“อย่าบังอาจมายั่วยวนข้า” เขาบอกเสียงลอดไรฟัน
วัดจากความเย็นที่เคลื่อนลงจากมุมปากอย่างเชื่องช้า กับคราบน้ำสีแดงข้นบนริมฝีปากที่คนตรงหน้าเพิ่งจะตวัดลิ้นกลืนกินอย่างไม่รู้สึกรู้สา เดาว่าริมฝีปากนางในตอนนี้คงถูกบุรุษใจทรามตรงหน้าขบกัดจนเป็นแผล เลือดสดๆ กำลังหลั่งรินออกมาแล้วจริงๆ
“จริงสิ...ข้าเคยบอกเอาไว้ว่าจะทำให้เจ้าร้องขอความตาย...” เขาบอกเสียงแหบแห้งเย็นชาทว่าทรงอำนาจดุจพญามัจจุราชจากปรภพ พลางใช้สายตาโลมไล้ใบหน้าและลำคออันขาวผ่องรอบหนึ่ง จากนั้นก็จ้องลึกลงในตานาง แย้มรอยยิ้มอันเหี้ยมเกรียมน่าหวาดหวั่นที่ทำให้หนิงซินถึงกับสั่นเทิ้มไปทั้งวิญญาณ หวาดผวาจนน้ำตาคลอเบ้า
ในชั่วขณะที่หนิงซินคิดว่าเรื่องทุกอย่างจบลงแล้ว แม่ทัพเฮยเซ่อเย่ว์ก็ตวาดใส่นางเสียงดังลั่น “ร้องสิ! หากไม่ร้องไห้อ้อนวอนหรือโวยวาย ก็จงใช้วิธีการที่เจ้าใช้ยั่วยวนปั่นหัวผู้คนให้รบราฆ่ากันตาย ให้ผู้ชนะอย่างข้าได้ดูชมเป็นขวัญตาสักครั้ง! นารีล่มเมืองหรือจะมีดีแค่นี้!”
หนิงซินเม้มริมฝีปากแน่น เนื้อตัวสั่นเทาไปหมด แม้แต่ประโยคร้องขอความเห็นใจก็ยังพูดไม่ออกแม้เพียงครึ่งคำ
ยังไม่ต้องเอ่ยถึงการโดนตวาดใส่ซึ่งๆ หน้าเช่นนี้...องค์หญิงที่ได้รับความโปรดปรานสูงสุดอย่างนาง ตั้งแต่เล็กจนโตล้วนรายรอบด้วยผู้คนที่รักใคร่ให้ความเอ็นดู กระทั่งพูดจาเสียงดังหรือหายใจแรงๆ สักหน่อย ก็ยังไม่มีใครกล้าทำต่อหน้านางสักครั้ง
นางจ้องลึกลงในตาเขา ในอกมีคำพูดมากมาย แต่กลับเปล่งเสียงไม่ออกสักนิด
ไม่...ไม่ใช่นะ...
หาได้เป็นเช่นนั้น...
ข้า...ข้ามิได้...
“หึ...เสแสร้งแกล้งอ่อนแอ ทำเนื้อตัวสั่นเทาน้ำตาคลอเบ้าให้ผู้คนสงสารเห็นใจ...ที่แท้องค์หญิงศักดิ์สิทธิ์ของนิกายแสงสว่าง หญิงงามอันดับหนึ่งในใต้หล้าที่ทั่วทั้งแผ่นดินหมายปอง ก็ทำเป็นแต่ใช้ลูกไม้ตื้นๆ พรรค์นี้!” เขาเยาะ
หนิงซินคล้ายถูกสะกิดแผลเก่าให้เปิดออก
ที่จริงแล้ว...เดิมทีตำแหน่งองค์หญิงศักดิ์สิทธิ์ที่ดำรงอยู่ในตอนนี้มิใช่ของนาง ด้วยนางมีพี่หญิงต่างมารดาที่อายุมากกว่าตนเองสามสี่ปีอยู่ผู้หนึ่ง พี่หญิงใหญ่ของนางผู้นั้น แม้ในยามปกติจะดีต่อนาง ทว่าก็มักจะคอยบ่นอย่างน้อยเนื้อต่ำใจเสมอ...
