ฉินซูยิ้มเยาะ “น่าขัน เป็นข้าหรือที่สั่งให้อ๋องหนิงสมคบกับทั่วป๋าชื่อ? ที่วันนี้เขาต้องเป็นเช่นก็เพราะเขาทำตัวเอง!”เผยหยวนต้องการพูดอะไรบางอย่าง ทว่าฉินอู๋ต้าวโบกมือ เอ่ยถามด้วยน้ำเสียงหนักแน่น “องค์รัชทายาท ท่านบอกว่าเสียนเฟยสมคบกับขันที มีหลักฐานหรือไม่? หากใส่ความโดยไร้หลักฐาน ข้าน้อยก็สามารถลงโทษท่านสถานหนักโดยมิละเว้นได้นะพ่ะย่ะค่ะ!”ฉินซูกล่าวโดยมิเปลี่ยนสีหน้า “เสด็จพ่อ เมื่อลูกกล้ากล่าวหาเสียนเฟยในท้องพระโรง ย่อมมีหลักฐาน คนร้ายที่ลอบทำร้ายลูกถูกคุมตัวอยู่นอกประตูวัง เสด็จพ่อเรียกตัวมาสอบถามก็จะทราบได้พ่ะย่ะค่ะ”“ใครก็ได้ นำตัวมา!”“รับพระบัญชา!”ฉินอู๋ต้าวนั่งบนบัลลังก์มังกรพร้อมสีหน้ามืดครึ้ม ดวงตาลุกโชนด้วยความโกรธา!วันนี้เขาจะได้เห็นว่าองค์รัชทายาทปั้นเรื่องใส่ความคน หรือคนในวังกล้าสมคบกับขันทีกันแน่!คนอื่น ๆ ก็มีสีหน้าต่างกัน ส่วนใหญ่มีท่าทีเฉยชา เพียงจ้องมองเพื่อความสำราญบันเทิงเท่านั้นถึงแม้เสียนเฟยจะถูกปลด ก็มิได้กระทบต่อผลประโยชน์ของพวกเขานักผ่านไปครู่หนึ่ง คนชุดดำก็ถูกนำตัวมาเมื่อเห็นหน้าคนที่เดินนำหน้ามา ฉินอู๋ต้าวก็ต้องประหลาดใจ!เขากล่าวเสียงเคร่งข
ขณะเดียวกันตำหนักอวี้จ้าวขันทีน้อยคนหนึ่งวิ่งล้มลุกคลุกคลานเข้ามา นางกำนัลที่อยู่หน้าประตูพยายามห้ามแต่ก็มิสำเร็จเมื่อได้ยินเสียงดังจากภายนอก เสียนเฟยขมวดคิ้วพลันตะโกน “เอะอะโวยวายเรื่องอันใดกัน!”“พระสนม พระสนม เกิดเรื่องใหญ่แล้วพ่ะย่ะค่ะ!”หลังจากที่ขันทีน้อยกุลีกุจอเข้ามาก็รีบพูด “องค์รัชทายาทกล่าวหาพระสนมในท้องพระโรง อีกทั้งขันทีเกาและคนอื่น ๆ ต่างรับสารภาพแล้วพ่ะย่ะค่ะ...”“ว่ากระไรนะ!!!”เสียนเฟยตกใจจนหน้าซีด!นางไม่มีเวลาคิดมากและตัดสินใจในทันที “พวกเจ้าปิดประตูตำหนักอวี้จ้าวให้ดี รอข้าเปลี่ยนอาภรณ์แล้ว ข้าจะไปเผชิญหน้ากับองค์รัชทายาทในท้องพระโรง!”เสียนเฟยพูดจบก็หันหลังเดินเข้าไปในห้องนอนหลังจากเข้าไปในห้องนอนนางก็รีบเปลี่ยนเป็นชุดนางกำนัล หลังจากปลอมตัวแล้วก็กลายเป็นนางกำนัลคนหนึ่ง!จากนั้นนางก็เปิดหน้าต่างตำหนักอวี้จ้าว กระโดดออกไปหลังจากปิดหน้าต่างแล้ว นางก็ออกจากประตูหลังนางเดินทางอย่างราบรื่นไปจนถึงกำแพงวัง ทหารรักษาการณ์ก็ขวางนางไว้เมื่อถูกสอบถาม เสียนเฟยก็กล่าวอย่างใจเย็น “ไทฮองไทเฮารับสั่งให้ออกไปทำธุระนอกวัง นี่ป้ายอาญาสิทธิ์ของไทฮองไทเฮา”นางยื่น
