LOGIN“อะไรคือมาร ท่านก็ดูรูปงามดวงตาสีฟ้าอมเขียวก็มีเฉพาะเวลาโกรธ ก็ไม่น่าจะเห็นว่าเป็นมาร อะไรคือมาร”
“ข้ามีทุกอย่างที่ดูเป็นเทพใช่รึไม่ แต่มีอยู่สิ่งหนึ่งสาวงาม ที่เจ้ายังไม่รู้” ซื่อเว่ยต้าตี้ทำหน้าดุแววตาเริ่มเปลี่ยนเป็นแข็งกระด้างน่าหวาดกลัว เขาค่อย ๆ เดินเข้าหาเธอจนประชิด ฟางเฟยถอยหลังจนไปติดราวระเบียง ที่กั้นระหว่างทางเดินกับสระบัว ซื่อเว่ยต้าตี้รีบโอบเอวดึงร่างบางมาชิดตัว “กลัวข้ารึไม่” ฟางเฟยกรีดร้องรีีบผลักเขาออก แต่ซื่อเว่ยต้าตี้กลับหัวเราะชอบใจ
เทพรับใช้ที่เดินผ่าน เผลอตัวเงยหน้าขึ้นมองชายหนุ่มหญิงสาวที่หยอกล้อกันถึงเนื้อถึงตัว
“มองอันใด หรือพวกเจ้าอยากต้องโทษ”
“มิบังอาจเจ้าค่ะ เพียงแต่มีผู้คนมากมายล่ำลือ ว่าหญิงมนุษย์ของท่านซื่อเว่ยต้าตี้งดงามนัก พวกข้าแค่อยากเห็นนาง แต่ไม่คิดว่าจะเห็นเอ่อ…อย่างอื่น” ซื่อเว่ยต้าตี้ดึงมือฟางเฟยมายืนต่อหน้าพวกนางกำนันสาวสวรรค์
“เงยหน้าขึ้น เงยหน้าดูนางให้เต็มตาแล้วต่อไปจะได้ไม่ต้องมาแอบมองกันอีก” เทพรับใช่ค่อย ๆ เงยหน้าดูฟางเฟยซื่อเว่ยต้าตี้ฉวยโอกาส หอมแก้มหญิงสาวต่อหน้าธารกำนัน ทุกคนได้แน่อ้าปากค้าง รวมทั้งฟางเฟยที่ยืนตัวชาทำอะไรไม่ถูก ถึงเธอจะชอบหยอกล้อกับจางจิ้ง แต่ก็ไม่เคยเลยที่พี่ชายจะฉวยโอกาสล้วงเกินแบบนี้
“ซื่อเว่ยต้าตี้ เจ้าฉวยโอกาส” ซื่อเว่ยต้าตี้หัวเราะชอบใจรีบวิ่งหนี หวังให้ฟางเฟยวิ่งตาม หญิงสาววิ่งตามได้นิดเดียวก็ทรุดตัวลงคุกเข่า รู้สึกเจ็บแสบแน่นในอก จนสำลักเอาเลือดออกมาอีก แม้ไม่มาก แต่ก็ทำให้ซื่อเว่ยต้าตี้ถึงกับตกใจรีบเข้ามาอุ้มนางไปที่ห้องนอน
“ขอโทษฟางเฟย ข้านี่มันแย่จริง ๆ ” ซื่อเว่ยต้าตี้มีสีหน้าตกใจ เทพเจ้าหนุ่มลืมตัว แค่คิดหยอกล้อนาง ไม่คิดว่าจะทำให้ทรุดลงอีก
“ซื่อเว่ยต้าตี้ ท่านอย่าให้นางออกแรง เข้าใจไหมว่านางช้ำใน พลังของกุ้ยอ้ายป๋อเฉิง ทำให้ภายในบอบช้ำ ท่านนี้มัน...จริง ๆ เลย”
“ท่านผู้เฒ่าข้าไม่ได้ตั้งใจ ได้ ๆ ต่อไปข้าจะระวังให้มากกว่านี้”
ท่านเทพไท่ไป๋จิงซิง เดินออกไปอย่างหัวเสีย อยากจะดุเขามากกว่านี้ แต่ก็เกรงใจตำแหน่งของเขา ฟางเฟยมองหน้าซื่อเว่ยต้าตี้ที่ดูสำนึกผิดอย่างมาก เทพเจ้าหนุ่มเข้ามากุมมือเธอไว้
