ฉินซูโบกมือแล้วพูดว่า “แค่เรื่องเล็กน้อย มิควรค่าแก่การกล่าวถึงหรอก”“เรื่องขององค์รัชทายาทก็ถือเป็นเรื่องของข้าน้อย หากทรงต้องการให้ข้าน้อยรับใช้สิ่งใด องค์รัชทายาทก็หาอย่าได้เกรงพระทัยเลยพ่ะย่ะค่ะ”“ไม่มีปัญหา ๆ นี่ก็เลยเวลามามากแล้ว กินข้าวกันก่อนเถิด ข้าคิดว่าพวกเจ้าก็คงหิวแล้วเช่นกัน”“ที่องค์รัชทายาทตรัสก็ถือว่าถูก มาเถิดพ่ะย่ะค่ะ ข้าน้อยขอเชิญท่านดื่มหนึ่งจอก”เฉินจางยกแก้วขึ้นเป็นสัญญาณ จากนั้นก็ดื่มสุราจนหมดในอึกเดียวฉินซูยิ้มบาง ๆ และดื่มด้วยเช่นกัน“หว่านเอ๋อร์ รีบรินสุราให้องค์รัชทายาทเร็วสิ”เฉินหว่านเอ๋อร์ส่งเสียงอืมตอบรับ จากนั้นก็หยิบไหเหล้าขึ้นมา พลางก้มลงและรินสุราให้กับฉินซูนอกจากนี้นางยังจงใจก้มต่ำมากกว่าปกติเพื่อให้ฉินซูสามารถมองเห็นทิวทัศน์อันงดงามที่อยู่ภายในชุดกระโปรงของนางแบบเต็ม ๆ ตาได้อย่างง่ายดายเมื่อเซี่ยหลานเห็นภาพนั้น นางก็โกรธมากจนกัดฟันและนึกอยากจะเข้าไปตบเฉินหว่านเอ๋อร์สักฉาดสองฉาดการที่เห็นเฉินหว่านเอ๋อร์ยั่วยวนฉินซูอย่างโจ่งแจ้งเช่นนี้ ทำเอานางถึงกับโมโหขึ้นมาตอนนี้ที่โจวเซินกับคนอื่น ๆ ต่างดื่มอวยพรให้กับฉินซู ถานเหวยและคณะเดินทางก็ท
เมื่อเห็นสิ่งนี้ ฉินซูก็หยิบมาเปิดดู“ทำได้ดีมาก กินอะไรก่อนเถิด จะได้มิเป็นการดูถูกน้ำใจของใต้เท้าเฉิน”กู้เสวี่ยเจี้ยนเหลือบมองอาหารและสุราบนโต๊ะของทุกคนแล้วพูดเหน็บแนม “ราษฎรมากมายในเมืองขาดแคลนอาหาร แต่ใต้เท้าเฉินกลับมีข้าวปลาอาหารสมบูรณ์ แม้แต่สุราก็ยังเป็นสุราชั้นดีอายุร้อยปี ฟุ่มเฟือยเสียจริงนะ”“ท่านใต้เท้าเสวี่ยเจี้ยน ข้าน้อยทำเช่นนี้ก็เพื่อต้อนรับองค์รัชทายาท หากเป็นปกติข้าน้อยคงมิกล้าทำเช่นนี้หรอกขอรับ”“จริงรึ? หึ ๆ เกรงว่าจะทำยิ่งกว่ายามปกติอีกกระมัง!”เฉินจางรีบอธิบาย “นี่… ท่านใต้เท้าเสวี่ยเจี้ยน ตำแหน่งขุนนางของข้าน้อยมิเกินขั้นสาม เงินประจำปีก็มิเกินร้อยตำลึง อีกทั้งเสบียงประจำเดือนก็ได้มิเกินสามสิบต้าน แล้วยามปกติข้าน้อยจะไปมีปัญญากินอาหารชั้นเยี่ยมเช่นนี้ได้อย่างไรเล่าขอรับ”“หึ ขุนนางกังฉินเยี่ยงเจ้าใกล้ตายแล้วยังจะกล้าเถียงข้าง ๆ คู ๆ ข้าจะตัดหัวคนชั่วช้าเช่นเจ้าทิ้งเสียเดี๋ยวนี้!”กู้เสวี่ยเจี้ยนชักกระบี่ออกมาเสียงดังกราวเฉินจางตกใจมากจนหน้าซีด เขารีบพูดกับฉินซู “องค์รัชทายาท โปรดรีบตรัสอะไรสักอย่างเถิดพ่ะย่ะค่ะ ท่านใต้เท้าเสวี่ยเจี้ยนคิดจะตัดหัวข้าน้อยทั
