Главная / รักโบราณ / ห้วงฝันใต้แสงจันทรา / บทที่ 2.2 ความอบอุ่นใจในยามเดียวดาย

Share

บทที่ 2.2 ความอบอุ่นใจในยามเดียวดาย

last update Последнее обновление: 2024-11-28 10:00:58

เช้าวันต่อมา

“ท่านป้า ดูลายมือให้ข้าได้หรือไม่เจ้าคะ ข้าจะทำงานวันนี้สำเร็จลุล่วงไหมเจ้าคะ” ไป๋อิงถามเมิ่งเจีย

“ไป๋อิง นี่เจ้าเห็นข้าเป็นใคร ดวงชะตาก็ดูได้แค่คร่าว ๆ เหตุใหญ่ ๆ เท่านั้น แต่ว่าแบมือดี ๆ ข้าขอดูตรงนี้ให้ชัด ๆ” เมิ่งเจียเพ่งดูลายมือของไป๋อิงอยู่นานจนในที่สุดนางอุทานตกใจ

“ไป๋อิง ชะตาของเจ้าน่ากลัวยิ่งนักแต่ไม่ต้องกังวลเจ้าจะต้องผ่านไปได้”

“ท่านไม่ต้องบอกก็รู้ได้ ถึงฆาตเลยไม่ใช่หรือเจ้าคะ” ไป๋อิงพูดกับนางด้วยเสียงปลงพลางถอนหายใจ

“เจ้าพูดอัปมงคล หรือว่าเจ้ารู้อยู่แล้ว”

“เจ้าค่ะ ท่านป้าช่วยข้าได้หรือไม่” นางเล่าเรื่องที่จะเกิดขึ้นทั้งหมดให้เมิ่งเจียฟัง เพราะเห็นว่ายังมีชาวบ้านที่เชื่อคำทำนายของเมิ่งเจียอยู่บ้าง ส่วนคนที่ไม่เชื่อนั้นเมื่อเกิดเหตุการณ์จวนตัวก็จะเชื่อเอง ปัญหาเดียวของนางคือหวังจางเหว่ย แม้แต่เมิ่งเจียก็ช่วยไม่ได้

“เจ้าไม่ต้องห่วง ข้าจะช่วยเจ้าเอง มาเตรียมของช่วยข้า ข้าจะทำพิธีสะเดาะเคราะห์ให้เจ้า ผ่อนหนักเป็นเบา”

“ขอบคุณเจ้าค่ะ ท่านป้า” ไป๋อิงซึ้งใจอย่างน้อยก็มีคนคอยช่วยนาง

หากจะถามวันเวลาที่เกิดเรื่องนั้น ไป๋อิงย่อมจำเวลาได้ไม่แน่นอน นางจำได้เพียงว่าก่อนเกิดเหตุสามชั่วยาม ก่อนดวงอาทิตย์อัสดง ฝูงนกที่มาจากทางเหนือบินวนบนท้องฟ้าส่งเสียงร้องดังระงม

ทุก ๆ วัน ไป๋อิงพยายามที่จะส่งข่าวให้หวังจางเหว่ยรู้และเชื่อใจนาง แต่ทว่าไม่ประสบผลสำเร็จ ต่างจากชาวเมืองที่ศรัทธาและไว้ใจเมิ่งเจีย พวกเขาเหล่านั้นเตรียมพร้อมที่จะหนีเสมอ เมิ่งเจียไม่ได้ดูแค่เพียงลายมือหรือหาฤกษ์ยามมงคล นางยังคงเป็นที่ปรึกษา ที่พึ่งทางใจให้คนไร้หนทางอีกด้วย แม้ว่าอดีตนางจะมีญาณทิพย์มากกว่าตอนนี้ก็ตาม ทั้งยังมีข่าวจากพ่อค้าต่างเมืองเลื่องลือมาว่าหลายหมู่บ้านทางตอนเหนือโดนกลุ่มโจรทมิฬปล้นฆ่า น้อยคนนักที่จะหนีออกมาได้เพราะพวกมันบุกโจมตียามที่ทุกคนหลับใหลในคืนเดือนแรมไร้แสงจันทรา

วันนี้ไป๋อิงพยายามที่จะเตือนหวังจางเหว่ยอีกครั้ง แต่รอบ ๆ จวนสกุลหวังนั้นเต็มไปด้วยทหารยามที่เขาจ้างมาเพราะรู้สึกว่าพักนี้มีคนมาสร้างความวุ่นวายอยู่บ่อยครั้ง นางจึงได้แต่รอให้คุณชายผู้นี้ออกมาข้างนอก

หลังจากด้อม ๆ มอง ๆ รอเขาข้างหน้าจวนเป็นเวลาหนึ่งชั่วยาม นางก็เห็นเขาที่แต่งตัวหรูหราเดินออกมาจากจวนพร้อมทหารสองคน นางค่อย ๆ เดินตามเขาไปจนถึงตรอกแห่งหนึ่ง

หอโคมแดง เห็นทีต้องแอบเข้าไป จะให้ปลอมตัวเป็นชายคงจะไม่เนียน หน้าสวยขนาดนี้ หรือว่าจะแต่งเป็นเหล่าพี่สาว ไม่น่าได้ เดี๋ยวคนเข้าใจผิด เรื่องจะไปกันใหญ่ สุดท้ายนางก็คิดว่าจะปลอมเป็นสาวใช้ในหอโคมแดงแทน

