เขาใช้มือข้างหนึ่งกดร่างนางไว้ เพียงใช้มืออีกข้างกระชากแรงหน่อย ชุดผ้าเนื้อดีสีนวลตาบนกายนาง ถึงกับหลุดขาดวิ่นคามือ!
“อ๊ะ!!! ต่ำช้า ท่านมันต่ำช้าที่สุด!” หนิงซินตกใจกลัวจนแทบไม่รู้ตัวแล้วว่าพูดอะไรออกมา
“อ้อ ข้าต่ำช้า!” คราวนี้เขาแค่นหัวเราะ ก่อนกดศีรษะลงไซ้แก้ม กราม ซอกคอ ไล่ลงมาจนถึงเนินอกอิ่ม แล้วกระชากเสื้อตัวยาวที่สวมเอาไว้อย่างหลวมๆ ของตัวเองทิ้งอย่างรวดเร็ว
หนิงซินโกรธจนลืมกลัวไปแล้ว
“เป็นแค่แม่ทัพผู้หนึ่ง ไม่ทันถวายรายงานต่อต้าอ๋องของตนก็กล้าแตะต้ององค์หญิงศักดิ์สิทธิ์ที่เดินทางมาเป็นทูตสงคราม หัวของแม่ทัพใหญ่อย่างท่าน ยังสมควรมีอยู่หรือไม่!”
แม่ทัพเฮยเซ่อเย่ว์ไม่แยแสสักนิด
“นั่นต้องดูว่ายังมีผู้ใดมีความสามาถมากพอจะบั่นคอข้าได้หรือไม่!”
เขาฉีกกระชากชุดนางซ้ำ เผยให้เห็นเรือนร่างส่วนที่ยังคงถูกปกปิดไว้แทบทั้งหมดทันที
หนิงซินสะอื้นค้าง รู้แน่แล้วว่าคงขัดขืนคนตรงหน้าไม่ได้ แต่ไม่อยากโอนอ่อนผ่อนตาม นางพยายามดิ้นรนสุดกำลัง หารู้ไม่ว่าการกระทำนั้นทำให้ส่วนกลมกลึงกลางหน้าอกกระเพื่อมไหว ดึงดูดให้ผู้ที่แท้ที่จริงแล้วก็เพียงอยากกลั่นแกล้งรังแกหยามเกียรตินาง บังเกิดความปรารถนาอย่างรุนแรงจากเบื้องลึกของจิตวิญญาณ
“ร่างกายปีศาจ...” แม่ทัพทมิฬประณามเสียงแหบพร่า ก่อนจับร่างน้อยๆ ในเงื้อมือหันหลัง
ขืนปล่อยไว้เช่นนี้ เขาคง...
ผู้ที่ไม่รู้อะไรเลยก็คือหนิงซิน
นางพยายามขัดขืนสุดกำลัง นางออกแรงดิ้นมากขึ้น มากขึ้นเรื่อยๆ แต่แม่ทัพเฮยเซ่อเย่ว์กลับไม่สะดุ้งสะเทือนสักนิด
ไม่เพียงการดิ้นรนของนางจะไม่ช่วยให้อะไรดีขึ้น มันกลับปลุกบาง อย่างกลางหว่างขาของคนผู้นี้ให้ตื่นตัวขึ้นมา
นะ...นี่...
นี่มัน...สิ่งนี้มัน...
ถึงแม้องค์หญิงศักดิ์สิทธิ์อย่างนางจะเป็นหญิงพรหมจรรย์ในหมู่หญิงพรหมจรรย์ ทว่าของสิ่งนี้...ในตำราแพทย์ ณ อารามศักดิ์สิทธิ์ก็มีเขียนบันทึกไว้ นางจึงพอจะรู้ว่าของสิ่งนี้คือสิ่งใด
ของสิ่งนี้...
ของสิ่งนี้...ของที่อยู่กลางหว่างขาบุรุษเช่นนี้...
หนิงซินหน้าแดงซ่าน นางหาใช่สตรีไร้การศึกษา ย่อมรู้ว่าของสิ่งนี้คืออะไร...ทว่า...ทว่าเหตุใด...เหตุใดของสิ่งนี้ของคนผู้นี้ จึงได้ทั้งยาวและใหญ่โตจนน่ากลัวถึงเพียงนี้! นี่มัน...นี่มันขนาดพอๆ กับท่อนแขนคนเลยด้วยซ้ำ!
