หลี่หลงหลินส่ายหน้ายิ้มๆ “ย่อมไม่เป็นเช่นนั้น! ในเมื่อระยะนี้เสด็จพ่อประทับที่ตำหนักฉางเล่อบ่อยๆ หลังเสด็จพ่อบรรทมแล้ว ท่านสามารถท่อง ‘คัมภีร์กตัญญู’ ก่อนนอนหนึ่งรอบได้หรือไม่?”“เสด็จพ่อเป็นคนกตัญญูคนหนึ่ง นี่ก็ใกล้วันคล้ายวันพระราชสมภพของเสด็จย่าแล้ว หากท่านทำเช่นนี้ พระองค์ต้องดีพระทัยแน่นอน!”หลินกุ้ยเฟยชะงัก พูดอย่างปลื้มปีติดีใจ “ท่อง ‘คัมภีร์กตัญญู’ นี่ไม่ใช่ปัญหา! ได้ แม่รับปากเจ้า!”หลี่หลงหลินกล่าวลา รีบออกจากวัง กลับภูเขาทิศประจิมปัง!หลี่หลงหลินวางหนังสือบันทึกกองใหญ่ลงตรงหน้าหนิงชิงโหวหนิงชิงโหวเอ่ยถามอย่างแปลกใจ “องค์ชาย นี่ท่าน...”หลี่หลงหลินพูดโดยตรงไม่อ้อมค้อม “เหล่านี้ล้วนเป็นหนังสือที่เสด็จพ่อข้าชอบอ่าน! เจ้าอยากเป็นจอหงวน ก็ต้องอิงตามความชอบของผู้อื่น! เจ้ารีบเรียกคนอื่นมา วิเคราะห์หนังสือเรียงความเหล่านี้!”“หยั่งเดาความชอบของเสด็จพ่อ ลอกแบบทิศทางเรียงความของพระองค์ ไปเขียนเรียงความปากู่เหวิน!”หนิงชิงโหวเอ่ยปากอย่างตกตะลึง “ยังสามารถทำเช่นนี้ได้? แต่เรื่องเขียนเรียงความคือความศักดิ์สิทธิ์...”หลี่หลงหลินด่า “ก็แค่สอบสร้างชื่อเสียงเท่านั้น ศักดิ์สิทธิ์
หนิงชิงโหวประกบมือ “องค์ชายเป็นคนซื่อตรงผ่าเผย มีรัศมีของสุภาพชน ข้าเลื่อมใสอย่างลึกซึ้ง!”ซูเฟิ่งหลิงเบ้ปาก “สุภาพชน? หากเขาเป็นสุภาพชน ทั่วหล้าก็คือนักบุญแล้ว! พูดตามสัตย์จริง ก็แค่ไม่กล้าเท่านั้นมิใช่หรือ?”นี่คือวิธีสร้างความฮึกเหิมที่หลี่หลงหลินใช้กับซูเฟิ่งหลิงบ่อยๆ เห็นผลได้อย่างชัดเจนซูเฟิ่งหลิงลอบร่ำเรียน ใช้วิธีของผู้อื่นมาตอบโต้กลับในทำนองเดียวกันดังคาด แน่นอนว่าเสียเปล่า!หลี่หลงหลินยิ้ม การยั่วยุงุ่มง่ามเช่นนี้ ตนเองจะหลงกลได้เยี่ยงไรซูเฟิ่งหลิงทำไม่สำเร็จ จากอายกลายเป็นโกรธ “ในเมื่อไม่ได้โกง เช่นนั้นท่านรีบพูดเถอะ ตกลงวางแผนทำเยี่ยงไร?”หลี่หลงหลินพูดเรียบๆ “เดาคำถาม!”ดวงตาหนิงชิงโหวทอประกายเดาคำถาม ก็คือคาดเดาคำถามในการสอบ!อันที่จริงก็คือโชคดีหล่นทับ!สำนักศึกษาใหญ่ทุกแห่งก็มีการเดาคำถามในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ผู้เดาคำถามถูกมีไม่มากสาเหตุนั้นง่ายมากคนออกคำถามจะพยายามตั้งคำถามซับซ้อนที่สุดไฉนเลยจะมีคนเดาได้อย่างง่ายดาย?ครั้งนี้ไม่เหมือนกันคนออกคำถาม มิใช่สมาชิกสำนักฮั่นหลิน แต่เป็นฮ่องเต้หวู่เขาไม่มีเล่ห์กลมากเพียงนั้นกอปรกับระยะนี้ตนเองทำคว
