กรัณย์กรตรวจผู้ป่วยในห้องฉุกเฉินจนกระทั่งถึงเวลาห้าทุ่มจึงได้นั่งพักเหนื่อย เขานั่งอยู่หน้าจอเปิดคอมพิวเตอร์และดึงประวัติของเด็กชายออมสินขึ้นมาดูอีกครั้ง ไม่ใช่เพราะติดใจเรื่องการทำประวัติแต่เพราะเขาอยากได้เบอร์โทรศัพท์ของคุณครูสาวที่ชื่อปิ่นปินัทธ์มากกว่า เพราะตั้งแต่ย้ายมาเป็นแพทย์ใช้ทุนที่นี่สองปีกว่าก็เขายังไม่เคยเจอผู้หญิงคนไหนที่สวยและถูกใจเท่ากับคุณครูคนนี้มาก่อน
ชายหนุ่มยังต้องประจำอยู่ที่โรงพยาบาลนี้อีกครึ่งปี ถ้าหากระหว่างนี้เขาจะลองคบหากับเธอมันคงพอจะมีทางเป็นไปได้เท่าที่สังเกตดูเขาคิดว่าหญิงสาวคนนี้น่าจะยังไม่มีแฟนเพราะถ้าไม่อย่างนั้นเธอคงไม่ตอบรับการนัดเลี้ยงข้าวของเขาไว้ง่ายๆ แบบนี้
กรัณย์กรบันทึกเบอร์โทรศัพท์ของของเธอลงเครื่องของตัวเองไว้และลังเลว่าจะแอดไลน์ไปดีหรือเปล่าแต่คิดว่าจะรอเจอเธอพรุ่งนี้แล้วค่อยขออนุญาตแอดไลน์เพราะตอนนี้มันก็เป็นเวลาดึกมากแล้ว
เขาบันทึกเบอร์โทรศัพท์ของลงเสร็จแล้วหย่อนโทรศัพท์ลงกระเป๋าเสื้อกาวน์โดยไม่ทันสังเกตว่ามือตัวเองเผลอกดเธอออก
“หมอคะมีคนไข้ฉุกเฉินมากค่ะ” เสียงพยาบาลสาวทำให้เขาไม่ได้ยินเสียงปลายสายที่ตอบรับ
ผู้ป่วยรายนี้มีอาการ ปวดท้องเกร็งใบหน้าซีดจากการซักประวัติและการตรวจร่างกายอย่างละเอียดแล้วเขาก็วินิจฉัยว่าคนไข้น่าจะอยู่ในภาวะไส้ติ่งอักเสบอย่างเฉียบพลันและอาจจะต้องได้รับการผ่าตัดเร่งด่วน
แต่เขาก็ไม่สามารถผ่าตัดเองได้จึงถูกรายงานเคสกับอาจารย์หมอและส่งตรวจแล็ปต่างๆ ไว้รอ กว่าจะประสานงานกับทุกฝ่ายเสร็จแล้วส่งผู้ป่วยไปที่ห้องผ่าตัดก็ใช้เวลาเกือบหนึ่งชั่วโมง
หลังจากล้างมือเรียบร้อยแล้วคุณหมอหนุ่มก็เลยมีเวลานั่งพักเขาหยิบโทรศัพท์ตนเองขึ้นมาเล่นฆ่าเวลาแล้วก็เพิ่งเห็นว่าตนเองโทรออกไปหาคุณครูปิ่นปินัทธ์ซึ่งเธอน่าจะรับสายแล้วเพราะเวลาระบุการโทรไว้ที่สิบวินาที
เขาอยากจะโทรกลับไปหาเธอเพื่อจะบอกว่าเมื่อกี้มือเขาน่าจะเผลอไปโดนปุ่มโทรออกแต่พอดูเวลาแล้วมันก็เกือบจะตีหนึ่งก็เลยไม่ได้ โทรเพราะดึกขนาดนี้หญิงสาวน่าจะหลับไปแล้ว กรัณย์กรคิดว่าพรุ่งนี้จะโทรไปขอโทษหญิงสาวที่โทรไปรบกวนเธอกลางดึก
