ก๊อกๆๆ แกร่กก
มือเล็กๆ เปิดประตู เข้ามาโดยไม่รอให้อีกฝ่ายได้เอ่ยคำอนุญาตใดๆ ซึ่งเพียงแค่เธอเดินผ่านประตูเข้ามาคนที่นอนอยู่บนเตียงก็รีบดีดตัวลุกขึ้นในทันที
“คุณไปไหนมาผมส่งข้อความหาคุณก็ไม่ตอบ”
เขาเป็นฝ่ายเอ่ยถามก่อนด้วยน้ำเสียที่เต็มไปด้วยความห่วงใย
“ฉันโตแล้วนะคะจะไปไหนจะต้องรายงานคุณด้วยหรือยังไงไม่ดีหรอกเหรอที่ฉันให้เวลาคุณได้เป็นส่วนตัวกับคนรักของคุณบ้าง”
“โถ่คุณ ผมขอโทษอย่าโกรธผมเลยนะถ้าแม่รู้ว่าผมทำให้คุณโกรธแล้วหายไปทั้งคืนแบบนี้คงโดนแม่เอาตายแน่เลย”
“งั้นก็แปลว่าคุณไม่ได้ห่วงฉันจริงๆ น่ะสิคะแค่ห่วงตัวเองกลัวจะโดนคุณแม่บ่นเอาต่างหาก”
เธอพูดออกมาโดยที่ไม่ได้หันมามองเขาด้วยซ้ำสองมือเล็กๆ ของเธอจับโทรศัพท์มือถือไว้ในแล้วใถหน้าจอเช็คความเคลื่อนไหวต่างๆ ในหนึ่งวันที่ผ่านมาซึ่งสำหรับเธอนั้นเป็นหนึ่งวันที่ผ่านมาเหตุการณ์เลวร้ายมามากมายเหลือเกิน เกิดแต่กับอรฤดีจริงๆ สินะ!
มีแต่เรื่องแต่ราวไม่เว้นวันเห็นทีคงต้อง หาเวลา เข้าวัดเข้าวา ทำบุญสะเดาะเคราะห์บ้างสักหน่อย
“ผมไม่ได้หมายความแบบนั้นนะคุณ ผมเป็นห่วงคุณจริงๆ”
“ฉันว่าเราเลิกพูดเรื่องนี้กันดีกว่าค่ะคนที่คุณควรจะเป็นห่วงคือคนรักของคุณไม่ใช่ฉันแล้วฉันก็ไม่ได้ต้องการความเป็นห่วงเป็นใยอะไรจากคุณ ที่ฉันยอมทำตามคำพูดของคุณป้าเพราะฉันไม่อยากให้มีปัญหาฉันไม่อยากให้แม่ฉันต้องคิดมากคุณเองก็ควรดูแลจัดการเรื่องส่วนตัวของคุณให้ดี แต่ก็ขอบคุณที่เป็นห่วงฉันนะคะ”
อรฤดีร่ายยาวในสิ่งที่อยู่ในหัวสมองของเธอ ออกมาให้ชายหนุ่มได้ฟังทุกถ้อยคำซึ่งเมื่อได้ยินอย่างงั้นก็ค่อนข้างจะอึ้งไปกับคำของเธอไม่น้อย
แต่ก็จริงอย่างที่เธอว่าคนที่เขาควรจะคิดถึงความรู้สึกมากกว่านี้ คนที่เขาควรจะเป็นห่วงมากกว่านี้คือลูกปัดแต่ทำไมเค้าถึงรู้สึกกระวนกระวายใจเมื่อเธอทำตัวเย็นชา ต่างจากวันแรกๆ ที่เขาและเธอได้พบกันอย่างนี้นะ
“อ้อแล้วอีกเรื่อง ฉันไปคุยกับหมอมาแล้ววันพรุ่งนี้คุณก็กลับบ้านได้แล้วเดี๋ยวฉันจะบอกคุณป้าให้ก็แล้วกันนะคะ”
เธอพูดจบแล้วก็หยิบหนังสือท่องเที่ยวที่เคยอ่านค้างเอาไว้ขึ้นมาอ่านต่อปล่อยให้บรรยากาศภายในห้องอึดอัดอยู่อย่างนั้นโดยไม่รู้ร้อนรู้หนาวใดๆ แตกแตกต่างจากอีกคนที่รู้สึกสับสนในตัวเองอย่างบอกไม่ถูกนี่มันเกิดอะไรขึ้นกับเขากันแน่นะ คำถามที่ดังก้องในใจวนเวียนอยู่ไม่จางหายแต่กลับไม่มีคำตอบที่กระจ่างแจ้งให้ตัวเองได้เลยสักครั้ง