บัดนี้เป็นเวลาใดเล่า?ชนเผ่าป่าเถื่อนทางตอนเหนือใกล้จะมาถึงหน้าประตูบ้านแล้วฝ่าบาทยังสนใจเรื่องกตัญญูอยู่อีกหรือ?นี่ช่างไร้สาระเกินไปแล้วกระมัง!ซูเฟิ่งหลิงพูดอย่างโกรธขึ้ง “องค์ชายเก้า พวกเรากำลังเดาคำถามอยู่นะ เหตุใดท่านเล่นไร้สาระ?”หลี่หลงหลินหัวเราะคิกๆ พลางพูด “ข้าเล่นไร้สาระที่ใดกัน? อิงตามความเข้าใจต่อเสด็จพ่อของข้า คำถามที่พระองค์ออกในครั้งนี้ จะต้องเกี่ยวข้องกับความกตัญญูเป็นแน่!”ซูเฟิ่งหลิงส่ายหน้าอย่างต่อเนื่อง “ข้าไม่เชื่อ!”หลี่หลงหลินยิ้มนึกสนุก “เช่นนั้นพวกเราเดิมพันกันดีหรือไม่?”สีหน้าซูเฟิ่งหลิงเปลี่ยนไปอีกแล้ว?ครั้งก่อนแพ้เดิมพันให้นอนด้วยกัน ยังมิได้ทำตามสัญญาเลยนะท่านเอารัดเอาเปรียบข้าจนเสพติดไปแล้วกระมัง!ยิ่งไปกว่านั้น ข้ามอบร่างกายให้ท่านแล้วท่านยังคิดทำเช่นไรอีก?เดิมพันให้ข้าคลอดลูกให้ท่านกระนั้นรึ?ถุยๆ...เหตุใดข้าคิดเรื่องไร้สาระเหล่านี้เล่าซูเฟิ่งหลิงหน้าแดงก่ำ อยากตบหน้าตนเองเหลือเกินตนเองคล้ายถูกหลี่หลงหลินคนชั่วคนนี้พาเสียคนโดยไม่รู้ตัวไปแล้ว ถึงขั้นคิดเรื่องสกปรกเช่นนี้หนิงชิงโหวงึมงำ “อันที่จริงหัวข้อความกตัญญูขององค์ชาย
ฮ่องเต้หวู่ดุจถูกอัสนียบาตร นั่งเหม่อลอยบนพระที่นั่งมังกรเพื่อคิดหัวข้อการสอบขุนนางพระราชทาน ฮ่องเต้หวู่พยายามคิดอย่างหนัก เหนื่อยล้าถึงขีดสุดแล้วยามคนรู้สึกเหนื่อยล้า อารมณ์ย่อมหวั่นไหวง่าย“ฮือๆ...”บ่าทั้งสองข้างของฮ่องเต้หวู่สั่นไหว ปิดหน้าร้องไห้แล้วเว่ยซวินตกตะลึงพรึงเพริด รีบขยับขึ้นไปเอ่ยถาม “ฝ่าบาท ฝ่าบาท เหตุใดพระองค์ทรงพระกันแสงพ่ะย่ะค่ะ? ไม่สบายพระวรกายที่ใด? กระหม่อมจะไปตามหมอหลวงมาเดี๋ยวนี้เลย!”ฮ่องเต้หวู่โบกพระหัตถ์ “ไม่จำเป็น! เรา...เราเพียงซาบซึ้งใจเกินไป มิอาจระงับตนได้ไปชั่วขณะ วางใจ เราไม่เป็นไร...”ซาบซึ้งจนร้องไห้แล้ว?เว่ยซวินมีสีหน้างุนงงอุปนิสัยของฮ่องเต้หวู่ ต่อให้ไม่นับว่าเลือดเย็น ก็เย็นชาหลายส่วนช่วยไม่ได้ฮ่องเต้หวู่เป็นเช่นนี้ โมโหดีใจล้วนไม่แสดงอารมณ์ใดผ่านทางสีหน้า ปั้นหน้าบึ้งตึงอยู่ตลอด ซ่อนอารมณ์ที่แท้จริงของตนไว้ ป้องกันมิให้พวกขุนนางมองออกคล้ายสวมหน้ากากใช้ชีวิต นานวันเข้าก็เหนื่อยมากอย่างแท้จริง!แต่ตนเองก็มิได้พูดอันใด ฮ่องเต้หวู่ก็ร้องไห้ซาบซึ้งใจเสียอย่างนั้น?ฮ่องเต้หวู่ปาดน้ำตา นึกสะท้อนใจ “เจ้าเก้า ช่างเป็นลูกกตัญญูคนหนึ
