ตอนที่ 4
เรียนรู้ระหว่างเรา
“ไม่เอา ! ผมไม่ให้ใส่เสื้อผ้าแบบนี้”
เปรมธวัชดึงเสื้อยืดออกจากมือของภรรยาเด็กเพราะพี่เขาพาเธอมาซื้อเสื้อผ้าใหม่ในวันนี้เพราะอยากให้สาวน้อยแต่งตัวดูเป็นผู้ใหญ่มากขึ้น
“มิ้นเคยใส่แต่เสื้อผ้าแบบนี้ถ้าเป็นแบบอื่นก็ไม่รู้จะใส่แบบไหนเหมือนกันค่ะ”
มินตราคิดไม่ออกว่าเสื้อผ้าแบบไหนที่จะเหมาะกับเธอจึงยกให้เปรมธวัชทำหน้าที่เลือกเอาแบบที่เขาต้องการ
ทั้งสองคนเดินเลือกซื้อเสื้อผ้าอยู่ที่ห้างสรรพสินค้าโดยไม่ทันได้สังเกตว่ามีสายตาของผู้หญิงกลุ่มหนึ่งกำลังจ้องมองอยู่
“คุณเปรมพาใครมาซื้อเสื้อผ้าคะนี่”
สาวสวยไฮโซเดินเข้ามาทักทายเปรมธวัชพร้อมกับเพื่อนของเธออีก 3 คนซึ่งทุกคนกำลังหันมาจ้องมองสาวน้อยที่กำลังยืนอยู่ข้างนักธุรกิจชื่อดัง
“สวัสดีครับน้องไอลดา”
ชายหนุ่มไม่ตอบคำถามแต่หันกลับไปทักทายอีกฝ่ายแทนซึ่งด้วยมารยาทแล้วทำให้คำถามนั้นต้องเป็นอันตกไปเมื่อถูกบทสนทนาอื่นเข้ามาแทน
“ปกติแล้วไอไม่เคยเห็นพี่เปรมมาเดินห้างแบบนี้เลยนะคะใครๆก็พากันพูดกันว่านักธุรกิจหนุ่มใหญ่อย่างคุณเปรมธวัชนอกจากเรื่องงานแล้วก็ไม่สนใจเรื่องอื่นเลย”
ไอลดาพยายามจะล้วงเอาคำตอบให้ได้ว่าผู้หญิงที่มากับเปรมธวัชในวันนี้เธอเป็นใครแต่ไม่ว่าจะหาอะไรมาชวนคุยชายหนุ่มก็ไม่ยอมหลุดปาก
มินตรารู้สึกอึดอัดกับบทสนทนาที่ดูประดิษฐ์คำพูดของทั้งคู่จึงทำให้หญิงสาวเลือกที่จะเดินออกมาจากร้านเพื่อมาหาที่นั่งรอ
“ไอลดาเป็นน้องสาวของเพื่อนผม”
เปรมธวัชเดินตามออกมาพร้อมกับรีบแนะนำให้มินตรารู้ว่าผู้หญิงที่เข้ามาคุยกับเขาเธอเป็นใครทั้งที่หญิงสาวไม่ได้เอ่ยถามสักคำ
“ดูเธออยากรู้นะคะว่ามิ้นเป็นใคร วันนี้คุณสามารถเลือกที่จะไม่ตอบได้แต่ถ้าวันหลังคุณโดนถามแบบนี้อีกเราควรตอบว่าอย่างไรดีคะ”
มินตราเธอไม่ได้ต้องการเล่นลิ้นหรือต้องการสถานะแต่เธอแค่ไม่รู้ว่าคำตอบไหนคือสิ่งที่ควรจะพูดออกไปเพราะเธอไม่รู้ว่าระหว่างเธอกับเขามันควรจะเรียกว่าอะไรต่อหน้าคนอื่น
“เอาเป็นว่าถ้าเลี่ยงได้ผมก็จะเลี่ยงแต่ถ้าเลี่ยงไม่ได้ผมก็จะแนะนำคุณว่านี่มินตราและไม่บอกสถานะก็แค่นั้น”
