ซีเฟยใช้เวลาเพียงครึ่งก้านธูป ก็เดินเข้ามายังท้องพระโรงในชุดสีแดง สวมเครื่องประดับสีเงินมีสายห้อยลงมารอบๆ ศีรษะ และมีจี้สีน้ำเงินที่ประดับด้วยไพลินล้อมด้วยเพชรอันเล็กๆ ห้อยลงมากลางหน้าผากนาง เสื้อรัดอกสีแดงเพียงครึ่งตัว เผยให้เห็นหน้าท้องแบนราบ และแผ่นหลังที่ขาวเนียนของนางกระโปรงจีบบานยาวประดับด้วยพลอยและทับทิมที่เย็บติดกับผ้าไหมโปร่งสีแดงเป็นเส้นยาวลงมา แลดูงดงามยิ่งนัก เมื่อนางเดินผ่าน ทุกสายตาล้วนถูกสะกดด้วยความงดงามของพระชายาชินอ๋อง ซึ่งทำให้ชินอ๋องนั่งไม่ติด เขาทั้งตกตะลึงในความงดงามของพระชายาในยามนี้ แต่ก็ยังไม่พอใจกับสายตาที่จ้องมองพระชายาของเขา ซีเหมยไม่คิดว่านางจะแย่งความสนใจไปหมดแบบนี้ นางยิ้มออกมาและนึกในใจ(เดี๋ยวเจ้าจะได้อับอายจนไม่อยากมีชีวิตอยู่เลยล่ะซีเฟย)“ข้าพร้อมแล้ว”ซีเฟยเดินไปบอกซีเหมย และเดินไปที่หน้าลานพิธี“เสด็จพ่อ เสด็จแม่ เชิญรับชมการแสดงได้เลยเพคะ”“ยอดเยี่ยม ซีเฟย ข้าจะรอดู”ซีเฟยกลับไปที่ลานแสดง เพื่อบอกให้ซีเหมยเริ่มการแสดง ซีเหมยเริ่มดีดฉิน ซีเฟยเริ่มร่ายรำ จากจังหวะช้าๆ มาได้อีกสักพัก ซีเหมยเริ่มเร่งจังหวะเพลงให้เร็วขึ้น ซีเฟยปรับเปลี่ยนท่ารำตามจังหว
ทำไมเป็นเขาล่ะ ไหนบอกว่าเขาเป็นปิศาจเลือดเย็น ไร้หัวใจ มัจจุราชแห่งสงคราม น่ากลัวไงล่ะ เหตุใดจึงเป็นเช่นนี้ไปได้ หากรู้ว่าเขาเป็นบุรุษเพียบพร้อมและรูปงามปานนี้ นางคงไม่ให้เสด็จแม่เปลี่ยนให้ซีเฟยแต่งมาแทนนางหรอก ไม่ได้ นางต้องชี้แจงเรื่องนี้ นางต้องเป็นพระชายาชินอ๋องอย่างถูกต้อง“ซีเฟย เจ้าจะมาชุบมือเปิบแบบนี้ไม่ได้ ข้าไม่ยอม”“ซีเหมย เจ้าพึมพำอะไรน่ะ เจ้าเป็นอะไรหรือเปล่า ไม่สบายหรือ”ซีเหมยมองกลับมาที่เสด็จอา เขาจะรู้เห็นเป็นใจกับซีเฟยด้วยหรือไม่ในเรื่องนี้ เหตุใดต้องปิดบังนาง“เสด็จอา ท่านรู้มาก่อนหรือไม่ว่าชินอ๋องหน้าตาแบบนี้ หรือท่านพึ่งเห็นตอนที่มาส่งท่านพี่ที่นี่”จ้าวอี้เหลียงหันมามองซีเหมย รู้สึกประหลาดใจกับคำถามของนางไม่น้อย“เจ้าหมายความว่าอย่างไรกัน อะไรคือข้ารู้จักชินอ๋องมาก่อนหรือไม่ แล้วมันเกี่ยวกับเจ้าอย่างไร”“ข้าถามท่าน ท่าก็ตอบมาเถอะเพคะ ข้าอยากรู้ว่า ท่านรู้จักกับชินอ๋องมาก่อนหรือไม่”อี้เหลียงพอจะเดาเรื่องราวออกแล้วจากท่าทางแปลกๆ ของซีเหมยหลายวันที่มาถึงที่นี่ นางเอาแต่พูดถึงบุรุษที่นางต้องตาต้องใจ แต่เขาไม่คิดไม่ฝันว่านางจะถูกใจชินอ๋องเข้า“ข้าพึ่งรู้จักเขา ตอนที่
