สำนักพยากรณ์เยว่เทียน ที่มีแม่หมอเมิ่งเจียเป็นผู้ดูแลได้ทำการดูดวงชะตาพยากรณ์ให้ผู้คนมาเป็นเวลาหลายสิบปี จนมีชื่อเสียงลื่อเลื่องไปทั่วแคว้นทางตอนเหนือ นักเดินทางจากทั่วทุกสารทิศเมื่อได้ยินกิตติศัพท์ของแม่หมอผู้นี้ก็พากันเดินทางข้ามน้ำข้ามภูเขาเพื่อตรวจดวงชะตา
การค้าขายก็ดี การเรียนก็ดี ดวงชะตางานหมั้นหมายก็ดี ล้วนได้นางเป็นผู้คอยชี้แนะ เรื่องร้ายคลี่คลาย เรื่องดีย่อมดียิ่งขึ้น เป็นที่นับหน้าถือตาของผู้มีจิตศรัทธา นางจึงมีเด็กสาวในตำหนักมากมายเพื่อช่วยจัดการกิจการและคอยเป็นธุระแทนนาง
“ท่านผู้นี้ชะตาวาสนาสูงส่งยิ่งนัก ภายภาคหน้าจะมีอำนาจบารมี บริวารรายล้อม บิดามารดาสุขสบาย”
“แม่นางหรงหรงกับคุณชายลู่ชะตาต้องกันราวกิ่งทองใบหยก งานหมั้นหมายเดือนหน้าวันที่สิบเจ็ดถือเป็นฤกษ์งามยามดี ลูกเต็มบ้านหลานเต็มเมืองครองคู่กันจนแก่เฒ่า”
“พลับพลึงแดงรายล้อม ยามอิ๋นที่หิมะแรกตกลงมา ท่านควรระวังตนเองให้ดี หากผ่านพ้นไปได้เคราะห์ร้ายจะทุเลาลง”
แต่แล้ววันหนึ่งการทำนายพยากรณ์ของนางเริ่มผิดเพี้ยน เสียงเล่าลือก็เริ่มแพร่ไปยังผู้คนที่นับถือนาง คนเหล่านั้นค่อย ๆ หายหน้าหายตา สำนักพยากรณ์เยว่เทียนแห่งนี้เริ่มร้างผู้คนไปเรื่อย ๆ เด็กสาวในสำนักจึงเริ่มออกไปทำงานอื่น สถานที่ที่เคยคลาคล่ำไปด้วยผู้คน กลับเหลือแค่เพียงนางและเด็กสาวอีกคน
“ไป๋อิง เจ้าไปซื้อของในตลาดเถอะ ข้าจะคอยอยู่ที่นี่ เจ้าอยากได้อันใดเพิ่มก็ซื้อมา” เมิ่งเจียบอกนาง
“เจ้าค่ะ แม่หมอ” นางรับคำ
ไปอิ๋ง เด็กสาวอายุสิบห้า รีบมวยผมให้เรียบร้อยแล้วถือตะกร้าเดินออกจากสำนัก
นางเป็นเด็กสาวที่ต่างจากคนอื่น ๆ ในสำนักเยว่เทียนเพราะเป็นคนที่เมิ่งเจียเลี้ยงดูมาตั้งแต่เล็ก นางพบไป๋อิงถูกทิ้งไว้ใต้ต้นแปะก๊วยตอนที่นางกำลังเดินทางไปขอพรวัดบนเขา เพียงแค่มองดวงตาของไปอิ๋งนางก็รับรู้ได้ว่าเด็กคนนี้ไม่เหมือนผู้อื่น ลึก ๆ ข้างในแล้วเหมือนนางถูกกำหนดมาเพื่อทำบางสิ่งบางอย่างที่สำคัญ
ด้วยความที่ไป๋อิงไม่เหมือนใคร เป็นคนที่เงียบ ๆ เด็กสาวคนอื่นเลยไม่กล้ามาคุยหรือเล่นกับนาง ไป๋อิงจึงใช้ชีวิตอย่างสุขสงบในสำนักเรื่อยมา แม้สถานที่แห่งนี้จะร้างผู้คน นางก็ไม่รู้จะไปที่ไหนจึงอยู่ที่นี่ต่อเพื่อตอบแทนบุญคุณเมิ่งเจีย
“ท่านลุง ผักกาดสองหัวกับรากบัวนี้เท่าไหร่หรือ” ไป๋อิงถามพ่อค้า
“ทั้งหมดสิบอีแปะ”
นางยื่นเงินให้เขาแล้ววางของในตะกร้าใบใหญ่ จากนั้นเดินไปซื้อหมั่นโถวสองอันเพื่อนำไปฝากเมิ่งเจียก่อนเดินกลับมาที่สำนัก
