่ยงกับสตรีผู้นี้ “ข้าเคยบอกแล้ว เจ้าเป็นภรรยาข้าเพียงผู้เดียวเท่านั้น ส่วนเสี่ยวเทียน ให้เขาเป็นน้องสามีจึงจะถูกต้องที่สุด มิอย่างนั้น เจ้าคงเป็นสตรีประหลาด ที่อยากให้เด็กน้อย ใช้มือ และลิ้นเล็กๆกับกลีบบุปผาหวานฉ่ำนั่น” ชายหนุ่มกล่าวจบประโยค นางก็ตบใบหน้าเขาไปเต็มแรง “สตรีแซ่เถียน บอกรักผู้อื่นเช่นนี้หรือ” “ทะ ท่านทำให้ข้าอับอาย จากนี้ ข้าจะสู้หน้าผู้อื่นได้อย่างไร” “หมายความถึง!” “ข้าเป็นสะใภ้เล็กคุณชายห้า หากทำเรื่องผิดศีลธรรม มิแคล้วต้องถูกลงโทษสถานหนักหรอกหรือ” “เสี่ยงฟาง หากเจ้าไม่พูด ข้าไม่พูดแล้วใครจะรู้ว่า เราเป็นผัวเมียกัน” หญิงสาวเหลืออดแล้
เหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นได้อย่างไร มันเป็นเรื่องบังเอิญที่สุดวิสัย หาไม่แล้วก็เพราะโชคชะตาลิขิตไว้เช่นนั้นเอ ว่าแต่ หนันจิ้งโหย่วผู้นี้ เหตุใด ยิ่งมองหน้าเขา นางก็คุ้นเคยอย่างประหลาดเขาเป็นชายชั่วช้าจริงๆ หรือว่า เป็นนางที่ติดค้างบางอย่างต่อเขา จนเขามาไล่คิดดอกเบี้ยราคาสูงลิบกับนาง กล่าวถึงฝ่ายสกุลหนัน มีอิทธิพลทางด้านการค้าและยังเป็นสกุลขุนนางบู๊อีกด้วยและเป็นใต้เท้าหนันผู้ล่วงลับหาใช่คนที่ใครจะกล้าต่อกรด้วย เขาไม่ขาว และก็ไม่เป็นสีเทา กระนั้นกล่าวได้ว่า มือเขาเปื้อนเลือดไม่น้อยและยังมีลูกชายที่ไม่ได้เรื่องกับอดีตฮูหยินที่ล่วงลับผู้หนึ่ง ฝ่ายนั้นก็คือหนันจิ้งโหย่ว แต่เดิมหลังจากมารดาเสียชีวิต เขาก็ออกท่องยุทธภพ รับใช้ทางการบ้างเป็นครั้งคราว โดยตำแหน่งของเขาสูงถึงเป็นแมวหลวงฮ่องเต้ คอยทำงานสืบสวนลับๆ เกี่ยวกับคนในราชวงศ์ รวมถึงขุนนางกังฉิน และสืบข่าวต่างแคว้น ป้องกันการก่อกบฏ สุดท้ายเขาหายสาบสูญไป ซึ่งเชื่อกันว่า เขาถูกคนฝ่ายกฎบลอบสังหาร เนื่องจากสืบข่าวลับๆ หลายอย่างที่เป็นภัยใหญ่หลวงต่อคนกลุ่มดังกล่าว และการหายตัวไปของเขา ได้เข้าทางหนันฮูหยิน นางใช้เรื่องนี้ฮุบสมบัติทั้งหมดให
บาปกรรม บาปกรรม... ลงมาจากเขา เดินทางไกลหลายร้อยลี้เพื่อหวังได้เงินสามร้อยตำลึงเปิดเหลาไว้ให้ชาวยุทธ์มาลิ้มรสชาติอาหาร โดยการเข้าไปเป็น สะใภ้สกุลหนันสักสามสี่เดือน จากนั้นนางก็จะใช้เล่ห์กลรีดไถเงินเพิ่มอีกสักหน่อย ก่อนหายสาบสูญไปจากสกุลหนันที่เป็นพวกหน้าซื่อใจคด ทั้งยังงมงาย เรื่องไสยศาสตร์ มีความเชื่อเกี่ยวกับการทำนายโชคชะตา จนเป็นเหตุให้เกิดงานแต่งของเด็กชายวัยแปดขวบ กับเจ้าสาวสุดสวยสกุลเถียน หากไม่ใช่เถียนหลิงหลิงโฉมงามแสนบอบบาง หากเป็นเถียนลู่ฟาง ผู้ที่เก่งกล้า แต่ก็นั่นแหละ สุดท้ายเถียนลู่ฟาง