จ้าวชิงเฟิงหลบสายตาชินอ๋องที่ฉายแววดุดัน เขาแน่ใจว่าอีกฝ่ายสามารถทำตามที่พูดได้อย่างไม่สะทกสะท้าน
แต่...ทำไมแม่นางน้อยนางนั้นจะต้องมารับโทสะที่ไม่มีที่มาที่ไปของคนใหญ่คนโตอย่างชินอ๋อง เพียงเพราะมีพรสวรรค์ทางด้านดนตรีเป็นที่ชื่นชอบของผู้ได้ยินได้ฟังด้วยเล่า?
ไร้เหตุผล!
แม้อีกฝ่ายจะไร้เหตุผล...เขาก็ได้แต่อดทนอดกลั้น ไม่สามารถจะไปถกเหตุผลกับอีกฝ่ายได้ ได้แต่ส่งเสียงแผ่วเบาว่า
“ไม่ได้ชอบ”
เห็นสีหน้าเจื่อนจ๋อยของคุณชาย...ชินอ๋องก็ข่มอารมณ์หงุดหงิดของตนเองลง ใช้น้ำเสียงที่อ่อนโยนขึ้นเอ่ยว่า
“ฟูเหริน กินอาหารเถอะ เดี๋ยวอาหารเย็นชืดเสียหมด จะหมดรสชาติ”
แล้วคีบเนื้อเป็ดอบชิ้นหนึ่งส่งให้ถึงปากคุณชาย
แต่คุณชายกลับใช้ตะเกียบของตนเองคีบเนื้อเป็ดชิ้นนั้นจากตะเกียบของชินอ๋องแล้วจึงกิน
คิ้วเข้มของชินอ๋องกระตุกคราหนึ่ง สีหน้าเย็นชาราวฉาบด้วยน้ำแข็ง จนอยากจะทำอะไรสักอย่างเพื่อระบายอารมณ์หงุดหงิด
“เจียงจ้าน” ชินอ๋องส่งเสียงเรียกขันทีคนสนิท
เจียงกงกงก็ปรากฏตัวเข้ามาน้อมรับคำสั่งทันที
“เจ้าไปเรียกแม่นางที่ดีดฉินนางนั้นมาพบข้า”
“ขอรับ” ขันทีเจียงรับคำแล้วผละจากไป
“ท่านอ๋อง...” คุณชายเรียกด้วยสีหน้าลำบากใจ “โปรดอย่าทำร้ายนาง”
ชินอ๋องทำหน้าเฉยเมย กล่าวประชดว่า “ข้าจะกล่าวชมนางต่างหาก”
เจียงจ้านเดินเข้าไปบอกกล่าวกับสาวสวยที่บรรเลงเพลงฉินสองสามประโยค
นางก็รีบหยุดมือ ลุกขึ้นจากที่นั่งบนเวทีแสดงเดินชดช้อยมาทางนี้ โดยมีสาวใช้ติดตามมาด้วยนางหนึ่ง
แม่นางนักดีดฉินเดินเข้าหยุดตรงหน้าห้อง ยอบกายคารวะอย่างสวยงาม แล้วคุกเข่าก้มหน้าน้อยๆ สาวใช้ที่ติดตามนางก็ทำตาม
“น้อมคารวะชินอ๋องเจ้าค่ะ ข้าน้อยเซียงเซียงบังอาจบรรเลงฉินด้วยฝีมืออันต่ำต้อย หากเป็นการรบกวนท่านอ๋อง ได้โปรดให้อภัยข้าน้อยด้วยเจ้าค่ะ”
สีหน้าชินอ๋องคลายความเย็นชาลงเล็กน้อย แต่สีหน้าที่ปรากฏแทนที่เหมือนสบโอกาสอะไรสักอย่าง
“แม่นางมีฝีมือบรรเลงฉินดียิ่งนัก ทำให้ฟูเหรินของข้าฟังจนเคลิบเคลิ้ม”
ฟูเหริน?