เช้านี้กรัณย์กรออกเวรในเวลาแปดนาฬิกา และกลับไปอาบน้ำที่บ้านพักอย่างเร่งรีบจากนั้นก็มาราวน์คนไข้และออกตรวจแผนกโอพีดีต่อจนกระทั่งถึงเวลาพักกลางวันจึงมีเวลาหยิบโทรศัพท์ขึ้นมา
ชายหนุ่มเพิ่งนึกได้ว่าวันนี้ตนเองจะต้องโทรศัพท์ไปขอโทษปิ่นปินัทธ์เขารีบกดโทรออก รอไม่นานเธอก็กดรับ
“สวัสดีค่ะ”
“สวัสดีครับครูปิ่นปินัทธ์ใช่ไหมครับ”
“ใช่ค่ะ แล้วคุณคือใครคะ” หญิงสาวถามเพราะเมื่อคืนเบอร์นี้ก็โทรมาแต่ไม่ได้พูดอะไรเธอกลัวจะเป็นพวกมิจฉาชีพ
“ผมหมอคนเมื่อวานน่ะครับ”
“อ๋อ...คุณหมอกรัณย์กรใช่ไหมคะ”
“เรียกผมหมอรัณย์ก็ได้ครับ”
“ค่ะหมอรัณย์ คุณหมอมีอะไรหรือเปล่าคะ”
“เมื่อคืนผมได้โทรหาคุณใช่ไหมน่าจะซักเวลาประมาณห้าทุ่มกว่าๆ”
“ใช่ค่ะคุณหมอโทรมาแต่ไม่ได้พูดอะไร ปิ่นรอสายอยู่แป๊บหนึ่งแต่ไม่มีคนพูดปิ่นก็เลยวางสายค่ะ”
“ผมขอโทษนะครับที่โทรไปรบกวนดึกแบบนั้น เมื่อคืนผมเพิ่งเมมเบอร์โทรศัพท์ของคุณเสร็จแล้วมีคนไข้ฉุกเฉินเข้ามาผมไม่ทันได้สังเกตว่ามือตัวเองเผลอกดปุ่มโทรออก” เขารีบอธิบายอย่างรวดเร็ว
“ไม่เป็นไรหรอกค่ะ คุณหมอจะโทรมาขอโทษแค่นี้ใช่ไหมคะ”
“ดูเหมือนคุณครูไม่อยากจะคุยกับผมเลยนะครับ”
“ไม่ใช่แบบนั้นหรอกค่ะ คือปิ่นต้องไปดูเด็กนักเรียนทานอาหารกลางวัน ไม่ค่อยสะดวกคุยเท่าไหร่” เธอกลัวเขาจะเข้าใจผิด
“ผมขอโทษครับผมนึกว่าคุณครูไม่อยากคุยกับผม”
“มีเหตุผลอะไรที่เป็นไม่อยากคุยกับคุณหมอล่ะคะเมื่อวานคุณหมอก็ช่วยปิ่นไว้ ขอตัวก่อนนะคะ”
“เดี๋ยวครับครูปิ่น”
“มีอะไรอีกคะ”
“เย็นนี้ครูจะพาลูกศิษย์มาทำแผลไหม”
“ก็คงต้องพาไปค่ะ”
“ถ้าอย่างนั้นเย็นนี้เจอกันนะครับ ผมว่าจะแวะไปดูว่าแผลเด็กเป็นยังไงบ้าง”
“ได้ค่ะงั้นเย็นนี้เจอกันนะคะ”
กรัณย์กรมองโทรศัพท์แล้วยิ้มจากนั้นก็รีบไปทานข้าวที่โรงอาหารก่อนจะมาตรวจคนไข้ในรอบบ่ายอีกครั้ง
ปกติแล้วเขาไม่มีหน้าที่จะต้องไปดูแผลที่ตนเองเย็บไว้เลย เพราะพยาบาลจะเป็นคนทำแผล เขาจะไปดูคนไข้อีกครั้งก็วันสุดท้ายซึ่งถ้าหากพยาบาลเปิดแผลแล้วพบว่ามันปกติดีก็ไม่จำเป็นจะต้องไปตรวจ แต่ในกรณีนี้เขาอยากเจอคุณครูของเด็กชายออมสินก็เลยคิดว่าจะเดินเตร่ไปที่ห้องฉุกเฉินสักหน่อยถึงแม้ว่าวันนี้จะไม่ใช่เวรตรวจของตัวเองก็ตาม
“พี่อรครับ” เขาเรียกพยาบาลแผนกผู้ป่วยนอกที่กำลังเก็บของเตรียมกลับบ้าน
