Masuk“แม่คะพ่ออยู่หรือเปล่า” เสียงทักทายของสุพิชฌาย์ดังเข้ามาก่อนที่เจ้าตัวจะเดินมาถึงห้องนั่งเล่น คุณวิมลวรรณที่กำลังนั่งอ่านหนังสืออยู่เงยขึ้นมองแล้วยิ้มให้กับลูกสาวคนเล็ก
“พ่ออยู่ในห้องทำงาน หนูมีอะไรหรือเปล่าเปียโน กลับมาถึงบ้านก็ถามหาพ่อเลย แล้วนี่กินข้าวกลางวันมาหรือยังล่ะ”
“หนูกินมาแล้วค่ะแม่”
“หนูเลิกเรียนเที่ยงไม่ใช่เหรอทำไมกลับถึงบ้านช้าจัง ไปเที่ยวกับเพื่อนมาเหรอ”
“เปล่าค่ะ หนูไปเยี่ยมอาจารย์ทรงวุฒิมาค่ะ”
“ทำไมลูกสาวแม่น่ารักอย่างนี้นะรู้จักไปเยี่ยมอาจารย์ด้วย แล้ววันนี้อาการของอาจารย์เป็นยังไงบ้าง”
“คุณหมออนุญาตให้กลับบ้านอีกสองวันข้างหน้าค่ะ”
“แล้วอาจารย์เขาบอกไหมว่าจะไปสอนเมื่อไหร่”
“สัปดาห์หน้าค่ะแม่”
“หนูไม่ต้องเรียนวันเสาร์แล้วแบบนี้ก็ดีนะจะได้พักผ่อน ว่าแต่หนูถามหาพ่อทำไมเหรอ”
“หนูอยากจะคุยกับพ่อเรื่องที่พ่อเคยพูดไว้ว่าอยากให้หนูไปเรียนต่อต่างประเทศค่ะ”
“หนูเปลี่ยนใจแล้วใช่ไหมเปียโน” คุณวิมลวรรณถามด้วยความตื่นเต้นและดีใจเพราะก่อนหน้านี้เธอพยายามขอร้องให้ลูกสาวไปเรียนต่อปริญญาโทแต่สุพิชฌาย์ก็ปฏิเสธตลอด
“หนูว่าเราไปคุยพร้อมกันสามคนดีกว่ามั้ยคะแม่”
“เอางั้นก็ได้จ้ะ” คุณวิมลวรรณเดินตามลูกสาวเข้าไปในห้องทำงานซึ่งตอนนี้คุณสุชาติกำลังนั่งดูเอกสารอยู่บนโต๊ะทำงาน
“พ่อคะงานยุ่งหรือเปล่า” หญิงสาวเห็นบิดาทำหน้าเครียดก็เลยลังเลว่าจะพูดเรื่องนี้ดีหรือเปล่า
“ไม่ยุ่งหรอกแค่อ่านรายงานการประชุม หนูมีอะไรหรือเปล่าลูก”
“หนูมีเรื่องจะคุยกับพ่อค่ะ” หญิงสาวนั่งบนเก้าอี้ตรงข้ามบิดาขณะที่มารดาก็นั่งลงบนเก้าอี้อีกตัวที่อยู่ข้างกัน
“มีอะไรจะคุยท่าทางซีเรียสเชียว”
“พ่อเคยบอกว่าอยากให้หนูไปเรียนต่อต่างประเทศใช่ไหมคะ”
“อย่าบอกนะว่าตอนนี้ลูกเปลี่ยนใจแล้วใช่ไหม พ่อดีใจจัง เดี๋ยวพ่อจะรีบติดต่อเพื่อนที่นั่นให้ดูมหาวิทยาลัยและหาที่พักให้นะ”
“ใจเย็นสิคะพ่อหนูยังเรียนจบไม่จบเลย”
“แต่เราก็ต้องเตรียมไว้ก่อน แล้วหนูคิดยังไงถึงอยากจะไปเรียนต่อล่ะ”
“ไม่คิดยังไงหรอกค่ะ ก็แค่คิดว่าบางทีมันน่าจะเป็นผลดีกับมหาวิทยาลัยของเรา”
“ลูกสาวพ่อโตแล้วจริงๆ นะรู้จักคิด”
