LOGINภายในห้องลึกลับที่เต็มไปด้วยกลิ่นอายแห่งความมั่งคั่ง เยี่ยจิงหลินยืนอยู่ท่ามกลางสมบัติจำนวนมหาศาลที่ส่องประกายแสงระยิบระยับ ทองคำแท่งวาววับ เครื่องประดับอัญมณีล้ำค่า และเหรียญเงินเรียงรายจนแทบมองไม่เห็นพื้น ความอลังการตรงหน้าทำให้หัวใจของเธอเต้นระรัวด้วยความตื่นเต้น แต่ในขณะเดียวกัน เธอก็รู้ดีว่าการขนสมบัติจำนวนมหาศาลนี้ออกไปด้วยสองมือเปล่าเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้เลย
สายตาอันแหลมคมของเยี่ยจิงหลินเหลือบไปเห็นวัตถุบางอย่างที่ดูโดดเด่นอยู่ท่ามกลางกองสมบัติ มันเป็นแหวนเรียบง่ายที่ส่องประกายเบา ๆ ด้วยแสงลึกลับ เพียงแตะสัมผัสแหวนวงนั้นและปล่อยพลังปรานเข้าไป เธอก็สัมผัสได้ถึงมิติภายในที่ซ่อนอยู่ในแหวน เยี่ยจิงหลินแค่นเสียงหัวเราะเบา ๆ ที่มุมปาก “ช่างเป็นของขวัญที่เหมาะเจาะอะไรเช่นนี้”
อดีตที่ผ่านมาของเธอในฐานะนักฆ่าเย็นชาที่ปราศจากหัวใจ ทำให้เธอไม่แม้แต่จะลังเล นางมองสมบัติตรงหน้าด้วยแววตาเยาะเย้ย “ท่านพ่อ สมบัติเหล่านี้ถือเป็นค่าเลี้ยงดูที่สมเหตุสมผลแล้ว” เธอพูดพลางฉีกยิ้มที่ชั่วร้าย นางเริ่มกวาดทรัพย์สินเข้าไปในแหวนมิติอย่างไร้ความปรานี
เครื่องประดับหลากสีสัน ไข่มุกหายาก และหีบทองคำถูกดูดหายเข้าไปในแหวนทีละชิ้น ราวกับพายุหมุนที่กวาดทุกสิ่งไป เวลาไหลผ่านไปเนิ่นนานจนกระทั่งสมบัติรอบตัวเริ่มลดจำนวนลงไปอย่างเห็นได้ชัด แต่ถึงกระนั้น เยี่ยจิงหลินกลับรู้สึกไม่พอใจ “อะไรเนี่ย ได้ไปแค่นี้เองเหรอ?” เธอพึมพำกับตัวเองด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความเสียดาย แม้เธอจะกวาดไปแล้วเกือบครึ่งตระกูล
แม้จะมีความเสียดายเจืออยู่ในหัวใจ เยี่ยจิงหลินกลับไม่ปล่อยให้ความโลภเข้าครอบงำ นางรู้ดีว่าการกระทำใดเกินพอดีอาจนำไปสู่หายนะ สัตว์อสูรที่เฝ้าประตูสมบัติยังคงหลับใหลอยู่ในความมืดลึกของทางเข้า รวมถึงเหล่ายามที่อยู่ไม่ไกล หากพวกมันตื่นขึ้นมาและจับได้ว่าเธอคือผู้บุกรุก ความเสี่ยงที่ตามมานั้นย่อมไม่คุ้มค่า
ด้วยการตัดสินใจอย่างเฉียบขาด เยี่ยจิงหลินจึงหยุดการเก็บสมบัติและเริ่มเคลื่อนตัวออกจากห้องสมบัติทันที เธอใช้ทักษะวิชาตัวเบาที่ฝึกฝนมาอย่างชำนาญ เงาร่างของเธอแทบจะไร้ตัวตนเมื่อเคลื่อนไหวผ่านเส้นทางแคบและมืดมิดของห้องใต้ดิน ทุกการเคลื่อนไหวของเธอเงียบงันและแผ่วเบา ราวกับลมที่ไหลผ่านอย่างไร้ร่องรอย
