แม่ทัพใหญ่เฮยเซ่อเย่ว์ มอบหมายให้คนสนิท อีเหิง รองแม่ทัพฝ่ายขวา แบ่งกำลังอยู่รักษาเลี่ยงจินอู่ เมืองที่เพิ่งยึดมาได้ เอาไว้ใช้ต่างด่านหน้า ส่วนตนพาทหารที่เหลืออีกเจ็ดส่วนยกพลกลับค่ายพักทัพ
ผู้เป็นแม่ทัพเช่นเขาไม่เคยใส่ใจเรื่องความสบาย สิ่งที่ใส่ใจเป็นอันดับแรกคือความเหมาะสมและกลศึก เรื่องความสะดวกสบายอะไรนั่น เอาไว้สงครามสิ้นสุดลงเมื่อใด ถึงตอนนั้น คิดเสพสุขให้สำราญอย่างไร ก็ล้วนทำได้ทั้งนั้น
ทันทีที่กลับถึงค่ายพักทัพซึ่งตั้งอยู่ห่างจากกำแพงเมืองเลี่ยงจินอู่เพียงไม่ถึงห้าลี้ แม่ทัพใหญ่เฮยเซ่อเย่ว์ก็กึ่งดึงกึ่งลากหนิงซินผ่านเชือกมัดข้อมือ พานางเดินเข้ากระโจมหลังใหญ่ที่ตั้งอยู่ท่ามกลางกระโจมจำนวนนับไม่ถ้วน
ใต้หล้านี้จะมีองค์หญิงแคว้นใด ได้รับการปฏิบัติ หยาบคายเช่นนี้
ทันทีที่เข้ามาด้านใน ทหารรับใช้สองนายก็ช่วยกันยกถังน้ำร้อนนับถังไม่ถ้วนมาเติมลงในถังไม้ใบใหญ่อย่างแข็งขัน หลังจากเตรียมถังน้ำเย็นสำรองไว้สำหรับใช้ปรับอุณหภูมิสองสามถัง ก็จัดเตรียมเสื้อผ้าสำหรับผลัดเปลี่ยนให้ผู้เป็นนาย แล้วเริ่มลงมือเช็ดคราบเลือดถอดชุดเกราะอย่างรู้หน้าที่...ทั้งนายทั้งบ่าว ตั้งแต่ต้นจนจบ ไม่มีผู้ใดชายตามององค์หญิงที่ถูกพาตัวมาอย่างนางสักนิด
เพียงครู่เดียว ร่างสูงใหญ่หุ้มเกราะสีดำเปรอะคราบโลหิตเกรอะกรังก็เปลี่ยนเป็นบุรุษผิวพรรณสะอาดตาจนยากจะเชื่อว่าเป็นผู้ห้อม้ากรำศึกมานานปี กระนั้นรัศมีความดุดันน่าหวาดหวั่นก็หาได้ลดลงไม่
ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด อยู่ต่อหน้าคนผู้นี้แล้ว หนิงซินรู้สึกคล้ายจะหายใจไม่ออก
หรือนี่จะเป็นสิ่งที่เรียกว่าจิตสังหาร?
หนิงซิน แต่เล็กเติบโตมาอย่างได้รับความรักและการทะนุถนอมคุ้มครอง นางไหนเลยจะเคยได้สัมผัสความรู้สึกมุ่งร้ายที่ชัดเจนเช่นนี้
“ออกไป” แม่ทัพเฮยเซ่อเย่ว์สั่งทหารรับใช้สั้นๆ
ทหารรับใช้สับสนเล็กน้อย ทว่าหลังจากกะพริบตาสองปริบก็ตั้งสติได้
พวกเขารีบจากไปทันที โดยไม่ลืมใส่ใจปิดกระโจมให้ท่านแม่ทัพอย่างมิดชิด
ผู้ติดตามรับใช้ใกล้ชิดเจ้านายย่อมต้องหูไวตาไว...
หนิงซินเห็นท่าทางกระฉับกระเฉงคล่องแคล่ว ราวกับทำเรื่องเช่นนี้มาแล้วตั้งไม่รู้กี่หนของพลทหาร ก็เกิดสังหรณ์ใจไม่ดีขึ้นมา
ความเงียบครอบงำกระโจมกว้างอยู่ชั่วอึดใจ ไม่นานนัก เมื่อทหารรับใช้คล้อยหลัง ผู้เป็นเจ้าของกระโจมก็หันมาออกคำสั่งกับนาง
“มานี่”
มานี่? หนิงซินทวนคำสั่งนั้นในใจ
จะให้นางเข้าไปใกล้ทำไม?