“ทูลฝ่าบาท เมื่อครู่มีนางกำนัลถือป้ายอาญาสิทธิ์ของไทฮองไทเฮาออกจากวังหลัง ว่ากันว่านางกำนัลผู้นั้นมีรูปร่างหน้าตาคล้ายกับเสียนเฟยพ่ะย่ะค่ะ”เมื่อได้ยินเช่นนั้น สีหน้าของฉินอู๋ต้าวก็ดำมืดราวกับก้นหม้อ!เดิมทีเขาคิดว่าหากเสียนเฟยยอมรับผิดแต่โดยดี ก็จะลงโทษเพียงกักบริเวณในตำหนักอวี้จ้าวเท่านั้นแต่คิดมิถึงว่าอีกฝ่ายจะหนีความผิด ซ้ำยังออกจากวังหลังในเวลาอันสั้น นี่มิเรียกว่าไตร่ตรองไว้ก่อนแล้วจะเรียกว่ากระไร!“หน่วยตรวจตรารับคำสั่ง!”สวีเซี่ยงเฉียนคุกเข่าลงทันทีฉินอู๋ต้าวกล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชา “ปิดประตูเมืองทันที ค้นหาเสียนเฟยให้ทั่วเมือง ใครกล้าขัดขวาง จงสังหารเสีย!”“รับพระบัญชา!”สวีเซี่ยงเฉียนรับบัญชาแล้วนำทหารเหล่านั้นออกไป“คิดมิถึงว่าเสียนเฟยจะหนีความผิด”“ใช่แล้ว สมคบกับขันทีทำร้ายองค์รัชทายาท ช่างอาจหาญ!”“พูดเช่นนี้มิถูก หากเสียนเฟยบริสุทธิ์เล่า”“พูดเช่นนี้ผิดแล้ว หากพระนางไม่มีความผิด เหตุใดต้องหลบหนีเล่า!”“ใช่แล้ว เช่นนี้เขาเรียกว่ารับสารภาพโดยปริยาย!”“...”ขุนนางต่างกระซิบกระซาบกันเบา ๆฉินอู๋ต้าวโบกมือพลันตะโกน “ใครก็ได้ นำตัวเกาส่วงและพวกไปประหารเสีย!”
ฉินอู๋ต้าวมองเหลยเจิ้นหลังจากที่อีกฝ่ายพยักหน้าเล็กน้อย เขาก็กล่าว “พาตัวเข้ามา”ครู่ต่อมา ชายชราสองคนก็เดินเข้ามาคนหนึ่งอายุประมาณหกสิบกว่า ผมเผ้ายุ่งเหยิง ถือไม้เท้าหัวมังกรอีกคนอายุไล่เลี่ยกัน เป็นพระธุดงค์หน้าตาอมทุกข์ ถือไม้เท้าปราบมารดูน่าเกรงขามคือเย่ชางสิงและคูมู่!เมื่อเห็นคนทั้งสอง ฉินหยางและฉินหงก็สบตากัน ในแววตาเต็มไปด้วยความตกใจเย่ชางสิงและคูมู่ทำความเคารพฉินอู๋ต้าวฉินอู๋ต้าวหรี่ตามอง แล้วเอ่ยถาม “พวกเจ้าสองคนมาจากหอดารารักษ์หรือ?”“ทูลฝ่าบาท ข้าน้อยและพระอาจารย์คูมู่เพิ่งเข้าร่วมหอดารารักษ์ได้มินาน ได้รับคำสั่งจากเจ้าสำนักมาพ่ะย่ะค่ะ”ฉินซูกล่าวยิ้ม ๆ “คิดมิถึงว่าซ่างกวนอวิ๋นซีจะรับพวกเจ้าไว้ ทำเอาข้าประหลาดใจเสียจริง มิน่า ข้ากลับมาเมืองหลวงแล้วหาตัวพวกเจ้ามิพบ”เย่ชางสิงและคูมู่ยิ้มขื่นหากเลือกได้ พวกเขาคงมิอยากไปอยู่หอดารารักษ์ฉินอู๋ต้าวกล่าว “องค์รัชทายาท คนมาแล้ว คนที่ลอบทำร้ายเจ้าคือคนทั้งสองนี้หรือ?”“ใช่แล้วพ่ะย่ะค่ะเสด็จพ่อ คนทั้งสองลอบทำร้ายลูกระหว่างทางไปเป่ยเหลียง หากมิได้รับการคุ้มครองจากเสวี่ยเจี้ยน ลูกคง...”“บังอาจลอบทำร้ายองค์รัชทาย