เพียงไม่กี่ชั่วอึดใจ ร่างของเยี่ยจิงหลินก็ทะยานกลับมาถึงห้องพักของเธอโดยที่ไม่มีใครล่วงรู้ว่าเธอเพิ่งทำอะไรลงไป นางหายใจลึกเพื่อสงบจังหวะหัวใจที่เต้นถี่ ก่อนจะพยักหน้าเล็กน้อยให้กับตัวเอง ความสำเร็จครั้งนี้แม้จะไม่ได้สมบูรณ์แบบตามที่หวัง แต่ก็ถือว่าเพียงพอแล้ว
แหวนมิติที่เธอครอบครองในตอนนี้เป็นมากกว่าสมบัติ มันคือเครื่องมือสำคัญที่จะช่วยให้นางก้าวข้ามขีดจำกัดและพลิกชะตาชีวิตที่เต็มไปด้วยอุปสรรค นางปล่อยรอยยิ้มจาง ๆ พลางคิดในใจว่า “การเสี่ยงในครั้งนี้ถือว่าคุ้มค่า… และนี่ก็แค่จุดเริ่มต้นเท่านั้น”
ก่อนที่แสงแรกของรุ่งอรุณจะสาดส่อง จวนของท่านแม่ทัพซุนเทากลับถูกปกคลุมด้วยความโกลาหลและความตึงเครียด เสียงอื้ออึงดังขึ้นทั่วบริเวณเมื่อเหล่าทหารยามที่เฝ้าประตูและดูแลความปลอดภัยในจวนเริ่มฟื้นคืนจากสภาพหลับใหลอย่างผิดปกติ แต่ละคนล้วนตกอยู่ในอาการอ่อนแรง แขนขาแทบจะไร้เรี่ยวแรง ราวกับถูกดูดพลังออกไปจนหมดสิ้น
เมื่อทหารยามที่ฟื้นตัวได้รายงานความผิดปกติ แม่ทัพซุนเทาที่กำลังหลับอยู่ในห้องพักก็รู้สึกถึงความแปลกประหลาดในร่างกายของตนเช่นกัน เขารีบลุกขึ้นจากเตียงอย่างเร่งด่วน แต่ทันทีที่ก้าวเดิน ความอ่อนแรงที่แปลกประหลาดนี้ก็เริ่มกัดกินจนแทบทรงตัวไม่อยู่ สัญชาตญาณของแม่ทัพผู้ผ่านศึกมานับไม่ถ้วนบอกให้เขารู้ว่าบางสิ่งที่เลวร้ายกำลังเกิดขึ้น
เมื่อได้ยินเสียงรายงานจากคนสนิท แม่ทัพซุนเทาเบิกตากว้างด้วยความตกใจ ก่อนจะเร่งฝีเท้าไปยังห้องเก็บสมบัติของตระกูล ร่างของเขาแม้จะโซซัดโซเซ แต่ความเดือดดาลในใจกลับผลักดันให้เขาวิ่งไปข้างหน้าอย่างไม่หยุดยั้ง ทันทีที่เขาก้าวเข้าสู่ห้องสมบัติ สภาพที่ปรากฏตรงหน้าทำให้ใบหน้าของแม่ทัพซุนเทากลายเป็นสีแดงก่ำด้วยความโกรธจัด
ห้องสมบัติที่เคยเต็มไปด้วยความมั่งคั่งกลับว่างเปล่าไปกว่าครึ่ง สมบัติมีค่าที่สั่งสมมานานหลายชั่วอายุคนถูกกวาดหายไปอย่างไร้ร่องรอย ความโมโหอย่างถึงขีดสุดพุ่งทะลุขีดจำกัดของแม่ทัพ เขาตวาดเสียงดังลั่น “ไอ้บัดซบ! นี่มันฝีมือของผู้ใดกัน!” เสียงคำรามของเขาไม่ได้ต่างอะไรกับเสียงอสูรร้ายที่กำลังเดือดดาลจนยากจะควบคุม
แม่ทัพซุนเทาไม่อาจระงับอารมณ์ได้อีกต่อไป เขาหันไปยังสัตว์อสูรที่ทำหน้าที่เฝ้าประตูสมบัติ สายตาที่เคยเป็นประกายความไว้วางใจกลับกลายเป็นความกราดเกรี้ยวในทันที “เจ้าไร้ค่า!” เขาตวาดลั่นก่อนจะลงมือสังหารสัตว์อสูรเฝ้าประตูสมบัติในทันที ความรุนแรงของการลงทัณฑ์นี้ทำให้ทุกคนที่อยู่ในเหตุการณ์ถึงกับแข็งค้างไปชั่วขณะ