“เกิดเป็นน้องหญิงที่ลืมตาดูโลกพร้อมคำทำนายมหามงคล มีมารดาคอยทะนุถนอมเอาใจใส่ บิดารักใคร่ให้ความโปรดปราน ผู้อื่นผู้ใดได้เห็นก็พากันรักใคร่ให้ความเอ็นดูอย่างเจ้า ช่างดีนัก... ยามกระทำเรื่องผิดพลาดครั้งใด เพียงแสร้งทำตัวอ่อนแออมโรค ทำเนื้อตัวสั่นเทา ทำน้ำตาคลอเบ้าเข้าหน่อย ผู้ใดได้เห็นก็เป็นต้องสงสารเห็นใจกันทั้งนั้น พี่หญิงอย่างข้ากลับทำสิ่งใดล้วนต้องถูกต้องสมบูรณ์แบบทุกอย่าง มิเช่นนั้น จากเรื่องเล็กๆ ก็จะกลายเป็นเรื่องใหญ่ที่ยากจะรับมือขึ้นมา ไม่แน่ว่าสักวันหนึ่งอาจถึงขั้นต้องรับผิดชอบด้วยชีวิต”
ต่อมาเมื่อนางอายุย่างสิบสี่ พี่หญิงใหญ่อายุราวสิบเจ็ดปี พี่หญิงใหญ่เข้าสู่อารามหลวง กลายเป็นสตรีศักดิ์สิทธิ์ตามความเหมาะสมทั้งด้านวัยวุฒิและสถานะอันสูงส่ง ในฐานะที่เป็นองค์หญิงองค์โตซึ่งถือกำเนิดจากพระราชชายา[1]ผู้หนึ่ง...แม้จะเป็นพระราชชายาที่ล่วงลับไปแล้วก็ตามที
ทันทีที่ขึ้นรับตำแหน่ง พี่หญิงใหญ่ของนางรับหน้าที่ขึ้นบรรเลงบทเพลงอัญเชิญสิ่งศักดิ์สิทธิ์บนแท่นพิธีสูงเสียดฟ้า เพื่อทำการบวงสรวงก่อนก่อสร้างเขื่อนป้องกันอุทกภัย
ก็ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด ระหว่างทำพิธี พี่หญิงที่ชำนาญสิ้นทั้งพิณ ภาพ หมาก อักษร กลับพลาดพลั้ง ทำสายพิณขาดสะบั้น แล้วเย็นวันนั้นพายุฝนก็โหมกระหน่ำรุนแรง ก่อให้เกิดมหาอุทกภัย ซัดทำลายบ้านเรือนและเรือกสวนไร่นาไปถึงสามเมืองใหญ่
ครั้งนั้นแม้พี่หญิงจะคร่ำครวญร่ำไห้สักเพียงใด ก็ยังถูกลากตัวออกไปสำเร็จโทษในพิธีขอขมาต่อทวยเทพที่ปกปักษ์รักษาแว่นแคว้นอย่างน่าเศร้า
ก่อนสิ้นใจเพราะสุราพิษพระราชทาน พี่หญิงใหญ่ทอดสายตามองมาที่นาง ขยับริมฝีปากกล่าวอย่างไรซุ่มเสียงเพียงสั้นๆ
“เจ้าเห็นหรือไม่”
เพียงเท่านั้น พี่หญิงของนางก็ไอออกมาเป็นเลือด ก่อนฟุบตัวลงทั้งๆ ที่ยังคงไม่ละสายตาไปจากนาง ลาจากโลกใบนี้ไปทั้งอย่างนั้น
นึกถึงดวงตาแดงก่ำคู่นั้นแล้ว หนิงซินแทบจะกักเก็บน้ำตาเอาไว้ไม่อยู่
“ท่านผิดแล้ว ข้าไม่เคยร้องขอให้ผู้ใดมาเมตตาสงสารทั้งนั้น!”
นางโต้กลับเสียงดังอย่างที่ไม่เคยกระทำ
“ท่านแม่ทัพเรียกข้าว่าหญิงแพศยาอัปมงคล ข้าองค์หญิงขอถามท่านแม่ทัพสักคำ ว่าข้าองค์หญิงที่เพียงเลือกคู่ตามธรรมเนียมเก่าแก่โบราณของแคว้นเรา เมื่อเห็นเค้าลางของความวุ่นวาย ก็เลือกตัดปัญหาที่ต้นเหตุเช่นตนด้วยการทูลขอต่อเสด็จพ่อ ส่งตนเองเข้าอารามศักดิ์สิทธิ์ กลายเป็นองค์หญิงศักดิ์สิทธิ์ที่จะต้องครองพรมจรรย์อยู่ในอารามไปจวบจนสิ้นชีวิต... ข้าที่ทำสิ่งใดมากกว่านี้มิได้แล้ว นับว่าผิดจริงหรือไม่!”