“พ่อคะแต่หนูอยากขออะไรพ่อกับแม่สักอย่างหนึ่งก่อน”
“นั่นไงพอคิดแล้วเชียวจู่ๆ ก็ยอมไปเรียนต่อได้ง่ายๆ แล้วจะขออะไรพ่อกับแม่ล่ะ”
“หนูขอย้ายออกไปอยู่คอนโดได้ไหม”
“ทำไมล่ะลูก บ้านเราก็ไม่ได้อยู่ไกลมหาวิทยาลัยเลยนะจะออกไปอยู่คอนโดคนเดียวให้มันลำบากทำไม” คุณวิมลวรรณรีบห้ามเพราะไม่อยากให้สุพิชฌาย์ต้องออกไปอยู่ที่อื่น
“ก็หนูอยากฝึกดูแลตัวเองอยากลองอยู่คนเดียวว่าหนูจะใช้ชีวิตได้ไหม เผื่อไปอยู่ต่างประเทศหนูจะได้ไม่ลำบากมาก ถ้าพ่อกับแม่ยอมให้หนูออกไปลองฝึกใช้ชีวิตหนูก็จะไปเรียนตามที่พ่อกับแม่ต้องการค่ะ”
“นี่หนูกำลังต่อรองกับพ่อและแม่ใช่ไหม”
“ใช่ค่ะพ่อสนใจข้อเสนอของหนูไหมล่ะ”
“แล้วหนูอยากจะย้ายไปอยู่ที่ไหนล่ะ คอนโดที่ว่านั่นมันปลอดภัยไหม อยู่ใกล้มหาวิทยาลัยหรือเปล่า”
“พ่อเห็นคอนโดที่อยู่ก่อนถึงมหาวิทยาลัยของเรามั้ยคะ ที่เพิ่งสร้างใหม่ได้ไม่นาน”
“อ๋อ....พ่อเห็นแล้ว หนูอยากอยู่คอนโดนั่นเหรอลูก”
“ค่ะได้ไหมคะพ่อ มันแพงเกินไปหรือเปล่า”
“ไม่หรอกถ้าหนูสนใจจริงๆ เดี๋ยวพ่อจะให้ผู้ช่วยติดต่อเจ้าของคอนโดให้นะ”
“พ่อคะหนูอยากจัดการเอง”
“หนูจะติดต่อเองให้มันยุ่งยากทำไมล่ะลูก แม่ว่าให้คนของพ่อจัดการดีกว่าถึงเวลาหนูก็หิ้วกระเป๋าเข้าไปอยู่เลย”
“ถ้าให้คนของพ่อติดต่อให้มันสะดวกกว่า แต่หนูอยากลองฝึกทำอะไรด้วยตัวเอง หนูว่ามันคงไม่ยากเท่าไหร่แค่ติดต่อซื้อคอนโดสักห้องส่วนเรื่องค่าใช้จ่ายหนูจะมาบอกพ่อกับแม่อีกทีได้ไหมคะ”
“เอาอย่างงั้นก็ได้พรุ่งนี้วันอาทิตย์หนูลองไปดูก่อนแต่ถ้าอยากให้พ่อช่วยก็โทรบอกพ่อตกลงไหม”
“ตกลงค่ะพ่อ”
“ถ้าพ่อให้ย้ายออกไปอยู่ข้างนอกแล้วสัญญากับพ่อนะว่าจะไปเรียนต่อที่ต่างประเทศจริงๆ ไม่ใช่พอถึงเวลานั้นแล้วมาอิดออดไม่ยอมไป”
“พ่อคะหนูสัญญาเลยค่ะ ว่าเรียนจบแล้วหนูจะไปเรียนต่อต่างประเทศจริงๆ ตอนนี้หนูจริงจังกับการฝึกใช้ชีวิตด้วยตัวคนเดียวมาก หนูไม่อยากไปอยู่ที่นู่นแล้วใช้ชีวิตลำบากค่ะ” หญิงสาวพยายามอธิบายเหตุผลเพราะอยากให้บิดายอมให้ตนเองย้ายออกไปอยู่คอนโดถึงแม้จะเป็นช่วงระยะเวลาสั้นๆ แต่เธอก็คิดว่าจะใช้เวลาที่เหลือจีบอาจารย์ปณัยกรให้ได้ก่อนที่ตัวเองจะไปเรียนต่อ