ท่ามกลางความโกลาหล ทหารจำนวนมากวิ่งไปมาทั่วจวน เสียงสั่งการดังระงมเพื่อค้นหาผู้กระทำผิด แต่ก็ไร้เงาคนร้ายหรือเบาะแสใด ๆ ทุกคนตกอยู่ในความตึงเครียดและความหวาดกลัวต่อความโกรธของแม่ทัพซุนเทา นี่ไม่ใช่เพียงการลักทรัพย์ธรรมดา แต่เป็นการปล้นที่สั่นคลอนศักดิ์ศรีของตระกูลแม่ทัพผู้ยิ่งใหญ่ และในเวลานี้ โทสะของซุนเทายังคงไม่มีทีท่าว่าจะบรรเทาลง
ท่ามกลางความโกลาหลที่เกิดขึ้นในจวน ท่ามกลางเสียงคำรามและความเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็ว ซูหลินยืนอยู่ด้วยสีหน้าฉงนสงสัยกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นรอบตัว เธอหันไปหาบุตรสาวของตนเยี่ยจิงหลินด้วยความแปลกใจ “ลูกแม่มันเกิดอะไรขึ้นกัน?” เสียงของนางสั่นเล็กน้อย ขณะถามถึงสิ่งที่เกิดขึ้นอย่างไม่เข้าใจ ชั่วขณะหนึ่ง ซูหลินรู้สึกถึงความไม่ปกติที่แผ่กระจายออกมาในบรรยากาศของจวน
เยี่ยจิงหลินหันมายิ้มอย่างอ่อนโยนให้กับมารดา รอยยิ้มของนางดูไม่มีอะไรผิดปกติเลยแม้แต่น้อย “ท่านแม่ ท่านไม่ต้องคิดอะไรมาก ไม่แน่ว่าสวรรค์อาจกำลังลงโทษพวกเขา” นางพูดเสียงเบา พลางจับมือของมารดาไว้แน่นและยิ้มให้ ความเย็นชาและความชั่วร้ายที่ซ่อนอยู่ภายในกลับไม่ถูกเปิดเผยออกมา
แล้วเยี่ยจิงหลินก็เสริมด้วยน้ำเสียงที่ดูสงบและเรียบง่าย “เราควรรีบออกจากที่นี่กันเถอะ” นางพูดจบก็เริ่มเก็บของออกจากเรือนของคนใช้อย่างรวดเร็ว ท่าทางของนางนั้นเหมือนกับว่าทุกสิ่งที่เกิดขึ้นในจวนเป็นเพียงเรื่องธรรมดา ท่ามกลางความวุ่นวายรอบตัว ไม่มีใครสงสัยหรือแม้แต่จะทักทายนาง นางเดินออกมาอย่างเงียบ ๆ โดยไม่เคยถูกจับตามองหรือสงสัยจากใคร
แม้แต่แม่ทัพซุนเทาที่กำลังร้อนรนและโกรธแค้น ก็ทำเหมือนไม่มีใครอยู่ในสายตา เขายังคงทุ่มเทความสนใจไปที่การตามหาผู้กระทำผิด ไม่มีแม้แต่ความสนใจที่จะมองไปที่สองแม่ลูกนี้ ซูหลินแอบมองใบหน้าของชายที่เคยเป็นคนรักของตน หัวใจของเขานั้นเย็นชาและแข็งกระด้างเกินไป แม้แต่เธอเองก็ไม่อาจรู้สึกถึงความอบอุ่นจากเขาได้อีก
ในขณะที่ซูหลินมองหน้าเขาเป็นครั้งสุดท้าย ก่อนที่จะจับมือของบุตรสาวและเดินออกจากจวนไป ร่างของทั้งสองแม่ลูกก็จางหายไปจากสายตาของคนในจวนเหมือนกับพายุที่ผ่านไปอย่างเงียบๆ ไม่มีใครสามารถจับสังเกตถึงการหายไปของพวกนางได้แม้แต่น้อย แม้แต่ตัวแม่ทัพซุนเทาเองที่อยู่ท่ามกลางความโกรธเกรี้ยวก็ไม่ทันสังเกตความเคลื่อนไหวนี้