ด้านหน้าหอมีคนยืนเฝ้าอยู่ นางจำได้ว่าสองคนนี้มักจะเป็นคนคอยดูหน้าหออยู่เสมอ พวกเขาคงจำหน้าทุกคนในหอโคมแดงได้เป็นอย่างดี นางจึงเลี่ยงไปอีกฝั่งหนึ่งแล้วปีนขึ้นต้นไม้ใหญ่ก่อนจะกระโดดข้ามกำแพง

“เจ้ามาทำอันใดที่นี่” เสียงอันคุ้นเคยกระซิบข้างหูนาง

“ลู่เฟยเทียน ท่านอีกแล้วหรือ ท่านตามข้ามาหรืออย่างไร” ไป๋อิงตกใจที่มักเจอเขาอย่างไม่คาดหมาย

“ข้าอยู่ที่นี่ตั้งนานแล้ว เห็นเจ้าตั้งแต่ตอนที่ปีนต้นแปะก๊วยแล้วกระโดดข้ามกำแพงมา ถ้าไม่รู้ว่าเป็นเจ้าคงนึกว่าเป็นโจรขโมยที่ไหนเสียแล้ว” เขาตอบอย่างอารมณ์ดี

“ท่านคงจะกำลังสุขสำราญ ข้าขอตัว” นางกล่าวแล้วรีบเดิน

“เดี๋ยวก่อน หอโคมแดงห้ามสตรีเข้ามา ข้าคงปล่อยเจ้าไว้ไม่ได้” ลู่เฟยเทียนกล่าวพลางคว้าแขนนางไว้

“ข้าปลอมตัวเป็นสาวใช้แล้ว ถ้าท่านไม่พูด พวกเขาก็ไม่รู้”

“แต่ถ้าข้าพูด...”

“ท่านต้องการอันใดหรือ คุณชาย” นางรีบตัดบทก่อนเขาพูดจบ

“เรื่องที่เจ้าคิดจะทำ ข้าไปด้วย” เขาตอบ

ไป๋อิงนิ่งคิดไปชั่วขณะ

“เรื่องหวังจางเหว่ยใช่หรือไม่ จะถามว่าข้ารู้ได้อย่างไรน่ะหรือ เอาไว้ข้าจะบอกเจ้าทีหลัง ตามข้ามาที่ห้อง แล้วเล่าเรื่องทุกอย่างได้หรือไม่” เขาให้ข้อเสนอนาง

ไป๋อิงได้แต่พยักหน้าแล้วเดินตามเขาไปอย่างว่าง่าย คิดในใจว่าถ้าลู่เฟยเทียนเชื่อสิ่งที่นางพูด เรื่องก็จะง่ายขึ้น แต่ถ้าไม่ เขาก็แค่ปล่อยนางไป

ระหว่างทางเดินไปที่ห้อง ไป๋อิงได้ยินเสียงทักทายจากหญิงสาวทักลู่เฟยเทียนตลอดทาง ราวกับเขาเป็นแขกประจำของหอโคมแดง

“คุณชายลู่ ให้ข้าตามท่านพี่หรงหรงหรือไม่เจ้าคะ นางบ่นคิดถึงท่านหลายวันแล้ว” หญิงสาวผู้หนึ่งถามเขา

“อื้ม ให้นางรีบมาหาข้าเลยแล้วกัน” เขาตอบพลางยิ้มให้นาง

เขาพูดอันใดนะ แล้วจะคุยเรื่องหวังจางเหว่ยอย่างไร ถ้าอยากเจอนางนักก็ปล่อยข้าไปสิ ไป๋อิงรู้สึกสับสนเล็กน้อย

เมื่อเข้ามาที่ห้องแล้ว ไป๋อิงจึงรีบถามเขา

“คุณชายลู่ ดูเหมือนท่านจะอยากเจอนางมาก ข้าขอตัวไปธุระของข้า ไม่รบกวนท่านจะดีกว่า” นางกล่าวชัดเจน

“เจ้าอย่าเพิ่งใจร้อนไปเลยไป๋อิง เจ้าคิดว่าข้าจะทำอันใดหรือ” เขาแกล้งถาม

“ข้ายังไม่ได้คิดอันใดเลยเจ้าค่ะ”

“แล้วทำไมเจ้าต้องหน้าแดง เจ้ามีพิรุธนะ ไป๋อิง”

“ข้าแต่งหน้ามาเจ้าค่ะ” นางรีบตอบ

ก่อนที่ทั้งสองคนจะได้เถียงกันไปมากกว่านี้ เสียงหวานจากสตรีนางหนึ่งดังขึ้น

“คุณชายลู่ หรงหรงเข้าไปนะเจ้าคะ”

“มานั่งนี่สิหรงหรง” เขาบอกนางก่อนยิ้มให้

คนผู้นี้ ยิ้มมากเกินไปแล้ว

“ไป๋อิง เจ้าเล่าให้ข้าฟัง”

“แต่นาง..”

