เข้าสู่ระบบภายในเรือนคนใช้ บรรยากาศเงียบสงัด ซูหลินนั่งอยู่ในมุมหนึ่งของห้อง ดวงตาของนางจมอยู่ในความคิดอย่างเงียบๆ ทุกคำพูดที่ได้ยินจากท่านแม่ทัพยังคงก้องอยู่ในหัวใจของนาง ราวกับว่าทุกสิ่งที่นางเคยทำและทุ่มเทเพื่ออนาคตของลูกสาวนั้นไม่เคยมีค่าเลยแม้แต่น้อย
เวลาผ่านไปอย่างช้าๆ ซูหลินรู้สึกถึงความอ้างว้างในใจ เมื่อเธอได้ยินเสียงฝีเท้าของบุตรสาวที่เดินมาหา น้ำเสียงที่เงียบสงบของเยี่ยจิงหลินทำให้หัวใจของนางยิ่งรู้สึกถึงความเจ็บปวด
"ลูกแม่ พวกเราออกจากสถานที่สุดแสนจะโหดร้ายกันเถอะ แม่ขอโทษนะแม่มันโง่เอง" ซูหลินพูดออกมาอย่างรู้สึกผิดและเสียใจ น้ำเสียงนั้นเต็มไปด้วยความเสียใจและความรู้สึกผิดที่ไม่สามารถให้อนาคตที่ดีแก่บุตรสาวได้ตามที่หวัง
เยี่ยจิงหลินมองมารดาของตนด้วยแววตาที่ไม่สามารถบอกความรู้สึกได้ทั้งหลาย อารมณ์ภายในใจของนางแปรปรวนเป็นระลอก คลื่นความรู้สึกที่ยากจะอธิบายแผ่กระจายไปทั่วดวงใจของนาง
"ท่านแม่... ไม่ต้องขอโทษ ข้าเข้าใจดี" เยี่ยจิงหลินพูดเสียงเบา เธอพยายามจะปลอบมารดา
เมื่อสองแม่ลูกตกลงกันว่าจะออกเดินทางจากสถานที่แห่งนี้ตั้งแต่เช้า ทั้งคู่เตรียมตัวพักผ่อนในตอนกลางคืนเพื่อเก็บแรงไว้สำหรับการเดินทางที่ยาวนาน ซูหลินรู้ดีว่าการเดินทางกลับบ้านเกิดนั้นไม่ง่ายและจะต้องผ่านพื้นที่ห่างไกลที่ไม่มีความเจริญ แต่ความจำเป็นที่ต้องออกจากที่นี่คือสิ่งที่ทำให้พวกเขาตัดสินใจเช่นนั้น
หลังจากที่ทั้งสองแม่ลูกนอนหลับไปแล้ว ในความมืดเงียบของค่ำคืน เยี่ยจิงหลินตื่นขึ้นกลางดึกด้วยความรู้สึกที่คุ้นเคย นางเป็นผู้ตื่นรู้อย่างชัดเจนเสมอ ไม่ว่าจะอยู่ในสถานการณ์ไหน สิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับการดำรงชีวิตคือการมีเงิน นางรู้ดีว่าการที่ต้องเผชิญกับโลกภายนอกนั้นมีอุปสรรคมากมาย และในช่วงเวลานี้ การพึ่งพาเงินทองคือสิ่งที่สามารถช่วยให้ชีวิตมีทางเลือกมากขึ้น
เยี่ยจิงหลินลุกจากเตียงอย่างช้าๆ พยายามไม่ให้เสียงดังเกินไปเพื่อไม่ให้มารดาตื่น นางรู้ว่าถึงแม้จะต้องจากไปจากที่นี่ แต่นางก็ยังคงต้องระมัดระวังในการดำเนินการทุกขั้นตอน หวังว่าแผนที่นางจะทำในคืนนี้จะช่วยให้พวกเขาสามารถเดินทางได้โดยไม่ต้องพบเจอกับอุปสรรคที่ไม่คาดคิด