“พ่อเชื่อใจหนูนะ””
“ขอบคุณค่ะพ่อ ขอบคุณค่ะแม่ หนูรักพ่อกับแม่ที่สุดเลยค่ะ หนูขอตัวก่อนนะคะ”
“จะรีบไปไหนเหรอเปียโน”
“จะไปคุยกับเพื่อนค่ะแม่”
“อย่าลืมลงมากินข้าวเย็นกับพ่อกับแม่นะ”
“ค่ะแม่หนูไม่ลืมหรอกค่ะ หนูไปก่อนนะคะ” หญิงสาวรีบวิ่งขึ้นไปบนห้องนอนด้วยความดีใจเมื่อแผนการที่จะย้ายไปอยู่ใกล้กับอาจารย์ปณัยกรมารออยู่ตรงหน้า
เมื่อขึ้นมาถึงบนห้องก็ส่งข้อความไปในไลน์กลุ่มนัดวิดีโอคอลกันในอีก 15 นาทีต่อมา
“มีเรื่องอะไรสำคัญเหรอเปียโนถึงจะนัดคุยแบบนี้” ณัฐมลถามด้วยความสงสัยเพราะเพิ่งจะเจอกันไม่กี่ชั่วโมงก่อนหน้าแต่แล้วสุพิชฌาย์ก็ไลน์มาบอกว่ามีเรื่องสำคัญจะเล่าให้ฟัง
“ฉันจะย้ายออกไปอยู่คอนโด”
“อะไรนะ / อะไรนะ” ทั้งณัฐมลและเจนิตาตกใจกับคำตอบที่ได้ฟังจากเพื่อน
“เกิดอะไรขึ้นแกจะย้ายไปอยู่คอนโดทำไมบ้านแกกับมหาวิทยาลัยก็ใกล้กันนิดเดียวนะ” เจนิตาถามคนแรก
“ฉันอยากฝึกใช้ชีวิตด้วยตัวเองไงล่ะ”
“ฉันไม่เชื่อหรอกเปียโนบอกมาตามตรงเลยนะว่าแกคิดจะทำอะไร แล้วคอนโดที่ว่านั่นอยู่ที่ไหน”
“ก็คอนโดใกล้ๆ มหาวิทยาลัยไงล่ะใบตอง ที่เพิ่งสร้างเสร็จน่ะฉันว่าจะย้ายเข้าไปอยู่ที่นั่น”
“แล้วมันจะมีห้องว่างให้แกเหรอ ป่านนี้คนน่าจะซื้อหมดแล้วมั้ง”
“ฉันเองก็ไม่แน่ใจเหมือนกันแต่ยังไงฉันจะต้องหาทางเข้าไปอยู่ที่นั่นให้ได้”
“ฉันว่ามันต้องมีอะไรแน่ๆ แกบอกพวกฉันสองคนมาเลยนะว่าทำไมจู่ๆ ถึงจะย้ายออกไปอยู่คอนโดหรือทะเลาะกับพ่อกับแม่” ณัฐมลตั้งข้อสังเกต
“ไม่ได้ทะเลาะกับพ่อกับแม่หรอก แต่ฉันอยากลองฝึกใช้ชีวิตด้วยตัวเองเพราะถ้าเรียนจบพ่อกับแม่ก็ต้องส่งไปเรียนต่อปริญญาโทที่ต่างประเทศ”
“แต่ฉันว่ามันน่าจะมีเหตุผลอื่นนะ การไปเรียนต่อต่างประเทศแกไม่จำเป็นต้องออกมาใช้ชีวิตคนเดียวในคอนโด แกน่าจะอยู่บ้านใช้ชีวิตให้สุขสบายก่อนที่จะไปออกไปเผชิญโลกมากกว่า ฉันว่าเหตุผลของแกมันไม่เมคเซ้นส์เลยสักนิด”
“ใช่บอกความจริงฉันมาเดี๋ยวนี้นะ” เจนิตาก็ไม่เชื่อเหตุผลของสุพิชฌาย์อีกคน
“ฉันอยากย้ายไปอยู่ใกล้ๆ กับอาจารย์ไนท์น่ะ”
“นี่แกเป็นเอามากนะ แล้วรู้ได้ยังไงว่าอาจารย์เขาพักอยู่ที่ไหน”