ระหว่างทางนางหยุดนั่งเล่นใต้ต้นแปะก๊วย ใบสีเหลืองประดับประดาเต็มต้น สารทฤดูครั้งนี้ทำให้นางนึกถึงชะตาชีวิตของตัวเอง นางหลับตารับความรู้สึกของสายลมที่พัดผ่านอยู่ครู่หนึ่งก่อนเดินกลับ
“แม่หมอ ข้ากลับมาแล้ว วันนี้ท่านจะทานตุ๋นรากบัวใช่หรือไม่” นางถามเมิ่งเจีย
“อื้ม เจ้ารีบไปทำเถอะ ประเดี๋ยวน่าจะมีคนมา”
แม้ว่าการตรวจดวงชะตาของเมิ่งเจียจะผิดเพี้ยนไปราวกับมีพลังของอะไรบางอย่างบดบังการรับรู้ของนาง แต่หากให้ดูลายมือง่าย ๆ นางก็พอจะทำได้
เมิ่งเจียเคยให้ไป๋อิงลองตรวจดวงชะตา ดูลายมือเผื่อนางจะได้เป็นแม่หมอคนต่อไปแต่ก็ไร้วี่แวว ไป๋อิงไม่มีความสามารถทางด้านนี้เลย ทุกวันนี้ไป๋อิงจึงเป็นคนที่คอยไปตลาด หุงหาอาหาร ทำงานบ้านเสมอมา
เช้าวันต่อมา
ไป๋อิงลืมตาแล้วมองไปรอบ ๆ ห้องนอน ก่อนสะดุ้งเฮือก
“ซวยแล้ว หลิวลี่เซียง นี่เธอมาอยู่ในฝันของใครอีก” หลิวลี่เซียงที่ตื่นขึ้นมาพบสิ่งต่าง ๆ รอบตัวไม่เหมือนห้องนอนที่หอก็ตกใจ พอนึกได้ว่าตัวเองคงมาอยู่ในฝันของใครสักคนก็พอจะเดาสถานการณ์ได้
“โอเค! ตอนนี้แต่งตัวแล้วเดินไปดูข้างนอกก่อน” นางบอกตัวเอง
“กี่โมงกี่ยามแล้วเนี่ย”
“ที่นี่ที่ไหน”
นางยังคงพูดกับตัวเอง เมื่อเห็นบรรยากาศรอบนอกที่เป็นบ้านโบราณ ผ้าหลากหลายสีถูกผูกห้อยโยงไปมา กลิ่นธูปหอมลอยมาตามสายลม พลันให้ความรู้สึกเย็นยะเยือก
“หน.. หนาว” หลิวลี่เซียงรีบกลับเข้าไปเปลี่ยนชุดเป็นชุดที่หนาขึ้น
นางเดินออกมาเรื่อย ๆ จนถึงเรือนใหญ่ หญิงวัยกลางคนผู้หนึ่งกำลังเดินออกมาหันมาหาเธอพอดี
“ไป๋อิง ไปวัดกับข้าหรือไม่” นางถาม
ไป๋อิง ใครนะ ข้าหรือ น่าจะใช่แหละ หลิวลี่เซียงคิดในใจ เพราะเมื่อหันไปรอบ ๆ แล้วไม่มีผู้ใด
“เจ้าค่ะ ท่านป้า” เธอต้องตามน้ำไปจนกว่าจะรู้รายละเอียดความฝันครั้งนี้
“เช่นนั้นช่วยข้าถือตะกร้าดอกไม้ เร็วเข้า”
“เจ้าค่ะ ท่านป้า”
“เจ้าเรียกข้าว่าอันใดนะ”
เรียกว่าอะไรนะ แล้วจะรู้ไหมเนี่ย ตอนนี้ตัวเองเป็นใครยังไม่รู้เลย หลิวลี่เซียงคิดในใจ
“ท่านป้าเจ้าค่ะ ท่านดูเป็นผู้น่าเคารพนับถือเป็นที่สุด”
“ช่างเถอะ รีบไปกัน”
หลิวลี่เซียงหรือไป๋อิงเดินตามเมิ่งเจียไปตามทาง ทางขึ้นเขาลูกนี้มีต้นแปะก๊วยเรียงรายสองข้างทาง ใบสีเหลืองตัดกับลำต้นสีเข้มดูสวยงามน่าหลงใหล บันไดทางขึ้นเขาก่อเรียงเป็นขั้น ๆ อย่างเป็นระเบียบ เมื่อเดินมาถึงบนเขา เมิ่งเจียพาไป๋อิงไปไหว้สักการะรูปปั้นพระองค์ใหญ่ ก่อนจะพานางไปพบพระรูปหนึ่ง
“เมิ่งเจีย วันเกิดไป๋อิงปีนี้อายุครบสิบห้าแล้วหรือไม่” พระรูปนั้นถามนาง
“เจ้าค่ะ วันนี้เป็นวันเกิดนางข้าเลยพานางมาพบท่าน” เมิ่งเจียตอบแทนไป๋อิง หลังจากพูดคุยธุระกันเสร็จแล้วทั้งสองคนก็ขอตัวกลับ