เฉินจางปาดเหงื่อเย็นบนหน้าผากของตัวเองแล้วตอบอย่างใจเย็น “ทูลองค์รัชทายาท วันนี้ข้าน้อยซื้อเสบียงอาหารไปทั้งหมดหนึ่งหมื่นต้านพ่ะย่ะค่ะ”“เงินห้าแสนตำลึงซื้อเสบียงได้เพียงหนึ่งหมื่นต้านเองรึ?”ฉินซูแค่นเสียงเย็นและพูดต่อด้วยสายตาเย็นชา “เฉินจาง เสบียงในเมืองเหลียงโจวของพวกเจ้าขึ้นราคาแพงถึงเพียงนี้ตั้งแต่เมื่อไรกัน หนึ่งต้านต่อห้าสิบตำลึงน่ะหรือ”ถานเหวยและคนอื่น ๆ ก็โกรธเช่นกันตามราคาตลาดปกติ เสบียงหนึ่งต้านจะมีราคาอยู่ที่ประมาณห้าตำลึงเท่านั้นแต่ราคาที่เฉินจางพูดมากลับเพิ่มขึ้นเป็นสิบเท่า!ราคาที่ขัดกับความเป็นจริงเช่นนี้ชวนให้คนฟังตกใจกู้เสวี่ยเจี้ยนเอ่ยเหน็บ “เสบียงหนึ่งต้านราคาห้าสิบตำลึงรึ ใต้เท้าเฉิน เสบียงในเมืองเหลียงโจวของเจ้าทำจากทองคำหรือไรถึงได้แพงขนาดนี้ มิกลัวอิ่มจนท้องแตกตายหรือไร!”เฉินจางรีบอธิบาย “องค์รัชทายาท ท่านใต้เท้าเสวี่ยเจี้ยน พวกท่านเข้าใจผิดแล้ว ข้าน้อยบอกว่าซื้อเสบียงมาหนึ่งหมื่นต้าน แต่มิได้บอกว่าใช้เงินบรรเทาภัยพิบัติไปทั้งหมดพ่ะย่ะค่ะ”เมื่อได้ยินเช่นนั้น พ่อค้าขายข้าวก็พยักหน้าอย่างรวดเร็ว“ใช่ ๆ ๆ วันนี้พวกเราแค่ส่งมอบเสบียงหนึ่งหมื่นต้านให
ฉินซูมองไปที่เฉินจางด้วยรอยยิ้มคลุมเครือ “ใต้เท้าเฉิน พวกเจ้ายืนงงอะไรกัน คงมิได้อยากให้ข้ากล่าวคำขอโทษพวกเจ้าหรอกใช่หรือไม่?”เฉินจางรีบพยักหน้าและโค้งคำนับแล้วพูดว่า “หามิได้ ๆ หามิได้พ่ะย่ะค่ะ สิ่งที่องค์รัชทายาทตรัสล้วนเป็นเรื่องเข้าใจผิด ข้าจะกล้าถือโทษโกรธท่านได้อย่างไรพ่ะย่ะค่ะ”“ใช่แล้วพ่ะย่ะค่ะ องค์รัชทายาท เหตุที่ทรงเข้าพระทัยผิดก็เพราะท่านทรงคำนึงถึงความรู้สึกของราษฎร นี่คือโชคดีของราษฎรพ่ะย่ะค่ะ”“ถูกต้องพ่ะย่ะค่ะ หากราษฎรในพื้นที่ภัยพิบัติได้รู้เรื่องนี้ พวกเขาจะต้องร้องเพลงสรรเสริญ และพระนามขององค์รัชทายาทก็จะเป็นที่จดจำตลอดไปอย่างแน่นอนพ่ะย่ะค่ะ”โจวเซินและขุนนางคนอื่น ๆ ต่างก็เริ่มประจบประแจงเขาฉินซูแกล้งทำเป็นสนุกและพูดคุยไร้สาระกับพวกเขากู้เสวี่ยเจี้ยนที่อยู่อีกด้านคิ้วแทบจะขมวดเข้าหากัน นางคิดจะพูดอะไรบางอย่าง แต่ก็ถูกสายตาของฉินซูห้ามเอาไว้เมื่อเห็นสถานการณ์เช่นนั้น นางจึงจำต้องทิ้งตัวลงนั่งลงข้าง ๆ ฉินซู จากนั้นก็รินสุรามาหนึ่งจอกแล้วยกซดหมดในอึกเดียวฉินซูกระซิบ “เจ้าจะทำท่าทางหดหู่เช่นนี้ไปไย?”“ยังจะกล้าถามอีกนะเพคะ ท่านจะปล่อยพวกเขาไปเช่นนี้หรือ?”