หรือคนผู้นี้คิดหลู่เกียรตินางด้วยการใช้งานนางต่างหญิงรับใช้?
เขา...หรือคนผู้นี้ถึงกับคิดจะให้องค์หญิงผู้หนึ่ง ซึ่งแม้ยามนี้จะได้ชื่อว่าเป็นเชลย แต่ก็เป็นผู้ที่ดั้นด้นออกมายังแนวรบเพื่อยื่นข้อเสนอเจรจายุติสงคราม ปรนนิบัติบุรุษเช่นตนอาบน้ำ?
เชลยที่ใดกัน หากคนผู้นี้กล่าวว่านางคือเชลย นางก็ต้องเป็นเชลยเช่นนั้นหรือ? แรกเริ่มเดิมที นางมาพบคนผู้นี้ในฐานะทูตสงครามต่างหาก!
“ไม่” หนิงซินบอก น้ำเสียงแข็งกร้าว “ข้า หนิงซิน เดินทางมาที่นี่ในฐานะทูตสงครามและตัวประกัน ไม่ใช่ทาสเชลย ศักดิ์และสิทธิ์ในฐานะองค์หญิงก็ยังอยู่ครบ ท่านเป็นแม่ทัพใหญ่ควบคุมกองทัพเรือนแสนก็จริงอยู่ แต่ข้าองค์หญิงไม่จำเป็นต้องเชื่อฟังคำสั่งของท่าน อันที่จริง ท่านสมควรให้คนพาข้าไปที่กระโจมพักส่วนตัว รับรองข้าในฐานะแขกคนหนึ่งด้วยซ้ำ”
อาการพยศที่ไร้ประโยชน์และผิดที่ผิดทางนี้ ดึงให้แม่ทัพเฮยเซ่อเย่ว์เริ่มไล่สายตาสำรวจสตรีที่นับตั้งแต่ก้าวขาเข้ามาในกระโจม ก็เอาแต่ยืนตัวตรง วางท่างามสง่า สงบนิ่ง
เหอะ...งามสง่า...
แม่ทัพหนุ่มไล่สายตาอันเย่อหยิ่งกลับขึ้นจ้องตานาง
เมื่อเห็นนางยังคงสงบนิ่ง ไร้ท่าทีขลาดกลัว ก็แค่นหัวเราะ สาวเท้าเข้าหา ถามกึ่งเยาะ
“อ้อ...แม้จะประกาศออกไปแล้วว่าให้อยู่ในฐานะเชลยศึก ข้าแม่ทัพก็ยังสมควรรับรองหญิงแพศยาอัปมงคลเช่นเจ้าในฐานะแขกเช่นนั้นรึ” เขาไม่ละสายตาคู่คมไปจากตานางสักนิด “ระดับความสำคัญเล่า จะให้รับรองพอเป็นพิธีตามหลักผู้ใหญ่สงเคราะห์ผู้น้อย หรือต้องจัดงานเลี้ยงสุราใหญ่โต เรียกเหล่าบุรุษมาปรนนิบัติเอาใจ ‘หนิงซินกงจู่’ ผู้สูงส่ง”
หนิงซินสบตาคู่นั้นแล้วลมหายใจสะดุด ในสมองพลันวาบความคิดที่ชวนให้อกสั่นขวัญผวา แทบไม่ได้ฟังด้วยซ้ำว่าเมื่อครู่คนตรงหน้ากล่าววาจาหยาบหยามอย่างไรบ้าง
เห็นนัยน์ตาวาวโรจน์ดุจพยัคฆ์ร้ายเช่นนี้แล้ว...ต้องยอมรับตามตรงว่านางกลัว
นางไม่เคยกลัวตาย
ในตอนที่ตัดสินใจลอบหลบหนีออกจากวังหลวงมาพบคนผู้นี้ ก็เตรียมใจที่จะตายเอาไว้แล้วถึงเจ็ดแปดส่วน ทว่าความตายกับบางสิ่งบางอย่างที่นางสังหรณ์ใจว่ากำลังจะเกิดขึ้น นับเป็นคนละเรื่องกัน
นางยังจดจำถ้อยคำที่แม่นมตักเตือน เมื่อยามระแคะระคายว่าองค์หญิงอย่างนางอาจหลบหนีออกจากวัง มาทำเรื่องสุ่มเสี่ยงอย่างการเจรจาด้วยตนเองเพื่อยุติปัญหาที่ตนเองคล้ายเป็นตัวต้นเหตุได้ดี...