ต้องอับอายอย่างหนัก จนอยากเอาหัวโม่งพื้นดินตายเสียให้รู้แล้วรู้รอด นางหลงกลผู้ชายที่หลงเหลือเพียงป้ายวิญญาณ อีกทั้งถูกเขาข่มขู่ ให้ทำเรื่องชั่วร้าย สิ่งนั้นก็คือ เล่นบทบาทคบชู้กับวิญญาณจอมปลอม พร้อมกับเปิดโปงความชั่วร้ายของหนันฮูหยิน และหากนางขัดขืน จะต้องรับโทษอันใด คำพูดอีกฝ่ายย้อนเข้ามาในหัว “ข้าจะลักหลับเจ้า และเรียกบุตรให้มาอยู่ในครรภ์สักสองสามคน!” วิญญาณจอมปลอมของหนันจิ้งโหย่วข่มขู่นางไว้อย่างนั้น ยามนี้ ส่วนที่นางรักษาเอาไว้เพื่อบุรุษที่คู่ควรกำ
โปรย....อ๊ะ! นางร้องเสียงหลงไฉนทวนเล็กสั้น ของเด็กน้อยผู้เป็นสามีวัยแปดขวบถึงขยายใหญ่ได้เพียงนี้แล้วลิ้นสากร้อนนั้นก็เช่นกัน ประหนึ่งมีดสั้นที่จ้วงแทงทั้งปากบน ปากล่างของนางจนซาบซ่านยากจะอดกลั้นเสียงครวญครางได้บัดซบ! เข้าหอคืนแรก นางคงมิแคล้วคงขาดใจตายด้วยมีดสั้นอันพลิ้วไหว ทั้งจั๊กจี้และสากร้อนนี้!แนะนำเรื่อง นางขึ้นเกี้ยวเพื่อแต่งงานกับเด็กแปดขวบ เพื่อหวังขโมยของล้ำค่าในสกุลสามี แต่ไฉนจึงหลงกลวิญญาณจอมปลอมของพี่สามี กระทั่งถูกตบตีด้วยมีดสั้น และทวนทอง อย่างเร้าร้อนซาบซ่านสยิวใจ “อ๊ะ! นางร้องเสียงหลง เหตุใด ทวนเล็กสั้นของเด็กน้อยผู้เป็นสามีวัยแปดขวบถึงขยายใหญ่ได้เพียงนี้ แล้วลิ้นสากร้อนก็เช่นกัน ประหนึ่งมีดสั้นที่จ้วงแทงทั้งปากบน ปากล่างของนางให้ซาบซ่านยากจะอดกลั้นเสียงครวญครางได้ บัดซบ! เข้าหอคืนแรก นางคงมิแคล้วคงขาดใจตาย ด้วยมีดสั้นอันพลิ้วไหว ที่แสนจั๊กจี้และสากร้อนนี้ ! กระนั้น เถียนลู่ฟางก็มิใช่คนเบาปัญญา ในเมื่อเจ้าบ่าวนางเยาว์วัย เขาคงมิอาจพานางขึ้นสวรรค์ได้ แน่แล้ว คนผู้นี้ ย่อมเป็นหนันจิ้งโหย่ว บุรุษที่หลอกลวงผู้อื่น และเหลือเพียงป้าย
ระหว่างการเดินทางไปเยี่ยมพ่อตา หรือแม้แต่ไปเมืองหลวงเพื่อรายงานสิ่งต่าง ๆ กวนเฉินหลางอาศัยในรถม้ากับอวิ๋นมู่หลัน แทนการขี่ม้า และบ่อยครั้งที่เขาจะบอกให้รถม้าเคลื่อนตัวช้า ๆ มิหนำซ้ำชายหนุ่มยังหิวบ่อย ของที่เขาต้องการกินล้วนเป็นอาหารของเด็ก ๆ กับผลไม้รสหวานจัด “ถังหูลู่ข้าเบื่อแล้ว ขอเป็นน้ำตาลปั้น แล้วก็พุทราเชื่อม” เขาตะโกนบอกหลิวตงที่อยู่ด้านนอก พออีกฝ่ายเตรียมกลับเข้าไปในตลาดที่เพิ่งผ่านมาเมื่อครึ่งชั่วยามก่อน กวนเฉินหลางก็ตะโกนขึ้นว่า “กลับรถม้า ข้าอยากได้ขนมเปี๊ยะแล้วก็ลูกอมบ๊วย หากไม่เลือกด้วยตัวเองไฉนจะถูกใจ!” อวิ๋นมู่หลันหัวเราะจนได้ นางเห็นสายตาสามีเมื่อเขาพูดถึงของหวานก็น่าชมและชวนให้หมั่นไส้ “เหตุใดฮูหยินถึงมองข้าเช่นนั้น” “ข้าอดดีใจไม่ได้ที่ท่านพี่เจริญอาหาร ทั้งยังชวนผู้อื่นกินไม่หยุดปาก หากเราไปถึงเมืองหลวง คงต้องตัดชุดใหม่ให้มากสักหน่อย ดูแล้วยามนี้ท่านพี่คงอึดอัดมิน้อย” “เอ ฮูหยินหมายความเยี่ยงไร” กวนเฉินหลางถาม มือข้างหนึ่งเอื้อมไปหยิบมะยมเชื่อมโรยน้ำตาลเข้าปาก “ก็... ตั้งแต่ออกจ