ในห้องรับรองของจวนผู้ว่าการมณฑล เฉินจางและคนอื่น ๆ ยังคงผลัดกันแลกจอกเหล้ากับฉินซูดื่มสุราและพูดคุยกันอย่างสนุกสนาน.หลังจากผ่านไปหนึ่งชั่วยามเต็ม งานเลี้ยงอาหารค่ำก็สิ้นสุดลงในเวลานี้ สวี่โย่วไฉและขุนนางคนอื่น ๆ ต่างเมาจนฟุบคาโต๊ะแม้แต่ฉินซูก็ดูเหมือนจะเมาแล้วเมื่อเห็นเช่นนั้น เซี่ยหลานก็ไปช่วยประคองฉินซูฉินซูโบกมือแล้วพูดว่า “ข้ามิเมา พวกเจ้ากลับไปก่อนเถิด ข้า… อึก ข้าจะสอนคุณหนูเฉินท่องบทกวี!”ขณะที่พูดเขาก็สะอึกออกมาด้วยฤทธิ์น้ำเมา จากนั้นก็มองเฉินหว่านเอ๋อร์ด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความปรารถนาเมื่อเห็นเช่นนั้น เฉินจางก็ดีใจมากหากองค์รัชทายาทที่ดื่มจนเมามายใช้เวลายามค่ำคืนกับบุตรีของเขา เขาก็จะกลายเป็นพ่อตาขององค์รัชทายาทมิใช่หรือ?เมื่อคิดได้เช่นนั้น เขาก็รีบส่งสายตาเป็นสัญญาณให้เฉินหว่านเอ๋อร์จากนั้นเจ้าตัวก็ตอบสนองด้วยการไปช่วยประคองฉินซูพร้อมรอยยิ้ม“องค์รัชทายาท ให้หม่อมฉันประคองไปที่ห้องรับรองด้านหลังเพื่อช่วยทำให้ท่านสร่างเมาเถิดเพคะ”ฉินซูพูดอย่างเมามาย “ก็… ก็ได้ รบกวนด้วย”เมื่อเห็นเฉินหว่านเอ๋อร์กอดแขนของฉินซูอย่างเสน่หา เซี่ยหลานก็หึงขึ้นมาและกำลังจะระเ
หลังจากแน่ใจว่าไม่มีอะไรผิดปกติ เขาก็นำหนังสือบัญชีวางกลับไปที่เดิมใจที่เป็นกังวลก็ผ่อนคลายลงเช่นกัน“หึ ๆ ใช้หนังสือบัญชีปลอมมาหลอกข้าจริง ๆ ด้วย ฉินซูหนอฉินซู หากข้าใจมินิ่งพอก็คงจะตกหลุมพรางของเจ้าไปแล้ว!”หลังจากที่เขาพูดกับตัวเองจบก็หันหลังเดินออกไปเมื่อเขามาถึงประตูห้องโถงด้านข้าง เขาก็ถามสาวใช้ที่อยู่ตรงนั้นว่า “ตอนนี้หว่านเอ๋อร์กับองค์รัชทายาทกำลังทำอะไรอยู่?”“เรียนนายท่าน ดูเหมือนว่าคุณหนูกำลังล้างพระพักตร์ให้องค์รัชทายาทอยู่เจ้าค่ะ”“เจ้าจงไปบอกหว่านเอ๋อร์ให้นางคว้าโอกาสนี้ไว้ เพราะโอกาสเช่นนี้หาได้ยากยิ่ง มิควรปล่อยให้หลุดมือไป”“เจ้าค่ะ บ่าวจะไปแจ้งเดี๋ยวนี้”สาวใช้หันหลังเดินเข้าไปอย่างรวดเร็วขณะนี้ ห้องรับรองด้านหลังเฉินหว่านเอ๋อร์กำลังเช็ดใบหน้าของฉินซูขณะที่นางล้างหน้าให้ฉินซู นางจงใจโน้มตัวเข้าใกล้เขามากจนหน้าอกหน้าใจอันใหญ่โตของนางแทบจะแนบแก้มของฉินซูอยู่รอมร่อฉินซูดื่มไปมิน้อย แม้เขาจะมิได้เมา แต่เลือดของเขาก็ยังคงเดือดพล่านอยู่ภายใต้อิทธิพลของฤทธิ์น้ำเมาหลังจากสังเกตเห็นสายตาที่เร่าร้อนของฉินซู เฉินหว่านเอ๋อร์ก็ดีใจมากดวงตาของนางกลอกไปมาพลางคิ