เขาคุกเข่าลง กล่าวกับฉินอู๋ต้าว “เสด็จพ่อ คนทั้งสองนี้มาจากหอดารารักษ์ พวกเขามาเพื่อก่อกวนราชวงศ์ต้าเหยียน เสด็จพ่อทรงอย่าได้หลงกลพวกเขาพ่ะย่ะค่ะ”ฉินหยางเข้าใจทันทีหากโยงเรื่องนี้ไปถึงเป่ยเยี่ยนและหอดารารักษ์ วิกฤตนี้ย่อมคลี่คลายได้!เมื่อคิดได้เช่นนั้น เขาก็รีบพูด “น้องสี่พูดถูก เสด็จพ่อ หอดารารักษ์คือสุนัขรับใช้ของราชสำนักเป่ยเยี่ยน การส่งคนทั้งสองมาก็เพื่อยุแหย่ให้เราแตกแยก พวกเขาจะได้ฉวยโอกาส ขอเสด็จพ่อทรงโปรดไตร่ตรองอย่างรอบคอบ อย่าได้หลงกลคนชั่วพ่ะย่ะค่ะ”“องค์รัชทายาท ท่านช่างต่ำช้า สมคบกับหอดารารักษ์ ท่านกำลังทรยศแคว้น!”“ขอเสด็จพ่อโปรดถอดถอนองค์รัชทายาท จับขังคุก และนำคนของหอดารารักษ์ไปประหารด้วยเถิดพ่ะย่ะค่ะ!”ฉินหยางและฉินหงพูดด้วยความลนลานฉินซูหัวเราะเย็นเยือก “พวกเจ้ามิเห็นโลงศพมิหลั่งน้ำตา ในเมื่อเป็นเช่นนั้น เย่ชางสิง เจ้านำจดหมายที่ติดต่อกับฉินหยางออกมาเสียสิ”เมื่อได้ยินเช่นนั้น ฉินหยางก็หน้าซีด พลันเหงื่อผุดท่วมแผ่นหลังเย่ชางสิงมีสีหน้าลำบากใจ “องค์รัชทายาท จดหมายเหล่านั้นข้าน้อยมิได้นำมา หากกลับไปนำมาคงต้องใช้เวลาสองวันพ่ะย่ะค่ะ”ฉินซูหน้าแหยเย่ชางสิง
จูฟางตกใจ พลันรีบพูด “ฝ่าบาท ข้าน้อยเป็นหัวหน้าโจรสลัดที่เหยี่ยนโจว ก่อนหน้านี้ได้ยินคนบอกว่า มีเรือสินค้าจากเหลียงโจวขนเสบียงข้าวแปดพันต้านและเงินหกแสนตำลึงลงใต้เพื่อบรรเทาภัยพิบัติและเป็นคนกลุ่มนี้เองที่ส่งข่าวแก่สายลับกลุ่มผีพรายของเราในครานี้พ่ะย่ะค่ะพวกเขายังบอกใบ้แก่พวกข้าน้อยว่า เรือลำนั้นไม่มีทหารคุ้มกัน อีกทั้งยังบอกว่าทางการเหยี่ยนโจวจะมิยุ่ง ให้พวกเรากระทำการได้อย่างเต็มที่ภายหลังข้าน้อยสืบดู ก็เป็นเช่นที่พวกเขาว่า ข้าน้อยจึงคิดจะปล้นเรือลำนั้น ขอฝ่าบาททรงเมตตาข้าน้อยด้วยเถิด ข้าน้อยเพิ่งทำผิดเป็นครั้งแรกพ่ะย่ะค่ะ”เขาพูดจบก็ก้มหัวคนอื่น ๆ ต่างขอความเมตตา“ขอฝ่าบาททรงเมตตา ข้าน้อยเป็นคนสนิทของท่านอ๋องซิ่น เพียงแต่ทำตามคำสั่งเท่านั้น ข้าน้อยหาได้มีความผิดไม่พ่ะย่ะค่ะ”“ใช่แล้วพ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาท นี่เป็นคำสั่งของท่านอ๋องฉี พวกเราแค่ทำตามเท่านั้นพ่ะย่ะค่ะ”ฉินหยางโกรธจัด “พวกเจ้าใส่ร้ายข้า ข้าสั่งพวกเจ้าไปปล้นเรือเมื่อใด พวกเจ้ามันชั่วช้าสามานย์ยิ่งกว่าหมูกว่าหมา มีหน้ามาใส่ร้ายข้า หรือพวกเจ้ามิอยากมีชีวิตอยู่กันแล้ว!”ฉินอู๋ต้าวถามคนเหล่านั้นด้วยน้ำเสียงเย็นชา “พวกเ
“เพื่อวางแผนร้ายต่อองค์รัชทายาท ถึงกับเพิกเฉยต่อชีวิตของผู้ประสบภัยในหลิ่งหนาน หากมิจัดการเรื่องนี้อย่างเด็ดขาด เกรงว่าเหล่าราษฎรในใต้หล้าจะสิ้นศรัทธา ขอฝ่าบาททรงโปรดไตร่ตรองด้วยเถิดพ่ะย่ะค่ะ!”ฉินอู๋ต้าวหายใจเข้าลึก ๆ แล้วตะโกนลั่น “เจ้าลูกทรพี สารเลว ให้กำเนิดพวกสันดานหยาบมิต่างจากหมูหมาเยี่ยงพวกเจ้ามาได้อย่างไรกัน!”“ฟังคำสั่ง! อ๋องซิ่น อ๋องฉีไร้คุณธรรม ถอดตำแหน่งอ๋องนับแต่วันนี้!”