เปรมธวัชพูดออกไปพร้อมกับสังเกตปฏิกิริยาของหญิงสาวที่นั่งข้างๆด้วย ชายหนุ่มอยากรู้ว่าหลังจากที่เธอได้เป็นภรรยาของเขาทางพฤตินัยแล้วเธอมีความเป็นเจ้าของหรือต้องการขึ้นมายืนอยู่บนสังคมเหมือนเช่นผู้หญิงคนอื่นที่เขากลัวไหม
“มิ้นว่าวันหลังเราไม่ต้องมาข้างนอกด้วยกันดีกว่าค่ะเพราะไม่ว่าเราจะตอบอย่างไรมันก็ต้องมีคนอยากรู้ความจริงสักวัน... มิ้นไม่อยากให้คุณเปรมต้องเดือดร้อน”
น้ำเสียงที่แสดงความจริงใจสายตาที่แสดงความเป็นห่วงทำให้เปรมธวัชรู้ได้เลยว่าสาวน้อยคนนี้เธอไม่ได้ต้องการจะเป็นเจ้าของเขา
“ถ้าคุณเป็นห่วงผมก็ไม่เป็นไรเพราะผมเองไม่ได้ซีเรียสกับเรื่องนี้เราไปหาซื้ออย่างอื่นต่อกันดีกว่า”
ชายหนุ่มเปลี่ยนเรื่องพูดและพาภรรยารับจ้างของเขาเข้าไปเลือกซื้อรองเท้าและกระเป๋าในแบบที่เขาคิดว่าเข้ากับเสื้อผ้าที่เขาซื้อมา
ทั้งสองคนใช้เวลาเลือกซื้อของในห้างสรรพสินค้าเกือบ 2 ชั่วโมงก่อนที่จะเดินทางกลับตลอดข้างทางมินตราได้แต่นอนหลับเพราะเธอรู้สึกเหนื่อยอย่างบอกไม่ถูกซึ่งก็ไม่รู้ว่าเกี่ยวกับเหตุการณ์เมื่อคืนไหมวันนี้เธอจึงรู้สึกเหมือนจะเป็นไข้
เปรมธวัชแอบมองหญิงสาวที่นั่งหลับอยู่เบาะข้างคนขับด้วยความภูมิใจที่เขาได้เป็นผู้ชายคนแรกของเธอและเขาก็มั่นใจว่าตลอดเวลาที่เธอกับเขาอยู่ด้วยกันเธอจะไม่มีทางนอกใจและหักหลังเขาเหมือนที่ผู้หญิงที่ผ่านมาทำ
ความรักของเปรมธวัชไม่ใช่แค่เพียงผิดหวังเรื่องของรินรดาคนรักเก่าเท่านั้นแต่กลับแค่เพียงคู่นอนอย่างนาเดียซึ่งเป็นคู่ขา คนสนิทก็ยังหักหลังด้วยการนอกใจไปมีคนอื่น เปรมธวัชไม่ศรัทธาในความรักเขามองว่าผู้ชายที่ดีพร้อมทุกอย่างแบบเขายังไม่ได้รับความรักที่แท้จริง บนโลกใบนี้ก็คงไม่มีความจริงใจกันอีกแล้ว
“เรากำลังจะไปไหนกันคะ”
มินตราตื่นขึ้นมาเธอมองข้างทางรู้สึกไม่คุ้นจึงเอ่ยถามคนขับเพราะคิดว่าเขาคงไม่ได้กำลังพาเธอกลับบ้าน
“จะพาไปหาอะไรกินยังเหลือเวลาอีกมากไหนๆก็ลางานแล้ววันนี้ก็เลยอยากจะพักผ่อน”