หนิงชิงโหวคิดไม่ถึงอย่างแท้จริง วันหนึ่งตนเองจะได้กลับมานั่งที่นี่ใหม่อีกครั้ง เริ่มต้นการสอบขุนนาง“สู้!”หนิงชิงโหวกำหมัดแน่น ให้กำลังใจตนเองส่วนเรื่องเจริญก้าวหน้าในตำแหน่งขุนนาง หนิงชิงโหวมิได้คาดหวังครั้งนี้เขาร่วมสอบขุนนางพระราชทาน ก็เพื่อตอบแทนบุญคุณขององค์ชายเก้า!แต่สามารถได้เป็นจอหงวนหรือไม่ หนิงชิงโหวไม่มั่นใจห่างออกไปไม่ไกลจางอี้นั่งที่ห้องสอบอีกแห่งหนึ่ง ใบหน้าประดับยิ้มทุกคนล้วนรู้ข้อบกพร่องของตนจางอี้รู้ความสามารถของตนดี ต่อให้ท่องสี่ตำราห้าคัมภีร์หนึ่งเดือน ก็คิดจะได้เป็นบัณฑิตชั้นสูงกระนั้นรึ?ฝันไปเถอะ!เพียงความคิดไม่น่าเชื่อถือเช่นนี้ ก็คือกำลังหมิ่นแคลนการสอบขุนนางที่มีมาอย่างยาวนานนับพันปี!แต่ที่จางอี้ดีใจคือหลังการสอบเสร็จสิ้นแล้ว ตนเองก็สามารถหลุดพ้นจากทะเลทุกข์ หลุดพ้นจากชีวิตติดอยู่ในนรกเสียที!ฮ่องเต้หวู่กำลังประทับอยู่ในตำแหน่งผู้ตรวจการการสอบ พระสุรเสียงก้องกังวาน การสอบขุนนางพระราชทานเริ่มต้นขึ้นอย่างเป็นทางการเดิมทีการสอบขุนนางต้องใช้เวลาสามวัน ทั้งหมดมีสามหัวข้อแต่การสอบขุนนางพระราชทานครั้งนี้เวลากระชั้นชิด ทั้งหมดเรียบง่าย เพราะเ
สามวันผ่านไปถึงเวลาประกาศผลสอบแล้วภายนอกสนามสอบก้งหย่วน คนมากมายดุจภูเขาคนทะเลคน บัณฑิตนับพันไปจนถึงหมื่นกำลังมารวมตัวกันหนิงชิงโหวและเหล่าบัณฑิตหยิ่งยโสเองก็อยู่ที่นี่ แต่ละคนเขย่งเท้า มองอย่างมีความหวังเหล่าบัณฑิตหยิ่งยโสล้วนคิดว่าหนิงชิงโหวจะต้องได้เป็นจอหงวนแน่นอนมีเพียงหนิงชิงโหวไม่มั่นใจ เหงื่อเย็นผุดพรายเต็มหน้าผากสามารถตอบแทนบุญคุณองค์ชายเก้าได้หรือไม่ ก็เป็นเวลานี้แล้ว!ตอนนี้เองบัณฑิตใหญ่ของสำนักฮั่นหลินเดินออกมา ในมือถือกระดานแดง ติดไว้บนกำแพงนอกสนามสอบคนนับไม่ถ้วนปรี่ถลาเข้าไป สายตาเร่าร้อน หารายชื่อของตนด้านบน“หนิงเซิงเล่า?”“หาชื่อของเขาพบหรือไม่?”“หาไม่พบ!”“ดูท่าแล้วสอบตกไปแล้ว”“เฮ้อ ไม่ต้องพูดเรื่องเป็นอันดับต้นๆ ต่อให้เป็นจวี่เหรินก็สอบไม่ผ่าน!”เหล่าบัณฑิตหยิ่งยโสหารายชื่อของหนิงชิงโหวบนกระดานแดงไม่พบ ทั้งหมดล้วนเผยสีหน้าสิ้นหวังหัวใจของหนิงชิงโหวเองก็ร่วงหล่นลงจบสิ้นแล้ว!หนิงชิงโหวกำหมัดแน่น เล็บจิกลงบนเนื้อหนังของตน เลือดสดไหลออกมา กลับไม่รู้สึกเจ็บ!ตนเองพยายามอย่างสุดความสามารถแล้ว ถึงขั้นเกิดผลลัพธ์นี้?ก็เหมือนกับครั้งก่อน แม้แ
“หา?”“จางอี้?”“บนกระดาน ยังมีชื่อของจางอี้อีกด้วย!”“จางอี้มิได้อยู่ในสามอันดับแรก ชื่อค่อนไปทางสุดท้าย กระนั้นก็ได้เป็นบัณฑิตชั้นสูง!”เหล่าบัณฑิตหยิ่งยโสพบเรื่องชวนประหลาดใจ อุทานออกมาอย่างตกตะลึงหนิงชิงโหวได้เป็นจอหงวน จางอี้ได้เป็นบัณฑิตชั้นสูงสิ่งที่องค์ชายเก้าพูด ล้วนเป็นจริงแล้ว!พวกเขาล้วนตกตะลึงพรึงเพริดภายในใจองค์ชายเก้า ช่างเป็นเทพโดยแท้!หนิงชิงโหวก็ช่างเถอะ มีพรสวรรค์ของจอหงวนจริงแต่จางอี้นับเป็นตัวอะไร?ได้ชื่อว่าลูกผู้ดีตัวไร้ประโยชน์ในเมืองหลวง!