หนิงซินสั่นสะท้าน ยามนี้นางทั้งหูอื้อตาลาย ทั้งหวาดกลัวทั้งอับอาย ทั้งโกรธ ทั้งอยากร้องไห้ สับสนปนเปไปหมด
ไม่นานนัก บุรุษต่ำช้าที่คร่อมทับอยู่ด้านบนก็เลื่อนมือที่จับข้อมือขาวนวลของนางลงยึดเอวเล็กๆ ด้านล่างไว้มั่น
ไม่...ไม่นะ หากของที่ทั้งใหญ่โตทั้งแข็งเกร็งเช่นนี้เข้ามาในกายนาง...
ในชั่วขณะที่หนิงซินคิดว่ากำลังจะสูญเสียสิ่งสำคัญ แม่ทัพจิตใจต่ำทรามกลับเปลี่ยนใจ
“แบบนี้ไม่สนุกหรอก...จริงไหม” เขากระซิบเสียงแหบพร่า ก่อนเลื่อนมือขึ้นคลายเชือกที่มัดข้อมือให้
ช่างหัวความตั้งใจแรกแล้ว! ในเมื่อนางชอบยั่วยวนบุรุษนัก ครั้งนี้ก็ยังบังอาจใช้ร่างกายปีศาจนั่นกับท่าทีเสแสร้งแกล้งขลาดกลัวแบบนั้นล่อลวงปั่นหัวบุรุษเช่นเขา เขาก็จะสั่งสอนให้นางได้รู้เอง ว่าผลลัพธ์ของการกระทำเช่นนั้น คือสิ่งใด!
เขาหาใช่บุรุษโง่งมคนอื่นๆ ที่กระทั่งโดนหลอกปั่นหัวจนสูญบ้านเสียเมือง สิ้นชีพเพราะสตรีอย่างนาง ก็ยังไม่เคยได้แตะต้องหญิงแพศยาอย่างนางแม้แต่ปลายเล็บ!
อีกฝ่ายโดนคลื่นความคิดมากมายถาโถมเข้าใส่ ฝ่ายหนิงซินที่รู้แล้วว่าแม่ทัพโฉดผู้นี้กำลังขาดสติถึงขีดสุดก็ไม่สนใจอะไรแล้วทั้งนั้น
ทันทีที่สองมือเป็นอิสระ หนิงซินก็ออกฤทธิ์ออกเดชทันที
นางออกแรงผลักจนแม่ทัพทมิฬที่ไม่ทันระวังหงายหลังลงฟูก จากนั้นก็รีบผุดลุก ตั้งใจว่าจะวิ่งไปหาอาวุธสักชิ้น คาดไม่ถึงว่าอีกฝ่ายกลับดีดตัวขึ้นช้อนดึงเอวนาง เหวี่ยงให้ร่างเล็กๆ ของนางกลับลงนอนอยู่เบื้องล่างอีกครั้ง จากนั้นก็ซุกไซ้สูดดมไปทั่วเหมือนคนคลั่ง มือข้างหนึ่งคลึงเคล้นหน้าอกสล้างใหญ่ อีกข้างเลื่อนไล้ลงต่ำ ทั้งจับทั้งจูบไปทั่ว ไม่ใส่ใจสักนิดว่านางพยายามใช้สองมือน้อยๆ ประทุษร้าย จิก ข่วน ทุบตีต้นแขนและแผ่นหลังกร้าวแกร่งของตนเองอย่างไรบ้าง
ยิ่งนางจิกเล็บข่วน ทุบตี เขาก็ยิ่งดูพอใจ
ยิ่งนางดิ้นรนให้พ้นภัย เขาก็ยิ่งจาบจ้วงล่วงล้ำ
ครั้งนี้แรงผลักของนางช่างไร้ค่า...มันช่วยเหลืออะไรไม่ได้เลย...