“นางจะฟังเรื่องนี้ด้วย” เขาตอบ

ไป๋อิงจึงได้แต่เล่าเรื่องที่จะเกิดขึ้นในภายภาคหน้าให้ทั้งสองคนฟัง

“ที่แท้ ข่าวลือก็มาจากท่านเองหรอกหรือ” หรงหรงถามนาง

“เวลานี้ท่านอาจจะไม่เชื่อข้า แต่เมื่อเกิดเหตุการณ์นั้นขึ้น ท่านจะรู้ว่าข้าพูดความจริง” ไป๋อิงบอกนางด้วยความแน่วแน่

“เราทั้งสองคนเชื่อเจ้า” หรงหรงกล่าว

“หากเป็นแค่เพียงเรื่องที่เจ้าพูดข้าคงจะไม่เชื่อมากนัก แต่ข้าได้ข่าวเรื่องเมืองทางตอนเหนือมาเช่นกัน คาดว่าในไม่ช้าเมืองนี้ก็อาจจะโดนแบบเดียวกัน จึงแจ้งไปทางวังหลวงเป็นการด่วนเพื่อให้ที่นั่นส่งทหารมาปราบกองโจรทันท่วงที” เขาอธิบายไป๋อิงอย่างจริงจัง แวบหนึ่งสีหน้าของเขาเปลี่ยนเป็นเคร่งขรึม ก่อนยิ้มมุมปากให้นาง

“แต่ข้าสงสัย ทำไมถึงไม่หนีไปก่อน” หรงหรงถามนาง

“วันเวลานั้นข้าไม่รู้แน่ชัด จำได้แต่เพียงว่าเห็นฝูงนกบินจากทางเหนือ บินวนบนท้องฟ้าก่อนดวงอาทิตย์จะลับตา ไม่ว่าจะทางใดเหตุการณ์นั้นจะต้องเกิดขึ้นเสมอ” ไป๋อิงพูดพลางนึกถึงเรื่องที่เกิดขึ้นกับเสี่ยวหาน

“พวกท่านไม่ต้องกังวล ทุกคนจะผ่านเรื่องนี้ไปได้อย่างปลอดภัย รีบแพร่กระจายข่าวนี้และรีบหนีเมื่อเห็นสัญญาณ” นางพูดให้ความมั่นใจ

“หวังจางเหว่ย เกี่ยวอันใดกับเขาหรือ เจ้าดูร้อนใจนัก” ลู่เฟยเทียนถามนางเพราะเป็นห่วง

“เขาช่างเป็นคนดื้อดึง ทำให้ข้าตกอยู่ในอันตราย ข้าเลยต้องพยายามให้เขาเชื่อ แต่ทำอย่างไรเขาก็ไม่สนใจ” ไป๋อิงตอบอย่างหมดหวัง

“แม่นาง อย่าเพิ่งกังวล ข้าและเหล่าพี่น้องหอโคมแดงจะพยายามช่วยโน้มน้าวใจเขา” หรงหรงรับปากนาง

“ขอบคุณพี่สาวที่ช่วยข้า หากรอดพ้นภัยครั้งนี้ไปได้จะตอบแทนท่านอย่างแน่นอน”

“อย่าลืมข้าด้วยล่ะ” เสียงลู่เฟยเทียนดังขึ้น

“คุณชายลู่ เป็นห่วงนางก็อย่างแกล้งนางให้มากนัก” หรงหรงปรามเขาเสียงเรียบ

ห่วงข้าหรือ ทำไมกัน ไป๋อิงคิดในใจ

“เช่นนั้นข้าขอตัว พวกท่านจะได้อยู่กันสองคน” หรงหรงกล่าวแล้วเดินออกจากห้อง

“คุณชาย ท่านไม่อยู่กับนางหรือ”

“เสร็จธุระแล้ว ไปตลาดกันเถอะ” เขาชวนนาง

“แต่ข้ายังไม่ได้ไปหาหวังจางเหว่ย”

“เรื่องนั้นปล่อยให้หรงหรงจัดการ” เขาตอบก่อนจับมือนางเดินออกจากหอโคมแดง

---------------------------------------------------------------------

ลู่เฟยเทียนเดินไปที่ร้านขายของ เขาหยิบนกหวีดอันเล็กขึ้นมาก่อนจ่ายเงินให้เถ้าแก่

“ไป๋อิง เจ้าเก็บไว้ ไม่ว่าจะอยู่ที่ใด ข้าจะมาหาเจ้า” เขายื่นนกหวีดอันหนึ่งให้นาง

แม้ไม่รู้ว่าทำไมเขาทำเช่นนี้ แต่นางรู้สึกอบอุ่นใจราวกับว่าหากเกิดเหตุใดจะมีคนผู้หนึ่งคอยช่วยนางเสมอ

“ไป๋อิง เปลี่ยนจากเนื้อตุ๋นเป็นถังหูลู่ได้หรือไม่ เจ้าบอกว่าจะตอบแทนข้า” เขายิ้มอ้อนนาง

“ท่านชอบถึงเพียงนี้เลยหรือ” นางถามเขาด้วยความสงสัย

“ข้าชอบ... ถังหูลู่” เขากระซิบตอบนาง

ไป๋อิงหยิบให้เขาไม้หนึ่งก่อนจะเห็นภาพทับซ้อนของเสี่ยวหานและเหรินฮ่าวหราน แล้วเผลอยิ้มออกมา

ลู่เฟยเทียนเดินไปส่งไป๋อิงที่สำนัก ก่อนที่นางจะเข้าไปข้างใน เขายื่นมีดพกเล่มเล็กไว้ให้นาง

“เจ้าเก็บไว้ เผื่อจำเป็นต้องใช้ป้องกันตนเอง”

นางพยักหน้าแล้วขอบคุณเขาก่อนเดินเข้าสำนัก

ลู่เฟยเทียนยืนส่งนางจนลับตาแล้วก็กลับออกไป

“คนที่ข้าพบใต้ต้นแปะก๊วยงั้นหรือ” เขาเอ่ยเบา ๆ ก่อนยิ้มมุมปาก

ไป๋อิงรีบไปหาเมิ่งเจียแล้วเล่าเรื่องวันนี้ให้นางฟัง ก่อนจะถามความคืบหน้าว่านางเตรียมเรื่องไปถึงไหนแล้วบ้าง

“ข้าให้คนจัดการเรียบร้อย ถึงวันนั้นทุกคนจะปลอดภัยแน่นอน เจ้าก็ต้องปลอดภัยเช่นกัน” เมิ่งเจียปลอบนาง

“เจ้าค่ะ เช่นนั้นข้าขอตัวไปพักก่อนนะเจ้าคะ”

ไป๋อิงหยิบนกหวีดและมีดพกขึ้นมาดู ก่อนจะสังเกตเห็นด้ามมีดพกมีตัวหนังสือสลักอยู่

รัตติกาล’ ชื่อของใคร คืออันใด นางมองดูมีดพกซ้ำแล้วซ้ำเล่าแต่ก็ยังนึกไม่ออก ทั้งยังไม่รู้ว่าลู่เฟยเทียนเกี่ยวกับนางอย่างไร ตอนที่ฝันครั้งแรกนางจำได้ว่าไม่มีเขาในฝัน

ไป๋อิงนั่งชมจันทร์เต็มดวงอยู่ด้านนอกเรือน เมื่อเห็นดาวตกดวงหนึ่ง นางก็รีบกุมมือหลับตาแล้วอธิษฐาน ก่อนหยิบนกหวีดมาดูอีกครั้ง โดยไม่รู้ตัวเลยว่าสายตาคู่หนึ่งกำลังนั่งมองนางจากบนหลังคา หลังจากนางเข้านอน เขาก็หยิบเหล้าออกมาหนึ่งไหก่อนเอนกายนอนบนหลังคาท่ามกลางแสงจันทร์ที่สาดส่อง

เช้าวันรุ่งขึ้น

ลู่เฟยเทียนมารอไป๋อิงที่หน้าสำนักราวกับรู้ว่านางจะออกไปที่ใด เขาบอกความคืบหน้าเรื่องหวังจางเหว่ยกับนางก่อนจะบอกนางว่าไม่มีอันใดต้องกังวล ดูท่าทุกอย่างจะเป็นไปได้ด้วยดี

ช่างเถอะ ถึงจะเตรียมพร้อมอย่างไร ในวันนั้นก็มักจะมีเหตุอยู่ดี ข้าแค่ต้องหาทางหนีไว้พร้อมแล้วก็ฝึกป้องกันตัวสักหน่อย ไป๋อิงคิดในใจ

“เจ้ามากับข้า เอามีดพกมาด้วยหรือไม่” เขาถาม

“อื้อ อยู่นี่” นางยกขึ้นมา

“นกหวีดเล่า” เขาถามพลางเลิกคิ้วข้างหนึ่ง

“อยู่นี่” นางตอบเขา ลู่เฟยเทียนยิ้มมุมปาก

“ดี วันนี้ข้าจะสอนเจ้าสองสามอย่าง เอาไว้ป้องกันตนเอง”

อย่างกับรู้ใจ อ่านความคิดข้าหรือเปล่านะ ไป๋อิงแปลกใจแต่ก็ยอมเชื่อฟังสิ่งที่เขาสอน พวกเขาทั้งสองคนฝึกกันอยู่สองชั่วยามก่อนจะพักทานข้าว

“ข้าจะเลี้ยงเจ้าเป็นการตอบแทน คุณชายลู่” ไป๋อิงเดินนำเขาไปที่ร้านบะหมี่

“หวังว่าท่านจะไม่ถือ” นางหยิบเงินในถุงจ่ายเถ้าแก่

“สบายมาก” เขาตอบยิ้มแย้ม

หลังจากทานอิ่มและเดินสำรวจตรอกซอยทั้งหมดในเมืองแล้ว เขาถือโอกาสเดินไปส่งนางที่สำนักเยว่เทียน พร้อมบอกว่า

“รุ่งเช้า ข้าจะมารอเจ้าที่นี่ ไปฝึกต่อแล้วเลี้ยงข้าวข้าด้วย”

“ฝึกได้ แต่ข้าเลี้ยงท่านทุกวันไม่ไหว” นางตอบตามตรงเพราะสำนักเยว่เทียนนั้นขัดสนเงินทองมาสักพักแล้ว

“เช่นนั้นไปที่หอโคมแดงกับข้า”

“ท่านบ้าไปแล้วหรือ จะให้ข้าไปหอโคมแดงได้เช่นไร” นางรีบค้านด้วยความตกใจข้อเสนอของเขา