เขาก็สามารถเป็นบัณฑิตชั้นสูงได้กระนั้น?ช่างเหลือจะเชื่อโดยแท้!สีหน้าหนิงชิงโหวเปลี่ยนไป ออกจากกลุ่มคน วิ่งออกไปแล้ว“หา?”“ท่านจอหงวนเป็นอะไรไป?”“หรือว่าท่านจอหงวนดีใจจนเสียสติไปแล้ว?”เหล่าบัณฑิตเห็นการกระทำของหนิงชิงโหว นึกสงสัยไม่เข้าใจ ครุ่นคิดหยั่งเดาส่งเดชสิบปีทุกข์เข็ญไร้คนถาม ระบือนามเพียงครั้งเดียวรู้ทั่วหล้า!ยังไม่ต้องพูดถึงจอหงวน คนสอบผ่านดีใจจนเสียก็มีทั้งสิ้น!หนิงชิงโหวหอบหายใจ วิ่งมาจนถึงหน้ารถม้าหรูหราคันหนึ่ง ทำความเคารพอย่างเลื่อมใส “องค์ชายเก้า พระชายา!”ม่านสีครามถูกเปิดออกเ
วันประกาศผลสอบจางอี้มิได้ไปสนามสอบรู้อยู่แล้วว่าสอบไม่ผ่าน ไปก็มีแต่ผิดหวังหรงกั๋วกงจางเฉวียนเห็นท่าทางเช่นนี้ของลูกชาย ก็รู้ว่าต้องสอบไม่ผ่าน นี่ถึงไม่ยอมไปขายหน้าที่สนามสอบ“เฮ้อ...”จางเฉวียนทอดถอนใจ จิบสุราอย่างอึดอัดใจเพียงลำพังอวี๋ซื่อเดินเข้ามา “นายท่าน ก็แค่ลูกชายสอบไม่ผ่านเท่านั้นมิใช่หรือ? เหตุใดท่านผิดหวังเพียงนี้?”จางเฉวียนตาแดงก่ำ “เจ้าไม่รู้ หลายวันก่อนข้าและกั๋วกงคนอื่นสองสามคนดื่มสุราด้วยกัน โอ้อวดไปอย่างอดไม่ได้ พูดว่าลูกชายจะต้องสามารถเป็นบัณฑิตชั้นสูงได้อย่างแน่นอน พวกเขาไม่เชื่อ ทั้งหมดล้วนเยาะหยันข้า!”“ตอนนั้นข้าโมโหมาก เดิมพันกับพวกเขา!”“หากลูกชายสอบไม่ผ่าน ก็ยอมมอบให้พวกเขาหนึ่งพันตำลึงทอง...”อวี๋ซื่อตกตะลึง “หนึ่งพันตำลึงทอง? นายท่าน ท่านเสียสติไปแล้วหรือ?”จางเฉวียนตบหน้าตนเองแรงๆ ทีหนึ่ง “เฮ้อ เป็นความผิดของข้าเอง โทษลูกไม่ได้! ข้าชอบคุยโวโอ้อวดติดเป็นนิสัย สมควรปรับปรุงได้แล้ว! ไม่พูดเรื่องนี้แล้ว อี้เอ๋อร์เป็นเช่นไร? ยังขังตัวอยู่ภายในห้อง ไม่ยอมออกมาหรือไม่?”อวี๋ซื่อส่ายหน้า “ไม่เป็นเช่นนั้น เมื่อครู่ข้าเดินผ่านห้องของเขา เห็นเขากำลังอ่
ความยินดีปรากฏขึ้นบนใบหน้าของฮ่องเต้หวู่ เปี่ยมด้วยความพอใจอย่างยิ่ง “เจ้าเก้านี่มักจะทำให้ข้าประหลาดใจได้เสมอจริงๆ”ฮ่องเต้หวู่ทรงยกน้ำแกงปลาเบื้องหน้าขึ้น ค่อยๆ ลิ้มรสความหวานละมุน รสชาติยังคงติดตรึง ยิ่งกว่าความอร่อยที่รับรู้ทางรสสัมผัสคือความรู้สึกอิ่มเอมในพระทัยเมื่อเห็นฝ่าบาททรงพอพระทัยยิ่งนัก ฮองเฮาหลินจึงรีบทูลว่า “ฝ่าบาท หากฝ่าบาททรงโปรด หม่อมฉันสามารถทำน้ำแกงปลาถวายฝ่าบาทได้ทุกวัน เพื่อบำรุงพระวรกายของฝ่าบาทเพคะ ยิ่งไปกว่านั้น แม้พระโอรสจะไม่ได้อยู่ใกล้ๆ นี่ก็เป็นความกตัญญูของเขาเพคะ”ฮ่องเต้หวู่ทรงดื่มน้ำแกงปลาในชามจนหมดสิ้น ก็รู้สึกสบายพระวรกาย “ข้าไม่เคยได้ลิ้มรสเนื้อปลาที่สดอร่อยถึงเพียงนี้ คาดไม่ถึงว่าที่ตงไห่จะมีปลาพันธุ์ดีรสเลิศเช่นนี้อยู่ด้วย วันนี้ข้าถือว่าได้อิ่มหนำสำราญแล้ว!”