เยี่ยจิงหลินเคลื่อนไหวอย่างไร้เสียงผ่านเงามืดของคืนนี้ ด้วยวิชาตัวเบาระดับสุดยอดที่นางได้รับมาจากชีวิตในอดีต และการฝึกฝนพลังปราณในชีวิตนี้ ทำให้การเคลื่อนไหวของนางเร็วราวกับลมที่พัดผ่าน ไม่มีเสียงใดๆ ที่จะรบกวนความเงียบของยามค่ำคืน นางสามารถหลบหลีกผ่านเวรยามและกำแพงต่างๆ ได้อย่างชำนาญ มั่นใจในความสามารถของตนเองที่จะไม่ถูกพบเห็น
ทุกย่างก้าวของเยี่ยจิงหลินเต็มไปด้วยความตั้งใจ มุ่งตรงไปยังสถานที่เก็บสมบัติของตระกูล ที่ซ่อนอยู่ใกล้เรือนพักของท่านแม่ทัพ ซึ่งเป็นสถานที่ที่นางรู้จักดี แม้ในความมืด นางยังคงจับสัญญาณทางร่างกายและเสียงรอบๆ ได้อย่างคมชัด
เมื่อเยี่ยจิงหลินมาถึงหน้าห้องหนึ่ง นางหยุดชะงักทันที บรรยากาศรอบๆ ห้องนี้ดูเงียบสงัด แต่มีบางสิ่งที่ทำให้นางรู้สึกถึงการคุ้มกันที่เข้มงวด ใกล้ๆ กับประตูห้องนั้น มีสัตว์อสูรขนาดใหญ่ยืนเฝ้าอยู่ มันเป็นอสูรร่างใหญ่ที่มีขนหนาทึบเป็นสีดำสนิท เหมือนกับแมวขนาดยักษ์ที่มีลักษณะคล้ายเสือแต่มีขนาดใหญ่กว่ามาก สัตว์ตัวนี้เรียกว่า "หลินหาน" ซึ่งมีพลังปราณสูงมากและสามารถรับรู้การเคลื่อนไหวทุกประเภทภายในระยะที่มันเฝ้าดูอยู่
หลินหานมีกรงเล็บที่ยาวและแหลมคม ราวกับมีพลังแห่งการทำลายล้างภายในตัวมัน ใบหน้าของมันคมเหมือนเสือโคร่ง แต่ดวงตาของมันกลับเป็นสีทองอ่อนๆ ที่ส่องประกายแวววาวเต็มไปด้วยความรุนแรงและความสามารถในการตรวจจับสิ่งผิดปกติทุกอย่างที่เคลื่อนไหวในระยะใกล้ ภายในปากมันมีเขี้ยวที่ยื่นออกมาอย่างน่ากลัว มันยืนอยู่ข้างประตูห้อง ท่าทางร่างกายมันตึงเครียด ราวกับกำลังเฝ้าระวังทุกทิศทางอย่างไม่ประมาท
บรรยากาศโดยรอบนั้นเต็มไปด้วยความเงียบสงัดในยามดึก ทุกสิ่งรอบตัวนางคล้ายจะถูกกลืนหายไปในความมืด การเคลื่อนไหวที่แม้แต่น้อยก็สามารถทำให้สิ่งรอบข้างตื่นตระหนกได้ ดังนั้นเยี่ยจิงหลินจึงต้องระมัดระวังเป็นพิเศษ
เยี่ยจิงหลินรู้ดีว่าไม่สามารถใช้กำลังเข้าต่อสู้กับอสูรตัวยักษ์ที่มีพลังมหาศาลเช่นนี้ได้ นางจึงตัดสินใจที่จะใช้ทักษะที่ตัวเองมีความเชี่ยวชาญแทน นั่นก็คือการใช้ ยาสลบ ที่นางได้คิดค้นขึ้นเองในช่วงชีวิตที่แล้ว ยาสลบชนิดนี้มีความพิเศษในการระงับประสาทของสิ่งมีชีวิตได้ในเวลาอันรวดเร็ว และนางก็ใช้มันเป็นเครื่องมือในการป้องกันตัวเองหลายครั้งในอดีต
เยี่ยจิงหลินหยิบขวดเล็กๆ ที่บรรจุยาสลบออกจากกระเป๋าที่ซ่อนไว้ในเสื้อผ้า กลิ่นหอมละมุนราวดอกไม้ถูกปล่อยออกมาในอากาศ กลิ่นที่แผ่ออกมาเบาบางแต่เต็มไปด้วยพลัง มีความสามารถในการทำให้สิ่งมีชีวิตตกอยู่ในสภาวะหลับลึกได้ในทันที