“ขอโทษนะฟางเฟย ข้าไม่ได้ตั้งใจ ข้าแค่อยากทำให้ทุกคนรู้ว่าเจ้าสำคัญกับข้ามาก ไม่อยากให้ใครดูถูกเจ้าเหมือนที่ข้าเคยโดน”
“ไม่เป็นไร ท่านเป็นคนน่ารัก โกรธไม่ลงหรอก ท่านจงใจให้คนล่ำลือไปถึงหูเทพธิดานางนั้นใช่ไหม”
“เดิมทีข้าก็ไม่ได้เป็นแบบนี้ ข้าเย็นชา แข็งกระด้าง และไม่ชอบยุ่งเกี่ยวกับผู้ใด แต่พอมีเจ้า ข้าอยากให้ทุกคนได้เห็น ว่าดอกไม้สวยงามที่ข้าได้รับ เบ่งบานสดชื่นในหัวใจข้าเพียงใด ซูหนี่ข้ายอมรับว่าเคยพอใจนาง แต่นั้นเป็นเพียงความหลงใหล ข้าไม่เข้าใจนาง นางต้องการทำอะไรบางอย่าง แต่แผนของนางผิดพลาด ความผิดจึงตกที่ข้า ข้าถูกกล่าวหาว่าเป็นผู้บงการ คิดลอบทำร้ายไฉเหลี่ยงหวง ข้าถูกโบยแล้วไปโยนทิ้งอยู่ห้วงเวหา ข้าโกรธทุกคนและโชคชะตา จนปิดผนึกแดนดาราห้วงเวหานับแต่นั้น ผ่านไปเป็น 1,000 ปี เสด็จพ่อเหมือนประทานเจ้ามา เพื่อเป็นของขวัญปลอบใจข้า เจ้าคือสตรีที่มีสีสันในดินแดนที่มืดมิดและเงียบเหงา ข้าไปเฝ้าดูเจ้าตั้งแต่แรกเกิด คำกล่าวรายงานตัวในวันแรกที่เจ้าเกิด และทุก ๆ ปีในวันเกิดของเจ้า ข้าจะอยู่ต่อหน้าเจ้า"
ฟางเฟยบีบมือซื่อเว่ยต้าตี้เบา ๆ ชะตาถูกลิขิตจริง ๆ ซื่อเว่ยต้าตี้ เกาจางจิ้ง และตัวเธอเกาฟางเฟย มีบางอย่างเชื่อมโยงกันภายใต้ข้อบังคับของปัญจธาตุ
“ท่านซื่อเว่ยต้าตี้ ขอบคุณนะ ท่านคือพรวันเกิดที่มีความสุขของข้า” ซื่อเว่ยต้าตี้ยิ้มกว้างยกมือของหญิงสาวขึ้นมาแนบใบหน้าของเขา
เทพธิดานางหนึ่งกระโดดเข้าจับแขนเขาไว้ และส่งยิ้มหวานให้ “อยู่นิ่ง ๆ นะเจ้าคะ ให้ข้าช่วยท่านเถอะ” เทพธิดานางอื่น เห็นแบบนั้นก็รีบเข้ามารุมเกาจางจิ้ง พวกนางหัวเราะกันคึกคักชอบใจ แต่จางจิ้งกลับร้องขอความช่วยเหลือ จนเขาทนไม่ไหว ปล่อยพลังความหงุดหงิดออกมา จนทั่วตัวมีรัศมี บรรดาเทพธิดาสวรรค์ตำหนักซือเว่ย เห็นแบบนั้นแต่ล่ะนางก็สร้างพลังของตนเองขึ้นมาเพื่อข่มจางจิ้ง เกาจางจิ้งเห็นแบบนั้นเขาก็สงบจิตใจให้เย็นลง สุดท้ายก็ต้องยอมพวกนาง เพราะทุกคนเป็นหญิง ถ้าเขาทำรุนแรงออกไปคงไม่ใช่เรื่องดี“พอแล้ว ผมไม่ใช่ของเล่นของพวกคุณ อย่าเห็นเป็นเรื่องสนุก ผมจะให้ช่วยถอดแค่เกราะเท่านั้น อย่างอื่นผมทำเอง เข้าใจนะ ไม่อย่างนั้นอย่าว่าผมรังแกผู้หญิง เข้าใจกันรึยัง”คำพูดของจางจิ้งแม้ฟังดูแปลก ๆ แต่ก็พอเข้าใจได้ พวกนางพยักหน้า จางจิ้งถึงกับถอนหายใจออกมา ชายหนุ่มยอมยืนนิ่ง ๆ ให้พวกสาวสวรรค์ช่วยกันแกะเชือกถอดเกราะให้ เกราะโบราณนี่หนักจริง พอพ้นจากตัวจางจิ้งถึงรู้ว่าเขาสวมมันไปได้อย่างไง น้ำหนักมากขนาดนี้ เขาให้บรรดาพวกเทพรับใช้ออกไป ที่เหลือเขาขอจัดการเอง พวกนางก็ยอมออกไปแต่โดยดี จางจิ้งเดินสำรวจห้องของตัวเอง ห้อง
“พวกเจ้า ช่วยพาเกาจางจิ้งสหายข้า ไปอาบน้ำชำระร่างกาย แล้วทำความสะอาดชุดให้เขาด้วย ข้าจะพาไปเข้าเฝ้าองค์ฮั่นยุหวี่” ซื่อเว่ยต้าตี้กวักมือสั่งสาวใช้ 4 นางที่เดินผ่านมา ให้ดูแลแขกสำคัญ“แล้วข้าล่ะ ท่านซื่อเว่ยต้าตี้”“เจ้ามากับข้า ปล่อยพี่ชายเจ้าไปกับพวกนางดีแล้ว”ฟางเฟยมองพี่ชายเดินตามเหล่านางสวรรค์ไปอีกทาง ซื่อเว่ยต้าตี้จูงมือหญิงสาวเดินไปอีกทาง “ทำไมท่านไม่ให้พี่จางจิ้ง มากับเรา”“เกาจางจิ้งเป็นแขกของข้า ข้าย่อมต้องดูแลเขาเป็นพิเศษ แต่เจ้ามิใช่ เจ้าเป็นคู่หมั้นข้า ถือว่าเจ้าเป็นเจ้าของที่นี่ด้วยส่วนหนึ่ง เพราะฉะนั้นเจ้าไปกับข้าจึงถูกต้องแล้ว”“ซื่อเว่ยต้าตี้ ท่านเลิกเล่นสักทีเถอะ ท่านก็รู้ว่าเรื่องหมั้นกัน เป็นเรื่องที่เราพลอยตามน้ำกันไปเท่านั้น ท่านไม่มีทางชอบข้าจริง ๆ ท่านเป็นเทพเจ้าแห่งดวงดาวทั่วท้องนภา ข้าเป็นเพียงมนุษย์ธรรมดา”“เจ้าเป็นผู้หญิงที่ข้ารู้สึกพอใจ ตั้งแต่แรกเห็น แล้วเลิกคิดว่าตนเองเป็นแค่มนุษย์ธรรมดา ตอนนี้ทั้งเจ้าและเกาจางจิ้งอยู่ที่นี่ ในฐานะของเทพเจ้าผู้พิทักษ์ปัญจธาตุ เจ้าเห็นสิ่งที่จางจิ้งเป็นหรือไม่ เขาคือนักรบสวรรค์ที่สาบสูญ ตอนนี้เขากลับมาแล้ว ส่วนเจ้าสาวงามข
“ท่านเทพผมขอคันฉ่อง ผมรู้ท่านหยิบมันมาด้วย”ซื่อเว่ยต้าตี้มองหน้าฟางเฟย เขาแบมือออก คันฉ่องทองแดงก็อยู่ในมือของเขาทันที“คันฉ่องของข้า ท่านเอามาให้ข้าได้ ทำไมไม่ทำแต่แรก”“ตอนข้าไปรับจางจิ้งมา เห็นคันฉ่องทองแดงมันวางอยู่บนที่นอนของเขา ข้าคิดอะไรไม่ทัน รีบหยิบดาบปัญจธาตุให้เขาแล้วหยิบเอาคันฉ่อง แล้วรีบดึงตัวเขามา ไหน ๆ ก็ได้คันฉ่องมาด้วยน่าจะลองดู ว่าคันฉ่องนอกจากพาเจ้าข้ามเวลาจะสามารถทำอะไรได้อีก”จางจิ้งรับคันฉ่องจากเทพเจ้าดวงดาว