เมื่อเห็นฮ่องเต้หวู่ทรงสำราญพระทัย ก้อนหินที่ถ่วงอยู่ในใจของฮองเฮาหลินก็คลายลง นางกลัวว่าฮ่องเต้หวู่จะทรงลงพระอาญาแก่หลี่หลงหลิน ในความเห็นของฮองเฮาหลินแล้ว น้ำแกงปลาชามนี้เกี่ยวข้องโดยตรงกับชะตากรรมของหลี่หลงหลินทีเดียวฮ่องเต้หวู่มองไปที่เว่ยซวินอย่างสนพระทัยยิ่ง ตรัสว่า “สหาย เล่าให้ข้
เรื่องในราชสำนักล้อเล่นไม่ได้เป็นอันขาด มิเช่นนั้นจะต้องนำพาภัยพิบัติมาสู่บ้านเมืองและราษฎร ชื่อเสียงฉาวโฉ่ไปชั่วกาลนาน!ฮ่องเต้ยืนเอามือไพล่หลัง ใบหน้าเคร่งขรึม “ข้าตั้งใจจะเรียกตัวองค์รัชทายาทเข้าเมืองหลวงมาพบข้าทันที ข้าจะถามเขาต่อหน้า ว่าไอ้ ‘เหตุใดไม่กินโจ๊กเนื้อเล่า’ นี่มันหมายความว่ากระไรกันแน่!”ทันใดนั้น ฮองเฮาหลินชะงักไปเล็กน้อย ก่อนจะทูลว่า “ฝ่าบาท สิ่งที่พระโอรสพูด ดูเหมือนว่า...ก็ไม่ผิดนะเพคะ”“อะไรนะ?”ในแววตาของฮ่องเต้เต็มไปด้วยความเย็นชา “มิน่าเล่าหลี่หลงหลินถึงได้ทำเรื่องเหลวไหลเช่นนี้ คาดไม่ถึงว่าแม้แต่เจ้ายังเห็นว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องธรรมดา! เหลือเชื่อจริงๆ! มีแม่เช่นไรย่อมมีลูกเช่นนั้น!”เพียงชั่วพริบตา ความประทับใจดีๆ ที่ฮ่องเต้ทรงมีต่อฮองเฮาหลินมาตลอดหลายปีก็มลายหายไปสิ้นฮองเฮาหลินทูลเสียงหนักแน่น “ฝ่าบาท เกรงว่าพระองค์จะทรงเข้าพระทัยความหมายของหม่อมฉันผิดไปแล้วเพคะ”กล่าวจบ ฮองเฮาหลินก็ทรงหยิบสาส์นฉบับนั้นออกมา ถวายให้ฮ่องเต้ “ฝ่าบาท นี่คือลายมือขององค์รัชทายาทเพคะ ขอฝ่าบาททอดแววตาด้วยเพคะ”ฮ่องเต้ทรงเหลือบมอง ในแววตาเต็มไปด้วยโทสะ “ข้าไม่ดู! ต่อให้เป็นล
ฮองเฮาหลินทรงประหลาดพระทัยยิ่งนัก บนใบหน้าอันงดงามสมเป็นมารดาแห่งแผ่นดินปรากฏแววตกตะลึง “ฝ่าบาท เหตุใดฝ่าบาทจึงตรัสถึงพระโอรสเช่นนั้นเพคะ?”ฮองเฮาหลินไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น เพียงแต่ทอดพระเนตรเห็นว่าฮ่องเต้หวู่ผู้ซึ่งปกติทรงโปรดปรานหลี่หลงหลินยิ่งนัก ยามนี้กลับเปลี่ยนไปจากเดิมอย่างสิ้นเชิง ทรงแสดงท่าทีรังเกียจหลี่หลงหลินกระทั่งเมื่อทรงทราบว่าปลานี้หลี่หลงหลินส่งมาจากตงไห่ด้วยม้าเร็วแปดร้อยลี้ ก็ไม่ยอมเสวยน้ำแกงปลาต่อฮ่องเต้หวู่ขมวดคิ้วเล็กน้อย พอนึกถึงหลี่หลงหลินขึ้นมา ก็รู้สึกเดือดดาลในท้อง ยิ่งไม่มีกะจิตกะใจจะเสวยน้ำแกงปลาใดๆ ทั้งสิ้น“ทำไม? ข้าต่างหากที่อยากจะถามเจ้าว่าเหตุใด! เหตุใดองค์รัชทายาทที่ปกติก็ดูดีๆ อยู่ พอไปถึงตงไห่จึงได้ทำเรื่องเหลวไหลเช่นนี้ได้!”ฮ่องเต้หวู่กริ้วจนพระพักตร์แดงก่ำ แววตาลุกวาบด้วยโทสะขอบตาของฮองเฮาหลินแดงก่ำขึ้นทันที นางไม่เคยเห็นฮ่องเต้หวู่ทรงกริ้วถึงเพียงนี้มาก่อน ร่ำไห้สะอื้นไม่หยุด “ฝ่าบาท พระโอรสของหม่อมฉันเพียงแค่อยากจะบำรุงพระวรกายให้ฝ่าบาท เหตุใดจึงต้องทรงจ้องจับผิดเรื่องความเหลวไหลของเขาอยู่เรื่อย การส่งปลาด้วยม้าเร็วแปดร้อยลี้มันเหลวไหลมา