ฉินซูได้ยินแค่เสียงก็รู้ว่าใครเป็นผู้พูดเขาพูดอย่างมิสบอารมณ์ “ข้ามิใช่คนประเภทที่กินมิเลือก ทว่าหากคนที่นอนอยู่บนเตียงในยามนี้คือเจ้า นั่นก็อีกเรื่องหนึ่ง”กู้เสวี่ยเจี้ยนหน้าแดง แต่ฉับพลันก็เอ่ยเสียงเย็น “ฝันไปเถิดเพคะ แม้บุรุษในใต้หล้านี้จะตายกันไปหมด หม่อมฉันก็มิเลือกท่าน”ฉินซูยักไหล่ “ข้าแค่ล้อเล่นเอง เจ้าจะจริงจังอะไรปานนั้น!”“เลิกพูดนอกเรื่องเถิด ตอนนี้พวกเราจะทำอย่างไรกันต่อไปหรือเพคะ?”กู้เสวี่ยเจี้ยนเปลี่ยนเรื่องอย่างรวดเร็วฉินซูพูดอยางมิลังเล “ตอนนี้ยังมิดึกมาก รอให้ทุกคนในจวนผู้ว่าการเข้านอนกันหมดก่อนค่อยลงมือ เช่นนี้จะทำอะไรได้จะสะดวกกว่า”“นึกว่าท่านจะให้หม่อมฉันไปค้นคลังสมบัติของเฉินจางเพียงลำพังเสียแล้ว ท่านยังมีจิตสำนึกอยู่บ้างสินะเพคะ”“ปกติข้าก็มิใช่คนใจแข็งหรอก ยิ่งไปกว่านั้น เฉินจางก็พยายามอย่างเต็มที่เพื่อยื้อให้ข้าอยู่ที่นี่ หากข้าหาคลังสมบัติของเขามิเจอ มันจะถือเป็นการละเลยเจตนาดีของเขามิใช่หรือไร?”กู้เสวี่ยเจี้ยนกลอกตาใส่เขา “หากเฉินจางรู้จุดประสงค์ของท่าน เขาคงจะโมโหเป็นบ้าเป็นหลัง”ฉินซูยิ้มและมิพูดอะไรขณะนั้นก็มีเสียงฝีเท้าเบา ๆ ดังมาจากนอกป
ในขณะนี้ ดวงตาทั้งสองข้างของพวกเขาเบิกกว้าง และดูเหมือนว่าลมหายใจของพวกเขาจะหยุดลงหลังจากที่กู้เสวี่ยเจี้ยนได้สติ ใบหน้าที่งดงามของนางก็แดงมากนางกำลังจะลุกขึ้นด้วยสีหน้าเขินอายแต่ทันใดนั้น ฉินซูก็เอื้อมมือออกไปและกอดรัดเอวบางของนางเอาไว้!กู้เสวี่ยเจี้ยนก็ตัวสั่นและคิดจะระเบิดอารมณ์โมโหออกมาฉินซูอดมิได้ที่จะจูบนางกู้เสวี่ยเจี้ยนตัวแข็งทื่อในทันทีและลืมต่อต้านไปโดยสิ้นเชิงการรุกเร้าของฉินซูทำให้ในหัวของนางเกิดความสับสนวุ่นวาย และสุดท้ายก็ค่อย ๆ สูญสิ้นสติไปมินานหลังจากนั้น เสื้อผ้าของพวกเขาก็กระจัดกระจายอยู่บนพื้นเสียงที่แต่เดิมตั้งใจสร้างขึ้นกลับกลายเป็นการแสร้งทำที่กลายเป็นจริงขึ้นมามิรู้ว่าเวลาผ่านไปนานเท่าไร ทั้งคู่ต่างนอนเงียบ ๆ อยู่บนเตียงโดยไม่มีใครพูดอะไรตอนนี้ เฉินจางได้ไปจากหน้าประตูแล้วส่วนเฉินหว่านเอ๋อร์ซึ่งเดิมนอนอยู่บนเตียงก็ถูกกู้เสวี่ยเจี้ยนถีบลงไปอยู่บนพื้นฉินซูมองไปเรือนร่างบอบบางนวลเนียนขาวใสของกู้เสวี่ยเจี้ยน สีหน้าของเขาก็เต็มไปด้วยความรู้สึกที่บ่งบอกว่ายังมิเสร็จสมอารมณ์หมายเขาอดมิได้ที่จะเอื้อมมือไปสัมผัสร่างกายอันงดงามของกู้เสวี่ยเจี้ยน
ฉินซูเปิดกล่องไม้ในมือแล้วมองเข้าไปข้างใน เห็นเพียงขวดกระเบื้องขนาดเล็กที่ภายในบรรจุโอสถลูกกลอนขนาดเท่าเมล็ดถั่วนอกจากนั้น ยังมียันต์กระดาษสีเหลืองวางอยู่อีกสองสามแผ่นเมื่อเห็นดังนั้น เขาก็อดมิได้ที่จะพึมพำ “ตาเฒ่าเจ้าเล่ห์นี่ มิบอกข้าสักคำว่ายันต์พวกนี้มีประโยชน์กระไรกันบ้าง มันน่านัก”เขายกยันต์ขึ้นมาแล้วเก็บไว้ในอกเสื้อจากนั้นก็รีบมุ่งหน้าไปยังเมืองเล็ก ๆ ที่อยู่มิไกลหลังจากซื้อม้าชั้นดีตัวหนึ่งในเมืองแล้วก็ควบม้าห้อตะบึงตรงไปยังทิศทางของเป่ยเยี่ยนมิหยุดหย่อน......