คนด้านบน เดี๋ยวก็กอบกำขยำเคล้นคลึงหน้าอกนาง เดี๋ยวก็ใช้มืออีกข้างลูบไล้ขยำบั้นท้ายกลมกลึงอย่างเมามัน หนักเข้าหน่อยก็ใช้มือหนึ่งรวบตัวนางไว้ แล้วใช้มืออีกข้างลูบไล้ต้นขาและหน้าท้อง บางครั้งก็เลื่อนมือลงไปที่เนินสามเหลี่ยมทองคำ พยายามจะสอดแทรกปลายนิ้วชำแรกผ่านบริเวณที่ยิ่งนานเข้านางก็ยิ่งรู้สึกได้ถึงความอึดอัดแน่นตึง
การกระทำเหล่านี้ แม้จะเป็นการคุกคามที่ทั้งหยาบคายและน่าหวาดหวั่น ทว่ากลับก่อให้เกิดความรู้สึกประเดี๋ยวก็วาบหวาม ประเดี๋ยวก็ร้อนรุ่ม ประเดี๋ยวก็หวิวโหวงแปลกประหลาดที่นางเพิ่งจะเคยรู้จัก
หนิงซินหนีบขาไว้แน่นโดยสัญชาตญาณ
ทว่าเพียงเผลอแข้งขาอ่อนแรงเพียงนิด แม่ทัพใจทรามที่กอดรัดพัวพันก็ใช้ขาสองข้างเกี่ยวเกาะข้อเท้าซ้ายและขวาของนาง บังคับง้างแยกขาสองข้างออกจากกันอย่างรวดเร็วและช่ำชอง แล้วไม่นานนักปลายนิ้วยาวๆ อันหยาบกระด้างก็ชำแรกผ่านเยื่อพรหมจรรย์อันบอบบางเข้ามาในกายนางจนได้
“อ๊ะ!” หนิงซินหวีดร้องด้วยความเจ็บและความกลัว
มีด สิ่งที่ทะลวงเข้ามาในกายนางก็ไม่ต่างอะไรไปจากมีด มีดที่เพียงพริบตาเดียวก็ถูกกดเข้าลึกจนมิดด้าม!
“ปล่อย...ต่ำช้าที่สุด ปล่อยนะ—อื้อ—” คนต่ำช้าเลื่อนริมฝีปากขึ้นปิดปากนาง ขยับปลายนิ้วอุ่นร้อนที่ประสบความสำเร็จในการแทรกสอดชอนไช ซอกซอน สำรวจไปทั่วพื้นที่คับแน่นของนางอย่างอุกอาจ
หนิงซินพยายามจะดึงมือที่ชั่วร้ายของแม่ทัพต่ำช้าบนร่างออก
คาดไม่ถึงว่าคนผู้นี้ไม่เพียงไม่ยอมหยุด กลับยิ่งกอบโกยเคล้นคลึงเนินเนื้ออันตูมเต่ง ทั้งยังบดบี้ราวกับจะขยี้ยอดปทุมถันของนางให้แหลกคามือ ปลุกคลื่นความเสียวซ่านอันน่าพิศวง ขับให้ร่างกายของนางสั่นเทิ้มอย่างห้ามไม่อยู่
ในตอนแรกที่ปลายนิ้วของอีกฝ่ายเข้ามา มันค่อนข้างจะอึดอัดระคายเคือง ทว่าตอนนี้ ตอนนี้มัน...ทำให้นางแทบไม่เหลือเรี่ยวแรงแล้วสักนิด ทั้งยัง...ทั้งยังคล้ายจะทำให้หัวใจเต้นแรง รู้สึกวาบหวามเสียวซ่านแปลกประหลาดมากขึ้น...มากขึ้นทุกครั้งที่คนผู้นี้ขยับปลายนิ้วไปมา จนนางบังเกิดความคิดชั่ววูบอันน่าอับอายขึ้นในหัว นึกอยากให้คนต่ำช้านี่ขยับปลายนิ้วนั่นรุนแรงยิ่งขึ้น รวดเร็วยิ่งขึ้น เพื่อให้หัวใจนางเต้นแรงกว่านี้ เพื่อให้นางได้รู้สึกมากกว่านี้ เพื่อให้นางได้เสพและซึมซับรสสัมผัสอันแปลกใหม่นี้ให้มากขึ้น...มากขึ้น...มากขึ้นเรื่อยๆ
ชั่วขณะนั้นนางถึงกับเผลอขยับเอวรับปลายนิ้วชั่วร้ายนั่นด้วยซ้ำ!
“อ๊ะ...!” นึกไม่ถึงว่าเสียงแรกที่หลุดลอดออกมาจากริมฝีปาก ทันทีที่ปากนั้นเป็นอิสระ กลับเป็นเสียงน่าอายเช่นนี้
ไม่...ไม่นะ...