“องค์หญิง...สตรีอย่างพวกเรานั้นบอบบางแตกสลายง่ายดายเป็นอย่างยิ่ง บุรุษเองก็มีวิธีการตั้งมากมายมาใช้ทรมานสตรี กองทัพเฮยเซ่อเย่ว์ที่กุมชัยเหนือแว่นแคว้นน้อยใหญ่ในแผ่นดินยามนี้นั้น เล่าลือกันว่าโหดเหี้ยมอำมหิตยากจะหาใดเทียม แม่ทัพทมิฬผู้นำทัพใหญ่ที่ป่าวประกาศว่า ‘หากแคว้นป๋ายยอมส่งตัวองค์หญิงศักดิ์สิทธิ์ออกไป ก็อาจยอมเหลือทางรอดให้คนแคว้นป๋ายสักหนึ่งสาย’ ผู้นั้น ขึ้นชื่อลือชาเรื่องเย็นชาแล้งน้ำใจ ว่ากันว่ายามบุรุษผู้นั้นปรากฏตัวแต่ละครั้งผู้คนล้มตายราวกับใบไม้ร่วง ราวกับว่าคนผู้นั้นเป็นพญามัจจุราชจากขุมนรกก็ไม่ปาน จะกระทำสิ่งใดโดยปราศจากการไตร่ตรองเช่นนั้นมิได้นะเจ้าคะ...”
ทีแรกนางก็ไม่เข้าใจความหมาย ทว่าหลังจากแม่นมป้องปากกระซิบอธิบาย นางก็เข้าใจทันทีว่าเพราะเหตุใดแม่นมจึงอยากให้ระวัง
กระนั้นก็เถอะ จากที่ได้ยินมา แม่ทัพใหญ่ของกองทัพทมิฬแห่งเฮยเซ่อเย่ว์ แม้เก่งกล้าสามารถ เด็ดขาด ยามลงมือก็ลงมือได้อย่างโหดเหี้ยมไร้ปรานี ทว่าในแต่ละคราวที่ออกกำราบปราบปรามแต่ละแว่นแคว้น คนผู้นี้ไม่เคยกระทำการโดยไร้เหตุผลหรือ ‘ข้ออ้าง’ อันชอบธรรม ซ้ำยังไม่เคยมีข่าวเล่าลือว่ากองทัพอันยิ่งใหญ่ของเฮยเซ่อเย่ว์ข่มเหงฉุดคร่าย่ำยีสตรีแว่นแคว้นใด นางจึงไม่คิดว่าผู้เป็นแม่ทัพใหญ่ของกองทัพอันรักษาระเบียบวินัยเคร่งครัดเช่นเขา จะจาบจ้วงล่วงเกินสตรีใดโดยที่สตรีผู้นั้นไม่ยินยอม โดยเฉพาะยิ่งแล้วเมื่อสตรีผู้นั้นเป็นถึงองค์หญิงผู้หนึ่งซึ่งเดินทางมาในฐานะทูตสงคราม...ถึงแม้จะไม่ได้มาอย่างเป็นทางการก็ตามที
ทว่า...แววตาของคนผู้นี้...
หนิงซินกัดริมฝีปากแน่น ข่มความกลัว พยายามตั้งสติ
ต้องไม่เป็นเช่นที่แม่นมว่าสิ...
คนผู้นี้...คนผู้นี้...
หรือว่า...หรือว่าการข่าวของน้องสี่จะผิดพลาด?
หรือจะเป็นดังเช่นที่แม่นมของนางว่าไว้...หรือว่านางคิดอะไรง่ายดาย มองโลกและผู้คนในแง่ดีจนเกินไปดังที่คนผู้นี้ว่าไว้จริงๆ
ไม่...ไม่นะ...