อื้ม ข้าชื่อไป๋อิ๋ง วันนี้อายุสิบห้า ผู้หญิงคนนี้เมิ่งเจีย ต้นแปะก๊วยกับวัดแห่งนี้ดู คุ้นมาก แต่นึกไม่ออก หลิวลี่เซียงคิดในใจ
“แม่หนู แม่หนู” เสียงหญิงชราผู้หนึ่งเรียกใครบางคน
เมิ่งเจียหันไปทางเสียงเรียกของนาง
“ท่านยาย ไม่เจอกันนาน สบายดีหรือ” เมิ่งเจียถามไถ่
“แม่หนูคนนี้” นางกวักมือเรียก
“ไป๋อิ่ง ท่านยายเรียกเจ้า มาตรงนี้”
“เจ้าค่ะ” หลิวลี่เซียงลืมไปว่าตอนนี้เธอคือไป๋อิง
“แม่หนู เจ้าต้องช่วยพวกเขาให้ได้นะ เจ้าต้องช่วยทุกคนให้ได้” นางกุมมือไป๋อิงไว้ราวกับจะฝากความหวัง
แม้ไม่รู้ว่าท่านยายกำลังพูดเรื่องอะไร หลิวลี่เซียงก็พยักหน้า
เมิ่งเจียได้แต่ยืนมองด้วยความงุนงง จากนั้นทั้งคู่ก็ลงมาจากเขาแล้วกลับสำนักเยว่เทียน
ด้านหน้าสำนักมีสตรีนางหนึ่งกำลังรอพบเมิ่งเจีย
“แม่หมอ ๆ ท่านช่วยข้าด้วย” นางกล่าวสะอื้น
“ท่านใจเย็นลงหน่อยเถิด มา ๆ ไปคุยกันข้างในดีกว่า” เมิ่งเจียพานางเข้าสำนัก “ไป๋อิง เจ้ามานั่งข้าง ๆ ข้า”
แม้ไม่รู้ว่าต้องทำอะไรหลิวลี่เซียงก็เข้ามานั่งลงตรงข้าง ๆ เมิ่งเจียก่อนพยายามนึกเรื่องราวที่จะต้องเกิดขึ้นในฝัน
“แม่นาง คู่กันแล้วย่อมไม่แคล้วกัน คุณชายท่านนั้นดวงชะตาคู่ขนานกับท่าน สายน้ำไม่มีวันบรรจบ หากท่านยังตัดใจจากเขาไม่ได้ ท่านย่อมเจ็บปวดเพียงผู้เดียว”
“แต่ข้ารักเขามากเหลือเกิน มีทางใดหรือไม่แม่หมอ” นางอ้อนวอน
“หากท่านฝืนโชคชะตา สิ่งที่ท่านต้องสละ ท่านยอมได้หรือ ของสิ่งนั้น ข้าไม่รู้หรอกว่าท่านจะต้องเสียเมื่อใดเสียเท่าไร ท่านลองเก็บไปคิดดูก่อน” เมิ่งเจียกล่าวความจริงกับนาง
ไป๋อิง เมิ่งเจีย ต้นแปะก๊วย วัดบนเขา ท่านยาย แม่หมอ ช่วยให้ได้ คำทำนาย หลิวลี่เซียงทบทวนในใจอีกครั้งก่อนอุทานเสียงดังจนทำให้คนที่นั่งข้าง ๆ สองคนผวา
“ตายแน่ ๆ!”
“เป็นใครไม่เป็น ทำไมต้องมาเป็นคนนี้ ตาย ตายแน่ ๆ ทำอย่างไรก็ต้องตายแน่นอน” หลิวลี่เซียงพูดออกมา
แม่นางผู้นั้นได้แต่ตกใจกับสิ่งที่ไป๋อิงพูด ถึงขนาดคิดว่าดวงชะตาของนางต้องขาดสะบั้น หากนางยังดันทุรังฝืนโชคชะตาที่สวรรค์ลิขิต จึงรีบบอกแม่หมอว่าไม่ต้องทำอันใดอีกแล้ว นางจะตัดใจจากเขาให้ได้แล้วขอตัวกลับ
“ไป๋อิง เจ้าเห็นคำทายหรือ” เมิ่งเจียถามด้วยความสงสัย เมื่อเห็นไป๋อิงบ่นงึมงำก็ถามนางอีกครั้ง
“ไป๋อิง เจ้าได้ยินที่ข้าถามหรือไม่”
“เจ้าค่ะ เจ้าค่ะ เปล่าเจ้าค่ะ ข้าเพิ่งจะนึกเรื่องบางอย่างออก ข้าขอตัวก่อนนะเจ้าคะท่านป้า”
“เจ้า ๆ เฮ้อ” เมิ่งเจียรู้สึกได้ว่าไป๋อิงเปลี่ยนจากคนที่ไม่ค่อยพูด ท่าทางเนิบ ๆ จิตใจเงียบสงบกลายเป็นอีกคนไปแล้ว เข้าใจว่านางอาจจะเริ่มโตเป็นสาวจึงไม่ได้คิดอะไรมาก