แม่นางเซียงเซียงเงยหน้าขึ้นมองอย่างลืมตัวและงงงัน...ก็ที่ห้องรับรองห้องนี้มีเพียงบุรุษสองคนเท่านั้น
“จริงหรือไม่ ฟูเหริน?”
สายตาคมกริบของชินอ๋องมองตรงมาที่คุณชาย
สายตาของแม่นางเซียงเซียงก็มองมาที่คุณชายเช่นกัน
ทำเอาคุณชายหน้าร้อนผ่าว
“ทำไมไม่พูดอะไรสักคำล่ะฟูเหริน?”
“.....” สีหน้าเป็นต่อนั้นคืออะไร...
“ถ้าฟูเหรินไม่เอ่ยปาก แม่นางเซียงเซียงจะน้อยใจเอาได้นะ”
ในที่สุด...จ้าวชิงเฟิงก็พูดเสียงเบา
“ฝีมือบรรเลงฉินของแม่นางไพเราะยิ่ง”
“ขอบคุณเจ้าค่ะ” แม่นางเซียงเซียงน้อมคำนับ นางนิ่งเงียบไปนิดหนึ่ง ก่อนจะกล่าวต่อท้ายประโยคว่า “ฟูเหริน”
“ดี...ให้รางวัล” ชินอ๋องเอ่ยอย่างพอใจ
เจียงจ้านก็นำถุงใส่ทองคำส่งให้นางถุงหนึ่ง แล้วบอก “เจ้าไปได้”
นางรับรางวัลแล้วน้อมคำนับชินอ๋อง คุณชาย และขันทีเจียง ก่อนจะลุกขึ้นเดินจากไปพร้อมกับสาวใช้
ชินอ๋องโบกมือให้เจียงจ้าน เขาก็หลบฉากไปอย่างรวดเร็ว
“เจ้าขอให้ข้าไม่ทำร้ายนาง ข้าก็ไม่ทำร้ายนาง” ชินอ๋องเอ่ยเสียงเรียบๆ ทว่าแววตาเจ้าเล่ห์ “เช่นนี้เจ้าสมควรตอบแทนข้าใช่หรือไม่...ฟูเหริน?”
“ข้าไม่มีของมีค่าใดจะตอบแทนท่านอ๋องได้?” คุณชายตอบเสียงอ่อนๆ
“ของตอบแทนที่ข้าต้องการไม่ใช่สิ่งของ”
“.....”
“แค่เจ้ายินยอมให้ข้าป้อนอาหารเจ้ามื้อนี้” ชินอ๋องยิ้มเล็กน้อย “ได้หรือไม่...ฟูเหริน?”
“.....”
“เจ้าไม่กล่าวปฏิเสธ ข้าจะถือว่าเจ้าตกลง”
“.....” แล้วข้าปฏิเสธได้หรือ?
ชินอ๋องคีบอาหารป้อนให้ถึงปากคุณชาย ซึ่งอีกฝ่ายได้แต่อ้าปากรับโดยดี
“เคี้ยวดีๆ ค่อยๆ กลืน ระวังติดคอ” ชินอ๋องป้อนคุณชายคำหนึ่ง ก็คีบอาหารกินเองคำหนึ่ง ซ้ำยังบรรยายอาหารที่คีบป้อน “จ้อปูของที่นี่รสชาติดียิ่ง”
คุณชายเคี้ยวกินพลางพยักหน้าเห็นด้วย แต่พอเห็นชินอ๋องจะคีบอาหารให้อีก ก็รีบห้ามว่า “ข้าอิ่มแล้วขอรับ”
เห็นชินอ๋องขมวดคิ้ว คุณชายก็รีบชวนคุย “ท่านอ๋องมาที่นี่บ่อยหรือขอรับ?”
“อืม...หลายครั้ง”
คุณชายมองแผงขายของที่ตั้งเรียงรายเป็นระเบียบอยู่สองฟากถนน แล้วอยากไปเดินดู จึงกล่าวเป็นเชิงขออนุญาต “ข้าเดินเล่นดูของสักครู่ได้หรือไม่ขอรับ?”