“ก็วันนี้เขาเผลอหลุดปากออกมาว่ากำลังจะไปอยู่คอนโดน่ะฉันต้องสืบให้ได้ว่าเขาพักอยู่ห้องไหนแล้วฉันจะต้องหาห้องที่อยู่ใกล้ๆ เขา” สุพิชฌาย์พูดอย่างมุ่งมั่น
“เอาจริงเหรอแก”
“แกก็รู้นี่ฉันชอบเขามากจริงๆ นะ”
“แต่ฉันว่านี่มันเกินไปหน่อยหรือเปล่า”
“ไม่หรอกฉันมีเวลาอยู่เมืองไทยอีกไม่นานนะแก ฉันต้องรีบจีบเขาให้ติด”
“แล้วถ้าเกิดจีบติดแล้วเขาไม่ให้แกไปเรียนต่อขึ้นมาล่ะ ถึงตอนนั้นจะทำยังไง”
“เรื่องนั้นยังไม่คิดเลยเอาไว้ให้จีบเขาติดก่อน แกรู้มั้ยวันนี้ฉันไปเยี่ยมอาจารย์ทรงวุฒิกับเขาแล้วก็ไปกินข้าวกับเขาด้วยนะ ยิ่งอยู่ดูใกล้ฉันยิ่งชอบ ผู้ชายอะไรก็ไม่รู้พูดน้อยแต่ดูมีเสน่ห์สุดๆ ไปเลย”
“ฉันสองคนคงห้ามแกไม่ได้ ดูท่าแล้วแกจะจริงจังกับผู้ชายคนนี้มากจริงๆ นะเปียโน”
“ก็ใช่น่ะสิเจน ฉันจริงจังกับเขามากจริงๆ ฉันรู้สึกว่าเขานั่นแหละผู้ชายที่พระเจ้าส่งมาให้ฉัน”
“เฮ้อ.....ขอให้แกสมหวังก็แล้วกันนะ”
สามเพื่อนสนิทคุยกันต่ออีกพักใหญ่ก่อนจะวางสายสุพิชฌาย์ยิ้มให้กับโทรศัพท์ตรงหน้าและเริ่มวางแผนขั้นต่อไปว่าถ้าหากได้ไปอยู่คอนโดเดียวกับอาจารย์ปณัยกรแล้วเธอจะต้องทำยังไงให้ได้ใกล้ชิดเขา
ปณัยกรวางสายจากสุพิชฌาย์แล้วก็รีบตรงไปยังผับที่หญิงสาวบอก เขารู้สึกเป็นห่วงและกลัวว่าเธอจะเมาและกลับไปพร้อมกับรุ่นพี่ ตอนนี้ชายหนุ่มยอมรับแล้วว่าความรู้สึกที่มีต่อหญิงสาวนั้นไม่ใช่แค่เพื่อนบ้านหรือลูกศิษย์อย่างที่พยายามจะคิดแบบนั้นมาตลอด และเขาไม่สนใจแล้วว่าเธอจะเป็นลูกสาวของใคร เขาจะยอมทำตามหัวใจตัวเองสักครั้งจะทำทุกอย่างให้เต็มที่แล้วยอมรับผลที่จะตามมาอย่างไม่มีข้อแม้ชายหนุ่มเดินเข้ามาในผับและกวาดสายตาไปทั่วเมื่อเห็นสุพิชฌาย์กำลังยืนเต้นอยู่กับผู้ชายคนหนึ่งด้วยท่าทางสนิทสนมก็รีบตรงเข้าไปหาทันที“อาจารย์....” สุพิชฌาย์ทั้งดีใจและตกใจที่เห็นเขามาที่นี่“กลับเถอะเปียโน”“แต่หนูยังสนุกอยู่เลยนะคะ หนูยังไม่อยากกลับ”“แต่ผมบอกให้กลับก็ต้องกลับ”“นี่คุณ ผู้หญิงเขาไม่อยากกลับจะมาบังคับกันได้ยังไงแล้วคุณเป็นใครถึงมีสิทธิ์มาบังคับเปียโนแบบนี้” เพื่อนชายของสุพิชฌาย์พูดไปตามบทที่หญิงสาวเตี๊ยมเอาไว้“ผมเป็นแฟนเธอ คงจะพอบังคับได้นะ” ปณัยกรตอบกลับก่อนจะจูงมือสุพิชฌาย์ออกไปจากผับ“อาจารย์ปล่อยหนูได้แล้ว” หญิงสาวสะบัดมือออกเมื่อเดินมาถึงด้านหน้าผับ“ปล่อยเพื่อให้กลับเข้าไปเต้นยั่วผู้ชายข้างในอีกน่ะ