เปรมธวัชอยากสร้างความคุ้นเคยและความใกล้ชิดสนิทกันระหว่างเขากับเธอให้มากกว่านี้เพราะถึงเมื่อคืนทั้งคู่จะมี ความใกล้ชิดและสนิทสนมทางกายด้วยกันแล้วแต่เขายังสัมผัสได้ถึงช่องว่างระหว่างความสัมพันธ์ที่หญิงสาวแสดงกับเขามันยังคงเป็นลักษณะเจ้านายกับลูกน้องอยู่
“นอกเมืองมีร้านอาหารทะเลน่ากิน ไกลหน่อยแต่รับรองได้ว่าคุณจะติดใจคุณแม่ชอบกินอาหารร้านนี้มากไม่ได้พาท่านมาแต่ก็ว่าจะซื้อไปฝาก”
ชายหนุ่มเริ่มเปิดบทสนทนา เขาพยายามพูดเกี่ยวกับความชอบและสิ่งที่เขาไม่ชอบให้สาวน้อยได้รับรู้เพราะถึงแม้ทั้งคู่จะรู้จักกันมาตั้งแต่เด็กแต่มันก็เป็นความสัมพันธ์ระหว่างเจ้านายกับลูกน้องจึงไม่ค่อยรู้ใจกันเท่าไหร่เปรมธวัชหวังว่ามินตราจะเป็นผู้หญิงที่ทำให้เขามีความสุขที่สุดถึงแม้ว่าเขาจะยังไม่ได้รักเธอและเธอก็ไม่ได้รักเขาก็ตาม
“ข้าวหลามร้านนี้อร่อยมาก”
รถยนต์คันหรูจอดหน้าร้านข้าวหลามที่เป็นเพียงป้าแก่ๆนั่งอยู่หน้าบ้านเท่านั้นทำเอามินตราถึงกับแปลกใจที่หนุ่มไฮโซอย่างเปรมธวัชรู้จักร้านขายของข้างทางแบบนี้ด้วย
“ลองกินแล้วคุณจะติดใจ”
ชายหนุ่มลงไปซื้อเมื่อขึ้นมาบนรถเขาก็แกะข้าวหลามส่งให้สาวน้อยที่นั่งข้างๆ มินตรามองหน้าตาของคนขับที่กำลังกินด้วยความเอร็ดอร่อยและยิ้มอย่างมีความสุขด้วยความไม่เข้าใจในตัวเขาในความที่เป็นเปรมธวัชหนุ่มนักธุรกิจไฮโซมาดสุขุมแต่ทำไมวันนี้เขากลับดูติดดินและกลายเป็นเพียงแค่ผู้ชายธรรมดาที่อารมณ์ดี
“ร้านนี้ลูกน้องผมเคยซื้อไปฝาก ผมชอบมากก็เลยขอให้เขาพามาตั้งแต่นั้นก็กลายเป็นลูกค้าประจำตลอด”
เปรมธวัชเป็นคนสนใจในเรื่องรายละเอียดยิบย่อยแม้แต่เรื่องของอาหารที่กิน เขายอมเดินทางขับรถไกลมาถึงที่นี่เพื่อได้กินข้าวหลามรสชาติถูกใจและเมื่อเลือกที่จะมาอุดหนุนคุณป้าก็ไม่ใช่แค่เพียงไม่กี่กระบอกแต่ชายหนุ่มกลับเหมามาทั้งหมดเพื่อนำไปแจกคนที่ทำงาน
ความเป็นคนมีน้ำใจของชายหนุ่มเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้มินตราแอบมีใจให้กับลูกชายเจ้านายมาตั้งแต่เธอยังเป็นเด็กสาวๆอยู่เพราะเขาจะคอยช่วยเหลือเธอทุกอย่างแม้แต่ตอนที่เธอไปเรียนโรงเรียนประจำเวลาที่เขาซื้อวัสดุอุปกรณ์การเรียนก็มักจะซื้อเผื่อแล้วฝากแม่ของเธอไปให้เสมอ