หลังจากที่สะสางทุกเรื่องราวในเมืองหลวงจนเสร็จสิ้น เยี่ยจิงหลินก็ตัดสินใจเดินทางกลับไปยังหมู่บ้านไท่ผิงชุน ที่นั่น… คือสถานที่ที่มีความหมายกับนางมากที่สุดเมื่อมาถึงหมู่บ้านแห่งนี้ บรรยากาศรอบตัวแตกต่างจากเมืองหลวงโดยสิ้นเชิงไม่มีเสียงของขุนนางที่คอยแย่งชิงอำนาจ ไม่มีแววตาแห่งความโลภ ไม่มีเสียงกระซิบของคนที่พยายามคิดคดหักหลังที่นี่มีเพียงสายลมอ่อนๆ อากาศที่สดชื่น และผู้คนที่ใช้ชีวิตอย่างเรียบง่ายแม้ว่าหมู่บ้านแห่งนี้จะ แห้งแล้งและทุรกันดารแต่สำหรับเยี่ยจิงหลินที่นี่คือบ้าน เมื่อเดินเข้าสู่เรือนของตนเอง นางกลับต้องแปลกใจเมื่อพบว่า หลิวฉางหยาง กำลังพักอาศัยอยู่ที่นี่! เยี่ยจิงหลินหันไปมองมารดาของตนซูหลินด้วยความสงสัยก่อนที่แม่ของนางจะ เผยรอยยิ้มออกมาอย่างเขินอาย"ลูก… แม่ตัดสินใจแล้วว่าแม่จะเริ่มต้นชีวิตใหม่อีกครั้ง" หลิวฉางหยางไม่ใช่แค่คนรู้จัก แต่เขาเป็นคนที่ ยืนเคียงข้างและคอยดูแลแม่ของนางเสมอมาในวันที่ชีวิตของซูหลินลำบากเขาอยู่เคียงข้างนางโดยไม่ทอดทิ้งและตอนนี้แม่ของเยี่ยจิงหลินก็ได้ตัดสินใจเปิดใจให้กับความรักอีกครั้งเยี่ยจิงหลินเมื่อเห็นแม่ของตนมีความสุข นางย่อมดีใจอย่างที่สุด"แ
เวลาผ่านไปหนึ่งเดือนเต็ม...ด้วย ฝีมือการรักษาของหมอเทวดาหลานซือหมิง ในที่สุด ฮ่องเต้ฟู่ซื่อเทียนก็ฟื้นคืนสติอีกครั้ง!แม้ว่าพระองค์ยังต้องใช้เวลาอีกมากกว่าจะกลับมาแข็งแรงเต็มที่ แต่สิ่งที่พระองค์ได้รับรู้หลังจากฟื้นคืนสติมันทำให้หัวใจของพระองค์สั่นสะท้านยิ่งกว่าพิษร้ายที่เคยกัดกินร่างกายเสียอีก!"คนที่วางยาข้า... คือน้องชายของข้าเอง!?" ฮ่องเต้ฟู่ซื่อเทียนตื่นตระหนกเมื่อรับรู้ถึงความจริง อ๋องฟู่หยางเซิน ผู้ที่เขาเคยมอบความไว้วางใจ... กลับเป็นผู้ที่คิดจะฆ่าเขาเอง!สิ่งที่ทำให้พระองค์สะท้านใจไปมากกว่านั้นคือ..."ผู้ที่ช่วยข้ากลับเป็นบุตรสาวของแม่ทัพซุนเทา... บิดาของนางคือผู้ที่ข้าเคยหวาดระแวงเพราะคำยุยงของราชครูกู่เทียนหลง!" พระองค์หวาดระแวงแม่ทัพซุนเทาเพราะคำพูดของราชครูที่คอยปั่นหัวสุดท้าย... พระองค์ก็ต้องสูญเสียทั้งคู่ไปหลังจากนั้นไม่นานความเดือดดาลก็ปะทุขึ้น!"ข้าจะไม่มีวันให้อภัยมัน!" ดวงตาของฮ่องเต้ฟู่ซื่อเทียน ฉายแววของความโกรธแค้นแม้ว่าอ๋องฟู่หยางเซินจะไม่เหลือเรี่ยวแรงใดๆ แล้ว แม้ว่าเขาจะอยู่ในสภาพของคนที่ไร้สติ เหม่อลอย ไม่รู้เรื่องราวใดๆแต่ความผิดที่เขาก่อขึ้นมันเกินกว่าที