มาพลิกดูด้านหลังที่มีลวดลายสลักโลหะ เป็นสัญลักษณ์อู่ฟูหลิงเหมินปัญจธาตุ มีอักษรที่เขียนไว้เหมือนบนตัวดาบ นี่คงไม่ใช่เรื่องบังเอิญ เทพผู้พิทักษ์ปัญจธาตุ คือหน้าที่ของสกุลเกา คือความลับของสกุลที่ไม่มีใครรู้ ฟางเฟยหยิบคันฉ่องทองแดงขึ้นมาดู “แคร๊ก…” คันฉ่องเกิดลั่นขึ้น ตรงขอบเหมือนขยับได้ ฟางเฟยแค่ใช้นิ้วมือไล้ไปตามแนวขอบ บานคันฉ่องหลุดจากการยึดติด หมุนสวิงตัวทันที ด้านหน้าเรียบกับด้านสลักลายวิ่งเป็นภาพทับซ้อนกันด้วยแรงเหวี่ยง แสงสะท้อนจากคันฉ่องกระจายออกไปทุกทิศทาง แดนพฤกษาที่เสียหายจากสงครามเมื่อครู่ ก็กลับมาอยู่ในสภาพปกติ ศพศัตรูที่เสียชีวิตนอนตายเกลื่อนกลา
จากอุโมงค์ที่มืดมิด แสงสว่างจากจุดเล็ก ๆ ก็ค่อย ๆ ขยายใหญ่ขึ้น เกาจางจิ้ง พบว่าตนเองกำลังลอยอยู่ท่ามกลางอากาศ ด้านล่างคือลานสังหารที่กำลังมีการสู้รบอย่างดุเดือด ฝั่งหนึ่งมีรูปร่างเหมือนมนุษย์ใช้อาวุธและพลังวิเศษในการต่อสู้ ส่วนอีกฝั่งแม้มีร่างกายเป็นมนุษย์แต่เครื่องแต่งการ และใบหน้ากลับเป็นเหมือนแมลง ชายหนุ่มกำลังงงและสงสัย ต่อสิ่งที่เห็นตรงหน้า “เกาจางจิ้งฟังข้า ข้าซื่อเว่ยต้าตี้เทพเจ้าแห่งแดนดาราห้วงเวหา เจ้าได้กล่าวรายงานตัวต่อสวรรค์ ดาบปัญจธาตุที่สาบสูญอยู่ในมือเจ้า เบื้องหน้าเวลานี้คือสงครามระหว่างแดนพฤกษาปัญจธาตุกับแดนบุปผา เจ้าและเกาฟางเฟยมีหน้าที่ดูแลความสมดุลแห่งปัญจธาตุ ในเมื่อเจ้าต้องการทำหน้าที่ร่วมกับนาง เพื่อแทนคุณสวรรค์ บัดนี้คือภารกิจของเจ้าที่ต้องทำ”“ฟางเฟยอยู่ที่นี่ แล้วเวลานี้เธออยู่ที่ไหน ปลอดภัยดีรึเปล่า”“นางปลอดภัยดี นางให้ข้าไปตามเจ้ามา นางบอกเจ้าเก่งและฉลาด เอาเลยเกาจางจิ้งข้าก็อยากเห็นฝีมือเจ้า”เกาจางจิ้งยิ้มมุมปาก เขาชักดาบปัญจธาตุออกจากฝัก ดาบที่สาบสูญไปจากแดนสวรรค์ เรืองแสงสว่างเจิดจ้าไปทั่วท้องฟ้า จนทำให้ทหารที่สู้รบด้านล่างถึงกับหยุดมือ เหม่อมองขึ้นท้