“กระเป๋าใบนี้ยังใช้อยู่อีก”
มินตราควานหาผ้าเช็ดหน้าในกระเป๋าเพื่อมาเช็ดปากจึงทำให้ชายหนุ่มมองเห็นกระเป๋าสตางค์ของเธอและเขาก็ต้องแปลกใจเพราะกระเป๋าใบนี้เขาเป็นคนซื้อให้เธอเองเมื่อเกือบ 5 ปีที่แล้ว
“มันยังใช้ได้อยู่แถมราคาแพงด้วย มิ้นก็เลยไม่ได้เปลี่ยนค่ะ”
หญิงสาวไม่กล้าบอกความจริงว่าถึงแม้ว่ามันจะเก่าหรือขาดตรงไหนเธอก็ยินดีที่จะใช้มันต่อเพราะมันคือของขวัญวันเกิดจากเขาที่มอบให้เธอเมื่อ 5 ปีที่แล้วและเป็นของขวัญชิ้นสุดท้ายเพราะหลังจากที่เธอกับเขาเริ่มอายุมากขึ้นความสัมพันธ์ก็เริ่มห่างกันออกไป
ระหว่างทางไปร้านอาหารเปรมธวัชยังคงแวะข้างทางอยู่เรื่อย ๆ เมื่อเขาเจอร้านของกินที่ถูกใจหรือเจอวิวทิวทัศน์ที่อยากจะลงไปถ่ายรูป ความสัมพันธ์ในวันนี้ทำให้ความรู้สึกถูกพัฒนาไปอีกขั้น ทั้งคู่มีโอกาสได้รู้จักกันในอีกแง่มุมมากขึ้น
มินตราเองจากสาวน้อยเรียบร้อยไม่กล้าแสดงความคิดเห็นใดๆวันนี้เธอก็ปล่อยรอยยิ้มและเสียงหัวเราะให้ออกมาอย่างธรรมชาติเมื่อรู้สึกมีความสุขที่ได้ออกมาท่องเที่ยวไกลบ้านสักครั้งเพราะชีวิตของเธอนอกจากบ้านของเปรมธวัชและโรงเรียนประจำเธอก็แทบจะไม่รู้จักที่ไหนเลยพอถึงช่วงเข้ามหาวิทยาลัยเธอก็เลือกที่จะอยู่หอในโดยตลอดและไม่เคยใช้เวลาว่างไปเที่ยวสังสรรค์ตามแบบวัยรุ่นเพราะเลือกที่จะช่วยแม่ประหยัดและใช้เวลาอ่านหนังสือเพื่อคว้าเกียรตินิยมอันดับ 1 มาให้ได้
“กว่าจะถึงร้านก็เกือบมืดเลยนะคะ”
สาวน้อยหันมาส่งยิ้มให้คนขับที่พาเธอแวะเที่ยวตลอดทางวันนี้เธอพยายามบอกกับตัวเองว่าไม่ว่าเขาจะดีกับเธอแค่ไหนเธอก็ยังเป็นแค่เพียงภรรยารับจ้างและเขาก็เป็นลูกชายของเจ้านายความสุขในวันนี้มินตราเลือกที่จะเก็บมันไว้ก้นลึกของหัวใจเพื่อเอาไว้ทดแทนเมื่อวันหนึ่งที่เธอกับเขาต้องแยกกันตามเส้นทางชีวิตของแต่ละคน