ฮ่องเต้หวู่ทอดพระเนตรไปรอบๆ พระตำหนัก แต่ไม่เห็นแม้แต่เงาของฮองเฮาหลิน ก็ยิ่งทำให้โทสะพุ่งขึ้น “ฮองเฮาหลินอยู่ไหน! ข้าต้องการพบนางเดี๋ยวนี้!”ขันทีน้อยประจำตำหนักฉางเล่อรีบหมอบราบกับพื้น “ทูลฝ่าบาท วันนี้ฮองเฮาเสด็จออกไปตั้งแต่เช้าตรู่แล้วพ่ะย่ะค่ะ”“ออกไป? ไปไหน?”คิ้วของฮ่องเต้หวู่ขมวดแน่น โทสะยิ่งพลุ่งพล่าน เดิมทีก็ทรงกริ้วเรื่องของหลี่หลงหลินอยู่แล้ว พอมาถึงช่วงเวลาสำคัญเช่นนี้ กลับหาตัวฮองเฮาหลินไม่พบอีกขันทีน้อยกล่าวเสียงสั่น “กระหม่อมไม่ทราบพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมเป็นเพียงผู้รับใช้ดูแลกิจวัตรประจำวันของฮองเฮา มิกล้าสอดรู้เรื่องที่เสด็จไปพ่ะย่ะค่ะ”ฮ่องเต้หวู่ทรงพระพิโรธอย่างยิ่ง ตรัสว่า “เว่ยซวิน ส่งคนไปตามหาฮองเฮาหลินกลับมาให้ข้าเดี๋ยวนี้! วันนี้ข้าจะต้องถามนางให้รู้เรื่องว่าอบรมสั่งสอนองค์รัชทายาทอย่างไร!”เว่ยซวินคิดในใจดูท่าครั้งนี้ฝ่าบาทจะทรงกริ้วจริงจัง แม้แต่ฮองเฮาก็คงยากจะรอดพ้นความผิดไปได้เว่ยซวินกล่าวเสียงหนัก “ฝ่าบาท กระหม่อมจะส่งคนไปตามหาเดี๋ยวนี้พ่ะย่ะค่ะ”ทันใดนั้น กลิ่นหอมระลอกแล้วระลอกเล่าโชยมาปะทะจมูก ตามมาด้วยเสียงใสกังวานราวระฆังเงินเป็นระลอกเว่ยซวินก
เหล่าขุนนางในราชสำนักต่างส่งเสียงฮือฮาผู้ลี้ภัยหนึ่งแสนคนหาใช่จำนวนน้อยๆ ไม่!ฮ่องเต้หวู่ขมวดคิ้วเล็กน้อย ใบหน้าเย็นชาเจ้ากรมกลาโหมเอ่ยเสียงเนิบนาบ “ฝ่าบาท ตามที่กระหม่อมเห็น ผู้ลี้ภัยหนึ่งแสนคนนี้คือภัยร้ายที่ซ่อนอยู่ในเมืองหลวง หากจัดการไม่เหมาะสม ผู้ลี้ภัยหนึ่งแสนคนก่อการจลาจลขึ้น เกรงว่า...”เจ้ากรมกลาโหมไม่กล้ากล่าวอะไรต่อหากเขากล่าวอะไรต่อไปอีก จะต้องทรงพระพิโรธเป็นแน่ แต่ก็จำเป็นต้องทูลเตือนฝ่าบาท ไม่ว่าก่อนหน้านี้หลี่หลงหลินจะเคยทูลรับรองสิ่งใดต่อหน้าฝ่าบาทก็ตาม ก็จำเป็นต้องทำให้ฝ่าบาททรงตระหนักถึงความร้ายแรงของสถานการณ์ผู้ลี้ภัยหนึ่งแสนคนส่วนใหญ่เป็นพวกที่ควบคุมได้ยาก คนเหล่านี้รวมตัวกันอยู่นอกเมืองหลวงได้สร้างผลกระทบเลวร้ายไม่น้อยแล้ว หากถูกผู้ไม่ประสงค์ดีปลุกปั่น ย่อมเกิดความวุ่นวายครั้งใหญ่เป็นแน่!แม้ว่าตอนนี้จางไป่เจิงจะนำทัพกลับราชสำนักแล้ว กำลังทหารในเมืองหลวงจะเข้มแข็ง ก็ยังคงเป็นปัญหาที่จัดการได้ยากอยู่ดีเหล่าขุนนางต่างเห็นพ้องต้องกัน“ฝ่าบาท เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับชะตาของแคว้นต้าเซี่ย โปรดอย่าได้ทรงประมาทเป็นอันขาดพ่ะย่ะค่ะ!”“ใช่พ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาท ขณะนี้