เช้าวันใหม่สุพิชฌาย์ยังไม่ยอมลุกจากที่นอนทั้งที่ตอนนี้เป็นเวลาเจ็ดโมงครึ่งแล้ว หญิงสาวอยากรู้ว่าถ้าปณัยกรเห็นว่าเธอยังนอนอยู่บนเตียงของเขาแล้วชายหนุ่มจะทำหน้ายังไงเธอยิ้มเมื่อนึกไปถึงเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อคืน การที่เขาจูบเธอแบบนั้นมันก็แน่ชัดแล้วว่าเขาต้องมีใจให้กับเธออย่างแน่นอนแต่ก็ไม่รู้ว่าเพราะอะไรถึงไม่ยอมตอบตกลง หญิงสาวคิดว่าวันนี้จะเธอต้องคุยกับปณัยกรเรื่องนี้ให้รู้เรื่องเพราะไม่อยากจะอยู่กับความอึดอัดนี้ได้อีกต่อไปขณะที่กำลังนอนคิดอยู่บนเตียงเสียงเคาะประตูห้องนอนก็ดังขึ้น“เปียโน คุณตื่นหรือยังผมขอเข้าไปนะ วันนี้ผมต้องไปทำงาน” ปณัยกรตื่นนอนตั้งแต่เช้าแต่รอให้สุพิชฌาย์ออกมาก่อนแต่แล้วก็ทนรอไม่ไหวเพราะถ้าช้ากว่านี้เขาคงต้องไปทำงานสายอย่างแน่นอน“ตื่นแล้วค่ะ อาจารย์เข้ามาได้เลย” หญิงสาวตะโกนตอบแต่ยังไม่ยอมลุกจากเตียง“สายแล้วนะเปียโน” ชายหนุ่มมองคนที่ยังนอนอยู่บนเตียงแล้วพูดขึ้น“หนูไม่ต้องไปเรียนแล้วนี่คะหนูสอบเสร็จแล้ว”“งั้นก็กลับห้องได้แล้ว ผมจะอาบน้ำแต่งตัว”“หนูก็ไม่ได้ห้ามอาจารย์สักหน่อย อาจารย์อายเหรอคะ”“ผมเป็นผู้ชายจะอายทำไม คุณมากกว่ามั้งที่ต้องอาย”“หนูไม่อายหรอกค่ะ
เสียงดนตรีในผับดังเป็นจังหวะเร้าใจ สุพิชฌาย์กับเพื่อนๆ สนุกสนานกันอย่างสุดเหวี่ยง หญิงสาวดื่มไปหลายแก้วแต่ก็ไม่ได้ทำให้เธอเมาเพราะที่ผ่านมาก็เป็นสายปาร์ตี้และดื่มจนชินแล้ว“แกจะไม่กลับไปนอนหอฉันจริงๆ เหรอรถแกก็อยู่ที่นั่นนะ”“ฝากไว้ที่นั่นก่อน พรุ่งนี้ฉันค่อยกลับไปเอานะ”“แล้วแกจะไม่ให้ฉันสองคนนั่งรถส่งเหรอกลับคนเดียวมันอันตรายนะยิ่งเมาอยู่ด้วย” เจนิตาพูดด้วยความเป็นห่วง“ฉันเมาที่ไหนล่ะแก”“เปียโนฉันอยากรู้ว่าทำไมถึงอยากกลับคอนโดถ้าเดาไม่ผิดเพราะอยากจะไปหาอาจารย์ไนท์ใช่ไหม”“แกนี่สมกับเป็นเพื่อนรักของฉันจริงๆ นะใบตอง”“แต่แกบอกว่าไม่อยากให้อาจารย์เขาเห็นตอนแกเมานี่”“นั่นสิ หรือแกกำลังคิดจะทำอะไรอยู่”“ฉันมีแผนนิดหน่อยน่ะเจน”“บอกฉันสองคนได้ไหม” ณัฐมลอยากรู้ว่าเพื่อนกำลังจะทำอะไรและถ้ามันเสี่ยงเกินไปเธอจะได้เตือน“ฉันจะไปขอนอนห้องอาจารย์ไนท์”“อย่านะเปียโนแกเมาแบบนี้ถ้าเกิดอาจารย์เขาฉวยโอกาสกับแกขึ้นมาล่ะ” เจนิตารีบร้องห้าม“แต่ฉันว่าอาจารย์ไม่ใช่คนแบบนั้น”“แต่เขาก็เป็นผู้ชายนะแก แล้วดูชุดที่แกใส่วันนี้สิ มันใช่ชุดธรรมดาที่ไหน” ณัฐมลเตือนอีกคนเพราะวันนี้สุพิชฌาย์ใส่นั้นมันเซ็กซี่มาก
สุพิชฌาย์ยังคงมาอ่านหนังสือที่ห้องของปณัยกรทุกวัน มันกลายเป็นความเคยชินอีกอย่างนอกจากการทานอาหารเย็นด้วยกัน การได้นั่งมองหน้าชายหนุ่มและอ่านหนังสือไปด้วยก็เป็นความสุขอีกอย่างของหญิงสาวส่วนปณัยกรเองนั้นการได้มองหน้าสุพิชฌาย์ขณะที่นั่งทำงานไปด้วยมันทำให้กำแพงในใจของชายหนุ่มละลายลงไปอย่างช้าๆ แต่ก็ยังไม่กล้าจะบอกความรู้สึกของตนเองออกไป เพราะมันมีอุปสรรคหลายอย่างเหลือเกินที่เขาไม่รู้ว่าจะสามารถจับมือหญิงสาวก้าวข้ามมันไปได้หรือเปล่า“พรุ่งนี้ก็สอบวันสุดท้ายแล้วใช่ไหมเปียโน”“ใช่ค่ะ”“แล้วที่ผ่านมาคิดว่าตัวเองทำข้อสอบได้ดีหรือเปล่า” เขาชวนคุยเพื่อให้เธอได้พักสายตาบ้าง“หนูคิดว่าหนูทำเต็มที่ทุกวิชานะคะ ส่วนคะแนนจะได้มากจะได้น้อยมันเป็นเรื่องของอาจารย์ที่จะต้องจัดการเองค่ะ” หญิงสาวหัวเราเพราะมั่นใจในระดับหนึ่งว่าตนเองทำข้อสอบได้“ปกติแล้วผลการเรียนคุณเป็นยังไงบ้าง”“ที่ผ่านมาก็ได้ประมาณสามกว่าๆ ค่ะ หนูหัวขี้เลื่อยมาตั้งแต่เด็กแล้วค่ะ ไม่เคยหวังเรื่องเกียรตินิยมเลย” สุพิชฌาย์ตอบแบบไม่เครียด“ทำไมไปว่าตัวเองแบบนั้นล่ะ เกรดเฉลี่ยมันไม่ได้วัดนะว่าเราเก่งหรือเปล่ามันอยู่ที่การนำเอาความรู้นั้นมาใช
หลังจากทานข้าวกับเพื่อนอาจารย์ในคณะเสร็จแล้วปณัยกรก็ขับรถกลับคอนโดมิเนียมในเวลาเกือบจะห้าทุ่ม เมื่อมาถึงที่จอดรถก็เห็นไม่เห็นรถของสุพิชฌาย์ ชายหนุ่มรู้สึกแปลกใจเพราะปกติเวลานี้หญิงสาวควรจะกลับมาถึงที่พักแล้ว