“ได้สิ”
*
*
หลังกินอาหารกลางวันเสร็จ ชินอ๋องก็พาคุณชายมาเดินเล่นที่ถนน
ตามถนนหนทางเนืองแน่นไปด้วยฝูงชนที่แต่งกายประกวดประชันกันต้อนรับความสดใสของฤดูใบไม้ผลิ
จ้าวชิงเฟิงมองแผงขายของสองข้างทางอย่างสนใจ เพราะตั้งเรียงรายวางสินค้าหลากหลายไว้เพื่อดึงดูดลูกค้า
คุณชายหยิบสินค้าประเภทเครื่องดนตรีที่ทำจากไม้ชิ้นหนึ่งขึ้นมาชมดูเพราะแปลกตา
เจ้าของแผงก็รีบแนะนำสินค้าทันที “คุณชาย นี่คือปี่เป็นของมาจากอินเดียขอรับ เสียงไพเราะ ราคาไม่แพง”
คุณชายพลิกปี่ในมืออย่างสนใจอยู่ครู่หนึ่ง เมื่อดูจนพอใจแล้วก็วางคืนลงบนแผง แล้วเดินไปดูของแผงอื่นต่อไป
ระหว่างเดินดูของเพลินๆ ก็ชนเข้ากับคนผู้หนึ่ง คุณชายรีบกล่าวขอโทษ
“ขออภัยด้วย ข้าไม่ทันระวังชนถูกท่าน ท่านเจ็บหรือไม่?”
“เจ็บสิ เจ็บมากเสียด้วย”
อีกฝ่ายกล่าวกลั้วหัวเราะ ทั้งยังจับข้อมือคุณชายเอาไว้ไม่ยอมปล่อย
คุณชายแน่ใจว่าเมื่อครู่ชนไม่แรงเท่าไร ที่ถามว่าเจ็บหรือไม่นั้นเป็นเพียงถามตามมารยาทเท่านั้น แต่ดูเหมือนคู่กรณีจะจงใจหาเรื่อง
จึงตั้งใจมองสำรวจอีกฝ่าย...เห็นเป็นบุรุษหนุ่มรูปร่างสูง หน้าตาดี ดูจะคุ้นตาอยู่หลายส่วน แต่งกายด้วยเสื้อผ้าหรูหราราคาแพง บนดวงหน้าประดับรอยยิ้มกรุ้มกริ่ม
“เจ้าต้องชดใช้ให้ข้า”
“ชดใช้?” คุณชายหน้าบึ้งตึง “ข้าจำได้ว่ามิได้ชนแรงนัก ท่านตัวใหญ่กว่าข้าเสียอีก ข้ายังไม่เจ็บเลย แล้วท่านจะเจ็บได้อย่างไร?”
ระหว่างพูดจา...คุณชายพยายามสะบัดแขน จะให้ข้อมือของตนหลุดพ้นจากการเกาะกุม แต่มือของอีกฝ่ายแข็งแกร่งราวคีมเหล็ก
เขาเอ่ยเสียงยียวนลวนลาม
“แต่ข้าเจ็บ...เจ็บมาก...เจ็บที่หัวใจ...เจ้าต้องเอาตัวของเจ้ามาชดใช้เยียวยาหัวใจของข้า”
“แม่นาง...เจ้าคงเข้าผิดห้อง” จ้าวชิงเฟิงกล่าวด้วยน้ำเสียงสุภาพ “ไม่ผิด” นางตอบเสียงหวาน “หากห้องนี้คือห้องพักของท่านเจ้าบ้านหลี่” พลางทอดสายตาหวานหยาดเยิ้มให้แก่หลี่เฉิง จ้าวชิงเฟิงรู้สึกว่า...ตนคงพูดอะไรไม่ได้ เพราะคนที่นางมาหาไม่ใช่ตน “เจ้ามาหาข้าด้วยเรื่องอันใด?” นายท่านหลี่ถามเสียงเรียบๆ “มาทำความรู้จัก” นางตอบแล้วยิ้มหวาน “ข้าชื่อ...