“อะไรนะ!”ฮ่องเต้หวู่ทรงพระพิโรธอย่างยิ่ง!เขาไม่เคยคาดคิดว่าหลี่หลงหลินจะกล่าววาจาเหลวไหลถึงเพียงนี้ นี่มันยิ่งกว่าการเห็นชีวิตคนเป็นผักปลาเสียอีก! ยามนี้ราษฎรยากจนถึงขั้นไม่มีปัญญาซื้อหาธัญญาหาร แล้วจะมีเนื้อที่ไหนให้กินกัน?เจ้ากรมคลังลดเสียงลง กล่าวว่า “ฝ่าบาท วาจาเหลวไหลเช่นนี้ออกมาจากโอษฐ์ขององค์รัชทายาทจริงๆ พ่ะย่ะค่ะ ทีแรกกระหม่อมคิดว่าเป็นเพราะตนเองตาฝ้าฟางไป แต่ฎีกาหลายฉบับล้วนรายงานตรงกัน เกรงว่าวาจานี้คงเป็นสิ่งที่องค์รัชทายาทตรัสจริงๆ...”เหล่าขุนนางต่างส่งเสียงฮือฮาคาดไม่ถึงว่าหลี่หลงหลินจะทำเรื่องเหลวไหลเช่นนี้ได้!ไม่เพียงแต่สร้างความเยือกเย็นในใจของราษฎร ยังสร้างความเยือกเย็นในใจของขุนนางในราชสำนักอีกด้วย นี่คือการกระทำชั่วร้ายที่ยากจะสาธยายให้หมดสิ้น อาลักษณ์จะต้องบันทึกเรื่องนี้ลงในพงศาวดารเป็นแน่ ทำให้ชื่อเสียงของหลี่หลงหลินฉาวโฉ่ไปชั่วกาลนาน!ฮ่องเต้หวู่ส่ายพระพักตร์ ทรงครุ่นคิดในพระทัยไม่ใช่ เจ้าเก้าไม่น่าจะทำเรื่องเหลวไหลเช่นนี้ได้ อย่างน้อยในเมืองหลวง ราษฎรส่วนใหญ่ก็เคยได้รับความเมตตาจากเขา หรือว่าก่อนหน้านี้เป็นเพียงการแสดง?ฮ่องเต้หวู่ตรัสเสียงเย็น “
ณ ท้องพระโรงบรรดาขุนนางทั้งหลายต่างสงบเสงี่ยม ก้มหน้าคารวะถวายบังคมฮ่องเต้หวู่ทอดพระเนตรกวาดสายตาไปยังหมู่ขุนนาง พลางตรัสเรียบเรื่อย “เหล่าขุนนางทุกท่าน หากมีเรื่องก็กราบทูล หากไม่มีเรื่องก็เลิกประชุมเถิด”นับตั้งแต่หลี่หลงหลินเดินทางไปยังตงไห่ ราชสำนักก็ดูสงบขึ้นไม่น้อย ฮ่องเต้หวู่ซึ่งแต่เดิมก็เอนเอียงไปทางเก็บตัวเงียบๆ ก็เริ่มชินกับจังหวะสงัดเช่นนี้ ยิ่งตอนนี้จางไป่เจิงนำทัพกลับสู่เมืองหลวง ปัญหากำลังพลไม่พอในเมืองหลวงก็คลี่คลายลง บรรดาขุนนางที่เคยซ่องสุมคิดร้ายในเงามืด ก็พากันลดราวาศอกแต่แล้ว เจ้ากรมคลังก็ก้าวออกมา สีหน้าเคร่งเครียด “ฝ่าบาท กระหม่อมมีเรื่องจะกราบทูลพ่ะย่ะค่ะ”ฮ่องเต้หวู่เห็นเป็นกรมคลัง จึงขมวดคิ้วเบาๆ กล่าวว่า “ว่ามา”แม้ปัญหาเรื่องทหารจะคลี่คลาย แต่เงินในท้องพระคลังก็ยังร่อยหรอ หากกรมคลังเสนอฎีกาเมื่อใด มักไม่พ้นเรื่องเงินไม่พอใช้ ซึ่งเป็นสิ่งที่เขากลัดกลุ้มมาเนิ่นนาน เจ้ากรมคลังกล่าวด้วยเสียงหนักแน่น “ฝ่าบาท ขณะนี้เขตตงไห่ประสบภาวะขาดแคลนเสบียงจนเกิดทุพภิกขภัย ราษฎรอดอยากปากแห้ง ร้องทุกข์ระงม แต่ละเขตในตงไห่ต่างก็ส่งฎีกาขอความช่วยเหลือจากราชสำนัก...”ฮ