“ฉินหยางลดขั้นเป็นอ๋องอันหนาน ออกเดินทางไปยังอำเภออันหนานทันที หากมิได้รับอนุญาตจากตัวข้า ห้ามออกจากอันหนานแม้แต่ก้าวเดียว!”“ฉินหงลดขั้นเป็นอ๋องเป่ยหรง ออกเดินทางไปยังอำเภอเป่ยหรงที่ชายแดนเหนือทันที ห้ามออกจากเป่ยหรงอีกตลอดชีวิต!”“หากทั้งสองขัดขืน ให้ประหารสิ้น!”หลังจากที่ฉินอู๋ต้าวตัดสินโทษ ฉินหยางและฉินหงก็หน้าซีดเมื่อได้สติ ทั้งสองก็คุกเข่าด้วยน้ำตาคลอเบ้า“ลูกขอขอบพระทัยเสด็จพ่อที่เมตตา”“ไป หากยังกล้าทำผิดอีก อย่าหาว่าข้ามิเห็นแก่ความเป็นพ่อลูก!”ฉินหยางและฉินหงเดินจากไปอย่างหมดอาลัยตายอยากฉินอู๋ต้าวมองฉินซู และกล่าว “คนเหล่านี้ยกให้เจ้าจัดการ ข้าเหนื่อยแล้ว ขุนนางทั้งหลาย เลิกประชุม”
เซี่ยเหอถอนหายใจยาว “เรื่องมาถึงขั้นนี้ สถานการณ์พลิกผันไปแล้ว จะทำกระไรได้ นอกจากหวังว่าองค์รัชทายาทจะทรงเมตตา มิเอาเรื่องพวกเราสองคน”“เฮ้อ! มิคิดเลยว่าเพียงครึ่งวัน อ๋องฉีจะพ่ายแพ้ราบคาบ สถานะขององค์รัชทายาทในราชสำนักคงไม่มีผู้ใดสั่นคลอนได้แล้ว”หลินซีรู้สึกเสียใจเล็กน้อย หากตอนนั้นเขาฟังคำของหลินชิงเหยา รีบตีตัวออกห่างจากอ๋องฉีแต่เนิ่น ๆ สถานการณ์ตอนนี้คงมิน่าอึดอัดเช่นนี้อ๋องฉีสิ้นอำนาจแล้ว ในฐานะขุนนางคนสนิท เขาจะมีจุดจบที่ดีได้อย่างไรเมื่อคิดถึงตรงนี้ หลินซีก็อดมิได้ที่จะถอนหายใจยาวเซี่ยเหอจึงตบบ่าเขาและเอ่ยด้วยความเห็นใจอย่างสุดซึ้ง “ใต้เท้าหลิน ในความเห็นของข้า ท่านรีบกลับไปคืนดีกับบุตรสาวของท่านเถิด ตอนนี้นางเป็นคนขององค์รัชทายาท สุดท้ายท่านก็จะมิต้องสูญเสียทุกสิ่ง”เมื่อได้ยินดังนั้น หลินซีก็ขมวดคิ้วครุ่นคิดครู่หนึ่ง เขาก็พยักหน้าอย่างแน่วแน่ “ขอบคุณใต้เท้าเซี่ยที่เตือน ข้าน้อยขอลา”เมื่อพูดจบ หลินซีก็หันหลังเดินออกไปและตรงไปยังตำหนักบูรพาหลังจากเซี่ยเหอออกมาจากวัง เซี่ยหลานก็เดินเข้ามาพร้อมกับมือที่ไพล่หลังนางเบะปากพึมพำ “ท่านปู่ เป็นอย่างไรบ้างเจ้าคะ ตอนนี้
กู้เสวี่ยเจี้ยนถามด้วยความประหลาดใจอย่างยิ่ง “ท่านว่ากระไรนะ? หนานเยวี่ยถูกทำลายแล้วหรือ?”“ใช่ เพิ่งได้รับข่าวเมื่อมินานมานี้ ฉินซูใช้กลอุบายเล็กน้อยก็บีบบังคับให้ทหารหนานเยวี่ยแสนนายยอมจำนน จากนั้นยังนำทหารชั้นยอดเพียงหมื่นนายบุกเข้ายึดเมืองหลวงของหนานเยวี่ย และสังหารเชื้อพระวงศ์หนานเยวี่ยจนหมดสิ้น”“มิจริงกระมัง? ท่านแน่ใจหรือว่าข่าวนั้นเป็นความจริง?” กู้เสวี่ยเจี้ยนแสดงสีหน้าเหลือเชื่อซ่างกวนอวิ๋นซีกล่าวด้วยน้ำเสียงจริงจัง “ข่าวนี้เป็นความจริงทุกประการ ต้องยอมรับว่าองค์รัชทายาทผู้รอวันปลดแห่งต้าเหยียนผู้นี้พอมีฝีมืออยู่บ้าง