หลิวลี่เซียง อย่าบอกนะว่าเข้ามาในฝันของไป๋อิงคนนั้นน่ะ โอ๊ย! ทำไมจะต้องมาเข้าฝันคนที่ต้องตายด้วยนะ ไม่ได้ ๆ ถึงจะเป็นในฝันถ้าโดนแบบนั้นก็เจ็บเหมือนกัน ความรู้สึกสมจริงสุด ๆ รอบนี้ข้าต้องไม่ตาย ไป๋อิงต้องรอด นางบอกกับตัวเองด้วยความมุ่งมั่น
ไป๋อิงเดินออกมาที่ตลาด แล้วถามทางไปจวนสกุลหวัง นางค่อย ๆ เดินไปตามทางพลางดูบรรยากาศรอบ ๆ ผู้คน ร้านค้า ที่แห่งนี้ดูต่างจากตอนที่อยู่ในฝันของหลี่เหลียนฮวาเล็กน้อย เมืองนี้เป็นเมืองเล็ก ๆ ที่อยู่ไกลจากเมืองหลวงพอสมควร เมื่อมาถึงด้านหน้าจวนที่ใหญ่โตโอ่อ่า ไป๋อิงเดินวนไปวนมาคล้ายกับกำลังลังเลใจก่อนเดินไปถามทหารยามหน้าประตู
“เอ่อ พี่ชายท่านนี้ ข้าขอพบคุณชายได้หรือไม่” ไป๋อิงถามเขา
“เจ้าเป็นผู้ใด”
“ข้า เอ่อ อยู่ที่สำนักเยว่เทียน” นางตอบเขาตามจริง
“ไป ๆ คุณชายไม่อยากยุ่งกับพวกเจ้า” เขาไล่นาง
“ใช่ ๆ ไม่ต้องมาโน้มน้าวคุณชายให้ไปตรวจดวงชะตากับเจ้าหรอก เขาไม่มีทางเชื่อเรื่องพวกนี้” ทหารยามอีกคนพูดเสริม
หวังจางเหว่ย อย่าให้ข้าเจอเจ้าข้างนอกนะ ไป๋อิงคิดในใจด้วยความฉุนเฉียวเมื่อนึกถึงเรื่องในความฝันที่เขาเป็นต้นเหตุให้นางต้องตาย
นางเดินกลับสำนักเพื่อคิดหาวิธีมาพบเขาวันหลัง เพื่อคลายความเครียดนางจึงแวะหาของกินที่ตลาด
“โอ๊ะ หอโคมแดงงั้นหรือ” ไป๋อิงมองไปที่ป้ายก่อนจะเห็นชายหนุ่มผู้หนึ่งเดินออกมาพร้อมสาว ๆ หลายคนรายล้อมก่อนจะหน้าแดงแล้วรีบเดินผ่านไป
“เถ้าแก่ เนื้อตุ๋นให้ข้าหนึ่งชาม” นางสั่งเจ้าของร้าน
ไป๋อิงกินอย่างเอร็ดอร่อย ก่อนจะหยิบเงินในถุงขึ้นมา
สิบอีแปะ แย่ละ ลืมไปว่าไม่ใช่หลี่เหลียนฮวา จะได้มีเงินถุงเงินถังมากมายขนาดนั้น แต่แบบนี้ก็น้อยเกินไปแล้ว ไป๋อิงคิดในใจ
“เอ่อ เถ้าแก่ ข้ามีเท่านี้ ที่เหลือเดี๋ยวข้าหามาให้ เจ้าก็รู้ว่าข้าอยู่ที่ใด ใช่หรือไม่” ไป๋อิงเอ่ย
“ข้ารู้ แต่เจ้าต้องจ่ายวันนี้” เถ้าแก่ตอบ
“นี่ ๆ เถ้าแก่ เดี๋ยวข้าจ่ายให้นางเอง” เสียงดังมาจากโต๊ะด้านใน
ไป๋อิงหันไปตามต้นเสียง คิดอยากจะขอบคุณเขาที่ให้ความช่วยเหลือนาง พอเขาเห็นนางหันไปหา เขาก็ยิ้มหวานกลับมา
คนที่อยู่หน้าหอโคมแดงเมื่อครู่นี่นา แต่ถึงอย่างไรก็คงต้องให้เขาช่วย แม่หมอเมิ่งเจียไม่มีเงินขนาดนั้นหรอก ทุกวันนี้ยังได้กินแต่ต้มน้ำแกงหัวผักกาดเลย เมื่อคิดถึงสภาพการเงินของสำนักเยว่เทียนแล้วนางถึงกับท้อ
“ขอบคุณคุณชาย ข้าขอตัว” ไป๋อิงกล่าวสั้น ๆ เพราะไม่อยากเกี่ยวข้องกับบุรุษเจ้าสำราญมากนักแล้วเดินจ้ำอ้าวออกจากร้าน
“เจ้า! เดี๋ยวก่อน” เขาพยายามเรียกนางก่อนรีบวิ่งตามมา
“เจ้า นี่ข้ากำลังเรียกเจ้าอยู่นะ หยุดก่อน!”
