ตอนที่ 6
หลินเยว่ซินถอนหายใจยาว ใบหน้าแฝงความไม่สบอารมณ์นัก “เฮ้อ…ช่างเถอะ บำรุงสักหน่อยก็คงกลับมาได้อยู่แล้ว ข้าเองก็เป็นคนบ้าความงามอยู่แล้วนี่” ปลายนิ้วเรียวยกเสื้อผ้าหยาบกระด้างขึ้นพิจารณา คิ้วสวยขมวดเล็กน้อย “นี่หรือ… ชีวิตของคุณหนูผู้สูงศักดิ์ ช่างน่าสมเพชจริงๆ” ภายในมิติไร้วันไร้คืน ทุกสิ่งเงียบสงัดไร้ผู้ใดล่วงรู้ นางสั่งใจให้ออกจากที่แห่งนั้น กลับสู่ห้องพักในเรือนเก่าดังเดิมโดยไม่ให้เกิดเสียงแม้แต่น้อย เมื่อกลับมา ท้องฟ้าด้านนอกเพิ่งแง้มแสงอรุณแรกเล็กน้อย แต่ยังไม่ทันได้พัก เสียงอึกทึกหน้าประตูก็ดังก้องสนั่น! “เปิดประตู! ลากนังสารเลวไร้ค่าออกมาเดี๋ยวนี้!” เสียงกรีดแหลมแฝงโทสะ ตะโกนลั่นสลายความเงียบสงัด ของยามเช้าและแทรกขึ้นพร้อมกันนั้น เสียงอ้อนวอนของหญิงสาวอีกผู้หนึ่งดังสะท้อนตามมาอย่างร้อนรน “ฮูหยินได้โปรด! ฮือๆ คุณหนูของเรายังไงก็คือบุตรีโดยชอบธรรมแห่งตระกูลหลิน ท่านไม่ควรลงโทษโดยไร้การไตร่ตรอง ฮือๆ ขอท่านเมตตานางด้วยเถอะเจ้าค่ะ!” เสียงสะอื้นปนคำวิงวอนของเสี่ยวถิงดังระงมอยู่หน้าประตู ทันใดนั้น ปัง! บานประตูไม้เก่าถูกถีบกระเด็นออกด้วยแรงมหาศาล ก่อนจะตามมาด้วยเสียงเปิดที่สะท้อนก้องราวสายฟ้าฟาด “นังสารเลว! ออกมาซะ!” หญิงวัยกลางคนในอาภรณ์หรูหราฟู่ฟ่า เดินพรวดเข้ามาด้วยท่าทีโอ่อ่าอวดอำนาจ ด้านหลังยังมีบ่าวรับใช้และองครักษ์ติดตามเป็นแถวเป็นแนว ‘ใช่แล้ว! ฮูหยินรอง’ หลินเยว่ซินเงยหน้าขึ้นเพียงเล็กน้อย น้ำเสียงเรียบเฉยดังออกมา ”ฮูหยินรอง มีธุระอันใดหรือเจ้าคะ” ดวงตาสีม่วงลึกเยียบเย็นราวกระจกเคลือบน้ำแข็ง ส่องมองอีกฝ่ายด้วยท่าทีงุนงงดุจดรุณีน้อยไร้เดียงสา ราวไม่เข้าใจเรื่องวุ่นวายเบื้องหน้า ทันใดนั้น สีหน้าของสตรีผู้นั้นกลับบิดเบี้ยว นางเกลียดชังที่สุดเมื่อถูกเรียกว่า ‘ฮูหยินรอง!’ ครั้งเมื่อภรรยาเอกยังมีชีวิต นางทำได้เพียงก้มหน้ายอมทนกล้ำกลืนศักดิ์ศรี แต่บัดนี้… หลังซูเหยาสิ้นใจ จวนทั้งจวนอยู่ภายใต้เงื้อมมือ ไม่มีผู้ใดกล้าขัดใจ แม้ไร้ตำแหน่งภรรยาเอกอย่างเป็นทางการ แต่ใครบ้างในจวนจะไม่หวาดกลัวและยอมรับนางในฐานะ ‘ฮูหยินใหญ่!’ “เด็กสารเลว! เจ้ากล้าสะเออะเปิดปากกับข้าเช่นนี้รึ!” เสียงแผดก้องเต็มไปด้วยโทสะ แต่หลินเยว่ซินกลับเพียงคลี่ยิ้มบาง น้ำเสียงอ่อนโยน หากทว่าถ้อยคำกลับคมกริบดั่งคมมีด “ฮูหยินรองกล่าวเช่นนั้นหมายความว่าอย่างไรหรือเจ้าคะ ข้าเป็นบุตรีโดยชอบธรรมของบิดาและมารดา หากข้าถูกท่านดูแคลนว่าเป็นเด็กสารเลว เช่นนั้นบุตรีของท่าน… มิใช่ต่ำต้อยกว่านี้กระนั้นหรือ?” แสงในดวงตาสีม่วงเจิดจ้า เปล่งประกายราวอัญมณีไร้ตำหนิ ท่ามกลางอรุณอึมครึมที่โอบล้อม ไม่มีการตะคอก ไม่มีการก้าวร้าว ทว่าคำพูดกลับคมกริบจนแทบตัดลมหายใจผู้ฟัง สีหน้าของฮูหยินรองถอดสีฉับพลัน นี่ไม่ใช่เด็กโง่เขชาเบาปัญญา ที่เคยถูกหยามเหยียดอีกต่อไปแล้ว! แม้จะยังแสร้งซื่อ แต่คำพูดกลับเฉือนลึกเกินกว่าจะรับได้ “หึ! ฟื้นขึ้นมาทั้งที ปากกล้าขึ้นมากนัก!” นางกัดฟันกรอด ดวงตาแฝงความระแวงไม่ปิดบัง ในใจยังสะกิดความหวาดหวั่นมิอาจลืมได้ว่าครั้งหนึ่ง เด็กผู้นี้คืออัจฉริยะที่แม้แต่ฮ่องเต้ยังทรงชมเชย! แม้ท้ายที่สุดถูกพิษเล่นงานจนสิ้นสติไปครึ่งเดือน แต่เพื่อตัดรากถอนโคน นางยังลอบวางยาซ้ำ หวังให้เสียสติถาวร! “ขอบคุณฮูหยินรองที่ยังเมตตา อย่างน้อยข้ายังไม่ได้ตาย” หลินเยว่ซินเอ่ยเรียบง่าย พลางกางมือออกอย่างแสร้งไร้เดียงสา “แล้ววันนี้… ท่านมาที่นี่ เพื่อจะมาเล่นเกมกับข้ารึเจ้าคะ” คำว่า เล่นเกม ทำให้อีกฝ่ายหัวเราะหยันลั่น “เจ้ามันคนโง่! ต่อให้เจ้าจะฟื้นคืนนั้น ก็ยังเป็นคนโง่อยู่ดี! พูดได้คล่องปากขึ้นแล้วอย่างไร! สุดท้ายเจ้าก็เป็นเพียงเศษสวะในสายตาข้าอยู่วันยังค่ำ! นังปีศาจสายเลือดต่ำช้า! ผมม่วง ดวงตาปีศาจเยี่ยงเจ้า! ยังกล้าทำเรื่องโสมมแปดเปื้อน! ก่อนเข้าพิธีสมรส แถมยังหน้าด้านฟื้นขึ้นมา! ชัดเจนแล้วว่า เจ้าใช้วิชาอาคมลวงโลก หลอกตาคนทั้งนั้น! จวนสกุลหลินไม่ต้องการหญิงต่ำช้า ฉาวโฉ่เช่นเจ้า! เช่นเดียวกับมารดาของเจ้า! ก็แค่หญิงแพศยาต่ำช้าไร้ยางอายและไร้การอบรมสั่งสอน!” มือข้างหนึ่งของหลินเยว่ซินกำหมัดแน่น สายตาพลันแข็งกร้าว ราวกับจะเผาผลาญเพลิงโทสะที่เอ่อล้นอยู่ในอก ‘ดี… ดีมาก…’ เจ้ากล้าว่ามารดาข้าอย่างนั้นหรือ! “ฮูหยินรองรอง ช่างถูกอบรมสั่งสอนมาดีเสียจริง ถึงได้วิ่งกรูกันมาที่เรือนของข้า ดั่งหมาบ้าหิวโซเห่ากรรโชกไม่หยุด ปากพ่นแต่คำหยาบไร้สติ ไม่เว้นแม้แต่ลมหายใจหนึ่ง เช่นนี้หรือ… คือความมีมารยาทของตระกูลหลินผู้ดี” นางเงยหน้าขึ้นช้าๆ แววตาสีม่วงล้ำลึกเย็นเฉียบ ราวกับน้ำแข็งพันปีที่พร้อมแทงทะลุจิตใจคนตรงหน้า ใบหน้าของฮูหยินรอง พลันเขียวคล้ำทันที แม้จะรู้ว่าตรงหน้าคือเพียงเด็กสาว แต่เพียงแววตาเชือดเฉือนเย็นเยียบก็ทำให้หัวใจของนางพลันหดตัว… ความหนาววาบแล่นผ่านสันหลังโดยไม่อาจห้ามได้ “หึ! เจ้าคิดว่าปากกล้าแล้วจะรอดงั้นหรือ! วันนี้ข้าจะไม่ปล่อยเจ้าแน่! พวกเจ้าลากนังปีศาจออกมาเดี๋ยวนี้!” องครักษ์สองคน ก้าวเข้ามาพร้อมกันมือกระชากร่างหลินเยว่ซินลงจากเตียงโดยไร้ความปรานี แต่ทันใดนั้น… นางบิดข้อเท้าเล็กน้อย ทำให้ร่างเสียหลัก โครม! ศีรษะน้อยๆ ของนางฟาดเข้ากับขอบเตียงอย่างแรง ร่างบอบบางล้มลงแน่นิ่ง โลหิตสีแดงสดพวยพุ่งจากหน้าผากไหลเป็นทางบนพื้นไม้ เลือดชุ่มจนผ้าห่มเก่าๆ กลายเป็นสีแดงฉาน “คุณหนู! คุณหนูเกิดอะไรขึ้น!” เสียงร้องลั่นด้วยความตระหนกดังจากหน้าประตู เสี่ยวถิงซึ่งคลานกระเสือกกระสนเข้ามา ด้วยร่างกายที่บาดเจ็บ เมื่อเห็นภาพนั้นเข้ากับตา ร่างเล็กถึงกับทรุดฮวบลงกับพื้น น้ำตาไหลพราก รีบโผเข้ามาคุกเข่าข้างตัวคุณหนู มือไม้สั่นระรัว พยายามกดแผลที่โลหิตยังทะลักไม่หยุด น้ำเสียงสั่นเครือปนสะอื้นไห้ “คุณหนู! ฮือๆๆ ได้โปรดตื่นเถอะเจ้าค่ะ! อย่าทิ้งข้าไป… ฮือๆ ได้โปรดเถอะ!” แม้แต่ฮูหยินรองเองก็สะดุ้งเฮือก หัวใจสะท้านไปวูบหนึ่ง แต่ก็รีบข่มใจ พยายามเก็บสีหน้าไว้ไม่ให้หวั่นไหว นางเบือนหน้าออกคำสั่งเสียงแข็ง ทว่ามีความสั่นพร่าปรากฏชัดเจน “ไปสิ! รีบดูซิว่ามัน… ปีศาจนี่ มันตายจริงรึไม่!” องครักษ์ผู้หนึ่งรีบก้าวเข้ามา ย่อตัวลงตรวจชีพจรอย่างเคร่งเครียด ทันใดนั้น… สีหน้าของเขาพลันซีดเผือด ริมฝีปากสั่นระริก กลืนน้ำลายอึกหนึ่งก่อนจะเอ่ยเสียงสั่นพร่า “ฮู… ฮูหยินขอรับ… นาง…นางสิ้นใจแล้วขอรับ…” แม้หลินเยว่ซินจะถูกตราหน้าว่าโง่เขลาไร้ค่า แต่สุดท้าย นางก็คือคุณหนูใหญ่สายเลือดแท้แห่งตระกูลหลิน เดิมทีฮูหยินท่านนี้ วางแผนล่วงหน้า หวังให้เรื่องอื้อฉาวในคืนสมรสเป็นข้ออ้างทำให้นางเสื่อมเสีย จากนั้นจึงกล่าวหาว่าใช้วิชาอาคมชั่วร้าย แล้วเผานางต่อหน้าทั้งจวน แต่ใครเล่าจะคาดคิด… ว่านางกลับมาดับสิ้นชีพเงียบงันอยู่ในเรือนผุพังเช่นนี้ หากเป็นเช่นนี้ เรื่องราวทั้งหมด ก็ไม่อาจดำเนินไปตามที่วางแผนอีกต่อไป ฮูหยินรองยืนนิ่งค้าง ใบหน้าแข็งเกร็งสะท้อนความลังเล ความมั่นใจที่เคยมีสั่นคลอนเป็นครั้งแรก นางเองก็พลันไร้หนทางในชั่วขณะนั้น ทันใดนั้น… ดวงตาสีม่วงลึกล้ำที่ปิดลงกลับเบิกกว้างขึ้นมาอีกครั้ง! หลินเยว่ซินรับรู้ได้ทันที ว่าหญิงผู้นั้น… กำลังมองมาที่ตนเอง! หญิงผู้นั้นถึงกับหลุบตาลง ไม่กล้าสบตาตรงๆ ราวกับถูกสะกดด้วยแรงอำนาจบางอย่าง นางหงุดหงิด รีบโบกมือไล่ตะเพิดข้ารับใช้และองครักษ์ เสียงดังลั่น เพื่อกลบเกลื่อนความรู้สึกประหลาดในใจ “ไปให้พ้น! ช่างเป็นลางร้ายอัปมงคลเสียจริง!”บทที่ 77หลินเยว่ซินหัวเราะเบาๆในลำคอ นางยกมือขวาขึ้นอย่างเชื่องช้าปลายนิ้วขาวซีด เรียวยาวราวหยกสลัก เผยฝ่ามือที่แบออกในมือนั้น คือเข็มทองสองเล่ม สิ่งที่เขารู้จักดียิ่งกว่าผู้ใดในใต้หล้า ดวงตาดำสนิทของเขาฉายแววบางอย่างวูบไหว แต่ยังแสร้งยิ้มบางประหนึ่งไม่รู้เรื่องรู้ราว “เข็มทองรึ…หน้าตาก็แปลกดี” เสแสร้งหรือ? หลินเยว่ซินเพียงยิ้มเล็กน้อยอย่างรู้ทัน แต่หาได้เอ่ยวาจาเปิดโปงหรือกดดันใดๆ นางเพียงหยิบเข็มเล่มหนึ่งขึ้นมาช้าๆ หมุนปลายเรียวอย่างแผ่วเบาในระหว่างนิ้ว “งั้นหรือ… ข้าเองก็คิดเช่นนั้น” เสียงของนางเยียบเย็นดุจหิมะตกกลางฤดูร้อน แฝงรอยประชดประชันที่คมกริบเกินกว่าจะถูกจับผิดได้ “ของบางอย่าง ต่อให้ภายนอกงดงามเพียงใด ก็อาจซ่อนพิษร้ายในทุกเสี้ยวของเนื้อแท้” กล่าวจบ นางก้าวขึ้นอีกก้าว ยืนประจันหน้ากับเขาในระยะประชิดใกล้เสียจนได้ยินแม้เสียงลมหายใจ หลินเยว่ซินมองเขานิ่งๆ ในใจกลับยกย่องอย่างไม่อาจปฏิเสธได้ บุรุษผู้นี้… ไม่สิ เด็กหนุ่มผู้นี้ กลับมีจิตใจลึกซึ้งเกินวัย ราวกับเคยผ่านศึกหนักนับร้อยสนาม ชั้นเชิงของเขา… ไม่ใช่สิ่งที่เด็กคนหนึ่งควรมี หากแต่ลึกล้ำประหนึ่งสืบทอดจากบรรพชน