หนิงซินก้าวขาถอยหลังโดยอัตโนมัติ
ตอนนั้นเอง หญิงหม้ายสกุลอวี๋ก็เปิดประตูเดินอุ้ยอ้ายออกมา นางทำท่าจะประสานมือคารวะ แต่ถูกอีเหิงขยับเข้าประคองห้ามไว้กลับเป็นหมอหลวงสวี่ที่ประสานมือค้อมศีรษะคารวะหญิงหม้ายเสียเอง แล้วเอ่ยถาม“อวี๋ฮูหยิน เป็นอย่างไรบ้าง มิใช่ว่าองค์หญิง—” หมอหลวงสวี่กำมือที่ชุ่มโชกไปด้วยเหงื่อใต้ชายแขนเสื้อคลุมสีขาวตัวยาวไว้แน่นหญิงหม้ายคาดไม่ถึงว่าบุคคลที่จำได้เลาๆ ว่าเป็นถึงหมออาวุโสผู้หนึ่งของกองทัพ ได้รับการนับหน้าถือตาเป็นอย่างยิ่ง จะถึงกับทำความเคารพสามัญชนเช่นนาง ซ้ำยังออกปากถามความเห็น มิใช่ถามเพียงอาการเช่นนี้ ทว่าเมื่อคำนึงถึงเรื่องที่สตรีในห้องเป็นสตรีของท่านแม่ทัพ อีกทั้งอาการของนางในยามนี้ก็ทั้งชัดเจนและไม่ชัดเจนเป็นอย่างยิ่ง หญิงหม้ายก็ประสานมือคารวะกลับ ทว่าทำได้เพียงค้อมศีรษะเล็กน้อยเท่านั้นนางตอบหมอชราดูทรงภูมิและรองแม่ทัพผู้รั้งเมืองตรงหน้าอย่างใจเย็น “ท่านหมอและท่านรองแม่ทัพไม่ต้องเป็นห่วง แม่นางเพียงแต่อ่อนเพลียและมีอาการวิตกกังวลมากสักหน่อยเท่านั้น ข้าต้มยาสงบใจที่เหมาะสำหรับสตรีให้รับประทานแล้ว หลังจากได้พักผ่อนอย่างเพียงพอ รั
หญิงหม้ายสกุลอวี๋มาถึงในชั่วอึดใจถัดมาอีเหิงมองร่างเล็กๆ เอวคอดกิ่วที่อุ้มครรภ์แก่ใกล้คลอดอุ้ยอ้ายเดินเข้ามาด้วยความช่วยเหลือของสาวใช้แล้วก็ให้ห่วงหน้าพะวงหลัง ทั้งเป็นห่วงคนป่วยบนเตียง ทั้งหวาดกลัวว่าเอวเล็กๆ ดูบอบบางของหญิงหม้ายจะเกิดหักลงมา ทว่าไม่กล้าทักท้วงที่นี่ไม่มีหมอหญิง และหมอหลวงสวี่ก็ยืนกรานว่าต้องให้หญิงหม้ายซึ่งรู้วิชาแพทย์และเชี่ยวชาญโรคสตรีมาช่วยตรวจอาการให้แน่ใจ หากมัวห่วงพะวงและรบกวนผู้ตรวจรักษาจนองค์หญิงรองเกิดเป็นอะไรลงไป ไม่ต้องรอจนผู้เป็นนายกลับมา เกรงแต่ว่าตัวเขาจะทนแบกรับความรู้สึกผิดไม่ไหว ซ้ำยังถูกเหล่าองครักษ์ที่ท่านแม่ทัพทิ้งไว้ให้คอยดูแลองค์หญิงรุมลงทัณฑ์องครักษ์เหล่านี้แม้ยามนี้นับเป็นส่วนหนึ่งของกองทัพ แต่ขึ้นตรงต่อท่านแม่ทัพของเขาเพียงผู้เดียวเท่านั้น แม้แต่คำว่า ‘อ๋องผู้นั่งอยู่เหนือบัลลังก์เฮยเซ่อเย่ว์’ ก็ยังหาได้มีความสลักสำคัญอะไรต่อพวกเขาไม่องครักษ์เหล่านี้ต่างหาก ที่นับเป็นกองทัพทมิฬที่แท้จริงแท้จริงแล้ว ‘กองทัพทมิฬ’ คือชื่อเรียกที่ท่านอ๋องผู้ล่วงลับมอบให้แก่กองกำลังลับส่วนตนของท่าน