เมื่อเห็นแล้วว่านางทำเมินเขาก็วิ่งไปขวางนางไว้
“คุณชาย ท่านมีอันใดหรือเจ้าคะ” นางถามแม้ไม่อยากฟังคำตอบ
“เมื่อครู่ ข้าเพิ่งจ่ายค่าเนื้อตุ๋น เจ้าไม่แม้แต่บอกชื่อแซ่เลยหรือ ส่วนตัวข้า ลู่เฟยเทียน เจ้าเรียกข้าเทียนเกอก็ได้”
“อื้ม คุณชายลู่ ข้าขอบคุณท่านจริง ๆ แล้วข้าจะหาโอกาสตอบแทนเนื้อตุ๋นท่านคราวหน้า”
“เจ้ายังไม่บอกชื่อข้า หากวันหน้าเจ้าลืมข้า ข้าจะไปตามหาเจ้าได้ที่ใด” เขาคะยั้นคะยอ
“ไป๋อิง สำนักพยากรณ์เยว่เทียนเจ้าค่ะ” นางกัดฟันตอบ
“ไป๋อิง ชื่อเพราะนัก ยินดีที่ได้รู้จัก” เขายิ้มให้นางอีกครั้งก่อนยอมปล่อยให้นางเดินกลับสำนัก
ลู่เฟยเทียน ใครกัน ทำไมนึกไม่ออก
“ท่านป้า ข้ากลับมาแล้ว”
“ไป๋อิงเจ้ามานี่”
เมิ่งเจียจับหน้าไป๋อิง หันไปทางซ้ายทีขวาที แล้วจับหน้าผากนางว่าตัวร้อนหรือไม่
“ไป๋อิง วันนี้เจ้าดูแปลก ๆ ไม่สบายหรือไม่” นางถามด้วยความเป็นห่วงเพราะปกติไป๋อิงจะไม่ค่อยชอบออกไปที่ใด เก็บตัวอยู่แต่ในห้อง
“สบายดีเจ้าค่ะ ไม่เป็นอันใดเลย ท่านป้า” ไป๋อิงพยายามตอบให้ดูธรรมชาติมากที่สุด
“อื้ม เช่นนั้นเจ้าจะทำอันใดก็ไปเถอะ” เมิ่งเจียบอกนาง
ไป๋อิงกลับห้อง คืนนี้นางคิดทั้งคืนเพื่อวางแผนว่าจะทำอย่างไรให้ทุกคนเชื่อโดยเฉพาะคุณชายสกุลหวังผู้นั้น
-----------------------------------------------------------------------
เช้าวันต่อมา
“ท่านป้า ข้าออกไปธุระก่อนนะเจ้าคะ” ไป๋อิงตะโกนบอกเมิ่งเจียก่อนจะรีบเดินไปที่จวนสกุลหวัง
“เจ้า...” เมิ่งเจียยังไม่ทันได้พูดจบก็ไม่เห็นนางแล้ว ทั้งยังสงสัยว่าเช้าขนาดนี้นางจะรีบไปไหน เพราะปกติแล้วนางต้องทำข้าวเช้าแล้วมาช่วยเมิ่งเจียเตรียมของในสำนัก
เมื่อเดินมาถึงจวนสกุลหวัง ไป๋อิงแอบเดินไปด้านข้างก่อนจะปีนกำแพงดูลาดเลา นางหยิบหินก้อนหนึ่งขึ้นมา เอากระดาษที่นางเขียนข้อความเตือนไว้เมื่อคืนห่อไว้แล้วเขวี้ยงเข้าไปในจวน แต่บังเอิญหินก้อนใหญ่ดันปลิวไปโดนแจกันลายครามของคุณชายหวังดังเพล้ง จากนั้นความวุ่นวายในจวนก็เริ่มขึ้น ไป๋อิงเห็นหวังจางเหว่ยโมโหหน้าแดงที่มีคนทำของประจำตระกูลแตก เขารีบสั่งให้ทหารหาตัวคนทำ โดยไม่สนใจกระดาษที่นางตั้งใจเขียนเตือนเขา แล้วตัวนางจะรอช้าอยู่ใย รีบกระโดดลงมาข้างล่างก่อนเผ่นแนบไปอีกทาง
แน่นอนว่าเมื่อวาน นางเดินสำรวจถนนหนทางในเมืองนี้เรียบร้อยเพื่อหาทางหนีไว้หลาย ๆ ทาง วันนี้นางจึงจะเดินสำรวจอีกรอบจะได้จำขึ้นใจแล้วค่อยวางแผนใหม่
ไป๋อิงวิ่งไปจนสุดถนนก่อนเลี้ยวเข้าซอยทางด้านขวา เอาตะกร้าใบใหญ่คลุมหัวไว้เพื่อหลบทหารยาม
ชีวิต! ช่างรันทด นางบ่นในใจ
เสียงฝีเท้าคู่หนึ่งเดินมาใกล้ ๆ ตรงที่นางซ่อนตัวอยู่ คนผู้นั้นค่อย ๆ นั่งลงข้าง ๆ ก่อนจะหยิบซาลาเปาออกมากิน กลิ่นหอมโชยเข้าจมูกของไป๋อิงในทันใด จนทำให้ท้องร้องเสียงดัง แต่นางยังคงอดทนนั่งนิ่ง ๆ เพราะกลัวว่าคนผู้นี้จะรู้ ไฉนเลยจะรู้ว่าตนเองถูกแกล้งเสียแล้ว
คนผู้นั้นหยิบตะกร้าที่นางครอบไว้ออกแล้วพูดว่า
“ไม่ยักรู้ว่าตรงนี้มีคน เจ้าเองหรอกหรือไป๋อิง” เขาพูดก่อนยักคิ้วข้างหนึ่งแล้วยิ้มให้นาง
“เจ้าไปในซอยตรงโน้น ส่วนเจ้าแยกไปทางนั้นกับข้า” เสียงทหารยามดังขึ้น
“เจ้าเอาตะกร้าลงมา อย่าบอกใครว่าข้าอยู่นี่” ไป๋อิงขอร้องเขา
ลู่เฟยเทียนเลิกคิ้วทำหน้าครุ่นคิด
เมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าของทหารยามเดินมาใกล้ขึ้น เขาก็รีบทิ้งตะกร้าครอบตัวไป๋อิงไว้แล้วทำตัวตามปกติ มาดคุณชายของเขาทำให้ทหารยามยามไม่สงสัยเดินผ่านไป
โอ๊ยเจ็บ ทิ้งตะกร้าแรงขนาดนี้ จะช่วยข้าหรือแกล้งข้ากันแน่
“ปลอดภัยแล้ว” เขาบอกนางก่อนยกตะกร้าขึ้น
“ขอบคุณคุณชาย” นางกล่าวก่อนรีบเดินเข้าตลาดเพื่อหาของกิน ไป๋อิงรีบออกจากสำนักตั้งแต่เช้าจนบัดนี้ผ่านมาสองชั่วยามแล้ว อาหารยังไม่ตกถึงท้องสักนิดเดียว
นางเดินไปที่ร้านซาลาเปาเพื่อซื้อสองลูกก่อนจะดูเงินของตนเองในกระเป๋า
โธ่เอ๋ย เงินไม่พอ
ไป๋อิงจึงได้แต่ยืนมองจนเสียงท้องร้องอีกรอบ
“เถ้าแก่ ซาลาเปาสองลูก” ลู่เฟยเทียนที่เดินตามมาบอกเถ้าแก่
“ข้าให้เจ้า สองลูก” เขายื่นซาลาเปาที่เพิ่งซื้อให้นาง
“คุณชายลู่ วันนี้ท่านน่ารักยิ่งนัก” เสียงหญิงสาวผู้หนึ่งเอ่ยขึ้น
“คุณชายลู่คืนนี้ท่านจะมาที่หอโคมแดงหรือไม่” หญิงสาวอีกคนหนึ่งถามเขา
ลู่เฟยเทียนยิ้มให้พวกนางก่อนบอกว่าส่ายหัวปฏิเสธ
ไป๋อิงสบโอกาสที่จะเดินเลี่ยงเขาตอนที่เขาพูดคุยกับหญิงสาวจากหอโคมแดง แต่เมื่อเขาเห็นนางรีบเดินไปอีกทาง เขาก็ปลีกตัวจากหญิงสาวทั้งสองคนแล้วเดินตามนางอย่างไม่ลดละ
คุณชายเจ้าสำราญผู้นี้ ทำไมต้องตามข้าขนาดนี้ เป็นโรคจิตหรืออย่างไร ไป๋อิงได้แต่คิดในใจจนเดินมาถึงหน้าสำนัก
“นี่ท่านตามข้ามาทำไม” นางถามเขาด้วยความสงสัย
“วันนี้ข้าช่วยเจ้าหนึ่งครั้งแถมซื้อของกินให้เจ้าอีก แต่เจ้ากลับพูดคุยกับข้าแค่ไม่กี่ประโยค” เขาตอบ
“เช่นนั้นคุณชายต้องการอันใดหรือเจ้าคะ ไหน ๆ ก็มาถึงสำนักข้าแล้ว ดูลายมือไหมเจ้าคะ” นางถามเขา
“สำนักเยว่เทียน น่าสนใจ”
“ท่านป้า คุณชายผู้นี้อยากดูลายมือเจ้าค่ะ” ไป๋อิงเดินไปหาเมิ่งเจียที่อยู่ด้านใน
“เชิญคุณชายเจ้าค่ะ แม่หมอเมิ่งเจียอยู่ด้านในแล้ว”
เขายิ้มให้นางก่อนจะเดินตามไป
เมิ่งเจียจับมือเขา มองเห็นลายมือที่ซับซ้อน แต่ก็สังเกตว่ามือของเขานั้นกลับไม่เหมือนมือของคุณชาย นางเห็นแผลเป็นเล็ก ๆ ที่มือของเขา
“คุณชายท่านนี้ หน้าที่การงานสูงส่ง แต่อันตรายอย่างยิ่ง ต้องระวังตัวให้มากนะเจ้าคะ คู่ครองอยู่ใกล้ ๆ อีกสามวัน ท่านจะพบนางที่ใต้ต้นแปะก๊วย
เขาหันมามองไป๋อิงแล้วยิ้มให้อย่างมีเลศนัย
หลังจากเรื่องราวต่าง ๆ ผ่านมาครบหนึ่งร้อยวัน เทพพิทักษ์กฎสั่งให้นำตัวเหรินฮ่าวหรานและหลิวลี่เซียงเข้ามาที่ท้องพระโรงเพื่อไต่สวนครั้งสุดท้าย หากดูจากภายนอกแล้ว หลิวลี่เซียงเหมือนกลับมาเป็นปกติ แต่เหล่าเทพเซียนทั้งหลายยังคงกังขาว่านางหายจากมนตร์ปีศาจแล้วหรือไม่ ส่วนเหรินฮ่าวหรานนั้น ร่างกายภายนอกดูไม่เป็นอันใดเพราะยาจากชิวฉือ แต่ภายในนั้นบอบช้ำเกินพรรณนา“เทพบุปผา