หากเขามา บางทีอาจจะช่วยข้าได้”“ท่านต้องการให้ฉินซูช่วยท่านทำกระไรหรือ?” กู้เสวี่ยเจี้ยนมองซ่างกวนอวิ๋นซีด้วยความหวาดระแวง“ถึงเวลานั้นเจ้าก็จะรู้เอง เอาเถอะ เจ้าลงไปได้แล้ว ข้าจะฝึกวิชา”ซ่างกวนอวิ๋นซีออกคำสั่งไล่แขกดื้อ ๆกู้เสวี่ยเจี้ยนเบะปากแล้วหันหลังเดินลงบันไดไปซ่างกวนอวิ๋นซีกลับไปยังห้องฝึกตน จากนั้นก็ร่ายเวทด้วยสองมือ ตวัดนิ้วส่งพลังปราณไปยังกระจกทองเหลืองบานหนึ่งในเวลาเดียวกันภายในสำนักหอดูดาวหลวงแห่งต้าเหยียนเหลยเจิ้นกำลังนั่งสมาธิบำเพ็
มู่หรงเซี่ยวเทียนอธิบายว่า “คุณชายหยวน เทพธิดาซ่างกวนกำลังกักตนบำเพ็ญเพียรอยู่จริง ๆ หากท่านมิเชื่อ ท่านสามารถไปดูที่หอดารารักษ์ได้”“ข้าต้องไปแน่ ข้าขอพูดตามตรง ครั้งนี้ที่ข้ามาก็เพื่อสู่ขอนาง เทพธิดาซ่างกวน ข้าจะต้องแต่งกับนางให้ได้!”“การได้รับความเมตตาจากคุณชายหยวนนับเป็นบุญของเทพธิดาซ่างกวน คุณชายหยวนโปรดวางใจ เมื่อนางออกจากด่านกักตนบำเพ็ญเพียรแล้ว ข้าจะทำหน้าที่เป็นพ่อสื่อให้ท่านด้วยตนเอง”หยวนหัวยิ้มประสานมือคารวะมู่หรงเซี่ยวเทียน “เช่นนั้น ก็ขอบพระทัยฝ่าบาทแห่งเป่ยเยี่ยนยิ่งนัก”"คุณชายหยวนเกรงใจเกินไปแล้ว เชิญเถิด"จากนั้น มู่หรงเซี่ยวเทียนก็นำคณะของแคว้นฉีเข้าเมืองในหมู่เชื้อพระวงศ์แห่งเป่ยเยี่ยน หญิงสาววัยสิบแปดสิบเก้าปีคนหนึ่งแค่นเสียงเบา ๆ ใบหน้าเต็มไปด้วยความโกรธเคือง ว่า “หึ แคว้นฉีพูดเสียดิบดีว่าจะส่งองค์รัชทายาทมาตรวจราชการ เสด็จพ่อจึงเสด็จออกไปต้อนรับด้วยพระองค์เอง ใครจะคิดว่าคนที่มาจะเป็นเพียงบุตรชายของอ๋องเซียงหยาง ช่างมิเห็นหัวคนเสียนี่กระไร”“ใครว่ามิจริงเล่า ข้าเองก็รู้สึกแย่พอกัน หากเป็นอ๋องเซียงหยางเสด็จมาด้วยตนเอง เสด็จพ่อเสด็จออกไปต้อนรับก็ยังพอว่า แต
เป่ยเยี่ยนทั่วทั้งเมืองจินหลิงตกอยู่ภายใต้การวางกำลังที่เข้มงวดภายในเมืองหลวงอันกว้างใหญ่ไพศาลของเป่ยเยี่ยนแห่งนี้ สามารถพบเห็นทหารกองรักษาการณ์พร้อมอาวุธได้ทุกหนทุกแห่งบริเวณประตูเมืองทางเหนือมีการเฝ้าระวังอย่างเข้มงวด โดยมีกองทัพทหารม้าเกราะหนักซึ่งเป็นกองกำลังที่มีกำลังรบแข็งแกร่งที่สุดของเป่ยเยี่ยนเป็นผู้รักษาการณ์พรมแดงที่โดดเด่นสะดุดตาผืนหนึ่งทอดยาวจากถนนสายหลักเมืองทางฝั่งเหนือ ไปจนถึงนอกประตูเมืองทางทิศเหนือขุนนางทั้งบู๊และบุ๋นของเป่ยเยี่ยนต่างมารวมตัวกันอยู่ที่นี่ ราชรถหรูหราโอ่อ่าของจักรพรรดิจอดอยู่ภายนอกประตูเมืองทางเหนือมู่หรงเซี่ยวเทียนในชุดลายมังกรที่ยืนอยู่สุดปลายพรมแดงกำลังมองไปยังทิศทางอันห่างไกลเบื้องหลังของเขาคือเหล่าพระโอรสและพระธิดามิว่าจะเป็นขุนนางข้าราชบริพาร หรือมู่หรงเซี่ยวเทียน หรือแม้แต่เชื้อพระวงศ์ ต่างก็ตั้งตารอคอยราวกับกำลังรอคอยบุคคลผู้ยิ่งใหญ่ก็มิปาน“ฝ่าบาท พวกเขากำลังมาแล้วพ่ะย่ะค่ะ!”