ตอนนี้นางหยุดตัวเองไม่ได้แล้ว
“ใช่บุรุษเช่นพวกเขาเองหรือไม่ ที่เข้าร่วมการประลองเลือกคู่แล้วกลับไร้ความซื่อสัตย์ ต่อให้ได้ผู้ชนะแล้วก็ยังเลือกรังควานประหัตประหารกันไม่สิ้นสุด ใช่พวกเขาเหล่าบุรุษเองหรือไม่ ที่จะอย่างไรก็ไม่วายยึดศักดิ์ศรีเป็นที่ตั้ง คิดแต่จะเอาชนะคะคาน กระทั่งข้าเลือกจองจำตนเองในอาราม เลือกสืบทอดหน้าที่สตรีศักดิ์สิทธิ์จากพี่หญิงใหญ่เช่นนี้แล้ว พวกเขาก็ยังไม่ยอมยุติการฆ่าฟัน...ท่านลองบอกข้าสักคำ ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นความผิดของข้าใช่หรือไม่!”
หนิงซินจ้องดวงตาที่ลุกโชนด้วยไฟโทสะของบุรุษตรงหน้า ตาไม่กะพริบ
ท่าทีเช่นนี้ทำให้ดวงตาคู่คมของแม่ทัพเฮยเซ่อเย่ว์ยิ่งวาบวับขึ้นด้วยประกายโทสะ
เขาจ้องตานาง นางจ้องตาเขา
ยามนี้หนิงซินก็ไม่เหลือสติจะอดทนข่มอารมณ์แล้วเช่นกัน!
ผ่านไปราวครึ่งถ้วยชา แม่ทัพเฮยเซ่อเย่ว์ก็กระตุกยิ้มที่มุมปาก...
เขาใช้มือข้างหนึ่งกดร่างนางไว้ เพียงใช้มืออีกข้างกระชากแรงหน่อย ชุดผ้าเนื้อดีสีนวลตาบนกายนาง ถึงกับหลุดขาดวิ่นคามือ!
[1] ในเรื่องนี้จะไม่มีฮองเฮานะคะ ขอให้เข้าใจเอาตามนี้ว่า ตำแหน่งพระราชชายานี้ เป็นตำแหน่งสูงสุดของภรรยาเอกของผู้ครองแคว้นในเรื่องนี้ ที่ยังเรียกกันว่า ‘อ๋อง’ หรือก็คือ ‘หวาง’ ในภาษาจีนกลางนั่นเองค่ะ แต่ก็เป็นยุคสมัยที่มีการสถาปนาก่อตั้งราชวงศ์กันแล้ว ถ้าใครเคยอ่านนิยายเรื่อง ‘นางมารน้อยข้ามภพ’ ยุคสมัยของเรื่องนี้ จะเป็นยุคสมัยก่อนเรื่องนางมารน้อยข้ามภพ เป็นยุคที่เต็มไปด้วยแคว้นต่างๆ และเหล่าชนเผ่าค่า
นางจะไม่ยอมอดทนต่อการกระทำอันต่ำทรามไร้มารยาทนี้อีกต่อไปแล้ว! นางไม่มีอะไรจะเสียอีกแล้ว!หนิงซินพยายามขยับตัวดิ้น คาดไม่ถึงว่าท่าทีนั้นจะทำให้อีกฝ่ายครางเสียงทุ้มต่ำในลำคอ บางสิ่งที่ค้างคาอยู่ในตัวนางขยายใหญ่ขึ้นจนคับแน่นไปกันใหญ่“เจ้าคิดว่านี่คือสิ่งที่ข้าต้องการ?” เขาถามเสียงแหบห้าวราวกับราชสีห์ที่เพิ่งตื่นจากการหลับใหลน้ำเสียงที่เป็นเช่นนี้...จะว่าฟังดูสบายๆ ก็ให้ความรู้สึกว่าสบายๆ จะว่าให้ความรู้สึกว่าน่าหวาดกลัวก็ให้ความรู้สึกว่าน่าหวาดกลัว ทั้งฟังดูน่าเกรงขามทั้งชวนให้ขนลุกได้อย่างน่าพิศวงถึงกระนั้นก็เถอะ ท่าทีเช่นนี้ค่อนข้างแตกต่างจากท่าทีก่อนที่ทั้งเขาและนางจะ...