ท่านยืนยันได้หรือไม่ว่าสติของท่านกลับมาเป็นเช่นเดิมแล้ว” เทพพิทักษ์กฎถามนางขึ้นท่ามกลางเสียงพูดคุยของเหล่าเทพเซียน“อื้ม” นางพยักหน้า สายตายังคงมองไปที่เหรินฮ่าวหรานด้วยความเป็นห่วง เวลานี้ไม่คิดสนใจผู้ใดนอกจากเขา“เรื่องของท่านกับเขา เหรินฮ่าวหรานเคยกล่าวว่าเขาไม่ได้ทำเรื่องเช่นนั้น ท่านยืนยันได้หรือไม่”“ข้ายืนยันได้ เขาไม่มีวันทำร้ายข้า ทั้งไม่จำเป็นต้องใช้มนตร์ปีศาจเพื่อให้ข้าหลงรักเขา ไม่ว่าจะอยู่ในชาติภพใด เขาจะคอยปกป้องข้า ไม่มีวันทอดทิ้ง” หลิวลี่เซียงพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง“ท่านเพิ่งได้พบเจอเขา เหตุใดถึงเชื่อใจเขา” เทพวารีก
“เช่นนั้น ข้าจะให้เจ้าคอยรักษานางจนครบหนึ่งร้อยวัน แล้วข้าจะไต่สวนเรื่องราวอีกครั้ง” เทพพิทักษ์กฎกล่าวโดยสรุปก่อนจะหันไปทางคนที่เหลือ“พวกเจ้าเป็นเผ่าพันธุ์จิ้งจอก ดินแดนเทพไม่อาจตัดสินความถูกผิดได้ ข้าส่งจะตัวพวกเจ้าไปที่แคว้นชิงชิว”ซือมู่เฉินยืนขึ้นเผชิญหน้ากับเทพพิทักษ์กฎ ท่ามกลางความแปลกใจของทุกคนที่อยู่ในท้องพระโรง“หากข้าไม่ได้ทำความผิด ไม่ว่าผู้ใดก็ตัดสินข้าไม่ได้” ซือมู่เฉินเผยตราราชวงศ์เมืองฉางให้พวกเขาดู“องค์รัชทายาทเช่นนั้นหรือ” เทพองค์หนึ่งพูดขึ้น“พวกเจ้าอย่าทำให้เรื่องนี้เป็นปัญหาระหว่างเผ่าพันธุ์ไปเลย ข้ายืนยันว่าข้าและสหายบริสุทธิ์ใจ ระหว่างที่เหรินฮ่าวหรานรักษานาง พวกข้าจะออกตามหาคนต้นเหตุเพื่อมารับโทษให้ได้”“ด้วยเกียรติและศักดิ์ศรีของจิ้งจอกเก้าหาง วาจาที่เอ่ยออกมาแล้วไม่สามารถบิดพลิ้วได้ มิเช่นนั้นจะถูกวาจาศักดิ์ย้อนกลับมาทิ่มแทงตนเอง รวมถึงนางด้วยใช่หรือไม่” เทพพิทักษ์กฎทวนเขาอีกครั้งถึงสิ่งที่เขาเดิมพันเอาไว้ขณะหันไปมองไป๋เยว่ซิน“ข้า
เหรินฮ่าวหรานไม่รอช้าหยิบมีดขึ้นมากรีดลงที่ตรงหน้าอก พลันเลือดสีแดงฉานไหลริน เขารีบนำภาชนะรองมาให้หลิวลี่เซียงดื่มจนกว่านางจะดีขึ้น“พอแล้ว” ซือมู่เฉินห้ามปราม“แต่นาง...” เหรินฮ่าวหรานมองหลิวลี่เซียงด้วยสีหน้ากังวล“วันนี้พอเท่านี้ อีกครู่หนึ่งนางจะหาย”หลิวลี่เซียงมีท่าทีสงบลง สีตาของนางกลับมาเป็นเช่นเดิม สติที่หายไปเริ่มกลับมาจนแก้มของนางสีแดงระเรื่ออีกครั้ง นางรีบหันหลังหลบสายตาของเหรินฮ่าวหราน“เป็นอันว่า นางหายดีแล้ว ไม่ต้องกังวลแล้วล่ะเสี่ยวหราน เจ้าตามข้ามา เรามีเรื่องต้องคุยกัน” ซือมู่เฉินบอกเขาแล้วเดินออกจากห้องไปรอข้างนอก“เถอะน่า รีบตามไปเร็วเข้า เดี๋ยวข้าอยู่กับนางเอง” ไป๋เยว่ซินเห็นท่าทีของเขาก็รีบบอกให้คลายกังวล เหรินฮ่าวหรานพยักหน้าแล้วตามออกไป“ซินซิน เมื่อครู่ข้าทำอันใดไปบ้าง” หลิวลี่เซียงหามาถามไป๋เยว่ซิน“อาเซียง ไม่นึกเลยว่าเจ้าจะมีท่าทางเช่นนี้ แต่เจ้าไม่ต้องคิดอันใดมากหรอก เจ้าเพิ่งจะโดนมนตร์ปีศาจจิ้งจอกมา”“ถ