ในขณะนั้นเอง เสียงหนึ่งดังมาจากกำแพงเมืองมู่หรงเซี่ยวเทียนและคนอื่น ๆ มองออกไป เห็นขบวนหนึ่งกำลังเคลื่อนตัวเข้ามาอย่างช้า ๆ บนถนนหลวงที่อยู่ไกลออกไป
"บัดนี้องค์รัชทายาทยังได้แสดงวรยุทธ์อันน่าตื่นตะลึงออกมา ข้าน้อยเห็นว่าก็สามารถใช้ประโยชน์จากองค์รัชทายาทได้ในด้านการประลองยุทธ์พ่ะย่ะค่ะหากมีองค์รัชทายาทเข้าร่วมโดยไม่มีสิ่งใดผิดพลาด ราชวงศ์ต้าเหยียนน่าจะสามารถก้าวเข้าสู่สามสิบอันดับแรกได้และหากแสดงฝีมือได้ดี บางทีอันดับของต้าเหยียนในกลุ่มแคว้นลำดับรองอาจจะขยับขึ้นได้อีกด้วยพ่ะย่ะค่ะ”ฉินอู๋ต้าวโบกมือ กล่าวด้วยสุรเสียงจริงจังว่า “เรื่องอันดับนั้นมิสำคัญ จุดประสงค์ที่เราเข้าร่วมการประชุมระหว่างแคว้นคือการเข้าสู่สามสิบอันดับแรก แล้วชิงสิทธิ์ในการเข้าสู่ดินแดนศักดิ์สิทธิ์เทียนเฉวียน”“เช่นนั้นก็ง่ายดาย ข้าน้อยเตรียมพร้อมทุกประการแล้ว ตราบใดที่พวกเขาสามารถเข้าไปในดินแดนศักดิ์สิทธิ์เทียนเฉวียนได้ ย่อมต้องพบเทพศาสตราวุธในตำนานและเมล็ดพันธุ์พืชอันล้ำค่า ถึงยามนั้น การที่ต้าเหยียนจะก้าวขึ้นเป็นแคว้นผู้นำก็อยู่แค่เอื้อม”เหลยเจิ้นกล่าวแล้วก็อดตื่นเต้นมิได้ดังที่เคยกล่าวไว้แต่ต้น เมื่อสองร้อยปีก่อน ในแผ่นดินเฉินโจว ต้าเหยียนนั้นเป็นเพียงแคว้นเล็ก ๆ ที่ไม่มีผู้ใดสนใจต่อมาหลังจากได้เข้าไปในดินแดนศักดิ์สิทธิ์เทียนเฉวียน ก็บังเอิญได้ครอบ
เซี่ยหลานตกใจลนลาน รีบแก้ตัวว่า “มิใช่อย่างนั้น ชูโม่ เจ้าคิดมากไปแล้ว ข้าจะกอดพระองค์ได้อย่างไร เจ้าก็รู้ว่าก่อนหน้านี้เขาทำกับข้าเช่นไร”ฉงชูโม่จึงนึกขึ้นได้ว่าก่อนหน้านี้เซี่ยหลานเคยถูกฉินซูฉีกอาภรณ์และทำให้อับอายนางจึงคลายความสงสัยในใจ “ข้าแค่ล้อเจ้าเล่นเท่านั้นเอง จะตกใจไปไยเล่า”“หึ กล้าล้อข้ารึ ข้ามิคุยกับเจ้าแล้ว” เซี่ยหลานแสร้งทำเป็นโกรธแล้วหันหลังเดินไปฉงชูโม่เห็นดังนั้นจึงรีบตามไป “เซี่ยหลาน ข้าผิดไปแล้ว เจ้าอย่าใจน้อยนักเลย”มองดูทั้งสองคนที่ทำราวกับว่าตนเป็นอากาศธาตุ ฉินซูก็จนคำจะกล่าวโชคดีที่ในเวลานั้นหลินชิงเหยาเดินเข้ามานางคล้องแขนฉินซูพลางกล่าวด้วยความนัยลึกซึ้งว่า “องค์รัชทายาท อากาศหนาวเย็นเช่นนี้อย่าประทับอยู่ข้างนอกเลยเพคะ ข้างนอกแม้จะเย็น แต่ดีที่ตำหนักบูรพาของเรามีบ่อน้ำพุร้อน องค์รัชทายาทจะเสด็จลงไปแช่เพื่อคลายความหนาวเหน็บหรือไม่เพคะ?”“ไปสิ ไยจึงมิไป!”ฉินซูเข้าใจความหมายในทันที จึงจับมือหลินชิงเหยาแล้วรีบเข้าไปในโรงอาบน้ำอย่างใจจดใจจ่อจากนั้นเขาก็ได้รำลึกถึงความหลังกับหลินชิงเหยาอีกครั้งในขณะเดียวกันเหลยเจิ้นได้รับพระบัญชาให้มายังห้องทรงอัก