ตอนที่13พร้อมหน้าครอบครัวใหญ่ วันนี้พ่อกับแม่ของภูผาจะเดินทางมาถึงที่สนามบินเชียงใหม่ วันนี้ครัวเวียดนามหยุดหนึ่งวัน เพื่อเตรียมรับทั้งคู่ “คิดถึงจังเลยลูกรักของแม่” นาตาลีโผเข้ากอดลูกชายทันที ที่ได้เจอหน้ากันที่สนามบิน “มิสยู เช่นกันครับ” ชายหนุ่มโดนหญิงสาวอวบจนเกือบอ้วน ตัวใหญ่ตามแบบฝรั่ง จูบแก้มซ้ายแก้มขวาด้วยความคิดถึง “แม่กับพ่อครับนี่ขิมและปูนปั้น ภรรยาและลูกชายของผม” ทั้งสองคนมัวแต่ดีใจที่ได้เจอหน้าลูกชายที่ไม่ได้เจอกันเป็นปี จนลืมสังเกตว่าเขาไม่ได้มาแค่คนเดียว “ฮาย ปูนปั้น มาให้...แม่ต้องเป็นอะไรนะ” นาตาลีหันไปถามลูกชาย เธอเริ่มจำสับสนว่าเธอควรจะเป็นย่าหรือยายกันแน่ “คุณแม่ต้องเป็นคุณย่าสิครับ” ปูนปั้นเด็กน้อยที่เข้ากับทุกคนได้เสมอ เพราะเขาโตมากับร้านอาหารจึงยอมให้ย่ากับปู่อุ้มแต่โดยดี “ปู่ซื้อของเล่นมาให้เยอะเลย ได้ข่าวว่าหลายชายคนเก่งเป็นเชฟน้อยใช่ไหม” “ใช่ครับ เชฟปูนปั้น” ปู่กับย่าต่างหัวเราะให้กับความฉอเลาะของหลานชาย ความจริงแล้วทั้งคู่
ตอนที่12สารภาพผิด “ขิมพรุ่งนี้คุณไปธุระกับผมหน่อยนะ เอาลูกไปด้วย” “อืม” หญิงสาวตอบแค่เพียงสั้นๆ เพื่อแสดงว่าเธอรับรู้ เพราะตอนนี้เธอเมาจนไม่อยากพูดอะไร ภูผานอนไม่หลับทั้งคืน เพราะเขาไม่รู้ว่าหญิงสาวที่นอนข้างเขารู้อะไรมา และสิ่งที่รู้มันคือเรื่องจริงไหม เธอรู้เอง หรือมีใครมาเล่าให้ฟัง แต่สิ่งที่ชายหนุ่มมั่นใจ คือภรรยาของเขาดูเอาจริงเอาจัง ถ้าเขายังไม่แสดงออกให้เธอรู้สึกเชื่อใจ มีหวังไม่นาน คำว่าครอบครัวของเขาต้องพังยับเยินแน่ เพียงแค่หลับตา ภูผาก็คิดถึงใบหน้าของพี่สะใภ้ เขาให้สัญญากับเธอไว้ ว่าจะดูแลเลี้ยงดูและให้ความอบอุ่น ปูนปั้นให้ดีที่สุด แต่ตอนนี้เขาเพิ่งคิดได้ ว่าเขาแทบจะไม่มีเวลาเล่นกับลูกเหมือนตอนลูกมาอยู่ที่นี่ใหม่ๆ บางวันเขาออกไปทำงานแต่เช้า แล้วก็กลับดึก อย่างเช่นวันนี้ เขาได้เห็นหน้าลูกก็แค่ตอนที่ลูกหลับแล้วเท่านั้น ความรู้สึกผิดถาโถมเข้ามา ภูผาเองพยายามคิดหาทางออกที่ดีที่สุด โดยเฉพาะเหตุการณ์วันนี้ เขาคิดว่าขิมต้องรู้ว่าเขาไม่ได้อยู่ที่ร้าน แต่เขาก็โทรไปถามพนักงานตลอด ทางนั้นก็ยืนยันว่าขิมไม่ได้ไปทั้งสองร้านเลย แ