เช้าวันรุ่งขึ้น
“แม่ต้องขอบใจหนูอรมากจริงๆ เลยนะลูกที่ดูแลตาจอมแทนแม่จนหายดีน่ารักจริงๆ เลย”
ทัศนีย์ลูบหัวของว่าที่ลูกสะใภ้ด้วยความเอ็นดูเมื่อกำลังจะแยกย้ายกันกลับบ้าน
“ไงกลับมาหล่อเหมือนเดิมแล้วสินะไอ้ว่าที่ลูกเขย”
คเชนทร์ ว่าที่พ่อตาเอ่ยแซวว่าที่ลูกเขยด้วยรอยยิ้มเมื่อสังเกตุเห็นว่าแววตาของเด็กหนุ่มตรงหน้าแปลเปลี่ยนไปอย่างเห็นได้ชัดเมื่อมองไปที่ลูกสาวของตนเอง เห็นทีว่าการที่ทั้งสองคนได้ใช้เวลา ร่วมกันในช่วงหลายวันมานี้จะไม่เสียเปล่าเสียแล้ว
“ครับคุณอา เล่นเอาผมใจหายใจคว่ำหมดเลยครับ”
“อาเอออะไรอีกไม่กี่วันเราก็จะดองกันอยู่แล้วถ้าไม่เรียกพ่อไม่ยกลูกสาวให้นะ”
“ใจเย็นๆ ก่อนครับคุณพ่อ ผมยังไม่ทันได้เป็นเจ้าบ่าวเลยครับ”
“เอาเอาถือว่าฟาดเคราะห์ ต่อไปเรื่องร้ายๆ ก็หมดลงแล้วต่อไปครอบครัวของพวกเราก็จะได้มีความสุข”
แล้วทั้งสองครอบครัวก็แยกย้ายกันกลับบ้านด้วยรอยยิ้มด้วยความยินดีแต่ไม่รู้ทำไมลึกๆ ภายในใจของทั้งอรฤดีและจอมทัพกลับมีความรู้สึกแปลกๆ เข้ามาทดแทน
“เดือนหน้า ลูกก็จะมีครอบครัวเป็นของตัวเอง.. จะได้เป็นหัวหน้าครอบครัวไม่ใช่ว่าทุกคนจะเป็นกันได้นะลูกมันต้องอาศัยความเข้มแข็งความซื่อสัตย์และความอดทนครอบครัวของลูกจะเป็นยังไงอยู่ที่ลูกเป็นคนตัดสินใจแม่หวังว่าลูกจะสร้างครอบครัวที่มีความสุขขึ้นมาได้นะ”
ทัศนีย์หันมองหน้าลูกชายของตัวเองแล้วพูดออกมาเบาๆ ด้วยน้ำเสียงที่อีกฝ่ายรับรู้ได้เป็นอย่างดีว่าคนเป็นแม่ทั้งรักและทั้งห่วงตัวเองมากขนาดไหน
ทัศนีย์ได้แต่คิดในใจว่านี่แหละจังหวะ เหมาะจะตีเหล็กต้องตีตอนร้อนๆ ดูท่าแล้วลูกลูกชายของเขาคงจะมีความรู้สึกดีๆ ให้กับว่าที่ภรรยาไม่น้อยเลยทีเดียวในช่วงที่ได้อยู่ด้วยกัน
“ขอบคุณครับแม่ ว่าแต่รู้หรือยังครับว่าใครเป็นคนทำร้ายอร”
“แม่อยากพูดกับลูกเรื่องนี้อยู่พอดี”
ทัศนีย์เปลี่ยนน้ำเสียงเป็นจริงจังขึ้นเมื่อลูกชายของเธอเปิดประเด็นเรื่องที่เธอค่อนข้างรู้สึกหนักใจในการที่จะบอกให้เค้ารู้
“แสดงว่ารู้แล้วเหรอครับ มันเป็นใครครับคุณแม่”
ทัศนีย์มีสีหน้ากลุ้มใจที่จะพูดมาอย่างเห็นได้ชัดจนลูกชายของเธอขมวดคิ้ว มุ่น ด้วยความสงสัยที่คนเป็นแม่ กลับมีท่าทีแบบนี้ทั้งที่เขาและว่าที่ลูกสะใภ้ถูกทำร้าย