วันรุ่งขึ้นภายในเมืองหลวงจินหลิงแห่งเป่ยเยี่ยนหยวนหัวกำลังก้าวเดินด้วยมือไพล่หลังอย่างหยิ่งยโสไปตามถนนสายหลักของเมืองเมื่อเดินผ่านแผงลอยเล็ก ๆ แห่งหนึ่งก็เห็นเครื่องหยกบนแผงนั้นงดงามเป็นพิเศษ จึงหยิบขึ้นมาพินิจดูพ่อค้าเห็นว่าอาภรณ์ของเขามิธรรมดา จึงรีบกล่าวแนะนำว่า “คุณชายตาถึงมากขอรับ นี่คือเครื่องประดับที่แกะสลักจากหยกขาวมันแพะ ขายเพียงหนึ่งถึงสองตำลึงเงินเท่านั้นขอรับ”หยวนหัวมองเครื่องประดับในมือสองสามครั้ง แล้วกล่าวอย่างเฉยเมยว่า “ของมิเลว ข้าจะเอา”พูดจบ เขาก็ถือเครื่องหยกหันหลังเดินออกไปเมื่อ
“ดินแดนเป่ยเยี่ยนมีแต่อันตรายรอบด้าน พาเจ้าไปด้วยมีแต่จะทำข้าพะวง”“แต่คนมันอดคิดถึงพระองค์มิได้นี่เพคะ”เซี่ยหลานกอดฉินซูจากด้านหลังพลางซบใบหน้าลงบนแผ่นหลังกว้างหนาของเขาและสะอื้นไห้เบา ๆฉินซูอดใจอ่อนมิได้ จึงหันกลับไปโอบกอดนางไว้ในอ้อมแขน เขาเชยคางเรียวเล็กของนางขึ้นพร้อมจุมพิตลึกซึ้งจากนั้นฉินซูก็คิดจะหันหลังเดินออกไป แต่ก็กลับถูกเซี่ยหลานรั้งแขนไว้แน่นเห็นเซี่ยหลานแสดงสีหน้าอาลัยอาวรณ์ ดวงตาคู่งามที่มีน้ำตาคลอหน่วยมองเขาอย่างตัดพ้อ“ก็ได้ ช้านิดช้าหน่อยคงมิเป็นกระไรหรอก”ฉินซูตัดสินใจเด็ดขาด อุ้มเซี่ยหลานแล้วกระโดดขึ้นเตียงอย่างรวดเร็วเซี่ยหลานทั้งตกใจและดีใจ จากนั้นก็ให้ความร่วมมืออย่างชำนิชำนาญในห้องรับรองตำหนักบูรพา เหลยเจิ้นที่กำลังนั่งจิบชาคอยอยู่ ในขณะนั้นเองหูของเขาก็กระดิกเล็กน้อยแล้วตั้งตรงขึ้นวินาทีต่อมา เขาก็บ่นพึมพำออกมาด้วยความเหนื่อยหน่ายใจ “คนหนุ่มสาวสมัยนี้ มิรู้จักแยกแยะเรื่องสำคัญเร่งด่วนกระไรกันเลย นี่มันเวลาไหนแล้วยังคิดถึงเรื่องนั้นอีก เฮ้อ”สองเค่อต่อมาฉินซูก็มาปรากฏตัวต่อหน้าเขา “หัวหน้าโหรหลวง ออกเดินทางได้แล้ว”“องค์รัชทายาททรงมีกำลังวังช
กู้เสวี่ยเจี้ยนถามด้วยความประหลาดใจอย่างยิ่ง “ท่านว่ากระไรนะ? หนานเยวี่ยถูกทำลายแล้วหรือ?”“ใช่ เพิ่งได้รับข่าวเมื่อมินานมานี้ ฉินซูใช้กลอุบายเล็กน้อยก็บีบบังคับให้ทหารหนานเยวี่ยแสนนายยอมจำนน จากนั้นยังนำทหารชั้นยอดเพียงหมื่นนายบุกเข้ายึดเมืองหลวงของหนานเยวี่ย และสังหารเชื้อพระวงศ์หนานเยวี่ยจนหมดสิ้น”“มิจริงกระมัง? ท่านแน่ใจหรือว่าข่าวนั้นเป็นความจริง?” กู้เสวี่ยเจี้ยนแสดงสีหน้าเหลือเชื่อซ่างกวนอวิ๋นซีกล่าวด้วยน้ำเสียงจริงจัง “ข่าวนี้เป็นความจริงทุกประการ ต้องยอมรับว่าองค์รัชทายาทผู้รอวันปลดแห่งต้าเหยียนผู้นี้พอมีฝีมืออยู่บ้าง