เมื่อเกราะผลึกมนตรามีช่องโหว่ง เกราะมนต์ทั้งหมดก็ค่อย ๆ สลายลง กองทัพมหาศาลบุกเข้าเขตแดนพฤกษาปัญจธาตุ จนแผ่นดินสะเทือน เสียงฝูงบินหึงอื้ออึง อานุภาพความรักของกุ้ยอ้ายป๋อเฉิน ทำให้สองดินแดนต้องทำสงครามกัน ฟางเฟยจับมีดสั้นในมือมั่นพร้อมตั้งรับ มีดและมือที่เปื้อนคราบเลือดยังไม่มีเวลาได้ล้างออก ก็ต้องเริ่มต้นอีกครั้ง กลไกลกับดักที่วางไว้เริ่มทำงาน มันจัดการข้าศึกพื้นราบได้แค่เพียงเล็กน้อย ฟางเฟยสั่งเทพแรงงานจุดไฟสุมควัน เพื่อจัดการข้าศึกทางอากาศ วิธีคิดตีผึ้งของฟางเฟยได้ผลอย่างดี ข้าศึกร่วงหล่นลงมาให้ฆ่าทิ้งอย่างง่ายดาย แต่กองทำมดปลวกก็มากมายมหาศาล ต่อสู้กันชุลมุนเหน็ดเหนื่อยก็ไม่มีทีท่าว่าข้าศึกจะหมดลง แม้พลังของดาบดาราพิฆาต จะรุนแรงก็ทำได้แค่กวาดทำลายกองทัพที่บุกเข้ามาตรงหน้า ถ้าเป็นแบบนี้ต่อไปแม้แต่ซื่อเว่ยต้าตี้ก็อาจหมดแรงได้ กุ้ยอ้ายป๋อเฉิงประเมินสถานการณ์เห็นทีต้องแพ้แน่ เขาปักปิ่นพฤกษาลงพื้นหน้าเรือนไม้ สร้างเกราะกิ่งไม้ปิดเรือนขังลูกเมียเอาไว้ ฟางเฟยบุกต่อสู้สังหารศัตรูจนล้มตายไปมาก แต่หญิงสาวเองก็กำลังจะหมดแรง ฟางเฟยเป็นเพียงมนุษย์ไม่มีพลังวิเศษอะไร อาวุธก็ใช้ได้แค่ระยะประชิดเท่
ฟางเฟยอาศัยรูปร่างที่บอบบางแอบซ่อนตามต้นไม้ใหญ่ ใช้วิธีซุ้มโจมตี ตั้งแต่ได้รับมีดสั้นมา ยังไม่มีโอกาสได้ฝึกใช้สักครั้ง พอได้ใช้จริงก็ต้องฆ่าฟัน ไม่ใช่แค่ป้องกันตัวอย่างที่คิด หญิงสาวนั่งหลับตา ทบทวนท่วงท่าตามแบบที่ซินทำให้ดู หูก็ค่อยฟังเสียงฝีเท้า ที่ก้าวเข้ามาเกือบถึงตำแหน่งที่เธอล็อคไว้ ฟางเฟยลืมตาขึ้น จับมีดสั้นในมือมั่น ใช้กลยุทธ์จากเพลงดาบที่คุณปู่เกาซูว่านสอนไว้ ออกแรงแบบดาบเพียงแต่ในมือ คือมีดที่ยาวแค่ศอกเดียว ต้องสู้แบบประชิดเท่านั้น ฟางเฟยหลบอาวุธของคู่ต่อสู้ ด้วยสายตาและสมาธิที่ดี จนเข้าถึงตำแหน่งที่เหมาะสม ลงมือเฉียบขาดไม่ปราณีเหยื่อ ทหารแดนบุปผา บ้างถูกปาดคอ บ้างถูกแทงเข้าหัวใจ ลงไปนอนดิ้น อึกอักแล้วขาดใจตาย พวกที่บุกเข้ามา ต่างก็ล้วนถูกฟางเฟยสังหารอย่างเฉียบขาดรวดเร็ว ตามแบบฉบับสำนักดาบสกุลเกา มีดสั้นของหญิงสาวอาบไปด้วยเลือด แดงเต็มมือเต็มแขน กลิ่นคาวเลือดคละคลุ้ง แต่เกาฟางเฟยกลับไม่มีสีหน้าหวาดกลัวแม้แต่น้อย จะมีก็แต่อาการเจ็บภายใน ที่ยังไม่หายดีเท่านั้น หญิงสาวรอจนแน่ใจว่าไม่มีข้าศึกแดนบุปผาบุกเข้ามาอีก จึงกลับไปที่เรือนเทพเจ้าธาตุไม้ ซื่อเว่ยต้าตี้เห็นเลือดเปื้อนตัวหญ