เหรินฮ่าวหรานลงจากล่างเขาดินแดนเทพมาอยู่ในดินแดนมนุษย์ได้สามสี่วัน เขาใช้เวลาว่างคิดทบทวนเรื่องของตนเองกับหลิวลี่เซียง ระยะเวลาสองพันปีที่เขารอคอยนางมา หากคำตอบไม่เป็นอย่างที่ใจหวัง เขาจะทำเช่นไรทว่าเรื่องหัวใจของตนเองนั้น ไม่จำเป็นต้องใช้เวลาคิดให้นานนัก ใช่ว่าเรื่องแบบนี้จะเคยเกิดขึ้นเป็นครั้งแรกเสียหน่อย ความฝันที่ผ่านมาแต่ละครั้งก็เปรียบเสมือนชาติภพที่เขาและนางต้องเผชิญร่วมกันในฐานะที่แตกต่างกันไป เหรินฮ่าวหรานตัดสินใจได้แล้วว่า ไม่ว่าคำตอบเป็นเช่นไร เขาจะยังคงรอนางอย่างที่เคยรอเสมอมา ความรักของเขาจะมอบให้นางแต่เพียงผู้เดียว เมื่อคิดได้เช่นนั้นแล้ว เหรินฮ่าวหรานเริ่มยิ้มออก ใจที่เคยสับสนค่อยผ่อนคลายลงเหรินฮ่าวหรานเก็บของเตรียมจะออกจากโรงเตี๊ยม จู่ ๆ เขาก็เห็นผีเสื้อสีขาวบินมาจากทางหน้าต่างห้องผีเสื้อนำทาง ผู้ใดกำลังตามหาข้าอยู่หรือ เหรินฮ่าวหรานเอื้อมมือแตะที่ผีเสื้อตัวนั้นก่อนจะออกมายืนริมหน้าต่าง สายตาของเขาทอดมองไปยังเบื้องล่าง พลันได้พบเจอคนผู้หนึ่งยืนส่งยิ้มมาให้ก็ใจเต้นรัวหลิวลี่เซียง เขาไม่รอช้ากระโดดลงมาจากชั้นสองของโรงเต
ท้องฟ้าสีครามแต้มด้วยปุยเมฆขาว ๆ ในวันนี้ก็ยังคงเป็นดั่งเช่นทุกวันที่ผ่านมา ฝูงปักษาสวรรค์ที่นานครั้งจะปรากฏตัวอวดโฉมต่างพากันโผบินไปยังตำหนักเทพเบื้องบนราวกับมีงานชุมนุมรื่นเริง ด้านล่างทางขึ้นเขาดินแดนเทพมีหอเซียนต่าง ๆ มากมายสำหรับเซียนที่คอยทำหน้าที่เป็นสื่อกลางระหว่างเทพ มนุษย์ และเผ่าอื่น ๆ ในใต้หล้าริมทะเลสาบด้านหลัง มีเซียนหนุ่มผู้หนึ่งที่มีหน้าที่รับคำวิงวอนจากมนุษย์ส่งให้เหล่าเทพได้ปลีกตัวจากความวุ่นวายในหอเซียนไปนั่งชื่นชมธรรมชาติที่เงียบสงบอย่างเช่นเคยหลิวลี่เซียง เจ้าอยู่ที่ใดกัน เซียนหนุ่มผู้นี้ถอนหายใจพลางมองไปยังเป็ดยวนยางคู่หนึ่งเป็ดยวนยางยังมีคู่แล้วเจ้าอยู่แห่งหนใด ความฝันนี้ช่างยาวนานเหลือเกิน แต่ไม่มีเจ้าราวกับชีวิตมีบางสิ่งขาดหายไปความรำพึงรำพันของเขาเช่นนี้คงจะไม่เกิดขึ้นหากได้พบนางในฝัน แต่ความฝันครั้งนี้ได้เริ่มขึ้นเมื่อสองพันปีก่อน ครั้นเมื่อรู้ว่าตัวเองได้เกิดเป็นเซียนก็คอยแต่จะตามหานางทุก ๆ วัน ไม่ว่าจะดินแดนเซียน ดินแดนมนุษย์ เผ่าอื่น ๆ ล้วนแล้วแต่เคยไปมาทั้งหมด หากแต่ไม่มีวี่แววจะได้พบกับนาง เหลือเพียงแต
“เทียนเทียน” ถานลี่อิงร้องไห้เรียกเขา จิตใจของนางเริ่มสั่นไหวทีเล็กทีละน้อย ทำให้ผนึกที่อยู่ในตัวนางเกิดรอยร้าวใหญ่ขึ้น“ช้าก่อน” เสียงของต้วนจื่อเยี่ยนดังขึ้นพร้อมกับคนในพรรคฝนโลหิตราวห้าสิบคน“เพิ่งจะโผล่มาตอนนี้ เจ้านี่มันจอมฉวยโอกาส” หวังเหว่ยตวาดเขา“หุบปาก เจ้าพวกโง่” ต้วนจื่อเยี่ยนตอกกลับ แล้วถามเหออี้เทียน“หลี่หงจวิ้นเล่า เจ้าฆ่าเขาหรือยัง”“...” เหออี้เทียนไม่ตอบอันใด เรี่ยวแรงของเขาเริ่มจะหมด ทั้งยังเจ็บปวดบาดแผลไปทั่วร่าง“ยังไม่ฆ่ามันสินะ” ต้วนจื่อเยี่ยนเห็นท่าทีของเหออี้เทียนก็พอเดาได้ เมื่อรู้ข่าวจากคนในพรรคว่าหาตัวหลี่หงจวิ้นไม่เจอ เขาก็รีบมาที่นี่ทันที“...” เหออี้เทียนยังคงนิ่งเงียบ“หรือว่าเจ้าโดนเสน่ห์มารของมันแล้ว เฮอะ เจ้าหลี่หงจวิ้นคิดจะเก็บของดีไว้กินผู้เดียว” หวังเหว่ยพูดออกมา“แล้วเจ้านั่นหายไปที่ใด ทำไมไม่มาชิงเหยื่อของตนกลับไป” พรรคหมอกทมิฬสงสัยมองไปรอบ ๆ ตัว“หม