ทักษะการใช้ยาสลบของนางนั้นไม่มีใครเทียบได้ นางเคยใช้มันในหลากหลายสถานการณ์ไม่ว่าจะเป็นการเผชิญหน้ากับศัตรูหรือแม้แต่การหลีกเลี่ยงการถูกจับตัว จากนั้นนางจึงโปรยยาสลบอย่างระมัดระวังไปในอากาศ ร่องรอยของมันแผ่กระจายไปตามลมเบาๆ
หลินหาน อสูรตัวยักษ์ที่ยืนเฝ้าห้องค่อยๆ สูดกลิ่นของยาสลบเข้าไปโดยไม่รู้ตัว ความรุนแรงของมันนั้นยากจะต้านทานได้ เมื่อกลิ่นหอมของยาสลบเริ่มเข้าสู่โพรงจมูกของมัน กระแสพลังในร่างกายของมันก็เริ่มเบาลงทีละน้อย ค่อยๆ สูญเสียความตื่นตัวไปจนกระทั่งมันเริ่มที่จะกะพริบตาช้าๆ สายตาที่เคยเฉียบคมเริ่มเบลอและทึมทื่อขึ้นทีละน้อย
ภายในไม่กี่อึดใจ หลินหานก็เริ่มเคลื่อนไหวช้าลง กระทั่งมันทรุดตัวลงไปนั่งอย่างช้าๆ และในที่สุดก็ล้มลงไปหลับสนิทอยู่ข้างประตูห้อง ท่าทางของมันที่เคยเคร่งขรึมและพร้อมที่จะโจมตีในทุกขณะตอนนี้กลับกลายเป็นเพียงอสูรที่นอนหลับอย่างไร้ความรู้สึก
ไม่เพียงแค่หลินหานเท่านั้น เวรยามที่เฝ้าอยู่บริเวณรอบๆ ก็ได้รับผลกระทบจากกลิ่นของยาสลบเช่นกัน ทันทีที่กระแสลมพัดพากลิ่นของยาสลบไปถึง พวกเขาก็เริ่มรู้สึกมึนงง ก่อนที่จะทิ้งการยืนเฝ้าไว้และทยอยล้มลงไปทีละคน ร่างของพวกเขาล้มลงอย่างช้าๆ คล้ายกับถูกดึงดูดให้ตกอยู่ในภวังค์หลับใหล
เยี่ยจิงหลินไม่รอช้า เธอเข้าไปในห้องสมบัติของตระกูลทันที ความรู้สึกตื่นเต้นและกังวลรวมตัวกันอยู่ในใจ แต่เธอก็ยังคงมั่นใจในฝีมือและการวางแผนของตัวเอง หัวใจของเธอเต้นแรง แต่ร่างกายกลับเคลื่อนไหวอย่างระมัดระวังและเงียบเชียบ เพราะเธอรู้ดีว่าแม้แต่เสียงเล็กน้อยก็อาจทำให้แผนทั้งหมดล้มเหลว
ห้องนี้ไม่เหมือนห้องใดที่เธอเคยพบเจอ มันเต็มไปด้วยสิ่งของที่ถูกจัดเก็บไว้อย่างมีระเบียบ มีตู้และหีบเก็บสมบัติที่ดูมูลค่ามหาศาล เรียงรายไปตามผนังห้อง ท่ามกลางบรรยากาศที่หนาวเย็นและเงียบสงัด เยี่ยจิงหลินสามารถสัมผัสได้ถึงความอัดอั้นของอำนาจที่อยู่ภายในห้องนี้ ไม่เพียงแค่เป็นสมบัติทางกายภาพ แต่ยังรวมถึงอำนาจและสิ่งของล้ำค่าที่สะสมมานานแม้จะเป็นสถานที่ที่มีความสำคัญและได้รับการป้องกันอย่างเข้มงวด แต่ในตอนนี้ ทุกสิ่งรอบตัวเยี่ยจิงหลินกลับเงียบสงัด เธอเดินไปที่ตู้เก็บสมบัติที่ถูกล็อคไว้ ทักษะในการเปิดตู้ของเธอทำให้เธอสามารถเข้าถึงสิ่งที่ต้องการได้โดยไม่ต้องใช้กำลัง
ภายในตู้มีเครื่องประดับและทองคำมากมาย รวมถึงแผ่นป้ายและตำราเก่าๆ ที่มีลายมือของบรรพบุรุษ แต่เยี่ยจิงหลินไม่ได้หยุดอยู่แค่การมองหาของมีค่าทั่วไป เธอค้นหาสิ่งที่สำคัญที่สุดในการเดินทางครั้งนี้