เหมยซูหนี่ว์เดินเข้างานมาอย่างเฉิดฉาย พร้อมกับทุกสายตาที่มองนางเป็นตาเดียว เพราะความหรูหราของชุดที่นางใส่ ทั้งตัวประดับด้วยเครื่องเงิน ตัดกับชุดสีฟ้าสดที่นางสวมใส่ วันนี้นางไม่ใส่ผ้าคลุมหน้าแล้ว ทำให้เผยโฉมหน้าที่งดงาม หน้าเรียวรูปไข่ ปากอิ่มอวบแต้มชาดสีแดงสด เพื่อให้ตัดกับเครื่องประดับและชุด ทำให้เหล่าบรรดาบุรุษส่วนใหญ่ในท้องพระโรงล้วนสนใจมองมาที่นางเหมยซูหนี่ว์เห็นเป้าหมายแล้ว นางจงใจส่งสายตาและยิ้มหวานส่งให้เขา แต่คนที่พยักหน้าให้นาง คือเสนาบดีจิ้งที่ยืนข้างๆ เขาแทน นางหงุดหงิดเล็กน้อยก่อนจะเดินไปนั่งประจำที่“อ้อนั่นองค์หญิงแคว้นเซี่ยหนาน ที่เค้าร่ำลือว่างามล่มเมือง พี่หก ท่านว่า นางงามเช่นนั้นจริงหรือไม่”“งามก็งาม แต่ดูแล้ว งามเพราะเครื่องแต่งกายมากกว่า งดงาม แต่ดูร้ายอย่างไรพิกล”“จะว่าไป ข้าว่า พี่สะใภ้ งามกว่านางเยอะเลยนะเพคะ”“องค์หญิงทรงล้อเล่นแล้วเพคะ”“นั่นสิน้องแปด เจ้าพูดถูกนะ พี่สะใภ้ไม่ได้แต่งมากเหมือนนาง ยังงามกว่าขนาดนี้ ถ้าได้แต่งเพิ่มอีกนิด ข้าว่านางคงงามไม่ถึงครึ่งของท่านหรอก”“พวกท่านอยากทานขนมสินะเพคะ หม่อมฉันไม่หลงกลหรอกนะเพคะ”“ฮ่าๆ พี่สะใภ้ เราไม่ได้ยกยอท่า
ซีเฟยเงยหน้ามามองพระสวามี“ด้วยตำแหน่ง และบรรดาศักดิ์ของพระองค์ เดิมทีก็ต้องเป็นแบบนั้น เหมือนเสด็จพ่อของหม่อมฉัน ที่มีทั้งเสด็จแม่ และพระสนมหลายคน”“ข้ามีเจ้าเพียงคนเดียวก็เพียงพอแล้ว ข้าไม่ต้องการพระชายารอง สนม หรืออนุอะไรอีก เจ้าไม่ควรเอาเรื่องไร้สาระนั่นมาใส่ใจนะ เพราะข้า ไม่เคยคิดจะแต่งตั้งพระชายาเพิ่ม”“แต่หากเสด็จพ่อประทานให้ พระองค์ก็ไม่อาจขัด”“ไม่หรอก เสด็จพ่อไม่เคยทำอะไรโดยที่ไม่ปรึกษาข้า ยิ่งไม่เคยข่มเขาโคขืนให้กลืนหญ้าแบบนี้ พระองค์ยิ่งไม่ทำ”“แต่ตอนนั้น เสด็จพ่อส่งราชโองการเรื่องอภิเษกของเราไปให้ท่านนะเพคะ นั่นก็เป็นการบังคับพระองค์เช่นกัน”“นั่นแหละ เหตุผลที่พระองค์จะไม่ทำอีก ครั้งนั้น คือครั้งเดียวที่พระองค์จำเป็นต้องทำ โดยไม่ได้ปรึกษาข้าก่อน พระองค์เองก็ถูกบรรดาเหล่าขุนนางกดดันให้ต้องตัดสินพระทัย เลือกใครสักคนที่จะอภิเษก ตอนนั้นน้องห้ายังศึกษาอยู่ น้องสี่ก็อายุยังน้อย ส่วนพี่ใหญ่ข้า เขากับชิงอี้เหนียงกำลังจะทำการหมั้นหมายกัน ข้าจึงเป็นตัวเลือกที่เหมาะสมที่สุดในเวลานั้น พระองค์ไม่มีทางเลือกเพราะเรื่องนั้นทำให้พระองค์รู้สึกผิดกับข้ามาโดยตลอด แต่พอเรื่องของเจ้า ในท้องพร