แม้หมอหลวงสวี่จะเป็นหนึ่งในผู้ที่รั้นจะตามมาในกองทัพใหญ่เฮยเซ่อเย่ว์ ด้วยเห็นว่าชีวิตของตนเองอยู่มาจนป่านนี้ก็ไม่มีเรื่องใดให้เสียดายอีกแล้ว ห่วงแต่ว่าจะไม่ได้ทำประโยชน์ให้แก่ท่านแม่ทัพที่ยืนกรานออกศึกด้วยตนเองหลายต่อหลายครั้ง ทว่าอยู่มาจนป่านนี้ กลับได้ข่าวว่าอนุที่เยาว์วัยที่สุดของตนเกิดตั้งครรภ์และเพิ่งจะคลอดบุตร นับๆ ดูแล้วก็มั่นใจว่าเป็นทายาทของตนเป็นแม่นมั่น แม้ใจหนึ่งอยากกลับไปรับขวัญบุตรชายที่ได้มาราวปาฏิหาริย์ แต่การศึกยังติดพัน จึงได้แต่ตั้งใจอบรมสอนสั่งหมอทหาร เพื่อให้แน่ใจได้มากขึ้นอย่างน้อยๆ ก็อีกสองส่วน ว่ากองทัพเฮยเซ่อเย่ว์ที่เกรียงไกรจะไม่สูญเสียกำลังทหารจนพลาดพลั้งแพ้พ่าย... มิใช่ว่าไม่เชื่อใจผู้นำทัพ ในฐานะผู้ที่ติดตามกองทัพมาทั้งที่ไร้วรยุทธป้องกันตัว สวี่ซีซวนก็เพียงแต่ต้องการเพิ่มความแน่นอนปลอดภัยให้ชีวิตของตนเองเท่านั้นก่อนออกศึก ท่านแม่ทัพมิได้ทิ้งผู้ชราที่จู่ๆ ก็เกิดหวงชีวิตขึ้นมาเช่นตนไว้ที่เลี่ยงจินอู่เพียงเพื่อให้คอยกำกับดูแลหมอคนอื่นๆ ที่ล้วนกำลังทุ่มเทความสามารถรักษาเยียวยาทหารที่ได้รับบาดเจ็บหนัก แต่ยังมอบหมายอีกหนึ่งหน้าที่สำคัญให้ด้วยเ
นับตั้งแต่วันที่หยางหยางนำทัพใหญ่ออกเดินทางไปยังเมืองหลวงแคว้นป๋าย หนิงซินก็รู้สึกเหมือนมีก้อนหินหนักอึ้งถ่วงอยู่ในอก ความกังวลเกี่ยวกับความปลอดภัยของเขาและสถานการณ์การรบ บีบรัดหัวใจจนนางแทบหายใจไม่ออก แม้จะพยายามฝืนกินอาหารตามเวลา แต่อาหารทั้งหมดกลับจืดชืดไร้รส ยามพยายามข่มตาหลับ ภาพเงาร่างสูงใหญ่ของบุรุษที่เคยโอบกอดหยอกเย้ารวมถึงปลอบโยนนางจนหลับไหลซึ่งกำลังต่อสู้กับศัตรูก็ปรากฏขึ้นในห้วงนิทรา ทำให้นางสะดุ้งตื่นขึ้นมาด้วยความหวาดกลัวไม่รู้กี่คืนต่อกี่คืนวันแล้ววันเล่าผ่านไป หนิงซินได้แต่เฝ้ารอข่าวคราวจากสนามรบอย่างกระวนกระวาย จนกระทั่งข่าวที่ว่ากองทัพของหยางหยางบุกเข้าวังหลวงได้แล้วแพร่สะพัดไปทั่ว ทั่วทั้งจวนพลันเต็มไปด้วยความโกลาหล พร้อมๆ กับที่ผู้คนในเรือนหลักยิ่งพากันหน้าดำคร่ำเคร่ง พยายามระมัดระวังเอาใจใส่นาง ด้วยบ้างก็ยิ่งหวาดกลัวยำเกรงแม่ทัพใหญ่ บ้างก็อกสั่นขวัญผวาหวั่นเกรงว่าองค์หญิงรองที่ตนต้องดูแลปกป้องให้ปลอดภัยดีทุกอย่างจะคิดสั้นหรือล้มป่วยลงสำหรับหนิงซิน ข่าวนี้กลับทำให้หัวใจของนางเต้นรัวราวกับกลองศึก ความดีใจที่หยางหยางประสบชัยชนะ ปะปนกับความหวาดกลัวในอ