“อืม เพราะหากเป็นเช่นนั้น ก็อธิบายหลายสิ่งหลายอย่างได้”ฉงชูโม่ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วพยักหน้า “คนที่สามารถสั่งการยอดฝีมือจากวังหลวงได้ ตำแหน่งของเขาต้องมิธรรมดาอย่างแน่นอน หากคนเช่นนั้นลอบให้การช่วยเหลืออ๋องฉู่ ก็อาจจะปิดบังสายตาของสำนักโหรหลวงได้จริง ๆ”ฉินซูยักไหล่อย่างจนใจ “ดูเหมือนว่าการจะสาวถึงตัวคนที่อยู่เบื้องหลังอ๋องฉู่จะเป็นเรื่องยาก”“ถูกต้องแล้วเพคะ ครั้งนี้อ๋องฉู่ก่อกบฏมิสำเร็จ ต่อไปคงต้องระมัดระวังตัวยิ่งขึ้น พวกเราคงจะจับจุดอ่อนของเขาได้ยากขึ้นด้วย” ฉงชูโม่เองก็รู้สึกเสียดายอย่างยิ่ง“ช่างเถอะ พักเรื่องนี้ไว้ก่อน หากสืบสวนต่อไป เกรงว่าเสด็จพ่อจะทรงสงสัยว่าพวกเราสมคบคิดกันใส่ร้ายอ๋องฉู่”“แต่พวกเราจะปล่อยเรื่องนี้ไปเฉย ๆ หรือเพคะ? ในเมื่อที่อ๋องฉู่ตั้งใจจะก่อกบฏก็เป็นเรื่องจริง”ฉินซูกล่าวด้วยน้ำเสียงหนักแน่นว่า “มิอาจปล่อยไปง่าย ๆ แน่นอน สิ่งที่เราทำได้ในยามนี้คือรอ รอให้ฉินอวี่ทำผิดพลาดอีกครั้ง ข้าเชื่อว่าเมื่อเรื่องนี้ซาลงไปแล้ว เขาจะต้องเคลื่อนไหวอย่างแน่นอน เมื่อใดที่มีการเคลื่อนไหว ก็จะต้องมีพิรุธเป็นแน่”ฉงชูโม่ถามว่า “ให้หม่อมฉ้นแอบจับตาดูเขาดีหรือไม่?”
ฉินซูขมวดคิ้วกล่าวว่า “ตอนนี้ข้าก็แค่คาดเดา ยังไม่มีหลักฐานที่แน่ชัด จะสอบสวนเลยได้อย่างไร? ยิ่งกว่านั้นพวกเขายังเป็นศิษย์เอกของท่านทั้งสิ้น หากเรื่องนี้แพร่งพรายออกไป เกรงว่าจะส่งผลเสียได้”เหลยเจิ้นส่ายหน้าอย่างจนใจ กล่าวว่า “ที่แท้องค์รัชทายาทก็แค่คาดเดาไปเอง แต่ข้าน้อยบอกท่านได้เต็มปากว่า นอกจากเสวี่ยเจี้ยน โฉ่วเยวี่ยและจีอันแล้ว ข้าน้อยล้วนจับศิษย์คนอื่น ๆ ขังแยกกันไว้ในห้องลับของสำนักหอดูดาวหลวงตั้งแต่ครึ่งปีก่อน พวกเขาไม่มีรอดพ้นจากสายตาข้าน้อยได้อย่างเงียบเชียบแน่นอนพ่ะย่ะค่ะ”“อ้อ? ถูกท่านขังไว้หมดเลยหรือ?”ต่อมความอยากรู้อยากเห็นของฉินซูถูกกระตุ้นขึ้นมาทันที เขาถามต่อว่า “ท่านหัวหน้าโหรหลวงขังพวกเขาไว้ด้วยเหตุผลใดหรือ?”กล้ามเนื้อบนใบหน้าของเหลยเจิ้นกระตุกสองสามครั้ง เขายกมือขึ้นลูบหน้าผากแล้วตอบว่า “ช่างเถิด ข้าน้อยมิกลัวองค์รัชทายาทจะหัวเราะเยาะอยู่แล้ว ศิษย์เอกของข้าน้อยแต่ละคนล้วนมีสันดานทรยศ ข้าน้อยแน่ใจว่าท่านก็พอจะรู้นิสัยใจคอของโฉ่วเยวี่ยและจีอันอยู่บ้าง ดังนั้นข้าน้อยจึงทำได้เพียงปล่อยให้พวกเขาไตร่ตรองถึงความผิดพลาดของตนเท่านั้น”“เช่นนั้น ศิษย์เอกทั้งเจ็ดคนของท