“มีอะไรที่ผมไม่รู้หรือเปล่าครับคุณพ่อคุณแม่ทำไมถึงทำท่าทางแบบนี้กันล่ะ”
จอมทัพทนไม่ไหวที่เห็นทั้งสองคนเอาแต่เงียบได้แต่ถามย้ำอยู่อย่างนั้นแต่ไม่ยอมพูดความจริงมาสักที
“จอม”
“พูดมาเถอะครับ แม่”
“ลูกปัด”
“…”
ทัศนีย์ พูดชื่อคุ้นหูของจอมทัพออกมานั่นยิ่งทำให้เขางงเข้าไปใหญ่เกี่ยวอะไรกับลูกปัดอยู่ๆ แม่ของเขาจะเรียกชื่อเธอขึ้นมาทำไม จนเขาได้แต่โครงหน้ามองคนเป็นแม่ด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยคำถาม
“ลูกปัด”
เมื่อเริ่มเข้าใจบริบทจอมทัพก็ชะงักนิ่งใช้ความคิดของตัวเองทบทวนทั้งที่ไม่อยากจะเชื่อหูของตัวเองสักเท่าไหร่
“อะไรนะครับแม่ แม่อย่าบอกนะว่า”
“แกเข้าใจถูกแล้วแหละคนที่ทำร้ายหนูอรกับแกก็คือแฟนแก”
สุเมธตอบคำถามของลูกชายจนเค้าอึ้งไปอีกหนึ่งตลบ ไม่ว่าจะคิดอย่างไรก็ไม่น่าจะใช่ฝีมือของลูกปัดแน่ๆ
“ไม่น่าจะใช่นะครับเพราะแม่ถึงลูกปัดจะใจร้อนแล้วก็วู่วามแต่ ผมว่าไม่กล้าทำอะไรแบบนี้หรอกครับ”
ชายหนุ่มพูดเข้าข้างคนรักของตัวเอง อย่างเต็มที่จะให้เค้าเชื่อได้อย่างไรในเมื่อตลอดเวลาที่เธออยู่กับเขาเธอไม่เคยทำตัวหรือมีความคิดที่เข้าข่ายกับการกระทำแบบนี้ได้เลย
“นี่ตาจอมถึงแม่จะไม่ค่อยชอบแฟนแกคนนี้สักเท่าไหร่แต่แม่ก็เป็นผู้ใหญ่พอที่จะไม่พูดใส่ร้ายใครแกคิดว่าพ่อกับแม่แต่งเรื่องขึ้นมาโกหกแก่จริงๆ เหรอคิดดีๆ สิ”
จอมทัพหันไปมองหน้าพ่อของตนเองที่พยักหน้า เห็นด้วยกับคำพูดของภรรยานั่นยิ่งทำให้จอมทัพฉุกคิดย้อนไปถึงวันที่ลูกปัดเจอกับอรฤดีที่โรงพยาบาล
“เด็กคนนั้นไม่พอใจที่ลูกจะต้องแต่งงานกับหนูอร ก็เลยส่งคนมาจับตัวหนูอรไปแต่บังเอิญว่าแกเข้าไปขัดจังหวะพอดีคนร้ายมันถึงหันมาเล่นงานแกด้วยอย่างนี้ไงล่ะ”
“ที่แม่แกพูดเป็นความจริง พ่อว่าแกต้องกลับไปทบทวนเรื่องของแกกับเด็กผู้หญิงคนนั้นให้ดีๆ แล้วก็ตัดสินใจให้เด็ดขาด ถึงแกจะให้อภัยไม่เอาเรื่องไม่เอาความแต่ทางบ้านหนูอร ยังไงเค้าก็คงอยู่เฉยไม่ได้หรอกนะพ่อเตือนเอาไว้ก่อน”
ก๊อกๆๆ แกร่กก มือเล็กๆ เปิดประตู เข้ามาโดยไม่รอให้อีกฝ่ายได้เอ่ยคำอนุญาตใดๆ ซึ่งเพียงแค่เธอเดินผ่านประตูเข้ามาคนที่นอนอยู่บนเตียงก็รีบดีดตัวลุกขึ้นในทันที“คุณไปไหนมาผมส่งข้อความหาคุณก็ไม่ตอบ”เขาเป็นฝ่ายเอ่ยถามก่อนด้วยน้ำเสียที่เต็มไปด้วยความห่วงใย“ฉันโตแล้วนะคะจะไปไหนจะต้องรายงานคุณด้วยหรือยังไงไม่ดีหรอกเหรอที่ฉันให้เวลาคุณได้เป็นส่วนตัวกับคนรักของคุณบ้าง”“โถ่คุณ ผมขอโทษอย่าโกรธผมเลยนะถ้าแม่รู้ว่าผมทำให้คุณโกรธแล้วหายไปทั้งคืนแบบนี้คงโดนแม่เอาตายแน่เลย”“งั้นก็แปลว่าคุณไม่ได้ห่วงฉันจริงๆ น่ะสิคะแค่ห่วงตัวเองกลัวจะโดนคุณแม่บ่นเอาต่างหาก”เธอพูดออกมาโดยที่ไม่ได้หันมามองเขาด้วยซ้ำสองมือเล็กๆ ของเธอจับโทรศัพท์มือถือไว้ในแล้วใถหน้าจอเช็คความเคลื่อนไหวต่างๆ ในหนึ่งวันที่ผ่านมาซึ่งสำหรับเธอนั้นเป็นหนึ่งวันที่ผ่านมาเหตุการณ์เลวร้ายมามากมายเหลือเกิน เกิดแต่กับอรฤดีจริงๆ สินะ!มีแต่เรื่องแต่ราวไม่เว้นวันเห็นทีคงต้อง หาเวลา เข้าวัดเข้าวา ทำบุญสะเดาะเคราะห์บ้างสักหน่อย“ผมไม่ได้หมายความแบบนั้นนะคุณ ผมเป็นห่วงคุณจริงๆ”“ฉันว่าเราเลิกพูดเรื่องนี้กันดีกว่าค่ะคนที่คุณควรจะเป็นห่วงคือคนรักของคุณไ
“คุณอรฟื้นแล้ว.. ดื่มน้ำก่อนสักหน่อยนะครับ”เมื่อรฤดีลืมตาขึ้นมาก็เห็นว่าเปรมนั่งมองเธออยู่ด้วยรอยยิ้มเมื่อเขาเห็นว่าเธอได้สติลืมตาขึ้นมาแล้วเขารีบลุกขึ้นไปรินน้ำใส่แก้วมาให้เธอดื่มด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยความห่วงใยและท่าทางที่เต็มไปด้วยความอ่อนโยนยามที่ได้จ้องมองเธอ“อึก อึก.. ขอบคุณมากนะคะแล้วแผลของคุณ..”เมื่อดื่มน้ำเสร็จเธอก็รีบกวาดสายตาไปมองที่แขนของชายหนุ่มซึ่งตอนนี้เค้าทำแผลเรียบร้อยแล้ว“ไม่ต้องห่วงนะครับทำแผนเรียบร้อยแล้ว ถึงจะลึกไปหน่อยแต่อีกไม่กี่วันก็คงหายแล้วครับ”“แผลลึกมากใช่ไหมคะ อรว่าแล้วเลือดไหลเต็มเลยเพราะอรแท้ๆ เลยขอโทษนะคะคุณเปรม”“หึหึ ผมหยอกเล่นครับ แผลไม่ได้ลึกอะไรมากขยันกินยา ขยันล้างแผลไม่กี่วันก็หายแล้วครับ”เมื่อได้ยินอย่างนั้นเธอก็รู้สึกโล่งใจมันรู้สึกไม่ดีเลยจริงๆ ที่มีคนต้องมาเจ็บตัวเพราะเธออย่างนี้บ่อยๆ“คุณกำลังจะเดินไปไหนครับมืดๆ แบบนี้อันตรายถ้าคุณอรอยากได้อะไรบอกผมได้นะครับ”ชายหนุ่มเปลี่ยนเรื่องคุยเมื่อเห็นว่าใบหน้าของเธอหมองลงไปอย่างเห็นได้ชัดคงจะนึกโทษตัวเองอยู่ในใจแน่นอน“อรแค่จะเดินไปตลาดข้างหน้าเองค่ะไม่ได้อยากได้อะไรกะว่าจะไปเดินเล่นแต่เกิดเร