หากเขามา บางทีอาจจะช่วยข้าได้”“ท่านต้องการให้ฉินซูช่วยท่านทำกระไรหรือ?” กู้เสวี่ยเจี้ยนมองซ่างกวนอวิ๋นซีด้วยความหวาดระแวง“ถึงเวลานั้นเจ้าก็จะรู้เอง เอาเถอะ เจ้าลงไปได้แล้ว ข้าจะฝึกวิชา”ซ่างกวนอวิ๋นซีออกคำสั่งไล่แขกดื้อ ๆกู้เสวี่ยเจี้ยนเบะปากแล้วหันหลังเดินลงบันไดไปซ่างกวนอวิ๋นซีกลับไปยังห้องฝึกตน จากนั้นก็ร่ายเวทด้วยสองมือ ตวัดนิ้วส่งพลังปราณไปยังกระจกทองเหลืองบานหนึ่งในเวลาเดียวกันภายในสำนักหอดูดาวหลวงแห่งต้าเหยียนเหลยเจิ้นกำลังนั่งสมาธิบำเพ็
มู่หรงเซี่ยวเทียนอธิบายว่า “คุณชายหยวน เทพธิดาซ่างกวนกำลังกักตนบำเพ็ญเพียรอยู่จริง ๆ หากท่านมิเชื่อ ท่านสามารถไปดูที่หอดารารักษ์ได้”“ข้าต้องไปแน่ ข้าขอพูดตามตรง ครั้งนี้ที่ข้ามาก็เพื่อสู่ขอนาง เทพธิดาซ่างกวน ข้าจะต้องแต่งกับนางให้ได้!”“การได้รับความเมตตาจากคุณชายหยวนนับเป็นบุญของเทพธิดาซ่างกวน คุณชายหยวนโปรดวางใจ เมื่อนางออกจากด่านกักตนบำเพ็ญเพียรแล้ว ข้าจะทำหน้าที่เป็นพ่อสื่อให้ท่านด้วยตนเอง”หยวนหัวยิ้มประสานมือคารวะมู่หรงเซี่ยวเทียน “เช่นนั้น ก็ขอบพระทัยฝ่าบาทแห่งเป่ยเยี่ยนยิ่งนัก”"คุณชายหยวนเกรงใจเกินไปแล้ว เชิญเถิด"จากนั้น มู่หรงเซี่ยวเทียนก็นำคณะของแคว้นฉีเข้าเมืองในหมู่เชื้อพระวงศ์แห่งเป่ยเยี่ยน หญิงสาววัยสิบแปดสิบเก้าปีคนหนึ่งแค่นเสียงเบา ๆ ใบหน้าเต็มไปด้วยความโกรธเคือง ว่า “หึ แคว้นฉีพูดเสียดิบดีว่าจะส่งองค์รัชทายาทมาตรวจราชการ เสด็จพ่อจึงเสด็จออกไปต้อนรับด้วยพระองค์เอง ใครจะคิดว่าคนที่มาจะเป็นเพียงบุตรชายของอ๋องเซียงหยาง ช่างมิเห็นหัวคนเสียนี่กระไร”“ใครว่ามิจริงเล่า ข้าเองก็รู้สึกแย่พอกัน หากเป็นอ๋องเซียงหยางเสด็จมาด้วยตนเอง เสด็จพ่อเสด็จออกไปต้อนรับก็ยังพอว่า แต
เป่ยเยี่ยนทั่วทั้งเมืองจินหลิงตกอยู่ภายใต้การวางกำลังที่เข้มงวดภายในเมืองหลวงอันกว้างใหญ่ไพศาลของเป่ยเยี่ยนแห่งนี้ สามารถพบเห็นทหารกองรักษาการณ์พร้อมอาวุธได้ทุกหนทุกแห่งบริเวณประตูเมืองทางเหนือมีการเฝ้าระวังอย่างเข้มงวด โดยมีกองทัพทหารม้าเกราะหนักซึ่งเป็นกองกำลังที่มีกำลังรบแข็งแกร่งที่สุดของเป่ยเยี่ยนเป็นผู้รักษาการณ์พรมแดงที่โดดเด่นสะดุดตาผืนหนึ่งทอดยาวจากถนนสายหลักเมืองทางฝั่งเหนือ ไปจนถึงนอกประตูเมืองทางทิศเหนือขุนนางทั้งบู๊และบุ๋นของเป่ยเยี่ยนต่างมารวมตัวกันอยู่ที่นี่ ราชรถหรูหราโอ่อ่าของจักรพรรดิจอดอยู่ภายนอกประตูเมืองทางเหนือมู่หรงเซี่ยวเทียนในชุดลายมังกรที่ยืนอยู่สุดปลายพรมแดงกำลังมองไปยังทิศทางอันห่างไกลเบื้องหลังของเขาคือเหล่าพระโอรสและพระธิดามิว่าจะเป็นขุนนางข้าราชบริพาร หรือมู่หรงเซี่ยวเทียน หรือแม้แต่เชื้อพระวงศ์ ต่างก็ตั้งตารอคอยราวกับกำลังรอคอยบุคคลผู้ยิ่งใหญ่ก็มิปาน“ฝ่าบาท พวกเขากำลังมาแล้วพ่ะย่ะค่ะ!”ในขณะนั้นเอง เสียงหนึ่งดังมาจากกำแพงเมืองมู่หรงเซี่ยวเทียนและคนอื่น ๆ มองออกไป เห็นขบวนหนึ่งกำลังเคลื่อนตัวเข้ามาอย่างช้า ๆ บนถนนหลวงที่อยู่ไกลออกไป