การตายขององค์ชายฟู่ซิวเหิง… เป็นเพียงจุดเริ่มต้นเท่านั้น เยี่ยจิงหลินไม่ได้คิดจะหยุดเพียงแค่ปลิดชีพองค์ชาย แต่นางกำลังจะทำให้ตระกูลของอ๋องฟู่หยางเซินล่มสลายไปทั้งสายเลือด! ก่อนที่นางจะลงมือ เยี่ยจิงหลินส่งคนของนางออกไปสืบข่าวเกี่ยวกับบุตรชายของอ๋องฟู่หยางเซินทุกคนพวกมันทุกคนล้วนชั่วช้า ไม่ได้ต่างไปจากฟู่ซิวเหิงเลยแม้แต่น้อยพวกมันฉ้อโกง ฉุดคร่าหญิงสาว กดขี่ชาวบ้าน ใช้อำนาจอย่างอำมหิต...ทุกสิ่งที่ได้รับรายงานมามีแต่สิ่งที่ทำให้นางยิ่งแน่ใจว่าพวกมันสมควรจะถูกกำจัดจนหมด!เมื่อแผนการถูกวางไว้อย่างรัดกุม ค่ำคืนนี้ก็ไม่ต่างอะไรไปจาก คืนแห่งนรกที่แท้จริงสำหรับท่านอ๋องแม้ว่าตัวของเขานั้นไม่มีสติเป็นของตัวเองแล้วก็ตาม"ลอบสังหารพร้อมกันในคืนเดียว อย่าให้เหลือแม้แต่คนเดียว"นางออกคำสั่งอย่างเด็ดขาด! เหล่ามือสังหารในเงามืด เคลื่อนไหวอย่างไร้เสียง แต่ละคนได้รับเป้าหมายของตนเอง ไม่มีความผิดพลาด ไม่มีความลังเล มีเพียงจุดจบของเครือญาติแห่งอ๋องฟู่หยางเซินเท่านั้นที่รออยู่!เสียงกรีดร้องแห่งความตื่นตระหนก ดังขึ้นจากคฤหาสน์หลายแห่งของบุตรชายท่านอ๋อง"ไม่นะ! ปล่อยข้าไป! ข้าให้เงินเจ้าได้!""อย่า! ข้ายอมแ
เยี่ยจิงหลินยืนอยู่กลางโถงสุราที่ถูกย้อมไปด้วยเลือด นางจ้องมองภาพตรงหน้าอย่างพึงพอใจ ฟู่ซิวเหิง องค์ชายผู้เคยหยิ่งทะนงบัดนี้กำลังสั่นสะท้านไม่ต่างจากลูกนกที่ถูกขังไว้ในกรงแห่งความตาย!นางกวาดสายตามองเหล่าขุนนางและองครักษ์ที่เหลือรอด บางคนยังยืนตัวแข็งทื่อด้วยความหวาดกลัว บางคนคุกเข่าลงร้องขอชีวิต น้ำตานองหน้า แต่มันไร้ประโยชน์!ใบหน้าของเยี่ยจิงหลินยังคงเรียบนิ่ง… ก่อนที่ริมฝีปากของนางจะคลี่ยิ้มบางๆ ออกมา"จงดับลมหายใจของพวกมันให้หมดซะ... อย่าให้รอดไปได้แม้แต่คนเดียว"คำสั่งของนางเยือกเย็นราวกับเป็นเสียงแห่งมัจจุราช เงามรณะเคลื่อนไหวทันที!เสียงดาบกระทบกับเนื้อ เสียงเลือดสาดกระเซ็น เสียงกรีดร้องดังขึ้นเป็นระลอก ก่อนที่ทุกอย่างจะค่อยๆ เงียบลงไปทีละน้อย ฟู่ซิวเหิงจ้องมองภาพตรงหน้าด้วยสายตาที่สั่นไหว เขาเห็นขุนนางที่เคยประจบสอพลอตนเองถูกเชือดไปทีละคน…เขาเห็นองครักษ์ของตนเองล้มลงโดยไม่มีโอกาสแม้แต่จะชักดาบขึ้นมาต่อสู้!"ไม่… ไม่…"ร่างของเขาสั่นสะท้านไปทั้งตัว สิ่งที่เขาเคยภาคภูมิใจ อำนาจ ความเย่อหยิ่ง ความทะเยอทะยานล้วนมลายหายไปจนหมดสิ้นและเมื่อความหวาดกลัวพุ่งถึงขีดสุด…"ท่านพ่อ! ช่วยข