หลังจากที่สะสางทุกเรื่องราวในเมืองหลวงจนเสร็จสิ้น เยี่ยจิงหลินก็ตัดสินใจเดินทางกลับไปยังหมู่บ้านไท่ผิงชุน ที่นั่น… คือสถานที่ที่มีความหมายกับนางมากที่สุดเมื่อมาถึงหมู่บ้านแห่งนี้ บรรยากาศรอบตัวแตกต่างจากเมืองหลวงโดยสิ้นเชิงไม่มีเสียงของขุนนางที่คอยแย่งชิงอำนาจ ไม่มีแววตาแห่งความโลภ ไม่มีเสียงกระซิบของคนที่พยายามคิดคดหักหลังที่นี่มีเพียงสายลมอ่อนๆ อากาศที่สดชื่น และผู้คนที่ใช้ชีวิตอย่างเรียบง่ายแม้ว่าหมู่บ้านแห่งนี้จะ แห้งแล้งและทุรกันดารแต่สำหรับเยี่ยจิงหลินที่นี่คือบ้าน เมื่อเดินเข้าสู่เรือนของตนเอง นางกลับต้องแปลกใจเมื่อพบว่า หลิวฉางหยาง กำลังพักอาศัยอยู่ที่นี่! เยี่ยจิงหลินหันไปมองมารดาของตนซูหลินด้วยความสงสัยก่อนที่แม่ของนางจะ เผยรอยยิ้มออกมาอย่างเขินอาย"ลูก… แม่ตัดสินใจแล้วว่าแม่จะเริ่มต้นชีวิตใหม่อีกครั้ง" หลิวฉางหยางไม่ใช่แค่คนรู้จัก แต่เขาเป็นคนที่ ยืนเคียงข้างและคอยดูแลแม่ของนางเสมอมาในวันที่ชีวิตของซูหลินลำบากเขาอยู่เคียงข้างนางโดยไม่ทอดทิ้งและตอนนี้แม่ของเยี่ยจิงหลินก็ได้ตัดสินใจเปิดใจให้กับความรักอีกครั้งเยี่ยจิงหลินเมื่อเห็นแม่ของตนมีความสุข นางย่อมดีใจอย่างที่สุด"แ
เวลาผ่านไปหนึ่งเดือนเต็ม...ด้วย ฝีมือการรักษาของหมอเทวดาหลานซือหมิง ในที่สุด ฮ่องเต้ฟู่ซื่อเทียนก็ฟื้นคืนสติอีกครั้ง!แม้ว่าพระองค์ยังต้องใช้เวลาอีกมากกว่าจะกลับมาแข็งแรงเต็มที่ แต่สิ่งที่พระองค์ได้รับรู้หลังจากฟื้นคืนสติมันทำให้หัวใจของพระองค์สั่นสะท้านยิ่งกว่าพิษร้ายที่เคยกัดกินร่างกายเสียอีก!"คนที่วางยาข้า... คือน้องชายของข้าเอง!?" ฮ่องเต้ฟู่ซื่อเทียนตื่นตระหนกเมื่อรับรู้ถึงความจริง อ๋องฟู่หยางเซิน ผู้ที่เขาเคยมอบความไว้วางใจ... กลับเป็นผู้ที่คิดจะฆ่าเขาเอง!สิ่งที่ทำให้พระองค์สะท้านใจไปมากกว่านั้นคือ..."ผู้ที่ช่วยข้ากลับเป็นบุตรสาวของแม่ทัพซุนเทา... บิดาของนางคือผู้ที่ข้าเคยหวาดระแวงเพราะคำยุยงของราชครูกู่เทียนหลง!" พระองค์หวาดระแวงแม่ทัพซุนเทาเพราะคำพูดของราชครูที่คอยปั่นหัวสุดท้าย... พระองค์ก็ต้องสูญเสียทั้งคู่ไปหลังจากนั้นไม่นานความเดือดดาลก็ปะทุขึ้น!"ข้าจะไม่มีวันให้อภัยมัน!" ดวงตาของฮ่องเต้ฟู่ซื่อเทียน ฉายแววของความโกรธแค้นแม้ว่าอ๋องฟู่หยางเซินจะไม่เหลือเรี่ยวแรงใดๆ แล้ว แม้ว่าเขาจะอยู่ในสภาพของคนที่ไร้สติ เหม่อลอย ไม่รู้เรื่องราวใดๆแต่ความผิดที่เขาก่อขึ้นมันเกินกว่าที