“มีอะไรคะหมอ”
“โรงเรียนแถวนี้เขาเลิกเรียนกันกี่โมงครับ”
“ส่วนใหญ่ก็บ่ายสามโมงครึ่งบางโรงเรียนก็สี่โมงเย็นค่ะ คุณหมอมีอะไรหรือเปล่าคะ”
“พี่อรรู้จักโรงเรียนนี้ไหมครับ” กรัณย์กรบอกชื่อโรงเรียนที่เด็กชายออมสินเรียนอยู่ให้กับพี่พยาบาลฟัง
“รู้จักค่ะหมอมีอะไรหรือเปล่า”
“พอดีเมื่อวานผมตรวจเด็กไปคนหนึ่ง แล้ววันนี้นัดมาทำแผลก็เลยอยากจะไปดูสักหน่อย”
“ถ้าเลิกเรียนแล้วเด็กมาทำแผลเลยก็น่าจะถึงโรงพยาบาลไม่เกินสี่โมงครึ่งคนไข้ชื่ออะไรคะเดี๋ยวพี่โทรถามห้องฉุกเฉินให้ก็ได้”
“ไม่เป็นไรครับเดี๋ยวผมไปรออยู่แถวนั้นเอง”
“จะเสียเวลาเอานะคะคุณหมอ”
“วันนี้ผมไม่ได้รีบไปไหนหรอกครับพี่อร”
“ถ้าอย่างงั้นก็ตามใจค่ะ พี่ขอตัวก่อนนะคะวันนี้คนไข้เยอะมากๆ สงสัยกลับไปเย็นนี้พี่ต้องสลบแน่เลย”
“เจอกันพรุ่งนี้นะครับ”
หลังจากพยาบาลเดินออกไปแล้วกรัณย์กรก็เก็บของใช้ลงลิ้นชักจากนั้นก็เดินไปรอบริเวณหน้าห้องฉุกเฉิน
“วันนี้เวรหมออีกแล้วเหรอคะ” พี่ต่ายหัวหน้าพยาบาลถาม
“เปล่าหรอกครับ ผมว่าจะมาดูสักหน่อยว่าวันนี้ออมสินมาทำแผลหรือเปล่า”
“คุณหมอมีอะไรกับเด็กหรือเปล่าคะ”
“ก็เมื่อวานตอนเย็บแผลเขาดิ้นไปหน่อยไม่รู้ว่าวันนี้แผลจะเป็นยังไงบ้าง”
“แต่ตอนเย็บแผลเสร็จพี่ก็เห็นแผลเรียบดีนี่คะ หมอกังวลเกินไปหรือเปล่า”
“ก็มีนิดหน่อยครับปกติผมไม่ค่อยถนัดเย็บแผลเด็กเท่าไหร่”
“เข้าไปรอข้างในก็ได้นะคะ”
“ไม่เป็นไรครับผมนั่งรอตรงนี้ก็ได้ไม่อยากเข้าไปเกะกะ”
วันนี้เป็นวันครบรอบการจากไปของคุณยายละมัยหนึ่งปี กรัณย์กรพาปิ่นปินัทธ์มาทำบุญให้คุณยายที่วัดกับญาติคนอื่นๆตอนนี้สถานะของทั้งสองคนคือคนที่กำลังศึกษากันอยู่ปิ่นปินัทธ์ไม่ใช้คำว่าแฟนหรือคนรักกับกรัณย์กรเพราะเธอกลัวว่าเหตุการณ์แบบเดิมจะกลับมาอีก แต่ชายหนุ่มก็พยายามจะพิสูจน์ให้เธอเห็นว่าตอนนี้เขาสามารถบาลานซ์เรื่องงานและเรื่องการใช้ชีวิตได้อย่างลงตัวตลอดเวลาที่ยายของหญิงสาวป่วยและรักษาตัวอยู่ในห้องไอซียูเกือบหนึ่งเดือน กรัณย์กรคอยดูแลเธออีกทั้งยังคอยช่วยดูแลคุณยายจนคุณลุงกับคุณป้าเห็นใจชายหนุ่มมากๆ และบอกให้ปิ่นปินัทธ์เปิดใจเพราะรู้สึกว่ากรัณย์กรจะจริงใจกับหลานสาวของตนเองมากหลังจากทำบุญให้กับคุณยายแล้วทุกคนก็มาทานข้าวกันที่บ้านของป้าก่อนจะแยกย้ายกันกลับ ส่วนกรัณย์และปิ่นปินัทธ์ยังอยู่ต่อเพราะป้าสาขอคุยกับชายหนุ่มเป็นการส่วนตัวส่วน“ป้าสามีอะไรกับผมครับ”“ป้าอยากจะถามว่าหมอรัณย์จริงใจกับปิ่นมากใช่ไหม”“ใช่ครับ ความรักครั้งนี้ผมจริงจังมาก ก่อนหน้านี้ผมยอมรับว่าตัวเองแบ่งเวลาไม่ดีทำให้ปิ่นต้องเสียใจ ผมทำให้เป็นรอนานถึงห้าปีแล้วถึงตอนนี้ถ้าปิ่นจะให้ผมรอนานแบบนั้นมั่งมันก็ไม่มีปัญหาเลย”“ป้า
ตลอดทั้งคืนปิ่นปินัทธ์นั่งสัปหงกอยู่บนเก้าอี้หน้าห้องไอซียูโดยมีกรัณย์กรนั่งอยู่ข้างๆกรัณย์กรเดินเข้าไปดูคุณยายเกือบจะทุกชั่วโมงอาการของท่านยังคงที่แต่ดูแล้วไม่ค่อยดีเท่าไหร่เขาไม่รู้จะพูดกับปิ่นปินัทธ์ไงว่าอาการของคุณยายเธอมันค่อนข้างหนักการจะให้คุณยายกลับมาหายดีมันเป็นเรื่องที่ค่อนข้างยาก ชายหนุ่มเดินเข้าออกห้องไอซียูอยู่หลายรอบจนกระทั่งเผลอหลับในเวลาตีสี่และตกใจตื่นในเวลาเกือบจะหกโมงเช้า“ผมว่าปิ่นกลับไปอาบน้ำล้างหน้าล้างตาก่อนดีกว่าไหม ไม่ต้องห่วงทางนี้หรอก”“อาการของคุณยายเป็นยังไงบ้างคะ” หญิงสาวรู้ว่าเขาเดินเข้าออกอยู่หลายหลายครั้ง“ก็ยังคงที่ครับวันนี้อาจจะต้องตรวจหลายหลายอย่างเพิ่ม ผมไม่ได้เป็นหมอที่ดูแลเคสของยายหรอกนะครับ ผมให้รุ่นพี่อีกท่านเป็นคนช่วยดูให้”“ทำไมละคะ”“เมื่อวานเป็นเวรของเขาครับ อีกอย่างการรักษาคนรู้จักหรือคนใกล้ชิดมันจะค่อนข้างกดดันเพราะเราจะเอาอารมณ์เข้าไปมีส่วนร่วมด้วย มันจะทำให้การตัดสินใจบางอย่างคลาดเคลื่อนได้ อีกอย่างผมก็อยากจะช่วยประสานงานให้มากกว่า”“ขอบคุณนะคะ ถ้าเมื่อคืนไม่ได้คุณคงแย่”“ไม่หรอกครับ หมอและพยาบาลรวมถึงเจ้าหน้าที่คนอื่นทำงานกันอย่างเต
“เกิดอะไรขึ้นเหรอปิ่น” กรัณย์กรถามหลังจากเธอวางสายและดูท่าทางรีบร้อน“ป้าสาโทรมาบอกว่าคุณยายเหนื่อยมากและเหมือนจะหายใจไม่ค่อยออกเลยกำลังพาไปโรงพยาบาลค่ะ”“โรงพยาบาลที่ทำงานใช่ไหม ปิ่นไปกับผมนะน่าจะไวกว่า”นาทีนี้หญิงสาวไม่ได้คิดอะไรอีกแล้วเพราะอยากจะรีบไปหายายให้เร็วที่สุด“ทำใจดีๆ ไว้นะปิ่นไม่น่าจะเป็นอะไรมากหรอก เมื่อตอนกลางวันผมคุยกับคุณยายท่านก็ดูปกติดี