อวิ๋นมู่หลันนึกเสียดายเหลือเกิน ในขณะกวนเฉินหลางถูกเมิ่งถูจับตัวไว้หลังจากเกือบเอาชีวิตไม่รอดจากปูม่วงก้ามหนาม เขาควรได้ รับการลงโทษให้หนักกว่านี้ และจะดีมากหากฝ่ายนั้นสามารถทำให้บุรุษผู้ยิ่งใหญ่ของนางตายด้าน ไม่ต้องมีพละกำลังล้นเหลือยามขึ้นเตียง “อา... ฮูหยิน ห่างกันหนึ่งปีเต็ม เหมือนข้าได้พบดรุณีน้อย แสนบริสุทธิ์ เจ้างามหมดจดทุกส่วน ผิวเนียนนุ่ม จุดหวานล้ำก็เป็นสีชมพู!” คำชื่นชมเขาแปลกประหลาดอยู่สักหน่อย และอวิ๋นมู่หลันขัดเขินจนหน้าแดงระเรื่อ มือไม้นางอ่อนไปหมด และสามีนางเป็นแมวหรอกหรือ ไฉนเดี๋ยวใช้ลิ้นสาก ๆ โลมเลียกลีบฉ่ำหวาน สลับการส่งแรงดูดล้ำลึก จนนางดิ้นพล่านอย่างเผลอไผล ลิ้นของเขาช่ำชอง และดูเหมือนคลั่งรักนางหนักจนชวนให้ตื่นตระหนก! ส่วนมือใหญ่ ๆ นั้นนวดเฟ้นหน้าอกอวบสวยที่เด้งไหวรองรับสัมผัสที่ซ่านสยิว กวนเฉินหลางมีนิ้วมือยอดเยี่ยม ทั้งยังลงแรงสม่ำเสมอพลอยให้นางซ่านใจจนความหวานในแอ่งเนื้อนิ่มซึมเอ่อไม่หยุด “ฮูหยิน ไม่อยากลองกระทำสิ่งแปลกใหม่บางหรือ ขี่ม้าก็แล้ว ท่าสุนัขหรือให้ข้าอุ้มเจ้าก็ทำได้ยอดเยี่ยม เราจะได้ปลดปล่
อวิ๋นมู่หลันมองคนตัวโตในชุดเกราะ และมือหนึ่งนั้นอุ้มอี้เหยาเอาไว้ ท่าทางเขาเก้ ๆ กัง ๆ คงเพราะไม่เคยอุ้มเด็กมาก่อน แต่แสดงให้เห็นว่าเอ็นดูและห่วงใยลูกชายคนเล็กของนางเพียงใด ฝ่ายอี้เหยาก็ช่างรู้ความ ปกติไม่ใช่คนมักคุ้นคนแปลกหน้า แต่เด็กน้อยในยามนี้อมยิ้มอยู่น้อย ๆ ดวงตามีประกายแจ่มใส คอยมองบิดาราวกับนิยมในความสง่างามและกล้าหาญ ทั้งที่ร่างกายกวนเฉินหลางแผ่ไอเย็นออกมา ผู้ใดเห็นแล้วไฉนจะไม่ครั่นคร้าม “ท่านพี่... เหยาเอ๋อร์ คงเพลียแล้ว ส่งมาให้ข้าเถิด” นางเอ่ยพร้อมพยายามจับตัวลูกชายอีกคนให้ออกมาพบผู้เป็นบิดา แต่อี้หยางเข้าไปหลบอยู่ในกระโปรงนาง พอจะจับตัวเขาก็ร้องโวยวายสลับการข่มขู่ นิสัยเช่นนี้นาน ๆ จะเกิดขึ้น “มะ… ไม่! ขะ… ไม่ไป!” “โอ้ ฮูหยิน เด็กอีกคนนั้น เจ้ายังไม่ได้คลอดเขาออกมาหรอกหรือ” กวนเฉินหลางถามแล้วจึงหัวเราะร่วน ลูกชายคนโตของเขาดูเหมือนไม่อยากพบหน้าคนเป็นบิดา ช่างพิลึกดีแท้ “ปกติก็ร่าเริง แต่ไม่รู้ด้วยเหตุใด หยางเอ๋อร์ถึงหลบหน้าท่านพี่เช่นนี้” กวนเฉินหลางมองภาพตรงหน้าและชอบใจ เขามีบุตรชายสองคน ต่อไปนี้คงมีหล