การตายขององค์ชายฟู่ซิวเหิง… เป็นเพียงจุดเริ่มต้นเท่านั้น เยี่ยจิงหลินไม่ได้คิดจะหยุดเพียงแค่ปลิดชีพองค์ชาย แต่นางกำลังจะทำให้ตระกูลของอ๋องฟู่หยางเซินล่มสลายไปทั้งสายเลือด! ก่อนที่นางจะลงมือ เยี่ยจิงหลินส่งคนของนางออกไปสืบข่าวเกี่ยวกับบุตรชายของอ๋องฟู่หยางเซินทุกคนพวกมันทุกคนล้วนชั่วช้า ไม่ได้ต่างไปจากฟู่ซิวเหิงเลยแม้แต่น้อยพวกมันฉ้อโกง ฉุดคร่าหญิงสาว กดขี่ชาวบ้าน ใช้อำนาจอย่างอำมหิต...ทุกสิ่งที่ได้รับรายงานมามีแต่สิ่งที่ทำให้นางยิ่งแน่ใจว่าพวกมันสมควรจะถูกกำจัดจนหมด!เมื่อแผนการถูกวางไว้อย่างรัดกุม ค่ำคืนนี้ก็ไม่ต่างอะไรไปจาก คืนแห่งนรกที่แท้จริงสำหรับท่านอ๋องแม้ว่าตัวของเขานั้นไม่มีสติเป็นของตัวเองแล้วก็ตาม"ลอบสังหารพร้อมกันในคืนเดียว อย่าให้เหลือแม้แต่คนเดียว"นางออกคำสั่งอย่างเด็ดขาด! เหล่ามือสังหารในเงามืด เคลื่อนไหวอย่างไร้เสียง แต่ละคนได้รับเป้าหมายของตนเอง ไม่มีความผิดพลาด ไม่มีความลังเล มีเพียงจุดจบของเครือญาติแห่งอ๋องฟู่หยางเซินเท่านั้นที่รออยู่!เสียงกรีดร้องแห่งความตื่นตระหนก ดังขึ้นจากคฤหาสน์หลายแห่งของบุตรชายท่านอ๋อง"ไม่นะ! ปล่อยข้าไป! ข้าให้เงินเจ้าได้!""อย่า! ข้ายอมแ
เยี่ยจิงหลินยืนอยู่กลางโถงสุราที่ถูกย้อมไปด้วยเลือด นางจ้องมองภาพตรงหน้าอย่างพึงพอใจ ฟู่ซิวเหิง องค์ชายผู้เคยหยิ่งทะนงบัดนี้กำลังสั่นสะท้านไม่ต่างจากลูกนกที่ถูกขังไว้ในกรงแห่งความตาย!นางกวาดสายตามองเหล่าขุนนางและองครักษ์ที่เหลือรอด บางคนยังยืนตัวแข็งทื่อด้วยความหวาดกลัว บางคนคุกเข่าลงร้องขอชีวิต น้ำตานองหน้า แต่มันไร้ประโยชน์!ใบหน้าของเยี่ยจิงหลินยังคงเรียบนิ่ง… ก่อนที่ริมฝีปากของนางจะคลี่ยิ้มบางๆ ออกมา"จงดับลมหายใจของพวกมันให้หมดซะ... อย่าให้รอดไปได้แม้แต่คนเดียว"คำสั่งของนางเยือกเย็นราวกับเป็นเสียงแห่งมัจจุราช เงามรณะเคลื่อนไหวทันที!เสียงดาบกระทบกับเนื้อ เสียงเลือดสาดกระเซ็น เสียงกรีดร้องดังขึ้นเป็นระลอก ก่อนที่ทุกอย่างจะค่อยๆ เงียบลงไปทีละน้อย ฟู่ซิวเหิงจ้องมองภาพตรงหน้าด้วยสายตาที่สั่นไหว เขาเห็นขุนนางที่เคยประจบสอพลอตนเองถูกเชือดไปทีละคน…เขาเห็นองครักษ์ของตนเองล้มลงโดยไม่มีโอกาสแม้แต่จะชักดาบขึ้นมาต่อสู้!"ไม่… ไม่…"ร่างของเขาสั่นสะท้านไปทั้งตัว สิ่งที่เขาเคยภาคภูมิใจ อำนาจ ความเย่อหยิ่ง ความทะเยอทะยานล้วนมลายหายไปจนหมดสิ้นและเมื่อความหวาดกลัวพุ่งถึงขีดสุด…"ท่านพ่อ! ช่วยข