แต่ระหว่างทางเพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลาขอถามอะไรหน่อยได้ไหม”“หมอจะถามอะไรคะ”“ผมจะถามว่าช่วงนี้ยายมีอาการผิดปกติอะไรหรือเปล่า หรือมีโรคประจำตัวอะไรไหม”“ไม่มีค่ะยายแข็งแรงดี”“แล้วในครอบครัวล่ะมีเป็นโรคอะไรไหม เช่นเบาหวาน ความดันหัวใจหรือโรคมะเร็ง”“ปิ่นรู้แค่ป้าสาเป็นความดันโลหิตสูงค่ะ ส่วนเบาหวานไม่เคยได้ยินว่าใครเป็น”“ปิ่นลองนึกหน่อยนะว่าช่วงนี้ยายร่างกายเป็นยังไงบ้าง มีอะไรผิดปกติไหม เรื่องเล็กๆ น้อยๆ ก็ได้” กรัณย์กรไม่อยากเสียเวลาไปซักประวัติคุณยายที่โรงพยาบาล“ยายเป็นหวัดค่ะ”“แล้วได้กินยาอะไรไหม”“ไม่ค่ะ ยายแค่ไอแห้งๆ ปิ่นจะพาไปหาหมอยายก็บอกว่าไม่ได้เป็นอะไรมาก แค่จิบน้ำอุ่นก็น่าจะหาย”“แล้วมีอย่างอื่นไหม มีไข้หรือเปล่า”“
“เปิดประตูให้ผมเข้าไปหน่อยสิปิ่น”“เป็นเราคุยกันแล้วนี่คะ ว่าหมอจะมาเฉพาะเวลาราชการเท่านั้นนี่มันค่ำแล้วนะ ที่บ้านก็ไม่มีใครอยู่หมอกลับไปก่อนเถอะค่ะถ้าอยากจะมาหาคุณยายค่อยมาเวลากลางวัน”“แต่ผมอยากคุยกับปิ่นจริงๆ นะผมคุยกับคุณยายแล้วคุณยายอนุญาตให้ผมมาหาคุณได้”“หมายความว่ายังไงคะ”“ขอเข้าไปคุยกันข้างในได้มั้ย ยืนคุยอยู่แบบนี้คนอื่นมาเห็นคงไม่ดีเท่าไหร่”“มันไม่ดีทั้งแต่หมอเข้าออกบ้านของปิ่นห้าปีก่อนแล้วล่ะค่ะ”“ปิ่นอย่าพึ่งโมโหสิ ถ้าปิ่นไม่ให้ผมเข้าไปผมก็จะยืนอยู่แบบนี้แหละแล้วผมจะบีบแต่รถให้ชาวบ้านเขาออกมาดูด้วย”“ทำไมหมอเป็นคนเข้าใจอะไรจะยากแบบนี้นะ”“ผมเข้าใจยากที่ไหน ปิ่นต่างหากที่เข้าใจยาก เปิดประตูให้ผมเข้าไปหน่อยนะปิ่น”เพราะกลัวว่าเขาจะทำอย่างที่พูดจริงๆปิ่นปินัทธ์เลยยอมเปิดประตูให้จากนั้นหญิงสาวเดินนำเขามายังห้องรับแขก“เอาล่ะคะจะพูดอะไรก็พูดปิ่นมีเวลาให้คุณไม่มากหรอกนะปิ่นยังต้องทำใบงานอีกเยอะ”“ให้ผมช่วยทำไหมล่ะ”“ปิ่นไม่รบกวนเวลาคุณหมอขนาดนั้นหรอกค่ะ เวลาทุกนาทีของหมอมันมีค่าอย่าเสียเวลามาทำใบงานเล็กๆ น้อยๆ เลย”“ปิ่นอย่าพึ่งประชดได้ไหม”“หมอจะพูดอะไรก็พูดสิคะ”“ผมอยากขอโอ