อินซวงซวง เป็นประมุขพรรคสุริยัน” “พรรคมาร” หลี่เฉิงเอ่ยขึ้น “นั่นเป็นชื่อที่พวกไร้มารยาทเรียกหา” นางกล่าวอย่างไม่พอใจ แล้วเปลี่ยนกลับมาอ่อนหวานว่า “ท่านเจ้าบ้านหลี่...ท่านน่าจะเชิญสหายของท่านผู้นี้ออกไปข้างนอกก่อน...พวกเราจะได้ทำความรู้จักกันให้ลึกซึ้ง” หลี่เฉิงมิได้กล่าวอะไร...เขาต้องการจะดูปฏิกิริยาของจ้าวชิงเฟิงว่าจะจัดการกับเรื่องเช่นนี้อย่างไรบ้าง อินซวงซวงเหลือบตามองจ้าวชิงเฟิงที่สวมหน้ากากผ้าแพรสีดำนิดหนึ่ง ก่อนจะออกปากว่า “คุณชาย สมควรจะรีบออกไปข้างนอกก่อนนะ!” “อ๊ะ...ข้า...” จ้าวชิงเฟิงลุกจากเตียงที่นั่งอยู่ จะเดินออกไปจากห้อง...หมูเขาจะหาม อย่าเ
ประมุขเฉินห้าวกับอาหลีจูงมือกันมายืนต่อหน้านายท่านหลี่และคุณชายจ้าว “พวกเราปรับความเข้าใจกันแล้ว” ประมุขเฉินห้าวเอ่ย “ข้ากับอาหลีจะแต่งงานกัน แต่คงต้องรอให้งานชุมนุมชาวยุทธที่เขาไท้ซานเสร็จสิ้นเสียก่อน” จ้าวชิงเฟิงยิ้ม แต่ยังอดถามอย่างเป็นห่วงไม่ได้ว่า “อาหลี เจ้าฝืนใจหรือเปล่า?” อาหลีส่ายหน้า ทีท่าเขินอายยิ่งนัก “ถ้าเจ้ามิได้ฝืนใจ เกอเกอก็ยินดีด้วย” จ้าวชิงเฟิงแย้มยิ้มทั้งปากทั้งตา ดึงตัวอาหลีมากอดเอาไว้ เดือดร้อนนายท่านหลี่ต้องรีบจับแยก... ที่สำนักวัดไท้ซาน...พรรคต่างๆในยุทธภพต่างมารวมตัวกันอย่างพร้อมเพรียง ทั้งฝ่ายธรรมมะและฝ่ายอธรรม เพื่อคัดเลือกจ้าวยุทธภพที่สิบปีมีครั้งหนึ่งอย่างกระตือรือร้น พรรคฝ่ายธรรมมะประกอบด้วย... วัดไท้ซาน...ซึ่งได้ตำแหน่งผู้นำยุทธภพเมื่อสิบปีก่อน โดยฝีมือของเจ้าอาวาสต้าซือไร้ลักษณ์ ผู้มีหน้าตาใจดีมีเมตตา คิ้วเคราขาวโพลน แต่ดวงตากลับเปล่งประกายคมกล้าของยอดฝีมือชัดเจน ศิษย์ในวัดมีทั้งศิษย์ที่เป็นภิกษุและศิษย์ฆราวาส พรรคเทียนซาน...ซึ่งมาอย่างอวดโอ่ เพราะเจ้าสำนักเพิ่งสำเร็จวิชาเส