ตอนที่11ไม่ไว้ใจ “ไหนว่าจะกลับดึกคะ เด็กที่ร้านเพิ่งกลับไปเอง” ป้าสุเพิ่งอาบน้ำให้ปูนปั้นเสร็จ กำลังนั่งทาแป้งแต่งตัวกัน ถามด้วยความสงสัย เพราะตอนแรกขิมบอกกับเธอว่าคงกลับดึก “วันนี้ขิมเช่ารถสะกดรอยตามคุณภูไปค่ะ ” หญิงสาวหยุดเล่าก่อนจะเดินไปอุ้มลูกชายมาหอมและกอดเพื่อเพิ่มกำลังใจ “เกิดอะไรขึ้นคะคุณขิม” ป้าสุเห็นท่าทีของคนเล่า เริ่มไม่ค่อยสบายใจ เพราะสิ่งที่เจ้านายของเธอไปเจอคงไม่ใช่เรื่องดีแน่ “ขิมเจอผู้หญิงคนหนึ่งนั่งรถไปกลับคุณภู และเส้นทางที่ไป ไม่ใช่ทางไปร้าน แต่เป็นทางไปคอนโดที่คุณภูเคยอยู่ ขิมเลยบอกให้คนขับพาขิมกลับ ขิมยังไม่พร้อมค่ะป้า ขิมกลัว” ป้าสุได้แต่พยักหน้าเข้าใจ ขิมเธอเป็นผู้หญิงที่ชีวิตโดดเดี่ยว ถ้าเธอต้องเสียคุณภูไป เธอคงไม่รู้จะอยู่อย่างไร “คุณแม่ วันนี้ปูนไปนอนด้วยนะ” “นอนได้ครับ แต่ถ้าจะหลับแล้ว ต้องกลับไปนอนห้องของตัวเอง เดี๋ยวคุณยายไม่มีใครนอนด้วย ปูนปั้นไม่ห่วงคุณยายเหรอครับ” ขิมพยายามปรับอารมณ์เมื่อลูกชายของเธอหันมาคุยด้วย เพราะไม่อยากให้ปูนปั้นสัมผัสได้ถึ
ตอนที่10เริ่มต้นครอบครัว หลังจากเสร็จสิ้นงานศพของวริน ภูวดลตัดสินใจบวชอย่างไม่มีกำหนด เรื่องงานเขามีลูกน้องที่ไว้ใจดูแลให้ ภูผาพาครอบครัวของเขาและป่าสุแม่บ้านที่เลี้ยงดูปูนปั้นกลับมาที่เชียงใหม่ด้วย “แล้วเราจะเลี้ยงลูกที่ไหนคะ” ขิมถามเพราะเธอกับเขาต่างอยู่กันคนละที่ เลยคิดไม่ออกว่าที่ไหนจะเหมาะกว่ากัน “เลี้ยงที่บ้านคุณ ผมตัดสินใจแล้ว จะซื้อบ้านที่ประกาศขายที่อยู่ติดกับบ้านของคุณ และจะให้ช่างมาออกแบบทุบให้ทั้งสองหลังให้เชื่อมติดกัน” ขิมเห็นด้วยกับความคิดของภูผาเพราะบ้านของเธอหรือคอนโดของเขาก็คงจะเล็กไป ถ้าต้องอยู่กันถึงสี่คน ร้านอาหารถูกปิดไปก่อนที่ทั้งคู่จะกลับมาแค่เพียงสามวัน เพราะตลอดเวลาที่ทั้งสองคนอยู่กรุงเทพ ร้านยังคงเปิดอยู่ ภูผาจึงอยากให้ทุกคนได้พักบ้าง****หนึ่งปีผ่านไป**** “ปูนปั้นครับ ห้ามเดินลงบันไดคนเดียวเด็ดขาด ถ้าคุณแม่เห็นอีกจะไม่เตือนแล้วนะ ต้องมีการลงโทษกันบ้างแล้ว ” ขิมดุลูกชายที่เริ่มซนมากขึ้น เพราะตอนนี้อายุจะสองขวบเต็มแล้ว ป้าสุเองก็อายุมากตามหลานไม่ค่อยทัน “คุณหนูม