เขาเดินดูทั้งลานจอดรถเพราะคิดว่าเธอจะเอาไปจอดที่อื่นแต่เดินดูจนทั่วก็ไม่เห็นชายหนุ่มรีบเดินขึ้นมาบนห้องแล้วเคาะประตูห้องตรงข้ามและยืนรออยู่พักใหญ่แต่ก็ไม่มีใครมาเปิดประตูปณัยกรรู้สึกเป็นห่วงเขาจึงตัดสินใจหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาแล้วกดโทรหาเธอทันที แม้รู้ว่าสุพิชฌาย์โตเป็นผู้ใหญ่แล้วแต่ก็อดไม่ได้ที่จะเป็นห่วง ชายหนุ่มมองว่าเธอเป็นคนน่ารัก สดใส และเข้ากับคนอื่นง่ายและบางครั้งหญิงสาวก็เหมือนเด็กในร่างของผู้ใหญ่คนหนึ่งชายหนุ่มรอไม่นานนักปลายสายก็กดรับพร้อมกับเสียงที่เต็มไปด้วยความสดใสเหมือนกับทุกครั้ง“สวัสดีค่ะอาจารย์”“คุณอยู่ไหนเปียโน ทำไมผมถึงไม่เห็นรถคุณอยู่ที่คอนโดเลย” ปณัยกรถามด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความเป็นห่วง“หนูอยู่หอพักเพื่อนค่ะอาจารย์ พอดีว่าอ่านหนังสือสอบกับเพื่อนแต่ก็กำลังจะกลับแล้วค่ะ”“จะกลับตอนนี้เลยเหรอ มันดึกมากแล้วนะขับรถกลับคนเดียวได้หรือเปล่า” เขาเหลือบมองนาฬิกา
สุพิชฌาย์ตื่นขึ้นมาบนเตียงนอนของปณัยกรในเช้าของวันใหม่หญิงสาวยิ้มอย่างมีความสุขถึง แม้เขาจะไม่ได้นอนกับเธอในห้องนี้แต่ก็เห็นถึงความมีน้ำใจและเขาก็ไม่ได้รังเกียจที่ถึงขั้นไล่กลับให้ไปนอนที่ห้องของตัวเองหญิงสาวค่อยๆ ย่องออกจากห้องของเขาอย่างเบาที่สุดเพื่อกลับมาที่ห้องของตนเอง เธออาบน้ำแต่งตัวและไปเรียนโดยลืมไปว่าแท็ปเล็ต โทรศัพท์มือถือและหนังสือยังอยู่ในห้องของเขาเมื่อมาถึงที่มหาวิทยาลัยและเดินไปหาเพื่อนที่โรงอาหารสุพิชฌาย์เปิดสะพายข้างขึ้นมาแล้วจึงนึกขึ้นได้ว่าตัวเองไม่ได้หยิบของออกมาจากห้องของอาจารย์ปณัยกรเลยสักอย่าง“เป็นอะไรเปียโนทำไมทำหน้าแบบนั้น”“ฉันลืมโทรศัพท์มือถือ”“อ้าวแล้วแกไปลืมทิ้งไว้ที่ไหน ลืมไว้ในรถหรือเปล่า ไม่เป็นไรจะกินอะไรเอาโทรศัพท์ฉันไปสแกนจ่ายก็ได้” ณัฐมลเสนออย่างใจดี“ฉันลืมไว้ในห้องอาจารย์ไนท์”“อะไรนะเปียโนแกไปลืมโทรศัพท์ไว้ในห้องเขาได้ยังไง ปกติแกเป็นคนติดมือถือจะตาย เกิดอะไรขึ้นเมื่อคืนเล่าให้ฉันฟังเดี๋ยวนี้นะ” เจนิตาตกใจเพราะกลัวว่าความสัมพันธ์ของเพื่อนกับอาจารย์หนุ่มจะไปไกลเกินกว่าที่พวกเธอคิดไว้“แกไม่ต้องทำหน้าตกใจแบบนั้นหรอกน่าเจน เมื่อคืนฉันไปอ่านหนัง