"บัดนี้องค์รัชทายาทยังได้แสดงวรยุทธ์อันน่าตื่นตะลึงออกมา ข้าน้อยเห็นว่าก็สามารถใช้ประโยชน์จากองค์รัชทายาทได้ในด้านการประลองยุทธ์พ่ะย่ะค่ะหากมีองค์รัชทายาทเข้าร่วมโดยไม่มีสิ่งใดผิดพลาด ราชวงศ์ต้าเหยียนน่าจะสามารถก้าวเข้าสู่สามสิบอันดับแรกได้และหากแสดงฝีมือได้ดี บางทีอันดับของต้าเหยียนในกลุ่มแคว้นลำดับรองอาจจะขยับขึ้นได้อีกด้วยพ่ะย่ะค่ะ”ฉินอู๋ต้าวโบกมือ กล่าวด้วยสุรเสียงจริงจังว่า “เรื่องอันดับนั้นมิสำคัญ จุดประสงค์ที่เราเข้าร่วมการประชุมระหว่างแคว้นคือการเข้าสู่สามสิบอันดับแรก แล้วชิงสิทธิ์ในการเข้าสู่ดินแดนศักดิ์สิทธิ์เทียนเฉวียน”“เช่นนั้นก็ง่ายดาย ข้าน้อยเตรียมพร้อมทุกประการแล้ว ตราบใดที่พวกเขาสามารถเข้าไปในดินแดนศักดิ์สิทธิ์เทียนเฉวียนได้ ย่อมต้องพบเทพศาสตราวุธในตำนานและเมล็ดพันธุ์พืชอันล้ำค่า ถึงยามนั้น การที่ต้าเหยียนจะก้าวขึ้นเป็นแคว้นผู้นำก็อยู่แค่เอื้อม”เหลยเจิ้นกล่าวแล้วก็อดตื่นเต้นมิได้ดังที่เคยกล่าวไว้แต่ต้น เมื่อสองร้อยปีก่อน ในแผ่นดินเฉินโจว ต้าเหยียนนั้นเป็นเพียงแคว้นเล็ก ๆ ที่ไม่มีผู้ใดสนใจต่อมาหลังจากได้เข้าไปในดินแดนศักดิ์สิทธิ์เทียนเฉวียน ก็บังเอิญได้ครอบ
เซี่ยหลานตกใจลนลาน รีบแก้ตัวว่า “มิใช่อย่างนั้น ชูโม่ เจ้าคิดมากไปแล้ว ข้าจะกอดพระองค์ได้อย่างไร เจ้าก็รู้ว่าก่อนหน้านี้เขาทำกับข้าเช่นไร”ฉงชูโม่จึงนึกขึ้นได้ว่าก่อนหน้านี้เซี่ยหลานเคยถูกฉินซูฉีกอาภรณ์และทำให้อับอายนางจึงคลายความสงสัยในใจ “ข้าแค่ล้อเจ้าเล่นเท่านั้นเอง จะตกใจไปไยเล่า”“หึ กล้าล้อข้ารึ ข้ามิคุยกับเจ้าแล้ว” เซี่ยหลานแสร้งทำเป็นโกรธแล้วหันหลังเดินไปฉงชูโม่เห็นดังนั้นจึงรีบตามไป “เซี่ยหลาน ข้าผิดไปแล้ว เจ้าอย่าใจน้อยนักเลย”มองดูทั้งสองคนที่ทำราวกับว่าตนเป็นอากาศธาตุ ฉินซูก็จนคำจะกล่าวโชคดีที่ในเวลานั้นหลินชิงเหยาเดินเข้ามานางคล้องแขนฉินซูพลางกล่าวด้วยความนัยลึกซึ้งว่า “องค์รัชทายาท อากาศหนาวเย็นเช่นนี้อย่าประทับอยู่ข้างนอกเลยเพคะ ข้างนอกแม้จะเย็น แต่ดีที่ตำหนักบูรพาของเรามีบ่อน้ำพุร้อน องค์รัชทายาทจะเสด็จลงไปแช่เพื่อคลายความหนาวเหน็บหรือไม่เพคะ?”“ไปสิ ไยจึงมิไป!”ฉินซูเข้าใจความหมายในทันที จึงจับมือหลินชิงเหยาแล้วรีบเข้าไปในโรงอาบน้ำอย่างใจจดใจจ่อจากนั้นเขาก็ได้รำลึกถึงความหลังกับหลินชิงเหยาอีกครั้งในขณะเดียวกันเหลยเจิ้นได้รับพระบัญชาให้มายังห้องทรงอัก