งานเลี้ยงดำเนินไปได้สักพัก...นายท่านหลี่ก็พาคุณชายจ้าวที่เริ่มเมานิดหน่อยกลับห้องพัก ส่วนละอ่อนอย่างอาหลีก็ถูกประมุขพรรคยาจกเฉินห้าวไล่ให้กลับห้องไปนอนก่อน เพราะเขาตั้งใจจะดวลสุรากับหัวหน้าราชองครักษ์อ๋าวไคทั้งคืน แต่ดื่มกันไปได้พักใหญ่...ประมุขพรรคยาจกเฉินห้าวก็เกิดนึกเป็นห่วงอาหลีขึ้นมา “ท่านอ๋าว...ข้าคงต้องขอตัวแค่นี้ก่อน” “อ้าว...ประมุขเฉิน ไหนท่านว่าจะดื่มกันยันฟ้าสว่างอย่างไรล่ะ” อ๋าวไคแย้ง “ข้าเป็นห่วงอาหลี เด็กน้อยคนนี้ปกติจะต้องให้ข้านั่งอยู่เป็นเพื่อนจึงจะนอนหลับ ป่านนี้จะนอนแล้วหรือยังก็ไม่รู้ ข้าจะไปดูเขาสักหน่อย” ประมุขเฉินตอบ “ถ้าเช่นนั้น...พวกเราก็พอแค่นี้แล้วกัน” อ๋าวไคเอ่ย “ข้าก็จะกลับห้องพัก...พวกเราไปทางเดียวกัน ไปกันเถิด” แล้วทั้งสองก็ลุกขึ้น เดินขึ้นชั้นบน ตรงไปยังห้องพักของอาหลีก่อน แต่พอเข้าใกล้...ทั้งสองก็มองหน้ากัน เพราะได้ยินเสียงผิดปกติ ประมุขเฉินห้าวจึงรีบกระแทกประตูห้องเปิดออกอย่างไม่รอช้า ภาพที่เห็น คือ...อาหลีถูกถอดเสื้อผ้าจนเปลือยเปล่า นอนบิดกายอยู่บนเตียง ที่หน้
หลังจากดูงิ้ว...เฉินกุ่ยปาดน้ำตาลวกๆ ขณะเดินเคียงคู่มากับจางจง ไปตามถนนที่เงียบสงัดเพราะดึกมากแล้ว “ท่านเฉิน ท่านร้องไห้ทุกครั้งที่ดูงิ้วนะหรือ?” จางจงอดถามไม่ได้ เพราะเห็นแม่ทัพรักษาเมืองตัวโตนั่งร้องไห้เป็นวรรคเป็นเวรขณะดูงิ้ว จนกระทั่งงิ้วแสดงจบ ออกมาจากโรงงิ้วแล้ว ก็ยังไม่หยุดร้องอีก เขาไม่ได้คิดเย้ยหยันหรอกนะว่า ผู้ชายที่ดูดุดันตัวโตราวตึกจะร้องไห้ไม่ได้ เพียงแต่แปลกใจว่า...ท่านแม่ทัพร่างใหญ่วัยฉกรรจ์จะมีมุมที่อ่อนไหวเช่นนี้ด้วย! “ขะ ข้าสงสารนางเอกที่ถูกสามีทอดทิ้งหนะ” เฉินกุ่ยอ้อมแอ้ม “งิ้วก็คือเรื่องแต่งเท่านั้นนะท่านเฉิน” “ข้ารู้” เฉินกุ่ยพยักหน้า “แต่ก็ทำให้ข้าคิดถึงตัวเองด้วยนะอาจง” “ท่านคิดสิ่งใดหรือ?” จางจงถาม เฉินกุ่ยสูดลมหายใจเต็มปอด ก่อนจะเอ่ยเสียงแผ่วว่า “ข้าชอบคนคนหนึ่งอย่างมาก แต่ไม่รู้ว่า เขาจะชอบข้าบ้างหรือไม่?” “ท่านเป็นบุรุษที่พึ่งพาได้” จางจงกล่าวปลอบโยน “อีกทั้งมีเกียรติยศศักดิ์ฐานะสูงส่งขนาดนี้ แม่นางคนใดจะไม่ชอบท่านล่ะ?” “เขาเป็นบุรุษ!” “เอ๋...