บทที่ 76คิ้วเรียวของหลินอวี้เฉิงขมวดแน่นเล็กน้อย ก่อนจะถอดผ้าคลุมไหล่ออกแล้วค่อยๆ คลี่มันออกด้วยมืออันอ่อนโยน โอบคลุมร่างที่สั่นไหวของมารดาไว้แน่น แววตาที่ทอดมองเต็มไปด้วยความห่วงใยลึกซึ้ง ไม่เอื้อนเอ่ยคำใด มีเพียงความเงียบงันที่อ่อนโยนปกคลุมอยู่รอบตัวทันใดนั้น เสียงทรงอำนาจก็ดังขึ้น“เจ้ามาทำอะไรที่นี่!”หลินเทียนหยู่ตวาดลั่น แววตาเต็มไปด้วยเพลิงโทสะที่แทบจะระเบิดออกมาเสียให้ได้ ความขุ่นเคืองในอกพลันพุ่งพล่านราวอยากทำลายทุกสิ่งตรงหน้าให้พินาศในขณะที่บรรยากาศตึงเครียดถึงขีดสุด เสียงหัวเราะเบาๆ พลันดังขึ้นหลินเยว่ซินก้าวเข้ามาอย่างสงบนิ่ง แขนข้างหนึ่งพาดอยู่บนไหล่ของหลินเทียนเฟิงด้วยท่าทีไม่ใส่ใจนัก แม้จะเผชิญหน้ากับบิดาโดยตรง แต่ดวงตาคู่นั้นกลับไม่เหลือบมองแม้แต่น้อยนางยกมือขึ้นช้าๆ ปลายนิ้วเรียวยาวลูบไล้เล็บสีแดงที่แต้มไว้อย่างประณีต ท่าทางเหมือนไม่พอใจนัก แต่คำพูดที่หลุดออกจากปากกลับแทงใจผู้เป็นบิดาเข้าอย่างจัง“ฝีมือของท่านพ่อ… พวกเราลูกๆ ล้วนได้ประจักษ์กับตาแล้วเจ้าค่ะ”เสียงของหลินเยว่ซินเยียบเย็นดุจน้ำค้างยามเหมันต์ ล่องลอยอยู่กลางอากาศ เงียบงันราวกับคมดาบกรีดลงกลางอ
บทที่ 75ขณะนั้นเอง ขุนนางวัยกลางคนผู้หนึ่งเบียดฝูงชนเข้ามา ชุดขุนนางของเขาเบียดเสียดกับแขนเสื้อผู้อื่นอย่างไม่เกรงใจในมือมีห่อเอกสารถูกพับอย่างดี“ฮ่ะฮ่าๆ! มาแล้ว มาแล้ว ทุกท่านทั้งหลาย พวกท่านอยากรู้เรื่องนี้มากใช่หรือไม่ เช่นนั้น ดูสิ! ดูสิ่งนี้คืออะไร!”ผู้คนแย่งกันไปหยิบอ่าน พอเพียงกวาดตาไปไม่กี่บรรทัดก็พากันหัวเราะเสียงดังไม่หยุดทุกสายตา หันขวับไปยังชายผู้หนึ่งที่ยืนอยู่ท่ามกลางวงล้อม โดยไร้ซึ่งความเข้าใจใดๆสายตาเหล่านั้นเจือทั้งความเวทนา เสียดสี และความสะใจ…ปะปนกันจนยากแยกแยะหลินเทียนหยู่คิ้วกระตุกเล็กน้อย ก่อนที่หัวใจจะเต้นแรงขึ้น