“เป็นอะไรไป ตั้งแต่ต้นจนถึงตอนนี้ก็เห็นว่าปากกล้าอยู่ได้ตั้งเป็นนาน ไฉนตอนนี้องค์หญิงรองผู้เก่งกาจ กลับหวาดกลัวขึ้นมาเสียแล้วเล่า” เขาเอ่ยกึ่งเยาะ
เพราะไม่รู้จะตอบอย่างไร หนิงซินเลือกใช้ความเงียบเป็นคำตอบ
แม่ทัพเฮยเซ่อเย่ว์สาวเท้าเข้าหา นางก้าวขาถอยหนี
ยิ่งแววตาเขาดูสนุกมากขึ้นทุกที นางก็ยิ่งหายใจลำบากยิ่งขึ้น
“หึ องค์หญิงศักดิ์สิทธิ์แคว้นป๋ายก็กลัวเป็นเสียด้วย” เขาก้าวขาเร็วขึ้น ทั้งน้ำเสียงและแววตาคุกคามทำเอาหนิงซินเผลอกลืนน้ำลายลงคออึกใหญ่
หนิงซินกัดริมฝีปากตัวเองแน่น พยายามตั้งสติ
ไม่ทันที่นางจะได้พูดอะไร เพียงเห็นนางเหลียวมองทางออกที่อยู่ไม่ไกล บุรุษผู้นี้ก็คล้ายจะหมดความอดทนเฉียบพลัน
“ข้าจะไม่เล่นไล่จับกับเจ้า หนิงซิน” บอกเพียงเท่านั้น แม่ทัพใหญ่ก็คว้าข้อมือนาง แม่นยำเหมือนอสรพิษฉกกัด
ร่างบอบบางโดนโยนลงบนฟูกในชั่วอึดใจนั้น
ก่อนที่หนิงซินจะได้ทันหวีดร้อง ร่างสูงใหญ่ก็โถมทับลงมา ตรึงข้อมือที่ยังโดนมัดไว้ของนางขึ้นเหนือหัว แล้วกดริมฝีปากแข็งกระด้างลงปิดปากนางอย่างไม่ปรานีปราศรัย
“อึ...อื้อ!”
จู่ๆ...จู่ๆ ก็ถูกทำแบบนี้...!
หนิงซินทั้งตกใจทั้งหวาดกลัวจนประคองสติเอาไว้ไม่ไหว ร่างเล็กๆ ดิ้นขลุกโดยอัตโนมัติ คิดแต่ว่าจะต้องดิ้นรนให้หลุดจากการกระทำอันหยาบคายต่ำช้านี้ให้ได้ ไม่รู้ตัวสักนิดว่าการโต้ตอบนั้นกลับยิ่งทำให้ร่างกายนุ่มละมุนหอมละไมบดเบียดเสียดสีกับร่างกายที่อัดแน่นไปด้วยกล้ามเนื้อแข็งแรงแกร่งกร้าวราวเหล็กกล้า
“ฮึก...ฮื้อ...อื้อ...” หนิงซินแทบลืมไปแล้วว่าต้องหายใจอย่างไร
ไหนจะปัญหาเรื่องสรีระ
ร่างกายที่แตกต่างกันนี้ รวมถึงไรหนวดอันแข็งกระด้างบนใบหน้าของคนผู้นี้ ทำให้นางทั้งอึดอัดไม่สบายตัว ทั้งเจ็บแสบที่ริมฝีปากและใบหน้าบริเวณที่ถูกไรหนวดนั่นครูดเนื้อถูไถอย่างไร้ปรานีเป็นที่สุด
นางพยายามผลักเขาออก
“ปละ...ปล่อย...!” พูดได้เท่านั้น ริมฝีปากนางก็โดนครอบครองอีกหน
องค์หญิงที่ได้รับคำพยากรณ์ว่าเป็นที่รักของเทพเซียน จนได้รับความรักสูงสุดจากคนทั่วหล้าอย่างนาง นับตั้งแต่แรกคลอดก็ได้รับการทะนุถนอมจากผู้คน ถูกประคองเอาไว้บนฝ่ามือราวกับไข่มุกอันล้ำค่า แม้แต่เสื้อผ้าเนื้อแข็งสักหน่อยก็ยังไม่เคยได้สัมผัส ยามนี้กลับต้องถูกไรหนวดแข็งๆ เช่นนี้ครูดเนื้อหนังทำร้าย นาง...นางไม่เคยรู้มาก่อนว่าการถูกของแข็งครูดผิวจะเจ็บแสบเช่นนี้ ไม่ถูก...นางไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่าเส้นขนของสิ่งมีชีวิตเองก็ใช้เป็นอาวุธได้ด้วย!