นี่นาง...นางกำลังคล้อยตามโจรขืนใจผู้นี้!
ตอนนั้นเอง หญิงหม้ายสกุลอวี๋ก็เปิดประตูเดินอุ้ยอ้ายออกมา นางทำท่าจะประสานมือคารวะ แต่ถูกอีเหิงขยับเข้าประคองห้ามไว้กลับเป็นหมอหลวงสวี่ที่ประสานมือค้อมศีรษะคารวะหญิงหม้ายเสียเอง แล้วเอ่ยถาม“อวี๋ฮูหยิน เป็นอย่างไรบ้าง มิใช่ว่าองค์หญิง—” หมอหลวงสวี่กำมือที่ชุ่มโชกไปด้วยเหงื่อใต้ชายแขนเสื้อคลุมสีขาวตัวยาวไว้แน่นหญิงหม้ายคาดไม่ถึงว่าบุคคลที่จำได้เลาๆ ว่าเป็นถึงหมออาวุโสผู้หนึ่งของกองทัพ ได้รับการนับหน้าถือตาเป็นอย่างยิ่ง จะถึงกับทำความเคารพสามัญชนเช่นนาง ซ้ำยังออกปากถามความเห็น มิใช่ถามเพียงอาการเช่นนี้ ทว่าเมื่อคำนึงถึงเรื่องที่สตรีในห้องเป็นสตรีของท่านแม่ทัพ อีกทั้งอาการของนางในยามนี้ก็ทั้งชัดเจนและไม่ชัดเจนเป็นอย่างยิ่ง หญิงหม้ายก็ประสานมือคารวะกลับ ทว่าทำได้เพียงค้อมศีรษะเล็กน้อยเท่านั้นนางตอบหมอชราดูทรงภูมิและรองแม่ทัพผู้รั้งเมืองตรงหน้าอย่างใจเย็น “ท่านหมอและท่านรองแม่ทัพไม่ต้องเป็นห่วง แม่นางเพียงแต่อ่อนเพลียและมีอาการวิตกกังวลมากสักหน่อยเท่านั้น ข้าต้มยาสงบใจที่เหมาะสำหรับสตรีให้รับประทานแล้ว หลังจากได้พักผ่อนอย่างเพียงพอ รั
หญิงหม้ายสกุลอวี๋มาถึงในชั่วอึดใจถัดมาอีเหิงมองร่างเล็กๆ เอวคอดกิ่วที่อุ้มครรภ์แก่ใกล้คลอดอุ้ยอ้ายเดินเข้ามาด้วยความช่วยเหลือของสาวใช้แล้วก็ให้ห่วงหน้าพะวงหลัง ทั้งเป็นห่วงคนป่วยบนเตียง ทั้งหวาดกลัวว่าเอวเล็กๆ ดูบอบบางของหญิงหม้ายจะเกิดหักลงมา ทว่าไม่กล้าทักท้วงที่นี่ไม่มีหมอหญิง และหมอหลวงสวี่ก็ยืนกรานว่าต้องให้หญิงหม้ายซึ่งรู้วิชาแพทย์และเชี่ยวชาญโรคสตรีมาช่วยตรวจอาการให้แน่ใจ หากมัวห่วงพะวงและรบกวนผู้ตรวจรักษาจนองค์หญิงรองเกิดเป็นอะไรลงไป ไม่ต้องรอจนผู้เป็นนายกลับมา เกรงแต่ว่าตัวเขาจะทนแบกรับความรู้สึกผิดไม่ไหว ซ้ำยังถูกเหล่าองครักษ์ที่ท่านแม่ทัพทิ้งไว้ให้คอยดูแลองค์หญิงรุมลงทัณฑ์องครักษ์เหล่านี้แม้ยามนี้นับเป็นส่วนหนึ่งของกองทัพ แต่ขึ้นตรงต่อท่านแม่ทัพของเขาเพียงผู้เดียวเท่านั้น แม้แต่คำว่า ‘อ๋องผู้นั่งอยู่เหนือบัลลังก์เฮยเซ่อเย่ว์’ ก็ยังหาได้มีความสลักสำคัญอะไรต่อพวกเขาไม่องครักษ์เหล่านี้ต่างหาก ที่นับเป็นกองทัพทมิฬที่แท้จริงแท้จริงแล้ว ‘กองทัพทมิฬ’ คือชื่อเรียกที่ท่านอ๋องผู้ล่วงลับมอบให้แก่กองกำลังลับส่วนตนของท่าน