“โอ้ ข้าต้องขออภัยพวกท่านทั้งสองด้วยนะ ข้าก็คิดว่าเสียงสุนัขกัดกัน จึงให้พวกขันทีเอาน้ำมาสาด ไม่คิดว่าจะเป็น....”“หยาบคายยิ่งนัก เจ้าเป็นใครกัน กล้ามาทำกับแขกของฮ่องเต้แบบนี้งั้นหรือ”“ขออภัยจริงๆ พ่ะย่ะค่ะ ข้าน้อยไม่ทราบว่าพวกท่านคือใครกัน”“ข้า องค์หญิงเหมยซูนี่ว์แห่งแคว้นเซี่ยหนาน เจ้าเป็นใคร ยศอะไร บอกข้ามา พรุ่งนี้ข้าจะได้แจ้งฝ่าบาท ว่าเจ้าบังอาจมาล่วงเกินข้า”“โอ้ๆๆ องค์หญิง โปรดไว้ชีวิตข้าน้อยด้วย เพียงแต่ ตอนนี้มันยามวิกาลแล้ว และเป็นเวลาที่องค์ไทเฮาจะสวดมนต์ หากพวกท่านยังส่งเสียงรบกวนพระนางล่ะก็ ข้าว่า คืนนี้ พวกท่านอาจจะได้ไปทะเลาะกันต่อในคุกหลวงนะ”“นี่เจ้ากล้าขู่ข้างั้นหรือ”“โอ้ๆๆ ข้าน้อยมิกล้า มิกล้า แต่แค่เตือนพระองค์ ข้ารับคำสั่งมาจากไทเฮา ให้มาดูว่ามีเสียงเอะอะอะไร ถ้างั้น ข้ากลับไปทูลพระองค์ก่อนก็แล้วกัน”“เจ้าหยุดนะ รอก่อน ไม่ต้องไปทูล ข้าหยุดแล้ว นังบ้านนอก ฝากไว้ก่อนเถอะ”“นังคนป่าเถื่อน ไร้มารยาท ไร้การอบรม ครั้งหน้าข้าจะฉีกเจ้าเป็นชิ้นๆ เจ้าไม่รอดแน่”“ฝันไปเถอะ นังสารเลว”“นี่เจ้า”“เอาล่ะๆ พวกท่านยังไม่หยุดใช่หรือไม่ ข้าจะได้พาพวกท่านไปพบไทเฮาทั้งคู่เลย”""หย
ซีเฟยถึงกับแปลกใจ ท่านอ๋องไม่เคยมีท่าทีแบบนี้กับนางมาก่อน เขาแทบจะไม่เคยใส่ใจความรู้สึกใครเลยด้วยซ้ำไป แต่ตอนนี้ ถึงขั้นยอมง้อนาง แต่นางจะพูดเรื่องนี้ออกไปอย่างไร ในเมื่อมันก็ยังเป็นแค่ความกังวลใจเล็กๆ ของนางเท่านั้น“ไม่มีอะไรเพคะ พระองค์ไม่ไปห้องหนังสือหรือเพคะ”“ไม่ล่ะ วันนี้ข้าเหนื่อยแล้ว ไหนๆ เจ้าก็ออกไปเที่ยวกับข้าไม่ได้แล้ว เราก็นอนพักผ่อนอยู่ที่นี่แหละ แต่แค่ช่วงกลางวันนะ คืนนี้ ต้องกลับไปที่ห้องของเราแล้ว”ซีเฟยรู้สึกอบอุ่นหัวใจขึ้นมา จริงๆ นางไม่ควรเอาความไม่สบายใจเหล่านี้ มาสาดใส่ผู้ที่ไม่รู้เรื่องอย่างพระสวามีของนาง มันจะทำให้ชีวิตคู่แย่ลงกว่านี้ นางเองก็ไม่ควรทำตัวแบบนี้ ซีเฟยค่อยๆ หันมาหาเขา ซุกหน้าเข้าไปที่หน้าอกอุ่นๆ ของเขา เขากระชับตัวนางเข้ามาชิดมากขึ้น“เพคะ”“นอนเถอะ ข้าจะนอนเป็นเพื่อน ยังปวดท้องอยู่หรือไม่”“ไม่แล้วเพคะ”“พักเถอะ จะได้หายปวด”ชินอ๋องก้มลงจูบหน้าผากนางเบาๆ ก่อนที่ทั้งคู่จะผล็อยหลับไป ชินอ๋องเองก็รู้สึกเพลียไม่น้อยที่ต้องไปยืนรับแขกตั้งแต่เช้า เขาแทบจะหลับไปก่อนซีเฟยเสียด้วยซ้ำไป ซีเฟยเอง ก็เริ่มดีขึ้น หลังจากได้กินยาเข้าไป และเพราะฤทธิ์ยา จึงทำให้น