“...อย่า...” ถูกบดริมฝีปากปล้นจูบหยาบคายและรุนแรงเช่นนี้...ตอนนี้นางแทบจะหายใจไม่ทันแล้ว!
คนไม่เคยคิดร้ายต่อผู้ใด จะอย่างไรก็ไม่ทำร้ายใครทั้งนั้น
แม้จะตกใจและหวาดกลัวแค่ไหน นางกลับมิได้ทุบตีหรือจิกข่วนทำร้ายเขาสักนิด ที่นางทำก็มีเพียงพยายามดิ้นรน ดุนดัน แล้วก็เบี่ยงหน้าหลบการกระทำหยาบคายนั้นไปมา
แม้รู้ดีว่ายิ่งขัดขืนเช่นนี้ก็จะยิ่งถูกไรหนวดนั่นครูดผิวทำร้าย ทว่านางไม่อาจทอดกายปล่อยให้บุรุษผู้หนึ่งกระทำย่ำยีเอาตามใจเช่นนี้ ไม่มีวัน!
ราวกับอีกฝ่ายจะเกรงว่า ถ้านางขาดใจตายไปเสียก่อนเช่นนี้ ตนจะได้ทรมานสตรีตัวเล็กๆ ไม่หนำใจ...เขาเริ่มเปลี่ยนวิธีการ
ตอนนี้เขาไม่เพียงบดริมฝีปากปิดปากนางไว้ แต่ยังขบกัดริมฝีปากนาง เลียไล้เล็มลิ้มชิมรสชาติความหวาดหวั่นสั่นเทิ้มบนใบหน้า กกหู และลำคอขาวผ่อง
หนิงซินพยายามเบี่ยงหน้าหลบสัมผัสอันน่ารังเกียจนั่นและร้องห้าม แต่ทุกครั้งที่เปล่งเสียงออกมาได้สักคำครึ่งคำ ริมฝีปากบางๆ ก็โดนครอบครองวนซ้ำจนนางแทบจะไร้สิ้นเรี่ยวแรงต่อต้าน
จังหวะนี้เอง จู่ๆ นางก็รู้สึกถึงสิ่งแปลกปลอมอุ่นร้อนบางอย่างที่รุกล้ำลอดผ่านริมฝีปากเข้ามา นางพยายามใช้สิ่งเดียวที่มีอย่างลิ้นของตนเองดันสิ่งแปลกปลอมส่วนนั้นออกไป คาดไม่ถึงว่าอีกฝ่ายกลับไม่เพียงไม่สะทกสะท้าน ยังครางฮืออย่างพึงพอใจ ก่อนจะถอนริมฝีปากออกแล้วขบกัดริมฝีปากนางอย่างไรสาเหตุ
ครั้งนี้มันไม่ใช่การขบเม้มแค่พอให้เจ็บระบมเท่านั้น แต่มันเป็นการขบกัดที่รุนแรง...รุนแรงมากพอที่จะทำให้นางสัมผัสได้ว่ามีของเหลวเย็นๆ ไหลออกมาจากบริเวณนั้น
“อึก...” หนิงซินเจ็บจนน้ำตาเล็ด ไม่นานนักก็รู้สึกได้ถึงรสคาวของ...เลือด?