ภายใน หอสุรา ที่เคยเต็มไปด้วยเสียงหัวเราะและบรรยากาศแห่งการเฉลิมฉลอง พลันเกิดความเปลี่ยนแปลงในพริบตาเดียว!ฟู่ซิวเหิง และเหล่าขุนนางยังคงกำลังดื่มด่ำกับความสุขจากอำนาจใหม่ของตนเอง เสียงจอกสุรากระทบกัน เสียงหัวเราะยังคงดังไปทั่วทั้งห้องโถง ทุกคนกำลังหลงระเริงอยู่ใน ภาพมายาของชัยชนะแต่แล้ว…"พรึ่บ!"เปลวไฟทุกดวงภายในห้องโถงพลันดับมอดลงอย่างกะทันหัน!ทั้งห้องตกอยู่ใน ความมืดมิดอันสมบูรณ์แบบ ไม่มีแสงไฟแม้แต่ดวงเดียว มีเพียงเงามืดอันน่าหวาดกลัว ที่กำลังคืบคลานเข้ามาอย่างเงียบเชียบเสียงของแขกภายในงานเริ่มเปลี่ยนเป็นเสียงกระซิบกระซาบ ความตื่นตระหนกเริ่มแพร่กระจายออกไปในหมู่ผู้ร่วมงาน"มันเกิดอะไรขึ้น?!""มีใครไปจุดไฟเร็วเข้า!"เสียงตะโกนดังขึ้นจากมุมห้อง น้ำเสียงของพวกเขาเต็มไปด้วยความตื่นตระหนก!แต่ไม่มีคำตอบไม่มีใครขยับท่ามกลางความเงียบงันและความมืดมิด…"อ๊ากกกกก!!!"เสียงกรีดร้องที่เต็มไปด้วยความเจ็บปวด ดังก้องไปทั่วห้องโถง!หนึ่งในแขกของงานถูกปลิดชีพอย่างไร้ความปรานี!เงามัจจุราชที่คืบคลานฟู่ซิวเหิงเบิกตากว้าง เขาหันมองไปรอบๆ แต่สิ่งที่เขาเห็นมีเพียงความมืดสนิท!"ใครอยู่ตรงนั้น?! ออกมาเดี๋
ความจริงที่โหดร้ายกำลังกลืนกินหัวใจของท่านอ๋องฟู่หยางเซินอย่างช้าๆบุตรชายที่เขารักและไว้วางใจที่สุดกลับกลายเป็นผู้ที่กำลังผลักไสเขาไปสู่ความตาย!ร่างกายของท่านอ๋องที่อ่อนแรงอยู่แล้ว กลับยิ่งทรุดหนักลงกว่าเดิม ด้วยความรู้สึกที่ไม่อยากยอมรับความจริง ความรู้สึกเจ็บปวดและความสิ้นหวังได้กัดกินจิตใจของเขา ยิ่งไปกว่านั้น ความเศร้าโศกที่ค่อยๆ กัดกินหัวใจของเขา ทำให้พิษร้ายที่แฝงอยู่ในร่างแทรกซึมลึกลงไปในทุกอณูของร่างกาย!หัวใจที่แตกสลาย…ร่างกายที่อ่อนแอ…ความเจ็บปวดจากพิษร้ายที่คืบคลานเข้าสู่กระแสโลหิต…ทุกสิ่งทุกอย่างกำลังบั่นทอน ชีวิตของอ๋องฟู่หยางเซิน ไปทีละนิดจากชายผู้ยิ่งใหญ่ที่เคยปกครองอำนาจเหนือผู้อื่น บัดนี้กลับต้อง นอนอยู่บนเตียงอย่างคนไร้ซึ่งเรี่ยวแรง ดวงตาที่เคยเปี่ยมไปด้วยพลังและความเย่อหยิ่ง กลับกลายเป็นสายตาที่เหม่อลอย…เขารู้ดีว่า ตนเองกำลังจะตายแต่สิ่งที่เลวร้ายที่สุดไม่ใช่ความตาย...แต่เป็นการตายด้วยน้ำมือของบุตรชายที่เขารักที่สุด!ความคิดสุดท้ายที่วนเวียนอยู่ในหัวของเขาคือ..."นี่หรือคือผลตอบแทนของข้า...?""นี่หรือคือจุดจบของอ๋องฟู่หยางเซิน?""ข้าเลี้ยงดูอสูรกายขึ้นมาเองแท้ๆ…"