“แต่ที่นั่น ข้าจะกินเท่าใดก็ได้ ไม่ต้องจ่ายสักอีแปะ มีแต่ของที่เจ้าชอบด้วย”

“ท่านเป็นเจ้าของหรือเจ้าคะ ถึงจะทำเช่นนั้น”

“ความลับ ไว้ข้าบอกเจ้าทีหลัง เอาเป็นว่าเจ้าตกลง” เขาสรุปเอาเองเรียบร้อยก่อนหันหลังเดินกลับอย่างอารมณ์ดี

พิลึกคน เฮ้อ ไป๋อิงได้แต่ถอนหายใจ อย่างน้อยเขาก็ช่วยนางฝึกป้องกันตนเอง

นับแต่นั้นเป็นต้นมา ลู่เฟยเทียนจะมารอนางที่หน้าประตูสำนักเยว่เทียนทุกเช้าก่อนจะพานางไปฝึก เดินเที่ยวในตลาด ทบทวนเส้นทางหนี ดูสถานที่หลบภัย เตือนชาวเมือง ทำให้ทั้งสองเริ่มสนิทสนมกันมากขึ้น

“ไป๋อิง ข้ามีธุระนอกเมืองสองสามวัน ระหว่างนี้ เจ้าดูแลตัวเองดี ๆ” เข้าบอกนางด้วยความเป็นห่วง

“อื้อ ข้าจำที่ท่านสอนได้หมดแล้ว ท่านไม่ต้องกังวล” ไป๋อิงตอบเขาให้สบายใจ

นางคิดว่าเขาช่วยนางมาขนาดนี้ก็ดีแล้ว เพราะในฝันครั้งนั้นไม่มีใครช่วยนางได้เลย อย่างน้อยหวังจางเหว่ยก็ดูจะเชื่อคำพูดของหรงหรงอยู่ไม่ว่าจะเกิดอันใดขึ้น นางแค่ต้องสู้สุดกำลัง

--------------------------------------------------------------------

สองวันมานี้ไม่มีลู่เฟยเทียนมารอรับ ทำให้ใจของไป๋อิงดูเหงาหงอยเล็กน้อย นางจึงไปเดินเล่นพูดคุยกับชาวเมืองและฝึกตามที่เขาเคยสอนเอาไว้ทั้งวันจนตะวันกำลังจะลับขอบฟ้า แต่แล้วนางได้ยินเสียงนกร้องดังระงม จึงเงยหน้ามองท้องฟ้านกฝูงนั้นบินวนไปวนมาเหนือประตูเมือง ทำให้นางรู้ว่าวันนั้นมาถึงแล้ว

“ดูนั่น! ฝูงนก ท้องฟ้า ทุกคนรีบหนีไปที่หลบภัยเร็วเข้า” นางตะโกนพลางชี้ไปที่ท้องฟ้า

“แย่แล้ว เร็วเข้าเถ้าแก่”

“คุณหนู ทางนี้เจ้าค่ะ”

เมื่อชาวเมืองนึกถึงคำทำนายของเมิ่งเจีย ทุกคนต่างรีบร้องตะโกนบอกกันแล้วพากันเก็บข้าวของไปที่หลบภัย

ไป๋อิงวิ่งกลับมาที่สำนักแล้วบอกเมิ่งเจียว่าถึงเวลาแล้วและช่วยกันเก็บของก่อนไปส่งที่หลบภัยให้ทันภายในสามชั่วยาม

เวลานี้ชาวเมืองต่างวิ่งหนีขวักไขว่ ดูจากสถานการณ์น่าจะมีเวลาเหลือเฟือที่จะหลบซ่อนตัว นางสังเกตเห็นทหารประจำเมือง บ้างช่วยพาชาวเมืองไปที่หลบภัย บ้างซุ่มรอตามจุดต่าง ๆ พร้อมที่จะรับการโจมตีของกลุ่มโจรทมิฬเหมือนกับพวกเขาวางแผนรับมืออย่างดี

ผ่านไปสองชั่วยามแล้วหลังเกิดลางบอกเหตุ ไป๋อิงอยู่ที่หลบภัยรวมกับคนอื่น ๆ นางพยายามมองหาหวังจางเหว่ยแต่ก็ไม่เห็นเขา

“เมิ่งเจีย ท่านเห็นหวังจางเหว่ยหรือไม่”

“ตั้งแต่มาที่นี่ข้ายังไม่เห็นเขา ท่านยาย ท่านเห็นคุณชายหวังจางเหว่ยหรือไม่” เมิ่งเจียถามทุกคน เมื่อไป๋อิงเห็นว่าหวังจางเหว่ยไม่อยู่ที่นั่น นางจึงรีบวิ่งกลับเข้ามาในเมืองเพื่อตามหาเขา

เจ้าหวังจางเหว่ย อย่าให้ข้าได้เจอนะ จะทุบสักหนึ่งฝ่ามือ เจ้าหายไปที่ใดกัน ไป๋อิงได้แต่บ่นในใจพลางคิดว่าหากช่วยเขาไม่ได้ นางอาจจะต้องติดอยู่ในความฝันตลอดไป นางถามทหารที่วิ่งผ่านมา