ร่วมหมอนนอนเคียงกันสักเล็กน้อย คล้ายกับว่ามันมีสัดส่วนของการหยอกเย้าอย่างนึกสนุกปะปนอยู่ในนั้น แต่จะด้วยในฐานะนางบำเรอหรือสัตว์เลี้ยงนั้น...นางไม่อาจและไม่อยากคาดเดาเห็นนางนิ่งเงียบ แม่ทัพทมิฬบีบคาง บังคับให้นางผินหน้ามาสบตาชั่วอึดใจนั้น ความน้อยเนื้อต่ำใจและความอัปยศอดสูสมเพชเวทนาตนเองเหลือจะกล่าว และความรู้สึกกล่าวโทษฝ่ายที่ทำให้ตนเองต้องรู้สึกเช่นนี้อย่างละส่วน ขับให้หนิงซินจ้องตอบด้วยสีหน้าเฉยชาอย่างที่สุด“นี
การลงทัณฑ์อันเร่าร้อนรุนแรง ปลุกเร้าความรู้สึกบางอย่างที่ซุกซ่อนในใจ ทำให้หนิงซินรู้สึกอัปยศอดสูถึงขีดสุดยามนี้นางทั้งรังเกียจชิงชังตนเอง ทั้งรู้สึกผิด ทั้งยังรู้สึกว่าตนเองแปดเปื้อน หมดคุณค่า จิตใจถูกทำให้บิดเบี้ยววิปลาสเกินเยียวยา หมดสิ้นความภาคภูมิใจในตนเอง เกียรติยศและความสง่างามในฐานะองค์หญิงศักดิ์สิทธิ์ผู้สูงศักดิ์ของแคว้นป๋ายล้วนถูกย่ำยีจนไม่เหลือซากภายในระยะเวลาเพียงครึ่งชั่วยามบุรุษต่ำช้าผู้นี้ราวกับหมาป่าอดอยากหิวโซคลุ้มคลั่งตัวหนึ่งก็ไม่ปาน นับตั้งแต่เริ่มลงมือกับนาง เขาก็ลงมืออย่างไม่ยั้งมือไว้ไมตรี กระทำย่ำยีกับนางเอาตามใจทั้งคว่ำและหงาย ใช้นางบำบัดความใคร่ บำเรอกาม ปฏิบัติต่อนางเสมือนหนึ่งหญิงคณิกา หลังจากเสร็จสิ้นสุขสม ก็ไม่ใส่ใจแม้แต่จะดึงผ้าสักชิ้นมาปกปิดร่างกายทั้งเขาและนาง ทั้งยังไม่สนใจว่าหลังจากเพิ่งผ่านพ้นเสร็จสิ้นกิจกามอันยาวนานกันไปหนหนึ่ง นางจะเจ็บปวดบอบช้ำถึงเพียงไหน กลับจับนางพลิกคว่ำซุกไซ้สูดดมซอกคอ สอดแทรกความเป็นชายที่ยังแข็งเกร็งเข้ามาจนสุดลำ กอดรั้งร่างนางที่ไร้แรงจะต้านทานขัดขืนไว้แน่นหนที่สองนี้ เขาไม่ได้เคลื่อนไหวรุนแรงเหมือนหนแรก กลับสอดใส่ค้างคา
ไม่...ไม่นะ...นี่นาง...นางกำลังคล้อยตามโจรขืนใจผู้นี้!ไม่ ไม่ ไม่ ไม่! ไม่มีวัน! นางต้องเสียสติไปแล้วแน่ๆเรื่องน่าอัปยศเช่นนี้ ความรู้สึกโสมมเช่นนี้!“เอามัน...ฮึก...! เอามันออกไป...!” หนิงซินร้องเสียงแหบพร่าตอนนี้นางแทบจะไม่มีเสียงห้ามแล้ว แต่หากไม่ห้าม...นาง...นางรู้สึกว่า...นางคิดว่านางสมควรต้องห้าม!