สัญชาตญาณของแม่ทัพผู้ผ่านศึกนับไม่ถ้วนกำลังกระซิบบอกเขาว่า…ในเอกสารนั้น ต้องมีเรื่องอัปยศเกี่ยวกับเขาอย่างแน่นอนเขาพุ่งมือไปคว้ากระดาษแผ่นหนึ่ง ดวงตาคมกริบไล่กวาดตัวอักษรทีละบรรทัด…“ภรรยาคนแรกของท่านกั๋วกงตระกูลหลิน คือแม่นางสกุลโหว หลินเทียนหยู่รักนางดั่งชีวิต แต่ไม่ได้ใส่ใจสกุลหลี่แม้เพียงน้อยหลี่อวี้หรงเฝ้าเรือนอย่างเดียวดาย อกอัดตันใจจนต้องระบายกับคนรับใช้ในจวนจากนั้น…ไม่นาน นางก็ตั้งครรภ์ และให้กำเนิดหลินอวี้ซิง…”ราวกับฟ้าผ่าลงตรงกล
บทที่ 74 “ท่านแม่รอง…” เสียงของหลินเยว่ซินอ่อนลง พลางยกมือลูบหว่างคิ้วด้วยท่าทีปวดหัว “ขอเถิด…วันหนึ่งจะปล่อยให้ข้าอยู่อย่างสงบบ้างไม่ได้หรือ?” คำพูดที่ทั้งเฉื่อยชาและรำคาญนั้น เล่นเอาหลี่อวี้หรงถึงกับจุกอก พูดไม่ออกสักคำ ใบหน้าบิดเบี้ยวด้วยโทสะ แทบจะสำลักโลหิตออกมา! นางผู้นี้…ยังจะกล้าแสร้งไม่รู้เรื่อง อยู่อีกหรือ! หลี่อวี้หรงกัดฟันแน่น พยายามข่มกลั้นโทสะที่แทบปะทุขึ้นมาท่วมอก นางจ้องเขม็งไปยังหญิงสาวตรงหน้าอย่างโกรธเคือง “ถ้าเช่นนั้น ข้าจะถามให้ชัด!” “เมื่อคืน…มีคนเห็นสาวใช้ของเจ้าลอบออกไปข้างนอก แล้วกลับมาช้ามาก! จากนั้น เช้าวันนี้ ใบปลิวก็ว่อนเมือง! เรื่องเมื่อคืนกับเรื่องฐานะบุตรสาวข้าก็ถูกพูดกันให้ทั่ว! เจ้ายังจะกล้าปฏิเสธอีกหรือว่าเรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับเจ้าแม้แต่น้อย!” หลินเยว่ซินยกมุมปากนิดๆ เอ่ยเสียงเนิบไม่ทุกข์ร้อน “เมื่อวาน…ท่านแม่รองเพิ่งกล่าวหาว่าข้าเป็นลูกนอกสมรสไม่ใช่หรือ? วันนี้…ก็รีบร้อนมาแต่เช้าเพื่อด่าข้าว่าปล่อยข่าวลือใส่พี่รอง ท่านไม่เหนื่อยบ้างหรือ หรือว่าหากวันใดไม่ได้หาเรื่องข้า ท่านจะกินไม่ได้ นอนไม่หลับเสียกระมัง” “เจ้า…!” “ท่านนี่สมกับเป็นมารด
บทที่ 72 ณ เรือนเยว่หยวน หลังจากเสี่ยวถิงจัดเตียงของคุณหนูเรียบร้อยแล้ว นางก็ลอบม้วนตัวกลับไปยังเรือนข้างอย่างเงียบงัน เพื่อพักผ่อน ในห้องที่เงียบมืดสนิท หลินเยว่ซินขยับนิ้วเพียงน้อยร่างของนาง ก็เลือนหายเข้าสู่มิติลับในพริบตา ภายในบ่อน้ำแห่งวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ ไออุ่นลอยคลุ้งบางเบา ปกคลุมทั่วผืนอากาศ สตรีนางหนึ่งนั่งพิงแผ่นหินใหญ่ด้วยท่วงท่าเกียจคร้าน ร่างเปลือยเปล่าแช่อยู่ในน้ำอย่างไม่ไยดี ริมฝีปากโค้งรอยยิ้มจางคล้ายเบื่อหน่าย มือหนึ่งของนาง ลูบไล้ไข่อสูรเบาๆ ไข่ใบนั้นมีขนาดใหญ่เกือบเท่าเด็กวัยห้าขวบ เนื้อไข่โปร่งแสงบางส่วน แผ่พลังหม่นลึกลับที่หมุนวนอยู่ภายในอย่างแผ่วพลิ้ว พลังนั้น…เหมือนมีชีวิตของตน “เจ้านี่…โตช้าชะมัด โตช้าจนข้าเริ่มรำคาญแล้วนะ” เสียงบ่นของนางเบาแผ่ว ทว่าแฝงด้วยน้ำเสียงเหน็บแนม คล้ายตำหนิของเล่นไร้ประโยชน์ที่ยังไม่ยอมเผยบทบาทสำคัญ ดวงตาสีม่วงเฉียบคมเหลือบมองไข่ใบนั้น ประกายหยอกล้อผสานแววเยาะหยันฉายชัดในดวงตาคู่งามหมั่นไส้ปนเอ็นดู… น้ำและดินในมิติแห่งนี้…หาใช่สิ่งของธรรมดาที่พบเห็นในโลกภายนอกไม่แต่กลับอวลไปด้วยพลังแห่งฟ้าดินอันมิอาจลบล้างได้ง่ายแ
บทที่ 71สายตาคมกริบดั่งคมของหนานกงเยี่ยนหลัว จับจ้องไปยังอ่างปลาทรงประหลาดใบหนึ่ง สิ่งเดียวที่ดูไม่เข้ากับบรรยากาศเรียบสงบภายในเรือนในน้ำนิ่งใสสะอาดเรียบเย็น…เศษหยกโลหิตนั้น ที่แตกละเอียดก่อนหน้านี้ กำลังค่อยๆรวมตัวกลับเป็นรูปลักษณะเดิมอย่างเชื่องช้า ทว่า ดูลี้ลับยิ่งนัก เขาขมวดคิ้วเบาๆ เบิกตากว้างอย่างอดใจไม่ไหว“นี่มัน… อะไรกันแน่?”เสียงหัวเราะแผ่วเบาๆดังขึ้นจากข้างกายหลินเยว่ซิน หญิงสาวผู้สงบนิ่งคล้ายไม่แยแสสิ่งใด มือขาวเรียวเอื้อมไปหยิบหยกโลหิตขึ้นจากอ่างน้ำ ก่อนกล่าวน้ำเสียงราบเรียบ ดูคล้ายเรื่องไร้สาระ“ก็แค่ หยกโลหิต อย่าบอกนะว่าเจ้าไม่รู้จัก”นางพลิกหยกโลหิตไปมาในมือราวกับของเล่น แสงจากโคมไฟสาดกระทบผิวหยกจนสะท้อนประกายสีเลือดงดงาม กลับดูไร้รอยตำหนิ งดงามยิ่งกว่าก่อนจะแตกเสียอีก“ดูเหมือนว่า สายน้ำในมิติของข้า จะมีคุณวิเศษเกินคาด” นางเอ่ยด้วยน้ำเสียงแฝงรอยขบขัน ขณะมองชายหนุ่มที่เริ่มทำหน้าเคร่งเครียดเขารู้จักหยกโลหิต แต่สิ่งที่เขาไม่เข้าใจที่สุด กลับไม่ใช่หยก เขายกมือชี้ไปยังอ่างปลาทรงประหลาดนั้นทันที “ข้าหมายถึง เจ้านั่นต่างหาก!”นางปรายตามองตามนิ้ว ก่อนจะหัวเราะ