“คุณชายหวัง เมื่อครู่อยู่ที่ตลาดในเมือง เขากำลังหาอะไรบางอย่าง เจ้ารีบไปซ่อนก่อนเถิด” ทหารหนุ่มบอกนาง ไป๋อิงไม่รอช้าวิ่งไปดูที่ตลาด นางจำเป็นต้องพาเขาไปที่ปลอดภัยให้ได้ โดยไม่รู้ตัวเลยว่าภัยอันตรายได้คืบคลานมาแล้ว เสียงฝีเท้าดังกระหึ่มมาจากทางเหนือ สร้างความอกสั่นขวัญแขวนให้แก่ทุกคน

“หวังจางเหว่ย เจ้าหยุดเดี๋ยวนี้ รีบหนีไปได้แล้ว พวกโจรกำลังมาถึงแล้ว” นางตะโกนบอกเขา

หวังจางเหว่ยเห็นนางก็วิ่งไปอีกทาง ไป๋อิงวิ่งตามเขาแต่แล้วก็พลัดกันที่ห้าแยกศาลากลางเมือง

“เจ้าคนดื้อด้าน” นางทำอันใดไม่ได้นอกจากจะพยายามตามหาเขาต่อไป

“หยุด!” เสียงทุ้มดุดันดังมาจากข้างหลังไป๋อิง นางหันไปมองเห็นชายฉกรรจ์ร่างใหญ่ถือดาบกำลังวิ่งมาทางนาง

หยุดก็ตายน่ะสิ ไป๋อิงรีบวิ่งหนีลัดเลาะตามทางที่ลู่เฟยเทียนเคยบอก แต่ราวกับทางที่เห็นเมื่อกลางวันกับกลางคืนจะไม่เหมือนกัน จึงทำให้นางวิ่งวนจนมาถึงห้าแยกอีกครั้ง ก่อนจะมองเห็นหวังจางเหว่ยวิ่งหนีโจรออกมาทางด้านซ้าย

ไป๋อิงนึกได้ว่าในฝันหากอยากรอดต้องหนีไปทางด้านขวา จึงรีบวิ่งไปคว้าแขนเขาให้หนีไปทางด้านขวา หวังจางเหว่ยมัวแต่ดึงดันไม่ยอมจนทำให้โจรที่วิ่งตามไป๋อิงตามทันพวกเขา แล้วดาบเล่มใหญ่ก็ฟันลงมาที่ร่างของหวังจางเหว่ยในทันใด

“ไม่!” เสียงของไป๋อิ่งดังลั่น ก่อนที่ทุกอย่างจะมืดมิดลงไป

Continue to read this book for free
Scan code to download App

Latest chapter

  • ห้วงฝันใต้แสงจันทรา   บทที่ 7.5 นิจนิรันดร์(ตอนจบ)

    หลังจากเรื่องราวต่าง ๆ ผ่านมาครบหนึ่งร้อยวัน เทพพิทักษ์กฎสั่งให้นำตัวเหรินฮ่าวหรานและหลิวลี่เซียงเข้ามาที่ท้องพระโรงเพื่อไต่สวนครั้งสุดท้าย หากดูจากภายนอกแล้ว หลิวลี่เซียงเหมือนกลับมาเป็นปกติ แต่เหล่าเทพเซียนทั้งหลายยังคงกังขาว่านางหายจากมนตร์ปีศาจแล้วหรือไม่ ส่วนเหรินฮ่าวหรานนั้น ร่างกายภายนอกดูไม่เป็นอันใดเพราะยาจากชิวฉือ แต่ภายในนั้นบอบช้ำเกินพรรณนา“เทพบุปผา ท่านยืนยันได้หรือไม่ว่าสติของท่านกลับมาเป็นเช่นเดิมแล้ว” เทพพิทักษ์กฎถามนางขึ้นท่ามกลางเสียงพูดคุยของเหล่าเทพเซียน“อื้ม” นางพยักหน้า สายตายังคงมองไปที่เหรินฮ่าวหรานด้วยความเป็นห่วง เวลานี้ไม่คิดสนใจผู้ใดนอกจากเขา“เรื่องของท่านกับเขา เหรินฮ่าวหรานเคยกล่าวว่าเขาไม่ได้ทำเรื่องเช่นนั้น ท่านยืนยันได้หรือไม่”“ข้ายืนยันได้ เขาไม่มีวันทำร้ายข้า ทั้งไม่จำเป็นต้องใช้มนตร์ปีศาจเพื่อให้ข้าหลงรักเขา ไม่ว่าจะอยู่ในชาติภพใด เขาจะคอยปกป้องข้า ไม่มีวันทอดทิ้ง” หลิวลี่เซียงพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง“ท่านเพิ่งได้พบเจอเขา เหตุใดถึงเชื่อใจเขา” เทพวารีก