คำพูดของหยางหยางทำให้หนิงซินรู้สึกเจ็บปวดไปทั้งหัวใจนางรู้ดีว่าสงครามไม่มีผู้ชนะที่แท้จริง และทุกชีวิตที่ต้องสูญเสีย ล้วนนำมาซึ่งความโศกเศร้า“ข้าขอร้อง...”หนิงซินพยายามจะพูดอะไรบางอย่างอีกครั้ง เขารู้ว่านางจะพูดอะไร เขาเองก็ฟังมามากพอแล้วเช่นกันหยางหยางส่ายหน้าเบาๆ“ได้เวลาแล้ว” เขาพูดเสียงเรียบ “รอข้าอยู่ที่นี่”เมื่อสวมเกราะสุดท้ายเสร็จสิ้น แม่ทัพทมิฬก็เดินออกไปจากห้อง ทิ้งให้เงาร่างบอบบางยืนมองส่งเขาอย่างเดียวดายหนิงซินเม้มริมฝีปากแน่นก่อนตัดสินใจเดินตามไป ทว่าไม่ทันจะก้าวขาออกจากประตู เหล่าสาวใช้ที่รอปรนนิบัติดูแลนางอยู่ด้านนอกก็พากันคุกเข่าลง ใบหน้าเผือดสีหนิงซินเข้าใจในความหวาดกลัวของคนเหล่านี้ จึงไม่กล้าทำให้พวกนาง ทหารยาม และองครักษ์ทั้งหลายลำบากใจ ได้แต่เฝ้ามองเงาร่างของอีกฝ่ายหายลับไปจากประตูวงเดือนด้วยความรู้สึกผสมปนเปกันไปหมดนางได้พูดกับเขาแล้วรึยัง ว่านางเองก็อยากให้เขาดูแลตนเองให้ดี และปลอดภัยกลับมาเช่นกัน...แต่...คนผู้นั้นคือแม่ทัพใหญ่ฝ่ายศัตรู...
หยางหยางลูบผมของนางเบาๆ ก่อนปัดปอยปมที่ระใบหน้านางออกอย่างอ่อนโยนดีใจ...อย่างนั้นหรือ...?จริงก็ช่าง เท็จก็ช่าง...เขาไม่สนใจนางคือสตรีของเขา ทุกคำพูดมีไว้เพื่อเขา ทุกสายตา...ก็ควรมีไว้เพื่อเขาเช่นกันต่อให้นางยังไม่ตระหนักในตอนนี้ แต่สุดท้ายแล้วนางจะรู้...ชีวิตนี้นางไม่อาจถอยห่างจากเขาได้หยางหยางกระชับอ้อมแขนโอบรอบนางแน่นเข้าอย่างไม่รู้ตัว ดวงตาฉายแวววูบไหวลึกซึ้งเมื่อนึกถึงตอนที่นางกำลังจะเอื้อนเอ่ยว่าเขาเป็นคนสำคัญแต่เขาฟังไม่ได้ เขาไม่อาจทนฟังได้เพราะเขารู้ว่านางจะบอกว่าเขาคือคนสำคัญ นางจะต้องพูดเช่นนั้นเพื่อบ้านเมืองของนาง เพื่ออาณาประชาราษฎร์ของนาง เพื่อความถูกต้อง...ทว่าเขาไม่มีทางรู้เลยว่านางพูดด้วยความรู้สึกที่แท้จริงด้วยหรือไม่ หากใช่ เทียบกันแล้ว ระหว่างเขากับ ‘คนอื่น’ ค่าของเขาในใจนางแท้จริงแล้วนับว่ามีน้ำหนักน้อยมากเพียงใด จึงได้แต่ใช้การกระทำที่ตรงไปตรงมาที่สุดบีบให้นางแสดงความปรารถนาในส่วนลึกออกมาเท่านั้นอย่างน้อยเรื่องที่นางเป็นของเขาเพียงผู้เดียวก็เป็นเรื่องจริง