“อืม เพราะหากเป็นเช่นนั้น ก็อธิบายหลายสิ่งหลายอย่างได้”ฉงชูโม่ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วพยักหน้า “คนที่สามารถสั่งการยอดฝีมือจากวังหลวงได้ ตำแหน่งของเขาต้องมิธรรมดาอย่างแน่นอน หากคนเช่นนั้นลอบให้การช่วยเหลืออ๋องฉู่ ก็อาจจะปิดบังสายตาของสำนักโหรหลวงได้จริง ๆ”ฉินซูยักไหล่อย่างจนใจ “ดูเหมือนว่าการจะสาวถึงตัวคนที่อยู่เบื้องหลังอ๋องฉู่จะเป็นเรื่องยาก”“ถูกต้องแล้วเพคะ ครั้งนี้อ๋องฉู่ก่อกบฏมิสำเร็จ ต่อไปคงต้องระมัดระวังตัวยิ่งขึ้น พวกเราคงจะจับจุดอ่อนของเขาได้ยากขึ้นด้วย” ฉงชูโม่เองก็รู้สึกเสียดายอย่างยิ่ง“ช่างเถอะ พักเรื่องนี้ไว้ก่อน หากสืบสวนต่อไป เกรงว่าเสด็จพ่อจะทรงสงสัยว่าพวกเราสมคบคิดกันใส่ร้ายอ๋องฉู่”“แต่พวกเราจะปล่อยเรื่องนี้ไปเฉย ๆ หรือเพคะ? ในเมื่อที่อ๋องฉู่ตั้งใจจะก่อกบฏก็เป็นเรื่องจริง”ฉินซูกล่าวด้วยน้ำเสียงหนักแน่นว่า “มิอาจปล่อยไปง่าย ๆ แน่นอน สิ่งที่เราทำได้ในยามนี้คือรอ รอให้ฉินอวี่ทำผิดพลาดอีกครั้ง ข้าเชื่อว่าเมื่อเรื่องนี้ซาลงไปแล้ว เขาจะต้องเคลื่อนไหวอย่างแน่นอน เมื่อใดที่มีการเคลื่อนไหว ก็จะต้องมีพิรุธเป็นแน่”ฉงชูโม่ถามว่า “ให้หม่อมฉ้นแอบจับตาดูเขาดีหรือไม่?”
ฉินซูขมวดคิ้วกล่าวว่า “ตอนนี้ข้าก็แค่คาดเดา ยังไม่มีหลักฐานที่แน่ชัด จะสอบสวนเลยได้อย่างไร? ยิ่งกว่านั้นพวกเขายังเป็นศิษย์เอกของท่านทั้งสิ้น หากเรื่องนี้แพร่งพรายออกไป เกรงว่าจะส่งผลเสียได้”เหลยเจิ้นส่ายหน้าอย่างจนใจ กล่าวว่า “ที่แท้องค์รัชทายาทก็แค่คาดเดาไปเอง แต่ข้าน้อยบอกท่านได้เต็มปากว่า นอกจากเสวี่ยเจี้ยน โฉ่วเยวี่ยและจีอันแล้ว ข้าน้อยล้วนจับศิษย์คนอื่น ๆ ขังแยกกันไว้ในห้องลับของสำนักหอดูดาวหลวงตั้งแต่ครึ่งปีก่อน พวกเขาไม่มีรอดพ้นจากสายตาข้าน้อยได้อย่างเงียบเชียบแน่นอนพ่ะย่ะค่ะ”“อ้อ? ถูกท่านขังไว้หมดเลยหรือ?”ต่อมความอยากรู้อยากเห็นของฉินซูถูกกระตุ้นขึ้นมาทันที เขาถามต่อว่า “ท่านหัวหน้าโหรหลวงขังพวกเขาไว้ด้วยเหตุผลใดหรือ?”กล้ามเนื้อบนใบหน้าของเหลยเจิ้นกระตุกสองสามครั้ง เขายกมือขึ้นลูบหน้าผากแล้วตอบว่า “ช่างเถิด ข้าน้อยมิกลัวองค์รัชทายาทจะหัวเราะเยาะอยู่แล้ว ศิษย์เอกของข้าน้อยแต่ละคนล้วนมีสันดานทรยศ ข้าน้อยแน่ใจว่าท่านก็พอจะรู้นิสัยใจคอของโฉ่วเยวี่ยและจีอันอยู่บ้าง ดังนั้นข้าน้อยจึงทำได้เพียงปล่อยให้พวกเขาไตร่ตรองถึงความผิดพลาดของตนเท่านั้น”“เช่นนั้น ศิษย์เอกทั้งเจ็ดคนของท