แม้หมอหลวงสวี่จะเป็นหนึ่งในผู้ที่รั้นจะตามมาในกองทัพใหญ่เฮยเซ่อเย่ว์ ด้วยเห็นว่าชีวิตของตนเองอยู่มาจนป่านนี้ก็ไม่มีเรื่องใดให้เสียดายอีกแล้ว ห่วงแต่ว่าจะไม่ได้ทำประโยชน์ให้แก่ท่านแม่ทัพที่ยืนกรานออกศึกด้วยตนเองหลายต่อหลายครั้ง ทว่าอยู่มาจนป่านนี้ กลับได้ข่าวว่าอนุที่เยาว์วัยที่สุดของตนเกิดตั้งครรภ์และเพิ่งจะคลอดบุตร นับๆ ดูแล้วก็มั่นใจว่าเป็นทายาทของตนเป็นแม่นมั่น แม้ใจหนึ่งอยากกลับไปรับขวัญบุตรชายที่ได้มาราวปาฏิหาริย์ แต่การศึกยังติดพัน จึงได้แต่ตั้งใจอบรมสอนสั่งหมอทหาร เพื่อให้แน่ใจได้มากขึ้นอย่างน้อยๆ ก็อีกสองส่วน ว่ากองทัพเฮยเซ่อเย่ว์ที่เกรียงไกรจะไม่สูญเสียกำลังทหารจนพลาดพลั้งแพ้พ่าย... มิใช่ว่าไม่เชื่อใจผู้นำทัพ ในฐานะผู้ที่ติดตามกองทัพมาทั้งที่ไร้วรยุทธป้องกันตัว สวี่ซีซวนก็เพียงแต่ต้องการเพิ่มความแน่นอนปลอดภัยให้ชีวิตของตนเองเท่านั้นก่อนออกศึก ท่านแม่ทัพมิได้ทิ้งผู้ชราที่จู่ๆ ก็เกิดหวงชีวิตขึ้นมาเช่นตนไว้ที่เลี่ยงจินอู่เพียงเพื่อให้คอยกำกับดูแลหมอคนอื่นๆ ที่ล้วนกำลังทุ่มเทความสามารถรักษาเยียวยาทหารที่ได้รับบาดเจ็บหนัก แต่ยังมอบหมายอีกหนึ่งหน้าที่สำคัญให้ด้วยเ
นับตั้งแต่วันที่หยางหยางนำทัพใหญ่ออกเดินทางไปยังเมืองหลวงแคว้นป๋าย หนิงซินก็รู้สึกเหมือนมีก้อนหินหนักอึ้งถ่วงอยู่ในอก ความกังวลเกี่ยวกับความปลอดภัยของเขาและสถานการณ์การรบ บีบรัดหัวใจจนนางแทบหายใจไม่ออก แม้จะพยายามฝืนกินอาหารตามเวลา แต่อาหารทั้งหมดกลับจืดชืดไร้รส ยามพยายามข่มตาหลับ ภาพเงาร่างสูงใหญ่ของบุรุษที่เคยโอบกอดหยอกเย้ารวมถึงปลอบโยนนางจนหลับไหลซึ่งกำลังต่อสู้กับศัตรูก็ปรากฏขึ้นในห้วงนิทรา ทำให้นางสะดุ้งตื่นขึ้นมาด้วยความหวาดกลัวไม่รู้กี่คืนต่อกี่คืนวันแล้ววันเล่าผ่านไป หนิงซินได้แต่เฝ้ารอข่าวคราวจากสนามรบอย่างกระวนกระวาย จนกระทั่งข่าวที่ว่ากองทัพของหยางหยางบุกเข้าวังหลวงได้แล้วแพร่สะพัดไปทั่ว ทั่วทั้งจวนพลันเต็มไปด้วยความโกลาหล พร้อมๆ กับที่ผู้คนในเรือนหลักยิ่งพากันหน้าดำคร่ำเคร่ง พยายามระมัดระวังเอาใจใส่นาง ด้วยบ้างก็ยิ่งหวาดกลัวยำเกรงแม่ทัพใหญ่ บ้างก็อกสั่นขวัญผวาหวั่นเกรงว่าองค์หญิงรองที่ตนต้องดูแลปกป้องให้ปลอดภัยดีทุกอย่างจะคิดสั้นหรือล้มป่วยลงสำหรับหนิงซิน ข่าวนี้กลับทำให้หัวใจของนางเต้นรัวราวกับกลองศึก ความดีใจที่หยางหยางประสบชัยชนะ ปะปนกับความหวาดกลัวในอ