พี่ชายที่รักน้องสาวมากกว่าสิ่งใดเมื่อเห็นอย่างนั้นก็รู้สึกเจ็บปวดไปไม่น้อยกว่ากันถึงน้องเขาจะเคยทำเรื่องไม่ดีกับจอมทัพในอดีตแต่เมื่อได้โอกาสแก้ตัวเธอก็พยายามอย่างมากจนผ่านพ้นมาได้.. แต่เหมือนเวรกรรมจะไม่ได้ปล่อยผ่านไปเหมือนใจคน .. เลยสักนิด นี่สินะที่เขาว่ากฎแห่งกรรมยุติธรรมเสมอ ..เขาส่ายหน้าไปมาเบาๆ อย่างคิดไม่ตกเขาเข้าใจความรู้สึกของน้องสาวตัวเองดีและก็เข้าใจความรู้สึกของอรฤดีแน่นอนว่าเข้าใจความรู้สึกที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออกของจอมทัพด้วยเช่นกัน..แต่จะให้ทำอะไรโจ่งแจ้งได้ล่ะ .. ตืดดด ตืดดดด “อืมว่าไง..”“โอกาศมาถึงแล้วครับนาย” ขณะที่กำลังคิดไม่ตกอยู่สายสำคัญจากลูกน้องคนสนิทก็ดังขึ้นเมื่อได้ยินคำพูดที่น่าพอใจริมฝีปากหนาก็เหยียดยิ้มออกมาจางๆ ก่อนจะรีบขับรถออกจากบ้านไปทางฝั่งขออรฤดีเองที่ปุบปับออกมานั้นก็ไม่รู้จะไปที่ไหนถ้ากลับบ้านแม่ของเธอจะต้องรู้เรื่องแน่ๆ แล้วยิ่งช่วงหลังๆ มานี้ทัศนีย์ขอให้เธอเฝ้าจอมทัพแทนในช่วงกลางคืนด้วยโดยอ้างว่าตนเองติดงานสำคัญในช่วงนี้ ยิ่งใกล้ค่ำแล้วด้วยไม่ได้มีแผนว่าจะไปไหนเลย แต่ด้วยความโมโหจึงปากไวเท้าไวไปหน่อยพูดปุ๊บก็เดินออกมาโดยไม่มีจุดหมายปลายทางเลย
“ผมต้องหล่อให้ทันวันแต่งงานสิ” ไม่รู้ทำไม คำพูดนี้พาให้สองสายตามาบรรจบสอดประสานกันโดยอัตโนมัติแล้วหัวใจดวงน้อยๆ ในอกของคนทั้งสองอยู่ๆ ก็เต้นแรงผิดจังหวะขึ้นมาเสียอย่างนั้น…“อะ เอ่อ.. เสร็จแล้ว สะ เสร็จแล้ว”อรฤดีใบหน้าแดงก่ำพูดออกมาตะกุกตะกักก่อนจะหลบสายตาของชายหนุ่มตรงหน้าแล้วขยับตัวลงจากเตียงคนป่วยไปซึ่งก็ไม่ต่างกันจอมทัพเองก็หันหน้ามองซ้ายมองขวาไม่รู้ว่าจะต้องพูดอะไรหรือทำตัวยังไงต่อได้แต่ล้มตัวลงนอนแล้วเปิดทีวีดู เพื่อไม่ให้บรรยากาศในห้องตอนนี้มันอึดอัดมากจนเกินไปก๊อก ก๊อก ก๊อก แกร่กก..เสียงประตูที่ดังขึ้นไม่ได้ทำให้เขาและเธอให้ความสนใจมากนักเพราะถ้าไม่ใช่คุณหมอหรือพยาบาลก็ต้องเป็นพ่อหรือแม่ของฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งอย่างแน่นอน..“จอมขาาาาา” “ปัด..”ขวับ! ..ทั้งจอมทัพและอรฤดีเหมือนจะตกใจชะงักนิ่งไปชั่วครู่พร้อมๆ กันเพราะคิดไม่ถึงว่าคนที่เปิดประตูเข้ามาจะเป็นผู้หญิงคนนี้…“ปัดคิดถึงคุณจังเลยค่ะ ใจร้ายที่สุดเลยไม่ยอมบอกต้องให้สืบเองถึงได้รู้ว่าจองพักรักษาตัวอยู่ที่นี่”ลูกปัดเดินตรงไปที่ชายหนุ่มแล้วโอบกอดเขาเต็มสองแขนก่อนจะหอมแก้มทั้งซ้ายขวาของเขาราวกับในห้องนี้มีกันอยู่เพียงสองคนอร