  • ห้วงฝันใต้แสงจันทรา   บทที่ 7.4 ผีเสื้อสีขาว

    “เช่นนั้น ข้าจะให้เจ้าคอยรักษานางจนครบหนึ่งร้อยวัน แล้วข้าจะไต่สวนเรื่องราวอีกครั้ง” เทพพิทักษ์กฎกล่าวโดยสรุปก่อนจะหันไปทางคนที่เหลือ“พวกเจ้าเป็นเผ่าพันธุ์จิ้งจอก ดินแดนเทพไม่อาจตัดสินความถูกผิดได้ ข้าส่งจะตัวพวกเจ้าไปที่แคว้นชิงชิว”ซือมู่เฉินยืนขึ้นเผชิญหน้ากับเทพพิทักษ์กฎ ท่ามกลางความแปลกใจของทุกคนที่อยู่ในท้องพระโรง“หากข้าไม่ได้ทำความผิด ไม่ว่าผู้ใดก็ตัดสินข้าไม่ได้” ซือมู่เฉินเผยตราราชวงศ์เมืองฉางให้พวกเขาดู“องค์รัชทายาทเช่นนั้นหรือ” เทพองค์หนึ่งพูดขึ้น“พวกเจ้าอย่าทำให้เรื่องนี้เป็นปัญหาระหว่างเผ่าพันธุ์ไปเลย ข้ายืนยันว่าข้าและสหายบริสุทธิ์ใจ ระหว่างที่เหรินฮ่าวหรานรักษานาง พวกข้าจะออกตามหาคนต้นเหตุเพื่อมารับโทษให้ได้”“ด้วยเกียรติและศักดิ์ศรีของจิ้งจอกเก้าหาง วาจาที่เอ่ยออกมาแล้วไม่สามารถบิดพลิ้วได้ มิเช่นนั้นจะถูกวาจาศักดิ์ย้อนกลับมาทิ่มแทงตนเอง รวมถึงนางด้วยใช่หรือไม่” เทพพิทักษ์กฎทวนเขาอีกครั้งถึงสิ่งที่เขาเดิมพันเอาไว้ขณะหันไปมองไป๋เยว่ซิน“ข้า

  • ห้วงฝันใต้แสงจันทรา   บทที่ 7.3 มิตรภาพผองเพื่อน

    เหรินฮ่าวหรานไม่รอช้าหยิบมีดขึ้นมากรีดลงที่ตรงหน้าอก พลันเลือดสีแดงฉานไหลริน เขารีบนำภาชนะรองมาให้หลิวลี่เซียงดื่มจนกว่านางจะดีขึ้น“พอแล้ว” ซือมู่เฉินห้ามปราม“แต่นาง...” เหรินฮ่าวหรานมองหลิวลี่เซียงด้วยสีหน้ากังวล“วันนี้พอเท่านี้ อีกครู่หนึ่งนางจะหาย”หลิวลี่เซียงมีท่าทีสงบลง สีตาของนางกลับมาเป็นเช่นเดิม สติที่หายไปเริ่มกลับมาจนแก้มของนางสีแดงระเรื่ออีกครั้ง นางรีบหันหลังหลบสายตาของเหรินฮ่าวหราน“เป็นอันว่า นางหายดีแล้ว ไม่ต้องกังวลแล้วล่ะเสี่ยวหราน เจ้าตามข้ามา เรามีเรื่องต้องคุยกัน” ซือมู่เฉินบอกเขาแล้วเดินออกจากห้องไปรอข้างนอก“เถอะน่า รีบตามไปเร็วเข้า เดี๋ยวข้าอยู่กับนางเอง” ไป๋เยว่ซินเห็นท่าทีของเขาก็รีบบอกให้คลายกังวล เหรินฮ่าวหรานพยักหน้าแล้วตามออกไป“ซินซิน เมื่อครู่ข้าทำอันใดไปบ้าง” หลิวลี่เซียงหามาถามไป๋เยว่ซิน“อาเซียง ไม่นึกเลยว่าเจ้าจะมีท่าทางเช่นนี้ แต่เจ้าไม่ต้องคิดอันใดมากหรอก เจ้าเพิ่งจะโดนมนตร์ปีศาจจิ้งจอกมา”“ถ

  • ห้วงฝันใต้แสงจันทรา   บทที่ 7.2 มนตร์ปีศาจจิ้งจอก

    เหรินฮ่าวหรานลงจากล่างเขาดินแดนเทพมาอยู่ในดินแดนมนุษย์ได้สามสี่วัน เขาใช้เวลาว่างคิดทบทวนเรื่องของตนเองกับหลิวลี่เซียง ระยะเวลาสองพันปีที่เขารอคอยนางมา หากคำตอบไม่เป็นอย่างที่ใจหวัง เขาจะทำเช่นไรทว่าเรื่องหัวใจของตนเองนั้น ไม่จำเป็นต้องใช้เวลาคิดให้นานนัก ใช่ว่าเรื่องแบบนี้จะเคยเกิดขึ้นเป็นครั้งแรกเสียหน่อย ความฝันที่ผ่านมาแต่ละครั้งก็เปรียบเสมือนชาติภพที่เขาและนางต้องเผชิญร่วมกันในฐานะที่แตกต่างกันไป เหรินฮ่าวหรานตัดสินใจได้แล้วว่า ไม่ว่าคำตอบเป็นเช่นไร เขาจะยังคงรอนางอย่างที่เคยรอเสมอมา ความรักของเขาจะมอบให้นางแต่เพียงผู้เดียว เมื่อคิดได้เช่นนั้นแล้ว เหรินฮ่าวหรานเริ่มยิ้มออก ใจที่เคยสับสนค่อยผ่อนคลายลงเหรินฮ่าวหรานเก็บของเตรียมจะออกจากโรงเตี๊ยม จู่ ๆ เขาก็เห็นผีเสื้อสีขาวบินมาจากทางหน้าต่างห้องผีเสื้อนำทาง ผู้ใดกำลังตามหาข้าอยู่หรือ เหรินฮ่าวหรานเอื้อมมือแตะที่ผีเสื้อตัวนั้นก่อนจะออกมายืนริมหน้าต่าง สายตาของเขาทอดมองไปยังเบื้องล่าง พลันได้พบเจอคนผู้หนึ่งยืนส่งยิ้มมาให้ก็ใจเต้นรัวหลิวลี่เซียง เขาไม่รอช้ากระโดดลงมาจากชั้นสองของโรงเต