“อย่าบังอาจมายั่วยวนข้า” เขาบอกเสียงลอดไรฟัน
ตอนนั้นเอง หญิงหม้ายสกุลอวี๋ก็เปิดประตูเดินอุ้ยอ้ายออกมา นางทำท่าจะประสานมือคารวะ แต่ถูกอีเหิงขยับเข้าประคองห้ามไว้กลับเป็นหมอหลวงสวี่ที่ประสานมือค้อมศีรษะคารวะหญิงหม้ายเสียเอง แล้วเอ่ยถาม“อวี๋ฮูหยิน เป็นอย่างไรบ้าง มิใช่ว่าองค์หญิง—” หมอหลวงสวี่กำมือที่ชุ่มโชกไปด้วยเหงื่อใต้ชายแขนเสื้อคลุมสีขาวตัวยาวไว้แน่นหญิงหม้ายคาดไม่ถึงว่าบุคคลที่จำได้เลาๆ ว่าเป็นถึงหมออาวุโสผู้หนึ่งของกองทัพ ได้รับการนับหน้าถือตาเป็นอย่างยิ่ง จะถึงกับทำความเคารพสามัญชนเช่นนาง ซ้ำยังออกปากถามความเห็น มิใช่ถามเพียงอาการเช่นนี้ ทว่าเมื่อคำนึงถึงเรื่องที่สตรีในห้องเป็นสตรีของท่านแม่ทัพ อีกทั้งอาการของนางในยามนี้ก็ทั้งชัดเจนและไม่ชัดเจนเป็นอย่างยิ่ง หญิงหม้ายก็ประสานมือคารวะกลับ ทว่าทำได้เพียงค้อมศีรษะเล็กน้อยเท่านั้นนางตอบหมอชราดูทรงภูมิและรองแม่ทัพผู้รั้งเมืองตรงหน้าอย่างใจเย็น “ท่านหมอและท่านรองแม่ทัพไม่ต้องเป็นห่วง แม่นางเพียงแต่อ่อนเพลียและมีอาการวิตกกังวลมากสักหน่อยเท่านั้น ข้าต้มยาสงบใจที่เหมาะสำหรับสตรีให้รับประทานแล้ว หลังจากได้พักผ่อนอย่างเพียงพอ รั
หญิงหม้ายสกุลอวี๋มาถึงในชั่วอึดใจถัดมาอีเหิงมองร่างเล็กๆ เอวคอดกิ่วที่อุ้มครรภ์แก่ใกล้คลอดอุ้ยอ้ายเดินเข้ามาด้วยความช่วยเหลือของสาวใช้แล้วก็ให้ห่วงหน้าพะวงหลัง ทั้งเป็นห่วงคนป่วยบนเตียง ทั้งหวาดกลัวว่าเอวเล็กๆ ดูบอบบางของหญิงหม้ายจะเกิดหักลงมา ทว่าไม่กล้าทักท้วงที่นี่ไม่มีหมอหญิง และหมอหลวงสวี่ก็ยืนกรานว่าต้องให้หญิงหม้ายซึ่งรู้วิชาแพทย์และเชี่ยวชาญโรคสตรีมาช่วยตรวจอาการให้แน่ใจ หากมัวห่วงพะวงและรบกวนผู้ตรวจรักษาจนองค์หญิงรองเกิดเป็นอะไรลงไป ไม่ต้องรอจนผู้เป็นนายกลับมา เกรงแต่ว่าตัวเขาจะทนแบกรับความรู้สึกผิดไม่ไหว ซ้ำยังถูกเหล่าองครักษ์ที่ท่านแม่ทัพทิ้งไว้ให้คอยดูแลองค์หญิงรุมลงทัณฑ์องครักษ์เหล่านี้แม้ยามนี้นับเป็นส่วนหนึ่งของกองทัพ แต่ขึ้นตรงต่อท่านแม่ทัพของเขาเพียงผู้เดียวเท่านั้น แม้แต่คำว่า ‘อ๋องผู้นั่งอยู่เหนือบัลลังก์เฮยเซ่อเย่ว์’ ก็ยังหาได้มีความสลักสำคัญอะไรต่อพวกเขาไม่องครักษ์เหล่านี้ต่างหาก ที่นับเป็นกองทัพทมิฬที่แท้จริงแท้จริงแล้ว ‘กองทัพทมิฬ’ คือชื่อเรียกที่ท่านอ๋องผู้ล่วงลับมอบให้แก่กองกำลังลับส่วนตนของท่าน