ถูกแล้ว นางสมควรต้องพยายามยุติเหตุการณ์อันน่าอัปยศและไม่ถูกต้องนี้ ต้องต่อต้านสิ่งที่กำลังเกิดขึ้น และไม่สมควรคล้อยตามความรู้สึกอันสกปรกไร้ยางอายเช่นนี้!ต่อให้นางไม่ใช่สตรีศักดิ์สิทธิ์ที่สมควรครองพรหมจรรย์แต่ก็ยังเป็นองค์หญิงรองที่ถือกำเนิดจากครรภ์พระราชชายาแห่งผู้ปกครองแคว้นป๋าย และต่อให้นางไม่ใช่องค์หญิงผู้หนึ่งของแคว้นป๋าย นางก็ยังเป็นสตรีผู้หนึ่งใต้หล้านี้จะมีสตรีดีๆ ใดที่เป็นเช่นนี้...ยังไม่ทันแต่งงานเข้าพิธี โดนบุรุษผู้หนึ่งข่มเหงรังแก กลับหลงคล้อยตาม เผลอปล่อยตัวปล่อยใจ ปล่อยให้ผู้อื่นเสพสุขจากร่างกายตนโดยง่าย กระทำตัวไร้ยางอายและไร้ค่าเช่นนี้!นาง...ไม่อาจปล่อยให้เป็นเช่นนี้!ราวกับล่วงรู้ว่านางกำลังคิดอะไร คนด้านบนแค่นหัวเราะอย่างสาแก่ใจ ก่อนขยับอีกนิ้วที่ว่างอยู่ปัดเ
เขาใช้มือข้างหนึ่งกดร่างนางไว้ เพียงใช้มืออีกข้างกระชากแรงหน่อย ชุดผ้าเนื้อดีสีนวลตาบนกายนาง ถึงกับหลุดขาดวิ่นคามือ!“อ๊ะ!!! ต่ำช้า ท่านมันต่ำช้าที่สุด!” หนิงซินตกใจกลัวจนแทบไม่รู้ตัวแล้วว่าพูดอะไรออกมา“อ้อ ข้าต่ำช้า!” คราวนี้เขาแค่นหัวเราะ ก่อนกดศีรษะลงไซ้แก้ม กราม ซอกคอ ไล่ลงมาจนถึงเนินอกอิ่ม แล้วกระชากเสื้อตัวยาวที่สวมเอาไว้อย่างหลวมๆ ของตัวเองทิ้งอย่างรวดเร็วหนิงซินโกรธจนลืมกลัวไปแล้ว“เป็นแค่แม่ทัพผู้หนึ่ง ไม่ทันถวายรายงานต่อต้าอ๋องของตนก็กล้าแตะต้ององค์หญิงศักดิ์สิทธิ์ที่เดินทางมาเป็นทูตสงคราม หัวของแม่ทัพใหญ่อย่างท่าน ยังสมควรมีอยู่หรือไม่!”แม่ทัพเฮยเซ่อเย่ว์ไม่แยแสสักนิด“นั่นต้องดูว่ายังมีผู้ใดมีความสามาถมากพอจะบั่นคอข้าได้หรือไม่!”เขาฉีกกระชากชุดนางซ้ำ เผยให้เห็นเรือนร่างส่วนที่ยังคงถูกปกปิดไว้แทบทั้งหมดทันทีหนิงซินสะอื้นค้าง รู้แน่แล้วว่าคงขัดขืนคนตรงหน้าไม่ได้ แต่ไม่อยากโอนอ่อนผ่อนตาม นางพยายามดิ้นรนสุดกำลัง หารู้ไม่ว่าการกระทำนั้นทำให้ส่วนกลมกลึงกลางหน้าอกกระเพื่อมไหว ดึงดูดให้ผู้ที่แท้ที่จริงแล้วก็เพียงอยากกลั่นแกล้งรังแกหยามเกียรตินาง บังเกิดความปรารถนาอย่างรุนแรงจ