ตอนที่9ชีวิตใหม่และการจากไปตลอดกาล คืนแรกในบ้านของภูวดล ในบทบาทของพ่อและแม่ของหนูน้อยปูนปั้น ทำให้ขิมยอมใจอ่อน กลับมาทำหน้าที่ภรรยาของภูผาอีกครั้ง เพราะเธอคิดว่าวรินเองยังกลัวการที่ตาหนูต้องไปอยู่กับแม่เลี้ยง ดังนั้นในเมื่อเธอเป็นแม่แท้ๆ เธอไม่อยากให้ลูกชายของเธอ ต้องได้เจอทั้งพ่อเลี้ยงและแม่เลี้ยงเลย ขิมจึงให้โอกาสภูผาอีกสักครั้ง “เราจะช่วยกันเลี้ยงลูกของเราให้ดีที่สุดนะ” ชายหนุ่มกอดแม่ของลูก ด้วยความรู้สึกดีใจและมีความสุขที่จะได้สัมผัสกับคำว่าครอบครัว ตั้งแต่เกิดมาพี่น้องฝาแฝด ไม่เคยได้อยู่พร้อมหน้ากันทั้งแม่และลูกเลยสักครั้ง เพราะทั้งฝั่งตาและปู่ไม่ยินยอม และพ่อของเขาก็มีคนรักอยู่แล้ว จึงตกลงกันที่รับผิดชอบลูกกันไปคนละคน ภูผาตั้งใจว่า เมื่อครั้งนี้เขาเปลี่ยนบทจากลูกมาเป็นพ่อ เขาจะดูแลครอบครัวของเขาให้สมบูรณ์และดีที่สุด วรินเรียกภูผาและขิมเข้าไปหาเธอทุกวันในช่วงสาย เพราะหลังจากเวลานั้นเธอจะต้องกินยานอนหลับเพื่อไม่ให้ทรมานกับการปวดท้อง และจะตื่นอีกทีช่วงหัวค่ำเพื่อมาเล่นกับปูปั้นลูกชายของเธอ ทั้งสองคนได้เรียนรู้อุป
ตอนที่8พร้อมหน้า เมื่อทั้งคู่เดินทางมาถึงบ้านหลังใหญ่ใจกลางกรุงเทพของภูวดลกับวริน ต่างก็มองหน้ากันและจับมือเพื่อหวังให้มันช่วยส่งกำลังที่เข้มแข็งผ่านมือที่กุมกันไว้ “คุณ...” สาวใช้ของบ้านถึงรู้อยู่แล้วว่าน้องชายฝาแฝดของเจ้าของบ้านกำลังจะมา แต่เมื่อเห็นตัวจริงที่เหมือนกันทุกอย่าง ก็ทำเอาเด็กสาวถึงขั้นตกใจ “ผมภูผาน้องชายฝาแฝดของภูวดลและนี่ภรรยาของผม” ขิมถึงกับตกใจกับคำแนะนำตัวเธอ ที่ชายหนุ่มพูดออกไป “เชิญทางนี้ค่ะ” ทั้งสองคนเดินตามสาวใช้ ขึ้นไปยังชั้นสองของบ้าน ที่บันไดตกแต่งด้วยภาพของปูนปั้นเต็มไปหมด “นี่คุณใครเขาให้คุณแนะนำแบบนั้น ฉันไปเป็นภรรยาของคุณตั้งแต่เมื่อไหร่” ขิมเดินเกาะแขนภูผา ปากก็บ่นเขาไปตลอดทาง บางจังหวะหมั่นไส้ก็แอบหยิกบ้าง “ต้องให้ผมอธิบายไหม ว่าเมื่อไหร่ ท่าไหน คุณอย่ามัวทำเป็นเล่น เรากำลังจะไปจัดการเรื่องใหญ่ในชีวิตของลูกเรานะ” “ขิมขอโทษ ” หญิงสาวลืมคิดไปว่านี่ไม่ใช่เวลาที่เธอจะมาไม่พอใจเขา เพราะข้างหน้ามีเรื่องราวที่ยิ่งใหญ่กว่า ภาพของปูนปั