แม้หมอหลวงสวี่จะเป็นหนึ่งในผู้ที่รั้นจะตามมาในกองทัพใหญ่เฮยเซ่อเย่ว์ ด้วยเห็นว่าชีวิตของตนเองอยู่มาจนป่านนี้ก็ไม่มีเรื่องใดให้เสียดายอีกแล้ว ห่วงแต่ว่าจะไม่ได้ทำประโยชน์ให้แก่ท่านแม่ทัพที่ยืนกรานออกศึกด้วยตนเองหลายต่อหลายครั้ง ทว่าอยู่มาจนป่านนี้ กลับได้ข่าวว่าอนุที่เยาว์วัยที่สุดของตนเกิดตั้งครรภ์และเพิ่งจะคลอดบุตร นับๆ ดูแล้วก็มั่นใจว่าเป็นทายาทของตนเป็นแม่นมั่น แม้ใจหนึ่งอยากกลับไปรับขวัญบุตรชายที่ได้มาราวปาฏิหาริย์ แต่การศึกยังติดพัน จึงได้แต่ตั้งใจอบรมสอนสั่งหมอทหาร เพื่อให้แน่ใจได้มากขึ้นอย่างน้อยๆ ก็อีกสองส่วน ว่ากองทัพเฮยเซ่อเย่ว์ที่เกรียงไกรจะไม่สูญเสียกำลังทหารจนพลาดพลั้งแพ้พ่าย... มิใช่ว่าไม่เชื่อใจผู้นำทัพ ในฐานะผู้ที่ติดตามกองทัพมาทั้งที่ไร้วรยุทธป้องกันตัว สวี่ซีซวนก็เพียงแต่ต้องการเพิ่มความแน่นอนปลอดภัยให้ชีวิตของตนเองเท่านั้นก่อนออกศึก ท่านแม่ทัพมิได้ทิ้งผู้ชราที่จู่ๆ ก็เกิดหวงชีวิตขึ้นมาเช่นตนไว้ที่เลี่ยงจินอู่เพียงเพื่อให้คอยกำกับดูแลหมอคนอื่นๆ ที่ล้วนกำลังทุ่มเทความสามารถรักษาเยียวยาทหารที่ได้รับบาดเจ็บหนัก แต่ยังมอบหมายอีกหนึ่งหน้าที่สำคัญให้ด้วยเ
นับตั้งแต่วันที่หยางหยางนำทัพใหญ่ออกเดินทางไปยังเมืองหลวงแคว้นป๋าย หนิงซินก็รู้สึกเหมือนมีก้อนหินหนักอึ้งถ่วงอยู่ในอก ความกังวลเกี่ยวกับความปลอดภัยของเขาและสถานการณ์การรบ บีบรัดหัวใจจนนางแทบหายใจไม่ออก แม้จะพยายามฝืนกินอาหารตามเวลา แต่อาหารทั้งหมดกลับจืดชืดไร้รส ยามพยายามข่มตาหลับ ภาพเงาร่างสูงใหญ่ของบุรุษที่เคยโอบกอดหยอกเย้ารวมถึงปลอบโยนนางจนหลับไหลซึ่งกำลังต่อสู้กับศัตรูก็ปรากฏขึ้นในห้วงนิทรา ทำให้นางสะดุ้งตื่นขึ้นมาด้วยความหวาดกลัวไม่รู้กี่คืนต่อกี่คืนวันแล้ววันเล่าผ่านไป หนิงซินได้แต่เฝ้ารอข่าวคราวจากสนามรบอย่างกระวนกระวาย จนกระทั่งข่าวที่ว่ากองทัพของหยางหยางบุกเข้าวังหลวงได้แล้วแพร่สะพัดไปทั่ว ทั่วทั้งจวนพลันเต็มไปด้วยความโกลาหล พร้อมๆ กับที่ผู้คนในเรือนหลักยิ่งพากันหน้าดำคร่ำเคร่ง พยายามระมัดระวังเอาใจใส่นาง ด้วยบ้างก็ยิ่งหวาดกลัวยำเกรงแม่ทัพใหญ่ บ้างก็อกสั่นขวัญผวาหวั่นเกรงว่าองค์หญิงรองที่ตนต้องดูแลปกป้องให้ปลอดภัยดีทุกอย่างจะคิดสั้นหรือล้มป่วยลงสำหรับหนิงซิน ข่าวนี้กลับทำให้หัวใจของนางเต้นรัวราวกับกลองศึก ความดีใจที่หยางหยางประสบชัยชนะ ปะปนกับความหวาดกลัวในอ