ภายใน หอสุรา ที่เคยเต็มไปด้วยเสียงหัวเราะและบรรยากาศแห่งการเฉลิมฉลอง พลันเกิดความเปลี่ยนแปลงในพริบตาเดียว!ฟู่ซิวเหิง และเหล่าขุนนางยังคงกำลังดื่มด่ำกับความสุขจากอำนาจใหม่ของตนเอง เสียงจอกสุรากระทบกัน เสียงหัวเราะยังคงดังไปทั่วทั้งห้องโถง ทุกคนกำลังหลงระเริงอยู่ใน ภาพมายาของชัยชนะแต่แล้ว…"พรึ่บ!"เปลวไฟทุกดวงภายในห้องโถงพลันดับมอดลงอย่างกะทันหัน!ทั้งห้องตกอยู่ใน ความมืดมิดอันสมบูรณ์แบบ ไม่มีแสงไฟแม้แต่ดวงเดียว มีเพียงเงามืดอันน่าหวาดกลัว ที่กำลังคืบคลานเข้ามาอย่างเงียบเชียบเสียงของแขกภายในงานเริ่มเปลี่ยนเป็นเสียงกระซิบกระซาบ ความตื่นตระหนกเริ่มแพร่กระจายออกไปในหมู่ผู้ร่วมงาน"มันเกิดอะไรขึ้น?!""มีใครไปจุดไฟเร็วเข้า!"เสียงตะโกนดังขึ้นจากมุมห้อง น้ำเสียงของพวกเขาเต็มไปด้วยความตื่นตระหนก!แต่ไม่มีคำตอบไม่มีใครขยับท่ามกลางความเงียบงันและความมืดมิด…"อ๊ากกกกก!!!"เสียงกรีดร้องที่เต็มไปด้วยความเจ็บปวด ดังก้องไปทั่วห้องโถง!หนึ่งในแขกของงานถูกปลิดชีพอย่างไร้ความปรานี!เงามัจจุราชที่คืบคลานฟู่ซิวเหิงเบิกตากว้าง เขาหันมองไปรอบๆ แต่สิ่งที่เขาเห็นมีเพียงความมืดสนิท!"ใครอยู่ตรงนั้น?! ออกมาเดี๋
ความจริงที่โหดร้ายกำลังกลืนกินหัวใจของท่านอ๋องฟู่หยางเซินอย่างช้าๆบุตรชายที่เขารักและไว้วางใจที่สุดกลับกลายเป็นผู้ที่กำลังผลักไสเขาไปสู่ความตาย!ร่างกายของท่านอ๋องที่อ่อนแรงอยู่แล้ว กลับยิ่งทรุดหนักลงกว่าเดิม ด้วยความรู้สึกที่ไม่อยากยอมรับความจริง ความรู้สึกเจ็บปวดและความสิ้นหวังได้กัดกินจิตใจของเขา ยิ่งไปกว่านั้น ความเศร้าโศกที่ค่อยๆ กัดกินหัวใจของเขา ทำให้พิษร้ายที่แฝงอยู่ในร่างแทรกซึมลึกลงไปในทุกอณูของร่างกาย!หัวใจที่แตกสลาย…ร่างกายที่อ่อนแอ…ความเจ็บปวดจากพิษร้ายที่คืบคลานเข้าสู่กระแสโลหิต…ทุกสิ่งทุกอย่างกำลังบั่นทอน ชีวิตของอ๋องฟู่หยางเซิน ไปทีละนิดจากชายผู้ยิ่งใหญ่ที่เคยปกครองอำนาจเหนือผู้อื่น บัดนี้กลับต้อง นอนอยู่บนเตียงอย่างคนไร้ซึ่งเรี่ยวแรง ดวงตาที่เคยเปี่ยมไปด้วยพลังและความเย่อหยิ่ง กลับกลายเป็นสายตาที่เหม่อลอย…เขารู้ดีว่า ตนเองกำลังจะตายแต่สิ่งที่เลวร้ายที่สุดไม่ใช่ความตาย...แต่เป็นการตายด้วยน้ำมือของบุตรชายที่เขารักที่สุด!ความคิดสุดท้ายที่วนเวียนอยู่ในหัวของเขาคือ..."นี่หรือคือผลตอบแทนของข้า...?""นี่หรือคือจุดจบของอ๋องฟู่หยางเซิน?""ข้าเลี้ยงดูอสูรกายขึ้นมาเองแท้ๆ…"