ห้องอาหารในโรงแรมหรูแห่งหนึ่ง“เอ็งว่าลูกของพวกเราจะรักกันหรือยังวะ”สุเมธยกแก้วไวน์ ในมือขึ้นมาดื่มก่อนจะถามเพื่อนรักอย่างคเชนทร์ด้วย รอยยิ้ม“ไม่รักกันวันนี้วันหน้าก็ต้องรักกันอยู่ดีแต่ลูกข้าเนี่ยสิยังใจแข็งไม่ยอมอ่อนสักทีไม่รู้จะได้อุ้มหลานเมื่อไหร่”คเชนทร์ส่ายหัวเมื่อพูดถึงลูกสาวจอมดื้อของตัวเองที่เขารู้นิสัยของเธอดี“ตาจอมก็ใช่ย่อยที่ไหนเรื่องปากแข็งน่ะที่หนึ่งไม่รู้ว่าหนูอรจะรู้ตัวหรือเปล่าว่าเจ้าคนทึ่มตรงหน้าปากไม่เคยตรงกับใจเลยสักครั้ง”ทัศนีย์เอ่ยพูดขึ้นมาบ้างถึงลูกชายของตัวเองที่ดูเหมือนก็จะยังไม่รู้หัวใจตัวเองเหมือนกัน“เอาน่าตอนนี้ทั้งสองคนก็ได้ใช้เวลาอยู่ด้วยกันเต็มที่คงจะต้องมีอะไรดีๆ เกิดขึ้นบ้างนั่นแหละเรามาฉลองกันดีกว่า”สิริวดีพูดพร้อมกับยกแก้วขึ้นชนกับทั้งสามคนเพื่อเฉลิมฉลองให้กับแผนการของตนเองอย่างมีความสุข“นั่นสินั่นสิ แต่บอกไว้ก่อนเลยนะถ้าเป็นหลานสาวต้องมาให้มาอยู่กับข้านะโว้ยไอ้เมธ” “ได้เลยๆ ถ้าเป็นหลานชายข้าจะยกสมบัติให้หมดไม่ให้พ่อมันสักชิ้นโทษฐานที่ทึ่มดีนัก”“ฮ่าๆๆ”แล้วทั้งสองครอบครัวก็หัวเราะชอบใจกับแผนการของตัวเองที่ดูจะค่อยๆ เป็นไปได้อย่างราบรื่นดี “
“มาคนเดียวเหรอครับ ..” เสียงที่ไม่ค่อยจะคุ้นหูนักแต่ก็พอจะจำได้ว่าเป็นเสียงใครดังขึ้นดึงเธอออกจากภวังค์ความคิด“เอ่อ ค่ะ” “ผมขอนั่งด้วยได้ไหม” “หืมม ค่ะ” คนที่ยังเบลอๆ ตอบอึกอักออกไปไม่ทันได้ใช้ความคิดคนตัวสูงที่ใบหน้าเปื้อนรอยยิ้มอบอุ่นก็หย่อนตัวนั่งลงตรงข้ามเธอ เรียบร้อย“คุณอรมีธุระแถวนี้เหรอครับ” ที่ผ่านมาก็พอจะรู้อยู่หรอกว่าเธอไม่ค่อยอยากจะสานสัมพันธ์กับเขาสักเท่าไหร่แต่แล้วยังไงล่ะในเมื่อเธอยังไม่มีเจ้าของเขาก็มีสิทธิ์ไม่ใช่หรือไง“ใช่ค่ะ ทำธุระเสร็จแล้วอรว่ากำลังจะกลับอยู่พอดีเลยค่ะ”ถึงเพิ่งจะลงมาเพราะต้องการให้อีกคนมีเวลาส่วนตัวแต่เมื่อพูดออกไปแล้วแบบนี้ก็คงต้องไปเดินเตร่อยู่ในโรงพยาบาลก่อนก็แล้วกัน“อย่าตัดสัมพันธ์ผมขนาดนั้นเลยครับคุณอรผมไม่ได้มีเจตนาร้ายอะไรเลยถ้าสุดท้ายแล้วเรื่องของเราเป็นไปไม่ได้จริงๆ ผมขอเป็นเพื่อนกับคุณอรได้ไหม”เปรมรีบพูดความในใจออกมาเมื่อเห็นท่าทีว่าเธอกำลังจะจากเขาไปอีกครั้งความรู้สึกที่เขามีให้เธอตั้งแต่วินาทีแรกมันออกมาจากความรู้สึกของเขาจริงๆ ไม่ได้มีเล่ห์เหลี่ยมอะไรกับเธอเลยแม้แต่น้อยถึงแม้จะรู้ว่าเธอกำลังจะแต่งงานแต่ความรู้สึกที่มีต่อเธอนั