  • ห้วงฝันใต้แสงจันทรา   บทที่ 7.1 การรอคอยที่เนิ่นนาน

    ท้องฟ้าสีครามแต้มด้วยปุยเมฆขาว ๆ ในวันนี้ก็ยังคงเป็นดั่งเช่นทุกวันที่ผ่านมา ฝูงปักษาสวรรค์ที่นานครั้งจะปรากฏตัวอวดโฉมต่างพากันโผบินไปยังตำหนักเทพเบื้องบนราวกับมีงานชุมนุมรื่นเริง ด้านล่างทางขึ้นเขาดินแดนเทพมีหอเซียนต่าง ๆ มากมายสำหรับเซียนที่คอยทำหน้าที่เป็นสื่อกลางระหว่างเทพ มนุษย์ และเผ่าอื่น ๆ ในใต้หล้าริมทะเลสาบด้านหลัง มีเซียนหนุ่มผู้หนึ่งที่มีหน้าที่รับคำวิงวอนจากมนุษย์ส่งให้เหล่าเทพได้ปลีกตัวจากความวุ่นวายในหอเซียนไปนั่งชื่นชมธรรมชาติที่เงียบสงบอย่างเช่นเคยหลิวลี่เซียง เจ้าอยู่ที่ใดกัน เซียนหนุ่มผู้นี้ถอนหายใจพลางมองไปยังเป็ดยวนยางคู่หนึ่งเป็ดยวนยางยังมีคู่แล้วเจ้าอยู่แห่งหนใด ความฝันนี้ช่างยาวนานเหลือเกิน แต่ไม่มีเจ้าราวกับชีวิตมีบางสิ่งขาดหายไปความรำพึงรำพันของเขาเช่นนี้คงจะไม่เกิดขึ้นหากได้พบนางในฝัน แต่ความฝันครั้งนี้ได้เริ่มขึ้นเมื่อสองพันปีก่อน ครั้นเมื่อรู้ว่าตัวเองได้เกิดเป็นเซียนก็คอยแต่จะตามหานางทุก ๆ วัน ไม่ว่าจะดินแดนเซียน ดินแดนมนุษย์ เผ่าอื่น ๆ ล้วนแล้วแต่เคยไปมาทั้งหมด หากแต่ไม่มีวี่แววจะได้พบกับนาง เหลือเพียงแต

  • ห้วงฝันใต้แสงจันทรา   บทที่ 6.4 ห่วงหาอาวรณ์

    “เทียนเทียน” ถานลี่อิงร้องไห้เรียกเขา จิตใจของนางเริ่มสั่นไหวทีเล็กทีละน้อย ทำให้ผนึกที่อยู่ในตัวนางเกิดรอยร้าวใหญ่ขึ้น“ช้าก่อน” เสียงของต้วนจื่อเยี่ยนดังขึ้นพร้อมกับคนในพรรคฝนโลหิตราวห้าสิบคน“เพิ่งจะโผล่มาตอนนี้ เจ้านี่มันจอมฉวยโอกาส” หวังเหว่ยตวาดเขา“หุบปาก เจ้าพวกโง่” ต้วนจื่อเยี่ยนตอกกลับ แล้วถามเหออี้เทียน“หลี่หงจวิ้นเล่า เจ้าฆ่าเขาหรือยัง”“...” เหออี้เทียนไม่ตอบอันใด เรี่ยวแรงของเขาเริ่มจะหมด ทั้งยังเจ็บปวดบาดแผลไปทั่วร่าง“ยังไม่ฆ่ามันสินะ” ต้วนจื่อเยี่ยนเห็นท่าทีของเหออี้เทียนก็พอเดาได้ เมื่อรู้ข่าวจากคนในพรรคว่าหาตัวหลี่หงจวิ้นไม่เจอ เขาก็รีบมาที่นี่ทันที“...” เหออี้เทียนยังคงนิ่งเงียบ“หรือว่าเจ้าโดนเสน่ห์มารของมันแล้ว เฮอะ เจ้าหลี่หงจวิ้นคิดจะเก็บของดีไว้กินผู้เดียว” หวังเหว่ยพูดออกมา“แล้วเจ้านั่นหายไปที่ใด ทำไมไม่มาชิงเหยื่อของตนกลับไป” พรรคหมอกทมิฬสงสัยมองไปรอบ ๆ ตัว“หม

More Chapters
Explore and read good novels for free
Free access to a vast number of good novels on GoodNovel app. Download the books you like and read anywhere & anytime.
Read books for free on the app
SCAN CODE TO READ ON APP
DMCA.com Protection Status