หลังจากไปเยี่ยมคุณยายของปิ่นปินัทธ์ที่บ้านแล้วกรัณย์กรก็รู้สึกว่าแปลกๆ เพราะที่บ้านของหญิงสาวไม่มีของเล่นเด็กเลยแม้แต่ชิ้นเดียว ถ้าเด็กชายที่เขาเห็นเมื่อวันก่อนเป็นลูกของหญิงสาวจริงๆในบ้านหลังนั้นก็น่าจะต้องมีของเล่นสักชิ้นหนึ่งและดูเหมือนยายละมัยก็ไม่ได้บอกเขาว่าปิ่นปินัทธ์แต่งงานแล้วความจริงข้อนี้กรัณย์กรต้องหาทางพิสูจน์เพราะเขารู้ใจตัวเองแล้วว่ายังมีความรู้สึกดีๆ ให้กับปิ่นปินัทธ์และจะต้องพยายามเอาชนะใจของเธออีกครั้งครั้งนี้เขาจะเดินหน้าอย่างเต็มกำลังเพราะรักเธอมาก การห่างกันไปนานหลายปีไม่ได้ทำให้ความรักที่เขามีให้กับปิ่นปินัทธ์ลดน้อยลงเลย และตอนนี้เขาอยากขอโทษเธอที่ตนเองเห็นแก่ตัวเห็นงานสำคัญกว่าความรู้สึกของหญิงสาว แต่ตอนนี้เขาคิดว่าตัวเองจะมีเวลาให้เธอมากขึ้นกรัณย์กรอยากจะกลับมาคบกันปิ่นปินัทธ์อีกครั้งหนึ่ง เขาจะชดเชยเวลาทั้งหมดให้กับหญิงสาว การมาทำงานที่โรงพยาบาลนี้กรัณย์กรไม่ต้องอยู่เวรตลอด 24 ชั่วโมงเขาออกตรวจภายแผนกโอพีดี ราวน์คนไข้ และจะมีนัดคนไข้มาผ่าตัดหรือสวนหัวใจและทุกอย่างก็จะลงเวลานัดหมายเพราะการผ่าตัดประเภทนี้ต้องใช้เจ้าหน้าที่หลายแผนก อีกทั้งห้องผ่าตัดและห้องสวนห
ปิ่นปินัทธ์ไม่ได้บอกยายของตนเองว่าเจอกับกรัณย์กรเพราะกลัวว่าคุณยายจะไม่สบายใจและหญิงสาวก็คิดว่าเขาไม่มีมีทางจะมาหาคุณยายอย่างที่บอกกับเธอแน่ๆแต่ดูเหมือนว่าเธอจะคิดผิดเพราะเย็นวันหนึ่งหลังจากเธอกลับมาจากโรงเรียนก็เห็นบริเวณห้องรับแขกมีกระเช้าผลไม้และนมสำหรับผู้สูงอายุวางอยู่“คุณยายไปซื้อของพวกนี้มาเหรอคะ”“เปล่าหรอกลูกวันนี้มีคนแวะมาเยี่ยมยาย”“ใช่พี่ทศกับพี่แพรหรือเปล่าคะ พี่ทศบอกว่าก่อนจะกรุงเทพจะแวะมาหาคุณยายอีกครั้งหนึ่ง”“ทศเขาแวะมาจริงๆ นั่นแหละแต่ของพวกนี้ไม่ใช่ของทศหรอกนะลูก”“อ้าว....แล้วของใครล่ะคะคุณยาย”“ปิ่นลองเดาดูสิว่าวันนี้มีใครมาหายาย”“ปิ่นเดาไม่ถูกหรอกค่ะยายบอกปิ่นมาเถอะค่ะ”“วันนี้หมอรัณย์เขามาหายายที่นี่”“อะไรนะคะ เขามาหายายจริงๆ เหรอคะ”“ปิ่นรู้ใช่ไหมว่าเขาจะมาหายาย”“ค่ะยาย ปิ่นบังเอิญเจอเขาเมื่ออาทิตย์ก่อน แล้วเขาบอกว่าจะแวะมาหาคุณยายแต่ปิ่นไม่ได้บอกยายเพราะคิดว่ายังไงเขาก็คงไม่มาเวลาทำงานแน่ๆ”“เขามาหายายตอนเที่ยงจ้ะ”“ยายคุยอะไรกับเขาบ้างบอกเรื่องปิ่นไปหรือเปล่า”“ก็คุยเรื่องทั่วไป ยายไม่ได้บอกเรื่องอบปิ่นหรอกนะ ยายรู้ว่าปิ่นอยากให้เรื่องนี้มันเป็นความลับ”