ทันทีที่เขาลงบันไดมา จีอันก็ถามด้วยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ว่า “ศิษย์พี่รอง โดนดุมาหรือไร?”“ไป ๆ ๆ หัวโขกจนปูดไปหมด เรื่องนี้ข้ายังมิได้คิดบัญชีกับเจ้าเลย!”“ดูเถอะ ขี้ใจน้อยเหมือนสตรีไปได้”“นี่ เจ้าอยู่ดี ๆ มิชอบใช่หรือไม่? ข้าจะฟาดเจ้าคอยดูเถอะ!” ตู๋กูโฉ่วเยวี่ยไปหาแส้ยาวมาจากไหนก็มิทราบจีอันแคะขี้มูกแล้วกล่าวอย่างมิได้ยี่หระว่า “ข้ามิกลัวเจ้าหรอก ถึงอย่างไรท่านก็สู้ข้ามิได้”“ข้า… เจ้ามันร้ายกาจ ข้ายอมแพ้!”ตู๋กูโฉ่วเยวี่ยหมดความอดทนใดทันที จีอันผู้นี้ขึ้นชื่อเรื่องหนังหนา อีกทั้งยังเก่งกาจจนน่าขนลุก สู้มิได้ เขาหลบดีกว่าพูดจบเขาก็หันหลังเดินออกไปครู่ต่อมา ฉินซูและฉงชูโม่ก็มาถึงเมื่อเห็นฉินซู จีอันก็อุทานด้วยความประหลาดใจว่า “โอ้โหแฮะ องค์รัชทายาท มิไปประกาศศักดาที่ใดหรือ ไฉนจึงมาเยือนสำนักหอดูดาวหลวงของเราได้?”ฉินซูงงงวยเล็กน้อย จึงถามกลับว่า “ตัวข้าต้องไปประกาศศักดาที่ใดเล่า? อวดอ้างกระไร?”“ท่านมิทรงทราบหรือ? ยึดครองแคว้นหนานเยวี่ยง่ายเหมือนปอกกล้วยเช่นนี้ ผลงานระดับนี้ไยมิไปประกาศให้ทั่วเล่า? หากเป็นข้าน้อย ข้าน้อยจะร้องแรกแหกกระเชอคุยโวไปสามวันสามคืนเต็ม ๆ ท่านนี่ช่าง
ชิวก่วนกล่าวด้วยสีหน้าเศร้าหมองว่า “หาได้มีโจรผู้ร้ายบุกรุกเข้ามาไม่พ่ะย่ะค่ะ หูก่วงเซิงและพวกตายไปโดยไร้สาเหตุ ก่อนหน้านี้ก็ไม่มีความผิดปกติใด ๆ พ่ะย่ะค่ะ”“ว่ากระไรนะ? หูก่วงเซิงและพวกตายแล้วรึ?”ฉงชูโม่เดินเข้ามาด้วยสีหน้าประหลาดใจฉินซูกล่าวอย่างมิสบอารมณ์ว่า “มิใช่แค่พวกเขา แม้แต่กองทัพส่วนตัวห้าหมื่นนายของอ๋องฉู่ก็ถูกคนช่วยออกไปแล้ว”“ว่ากระไรนะเพคะ?”ฉงชูโม่ตกตะลึงอ้าปากค้าง!เมื่อได้สติกลับมา นางก็ขมวดคิ้วกล่าวว่า “ด้วยกำลังของอ๋องฉู่เพียงลำพัง ไม่มีทางทำเรื่องเหล่านี้ได้แน่ ดังนั้นเบื้องหลังของเขาต้องมียอดฝีมือคอยช่วยเหลือเป็นแน่เพคะ!”ฉินซูครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง แล้วกล่าวว่า “ศพของหูก่วงเซิงและพวกอยู่ที่ใด?”“ตอนนี้อยู่ที่ศาลต้าหลี่พ่ะย่ะค่ะ”“ไปดูกัน”ฉินซูกล่าวจบก็เดินจากไปอย่างรวดเร็วหวังฉือเห็นเขาออกมาก็คำนับแล้วกำลังจะกล่าวทว่าฉินซูกลับพูดแทรกขึ้นก่อนว่า “ใต้เท้าหวัง ไปกันเถิด ไปศาลต้าหลี่ของท่านด้วยกัน”เมื่อได้ยินเช่นนั้น หวังฉือก็ชะงักไปเล็กน้อย จากนั้นก็รีบพยักหน้าหนึ่งชั่วยามต่อมาพวกเขาก็มาถึงศาลต้าหลี่เมื่อมองดูร่างไร้วิญญาณของหูก่วงเซิงและพวก ฉ