สีหน้าเฉินกุ่ยผิดหวังตะลึงงัน หลี่เฉิงกล่าวด้วยเสียงเรียบๆว่า “มีที่ใด...เจ้าไม่เคยไปมาบ้าง จากเหนือจรดใต้ จากตะวันออกไปจนถึงตะวันตก เจ้าล้วนไปมาทั่วแล้ว” “ขะ คือ...มันไม่เหมือนกันพ่ะย่ะค่ะ” เฉินกุ่ยเหงื่อตก “ไปอย่างนั้น มันไปธุระ...” “นี่ก็ไปธุระ” หลี่เฉิงนั้นรู้จุดประสงค์ของอีกฝ่ายดี แต่จะกลั่นแกล้งให้ต้องพูดออกมา “ธุระตอนนั้นมันไม่มี แต่ตอนนี้มี...” “มีอะไร?” “มี...” แม่ทัพร่างใหญ่ยกมือปาดเหงื่อที่หน้าผาก...รู้สึกว่า คำพูดที่อยู่ในอก ช่างพูดออกมายากเย็นนัก ยากกว่าการไปรบทัพจับศึกเสียอีก แต่เพื่อให้ได้ติดตามขบวนประพาสของฮ่องเต้ จึงทำใจให้สงบ สูดลมหายใจให้เต็มปอด และพูดอุบอิบว่า “มี...จางจง พ่ะย่ะค่ะ” แม้เสียงเบา แต่ฮ่องเต้กับคุณชายต่างได้ยิน ทำเอาคุณชายเกือบทำถ้วยชาหลุดมือ “อ่อ...” หลี่เฉิงพยักหน้า “เหตุผลพอฟังขึ้น ข้าอนุญาตให้เจ้าไปด้วยก็ได้ แต่เจ้าจะต้องไปปรึกษากับอ๋าวไคว่าจะต้องปฏิบัติตัวอย่างไรบ้างในการไปเที่ยวครั้งนี้”
พิเศษ 1 ศึกชิงจ้าวยุทธภพ อาหลีติดตามเฉินห้าวไปทุกที่ ตั้งแต่เหนือจรดใต้ ตะวันออกจรดตะวันตก จนวนกลับมายังเมืองหลวงต้าหนาน “ไม่รู้ว่าเกอเกอ(พี่ชาย)ฮองเฮา กับเจี่ยเจีย(พี่สาว)เซียงเซียงจะเป็นอย่างไรบ้าง?” อาหลีที่เดินตามประมุขเฉินต้อยๆ เอ่ยขึ้นเมื่อเห็นหอสุราจุ้ยเซียนอยู่ตรงหน้า “เดี๋ยวเจ้าก็ได้รู้...” ประมุขเฉินกล่าว พลางพาอาหลีเข้าไปในหอสุรา และขึ้นบันไดไปบนชั้นสอง ที่ห้องพิเศษบนชั้นสอง...ฮ่องเต้หลี่เฉิงกับ ฮองเฮาจ้าวชิงเฟิง นั่งรออยู่ แต่ผู้ที่ทำให้ประมุขเฉินผิดคาดหมายเล็กน้อยคือ...หลวงจีนลืมชื่อ ภิกษุชราผู้มีร่องรอยลี้ลับหาตัวพบยากนักหนา กำลังคีบเนื้อแพะตุ๋นน้ำแดงเข้าปากอย่างเอร็ดอร่อย ประมุขพรรคยาจกประสานมือค้อมศีรษะให้ฮ่องเต้เป็นอันดับแรก “ถวายบังคมฝ่าบาทพ่ะย่ะค่ะ” “ไม่ต้องมากพิธี” ฮ่องเต้ตรัส “อยู่ข้างนอกพระราชวัง ประมุขเฉินอย่าได้ใช้พิธีรีตองในวังกับข้า เรียกข้าว่าเจ้าบ้านหลี่ก็พอ ข้าจะใช้ชื่อในการท่องเที่ยวข้างนอกนี้ว่า ‘หลี่ฉือ’ ส่วนฟูเหรินของข้าจะใช้ชื่อว่า คุณชายจ้าวเฟิง”