คำพูดของหยางหยางทำให้หนิงซินรู้สึกเจ็บปวดไปทั้งหัวใจนางรู้ดีว่าสงครามไม่มีผู้ชนะที่แท้จริง และทุกชีวิตที่ต้องสูญเสีย ล้วนนำมาซึ่งความโศกเศร้า“ข้าขอร้อง...”หนิงซินพยายามจะพูดอะไรบางอย่างอีกครั้ง เขารู้ว่านางจะพูดอะไร เขาเองก็ฟังมามากพอแล้วเช่นกันหยางหยางส่ายหน้าเบาๆ“ได้เวลาแล้ว” เขาพูดเสียงเรียบ “รอข้าอยู่ที่นี่”เมื่อสวมเกราะสุดท้ายเสร็จสิ้น แม่ทัพทมิฬก็เดินออกไปจากห้อง ทิ้งให้เงาร่างบอบบางยืนมองส่งเขาอย่างเดียวดายหนิงซินเม้มริมฝีปากแน่นก่อนตัดสินใจเดินตามไป ทว่าไม่ทันจะก้าวขาออกจากประตู เหล่าสาวใช้ที่รอปรนนิบัติดูแลนางอยู่ด้านนอกก็พากันคุกเข่าลง ใบหน้าเผือดสีหนิงซินเข้าใจในความหวาดกลัวของคนเหล่านี้ จึงไม่กล้าทำให้พวกนาง ทหารยาม และองครักษ์ทั้งหลายลำบากใจ ได้แต่เฝ้ามองเงาร่างของอีกฝ่ายหายลับไปจากประตูวงเดือนด้วยความรู้สึกผสมปนเปกันไปหมดนางได้พูดกับเขาแล้วรึยัง ว่านางเองก็อยากให้เขาดูแลตนเองให้ดี และปลอดภัยกลับมาเช่นกัน...แต่...คนผู้นั้นคือแม่ทัพใหญ่ฝ่ายศัตรู...
หยางหยางลูบผมของนางเบาๆ ก่อนปัดปอยปมที่ระใบหน้านางออกอย่างอ่อนโยนดีใจ...อย่างนั้นหรือ...?จริงก็ช่าง เท็จก็ช่าง...เขาไม่สนใจนางคือสตรีของเขา ทุกคำพูดมีไว้เพื่อเขา ทุกสายตา...ก็ควรมีไว้เพื่อเขาเช่นกันต่อให้นางยังไม่ตระหนักในตอนนี้ แต่สุดท้ายแล้วนางจะรู้...ชีวิตนี้นางไม่อาจถอยห่างจากเขาได้หยางหยางกระชับอ้อมแขนโอบรอบนางแน่นเข้าอย่างไม่รู้ตัว ดวงตาฉายแวววูบไหวลึกซึ้งเมื่อนึกถึงตอนที่นางกำลังจะเอื้อนเอ่ยว่าเขาเป็นคนสำคัญแต่เขาฟังไม่ได้ เขาไม่อาจทนฟังได้เพราะเขารู้ว่านางจะบอกว่าเขาคือคนสำคัญ นางจะต้องพูดเช่นนั้นเพื่อบ้านเมืองของนาง เพื่ออาณาประชาราษฎร์ของนาง เพื่อความถูกต้อง...ทว่าเขาไม่มีทางรู้เลยว่านางพูดด้วยความรู้สึกที่แท้จริงด้วยหรือไม่ หากใช่ เทียบกันแล้ว ระหว่างเขากับ ‘คนอื่น’ ค่าของเขาในใจนางแท้จริงแล้วนับว่ามีน้ำหนักน้อยมากเพียงใด จึงได้แต่ใช้การกระทำที่ตรงไปตรงมาที่สุดบีบให้นางแสดงความปรารถนาในส่วนลึกออกมาเท่านั้นอย่างน้อยเรื่องที่นางเป็นของเขาเพียงผู้เดียวก็เป็นเรื่องจริง