กงซูหว่านมองดูแบบร่าง โครงสร้างเรียบง่ายมาก แต่นางไม่รู้ว่าควรจะเรียกมันว่าอะไรหลี่หลงหลินเอ่ยเสียงเรียบ “นี่คือกระป๋อง”“กระป๋อง? มันสามารถถนอมอาหารได้หรือเพคะ?”หลี่หลงหลินยิ้มเล็กน้อย “แน่นอน หากสภาพแวดล้อมเหมาะสม แม้เวลาจะล่วงเลยไปแปดปี สิบปีก็ยังไม่เสีย”“นานขนาดนั้นเชียวหรือเพคะ?”กงซูหว่านเบิกตากว้าง อ้าปากค้าง ราวกับไม่เชื่อสิ่งที่ได้ยินในความเข้าใจของกงซูหว่าน การเก็บรักษาอาหารได้นานสักไม่กี่เดือนก็ถือว่าน่าทึ่งแล้วหลี่หลงหลินยิ้มบางๆ “ยิ่งไปกว่านั้น ขนาดของกระป๋องยังเล็กกระทัดรัด เหมาะแก่การพกพาในยามออกศึกยิ่งนัก”“หากพี่สะใภ้รองสามารถทำมันขึ้นมาได้ ข้าก็ตั้งใจจะเปิดโรงงานกระป๋องที่ตงไห่ แปรรูปปลาหวงฮื้อใหญ่จำนวนมหาศาลที่จับขึ้นมาโดยเฉพาะ”หลี่หลงหลินยิ้มบาง หากผลิตกระป๋องได้สำเร็จ ก็ไม่ต้องหวั่นไหวต่อภัยแล้งและความอดอยากอีกต่อไปกงซูหว่านยังคงตกตะลึง “โรงงานกระป๋องหรือเพคะ? ถึงข้าจะทำตามแบบได้เป๊ะๆ แล้วจะไปหาคนงานจากที่ใด?”ยามนี้ชาวเมืองตงไห่ต่างก็แย่งกันออกทะเลหาปลา กำลังคนขาดแคลนเป็นอย่างยิ่งหลี่หลงหลินตอบด้วยรอยยิ้ม “ไม่ต้องห่วง ให้ชาวตงไห่เขาหาปลากันต่อไ
วันต่อมา ห้องหนังสือจวนอ๋องหลี่หลงหลินยกมือนวดหว่างคิ้ว มือวาดบางอย่างบนกระดาษกงซูหว่านขมวดคิ้วแน่น ใบหน้าเต็มไปด้วยความเศร้าหมอง “องค์ชาย หม่อมฉันอิงตามวิธีของท่านแล้ว วันนี้ตั้งใจไปตั้งร้านแผงลอยในบริเวณคนพลุกพล่านเป็นพิเศษ เผยแพร่วิธีทำน้ำแข็งออกไป เหล่าราษฎร์สามารถใช้งานได้ ทุกคนต่างโห่ร้องด้วยความยินดี เพียงแต่บัดนี้เกลือหมางเซียวในร้านขายยาทุกแห่งของตงไห่ไม่เพียงพอ”หลี่หลงหลินพยักหน้า “เผยแพร่ออกไปก็ดีแล้ว เช่นนี้เนื้อปลาของเหล่าราษฎร์ก็สามารถเก็บรักษาได้นานขึ้น ไม่ต้องสิ้นเปลือง”“พี่สะใภ้รองเหนื่อยแล้ว หากนี่คือเมืองหลวง เพียงตีพิมพ์เรียงความในหนังสือพิมพ์ก็เพียงพอแล้ว แต่อยู่ที่ตงไห่ยังต้องให้พี่สะใภ้ออกแรงเหน็ดเหนื่อยด้วยตนเอง”ภายในคำพูดหลี่หลงหลินเปี่ยมความห่วงใย อย่างไรเสียกงซูหว่านก็เป็นสตรีมีพรสวรรค์ไม่ออกนอกบ้าน อยู่แต่ในห้องหอ จู่ๆ ขอให้นางไปสอนวิธีทำน้ำแข็งแก่ราษฎร์ ช่างทำให้อึดอัดคับข้องใจโดยแท้แต่หลี่หลงหลินคิดไปคิดมา ในบรรดาพี่สะใภ้มีเพียงพี่สะใภ้รองเข้าใจวิธีใช้เกลือหมางเซียวทำน้ำแข็ง ทำได้เพียงมอบหน้าที่สำคัญนี้ให้กงซูหว่านหัวเราะเบาๆ “ไม่ลำบากเพคะ จะ