คำพูดของหยางหยางทำให้หนิงซินรู้สึกเจ็บปวดไปทั้งหัวใจนางรู้ดีว่าสงครามไม่มีผู้ชนะที่แท้จริง และทุกชีวิตที่ต้องสูญเสีย ล้วนนำมาซึ่งความโศกเศร้า“ข้าขอร้อง...”หนิงซินพยายามจะพูดอะไรบางอย่างอีกครั้ง เขารู้ว่านางจะพูดอะไร เขาเองก็ฟังมามากพอแล้วเช่นกันหยางหยางส่ายหน้าเบาๆ“ได้เวลาแล้ว” เขาพูดเสียงเรียบ “รอข้าอยู่ที่นี่”เมื่อสวมเกราะสุดท้ายเสร็จสิ้น แม่ทัพทมิฬก็เดินออกไปจากห้อง ทิ้งให้เงาร่างบอบบางยืนมองส่งเขาอย่างเดียวดายหนิงซินเม้มริมฝีปากแน่นก่อนตัดสินใจเดินตามไป ทว่าไม่ทันจะก้าวขาออกจากประตู เหล่าสาวใช้ที่รอปรนนิบัติดูแลนางอยู่ด้านนอกก็พากันคุกเข่าลง ใบหน้าเผือดสีหนิงซินเข้าใจในความหวาดกลัวของคนเหล่านี้ จึงไม่กล้าทำให้พวกนาง ทหารยาม และองครักษ์ทั้งหลายลำบากใจ ได้แต่เฝ้ามองเงาร่างของอีกฝ่ายหายลับไปจากประตูวงเดือนด้วยความรู้สึกผสมปนเปกันไปหมดนางได้พูดกับเขาแล้วรึยัง ว่านางเองก็อยากให้เขาดูแลตนเองให้ดี และปลอดภัยกลับมาเช่นกัน...แต่...คนผู้นั้นคือแม่ทัพใหญ่ฝ่ายศัตรู...
หยางหยางลูบผมของนางเบาๆ ก่อนปัดปอยปมที่ระใบหน้านางออกอย่างอ่อนโยนดีใจ...อย่างนั้นหรือ...?จริงก็ช่าง เท็จก็ช่าง...เขาไม่สนใจนางคือสตรีของเขา ทุกคำพูดมีไว้เพื่อเขา ทุกสายตา...ก็ควรมีไว้เพื่อเขาเช่นกันต่อให้นางยังไม่ตระหนักในตอนนี้ แต่สุดท้ายแล้วนางจะรู้...ชีวิตนี้นางไม่อาจถอยห่างจากเขาได้หยางหยางกระชับอ้อมแขนโอบรอบนางแน่นเข้าอย่างไม่รู้ตัว ดวงตาฉายแวววูบไหวลึกซึ้งเมื่อนึกถึงตอนที่นางกำลังจะเอื้อนเอ่ยว่าเขาเป็นคนสำคัญแต่เขาฟังไม่ได้ เขาไม่อาจทนฟังได้เพราะเขารู้ว่านางจะบอกว่าเขาคือคนสำคัญ นางจะต้องพูดเช่นนั้นเพื่อบ้านเมืองของนาง เพื่ออาณาประชาราษฎร์ของนาง เพื่อความถูกต้อง...ทว่าเขาไม่มีทางรู้เลยว่านางพูดด้วยความรู้สึกที่แท้จริงด้วยหรือไม่ หากใช่ เทียบกันแล้ว ระหว่างเขากับ ‘คนอื่น’ ค่าของเขาในใจนางแท้จริงแล้วนับว่ามีน้ำหนักน้อยมากเพียงใด จึงได้แต่ใช้การกระทำที่ตรงไปตรงมาที่สุดบีบให้นางแสดงความปรารถนาในส่วนลึกออกมาเท่านั้นอย่างน้อยเรื่องที่นางเป็นของเขาเพียงผู้เดียวก็เป็นเรื่องจริง