“อย่าบังอาจมายั่วยวนข้า” เขาบอกเสียงลอดไรฟันวัดจากความเย็นที่เคลื่อนลงจากมุมปากอย่างเชื่องช้า กับคราบน้ำสีแดงข้นบนริมฝีปากที่คนตรงหน้าเพิ่งจะตวัดลิ้นกลืนกินอย่างไม่รู้สึกรู้สา เดาว่าริมฝีปากนางในตอนนี้คงถูกบุรุษใจทรามตรงหน้าขบกัดจนเป็นแผล เลือดสดๆ กำลังหลั่งรินออกมาแล้วจริงๆ“จริงสิ...ข้าเคยบอกเอาไว้ว่าจะทำให้เจ้าร้องขอความตาย...” เขาบอกเสียงแหบแห้งเย็นชาทว่าทรงอำนาจดุจพญามัจจุราชจากปรภพ พลางใช้สายตาโลมไล้ใบหน้าและลำคออันขาวผ่องรอบหนึ่ง จากนั้นก็จ้องลึกลงในตานาง แย้มรอยยิ้มอันเหี้ยมเกรียมน่าหวาดหวั่นที่ทำให้หนิงซินถึงกับสั่นเทิ้มไปทั้งวิญญาณ หวาดผวาจนน้ำตาคลอเบ้าในชั่วขณะที่หนิงซินคิดว่าเรื่องทุกอย่างจบลงแล้ว แม่ทัพเฮยเซ่อเย่ว์ก็ตวาดใส่นางเสียงดังลั่น “ร้องสิ! หากไม่ร้องไห้อ้อนวอนหรือโวยวาย ก็จงใช้วิธีการที่เจ้าใช้ยั่วยวนปั่นหัวผู้คนให้รบราฆ่ากันตาย ให้ผู้ชนะอย่างข้าได้ดูชมเป็นขวัญตาสักครั้ง! นารีล่มเมืองหรือจะมีดีแค่นี้!” หนิงซินเม้มริมฝีปากแน่น เนื้อตัวสั่นเทาไปหมด แม้แต่ประโยคร้องขอความเห็นใจก็ยังพูดไม่ออกแม้เพียงครึ่งคำยังไม่ต้องเอ่ยถึงการโดนตวาดใส่ซึ่งๆ หน้าเช่นนี้...องค์หญิง
“เป็นอะไรไป ตั้งแต่ต้นจนถึงตอนนี้ก็เห็นว่าปากกล้าอยู่ได้ตั้งเป็นนาน ไฉนตอนนี้องค์หญิงรองผู้เก่งกาจ กลับหวาดกลัวขึ้นมาเสียแล้วเล่า” เขาเอ่ยกึ่งเยาะเพราะไม่รู้จะตอบอย่างไร หนิงซินเลือกใช้ความเงียบเป็นคำตอบแม่ทัพเฮยเซ่อเย่ว์สาวเท้าเข้าหา นางก้าวขาถอยหนียิ่งแววตาเขาดูสนุกมากขึ้นทุกที นางก็ยิ่งหายใจลำบากยิ่งขึ้น“หึ องค์หญิงศักดิ์สิทธิ์แคว้นป๋ายก็กลัวเป็นเสียด้วย” เขาก้าวขาเร็วขึ้น ทั้งน้ำเสียงและแววตาคุกคามทำเอาหนิงซินเผลอกลืนน้ำลายลงคออึกใหญ่หนิงซินกัดริมฝีปากตัวเองแน่น พยายามตั้งสติไม่ทันที่นางจะได้พูดอะไร เพียงเห็นนางเหลียวมองทางออกที่อยู่ไม่ไกล บุรุษผู้นี้ก็คล้ายจะหมดความอดทนเฉียบพลัน“ข้าจะไม่เล่นไล่จับกับเจ้า หนิงซิน” บอกเพียงเท่านั้น แม่ทัพใหญ่ก็คว้าข้อมือนาง แม่นยำเหมือนอสรพิษฉกกัดร่างบอบบางโดนโยนลงบนฟูกในชั่วอึดใจนั้นก่อนที่หนิงซินจะได้ทันหวีดร้อง ร่างสูงใหญ่ก็โถมทับลงมา ตรึงข้อมือที่ยังโดนมัดไว้ของนางขึ้นเหนือหัว แล้วกดริมฝีปากแข็งกระด้างลงปิดปากนางอย่างไม่ปรานีปราศรัย“อึ...อื้อ!”จู่ๆ...จู่ๆ ก็ถูกทำแบบนี้...!หนิงซินทั้งตกใจทั้งหวาดกลัวจนประคองสติเอาไว้ไม่ไหว ร่างเล็กๆ