“ที่นี่ที่ไหนกันไม่คุ้นเลย”
“แล้วนั่นอะไร?”
“จะไปไหนกันเหรอคะคุณยาย”
“.....”
ฉันมาอยู่สถานที่นี้ได้ยังไงก็ไม่รู้ เป็นเหมือนปราสาทขอมสมัยโบราณ ทางเดินก็ค่อนข้างจะชัน ฉันเดินไปตามทางเรื่อย ๆ พร้อมกับผู้คนมากมาย ถามยายคนหนึ่งที่กำลังเดินสวนไปท่านก็ไม่ตอบ ฉันเดินขึ้นไปเรื่อย ๆ จนเริ่มรู้สึกว่าเดินไม่ไหว ทางมันชันเกินไปเหมือนจะกลิ้ง แต่
“จับเชือกไว้สิโยม”
มีพระสงฆ์สองรูปยื่นเชือกมาให้ แล้วบอกให้ฉันจับไว้ ก็เลยทำตามเพราะกลัวว่าจะกลิ้งตกลงไป แล้วพระสงฆ์สองรูปก็ดึงพาฉันขึ้นไปจนสำเร็จ มองรอบ ๆ เป็นภูเขาสูงตระหง่าน และมียอดปราสาทอยู่บนนั้น
“ที่นี่ที่ไหนเหรอคะ?”
“.....”
ฉันพนมมือแนบอกแล้วถามพระสงฆ์ทั้งสองรูปที่พาฉันขึ้นมา แต่ว่าท่านไม่ตอบและเดินหนีฉันไปเฉยเลย ส่วนฉันก็ได้แต่ยืนงงอยู่คนเดียว ผู้คนก็เดินผ่านไปผ่านมา แต่เหมือนกับว่าไม่มีใครสนใจหรือตอบอะไรฉันเลย ฉันเดินไปถามก็เหมือนกับว่าไม่มีใครได้ยิน นี่มันคืออะไรกัน?
“คุณป้าคะ ที่นี่ที่ไหนเหรอคะ?”
“...” ไม่ตอบฉันอีกแล้ว ฉันจึงวิ่งไปหาอีกคนที่กำลังเดิน
“นั่นมัน...คุณยายคนนั้นนี่นา” ฉันตกใจเมื่อเห็นคนยายที่มาคุยกับฉันและเนยหวาน ทำไมท่านถึงมาอยู่ที่สูง เดินทางลำบากแบบนี้ล่ะ
อย่างที่ฉันเห็นเส้นทางมันกันดารและลำบากมาก มีทั้งหนามและก้อนหิน ดินแดงเต็มไปหมด สองข้างทางก็มีแต่ป่า ทว่ากลับเป็นป่าที่ดูเขียวชอุ่มสวยงาม พอขึ้นมาแล้วก็มีภูเขาล้อมรอบ และมีปราสาทขอมโบราณใหญ่โต
“คุณยายจำหนูได้ไหมคะ?” ฉันรู้สึกดีใจเพราะคิดว่าคุณยายน่าจะบอกทางกลับบ้านให้ฉันได้
“...” แต่ท่านกลับไม่ตอบและเดินผ่านหน้าฉันไป
“ฮือ ฮือ” ฉันไม่รู้จะกลับบ้านทางไหน ตอนนี้มันรู้สึกกลัวไปหมด ฉันอยากกลับบ้านไปหาพ่อ แม่ และพี่น้ำ ฉันกลัวจนร้องไห้ออกมา นั่งฟุบหน้ากับเข่าอยู่ตรงนั้น เพราะไม่รู้จะต้องเดินไปทางไหนถึงจะกลับบ้านได้
“อยากกลับบ้าน ฮือ ฮือ”
(“ไม่ง่ายที่ใครจะได้มาที่นี่”)
เสียงของใครก็ไม่รู้ดังเข้ามา ฉันได้ยินแบบนั้นจึงรีบเงยหน้ามอง ก่อนจะเช็ดน้ำตาที่มันไหลอาบสองแก้ม ผู้ชายอายุราวหกสิบห้ายืนอยู่ตรงหน้าของฉัน สวมชุดขาวทั้งตัว และมีแสงสว่างรอบตัวเปล่งประกาย เป็นใครฉันก็ไม่รู้จัก แต่ความรู้สึกกลับสวนทาง เหมือนกับว่าฉันคุ้นเคยกับเขาจัง
“คุณตาอยู่ที่นี่เหรอคะ?...หนูอยากกลับบ้านต้องไปทางไหน” ฉันรีบถามทันที
“ต่อไปที่แห่งนี้ต้องฝากเจ้าดูแล” ไม่ตอบในสิ่งที่ฉันถาม แต่พูดออกมาในสิ่งที่ฉันไม่เข้าใจ
“คุณตาหมายความว่ายังไงคะ? ... หนูไม่เข้าใจ” ฉันลุกยืนเต็มความสูงก่อนจะถามด้วยน้ำเสียงปนสะอื้น
“ผู้ถูกเลือกย่อมต้องทำหน้าที่อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้”
“หนูงงไปหมดแล้วค่ะ”
“ที่นี่มันคือที่ของเจ้า เราแค่เฝ้าดูแลให้ชั่วคราว ตอนนี้ถึงเวลาเหมาะควรแล้ว ชีวิตมากมายที่เจ้าต้องปกป้อง และต้องเป็นเจ้าเท่านั้น...หมดเวลาของเราแล้วกับการอยู่ที่นี่มาหลายพันปี”
“คุณตาคะ คุณตา!”
เพียงท่านพูดจบก็ค่อย ๆ เดินหายไป แต่ทุกก้าวที่คุณตาเดินเหมือนอยู่ใกล้ แต่ฉันกลับเอื้อมมือจับท่านไม่ถึงสักที ทั้งที่ฉันวิ่งจนสุดแรงขา ก็ไม่สามารถคว้าแขนของคุณตาคนนั้นได้ และต้องตกใจเมื่อ...
“นะ นะ นั่นมันอะไร?”
-ปัจจุบัน- ไม่รู้ว่าหมดสติไปนานแค่ไหน ฉันเริ่มรู้สึกตัวและได้กลิ่นคละคลุ้งของยา พยายามเปิดเปลือกตาขึ้น และมองโดยรอบเห็นแม่กับพี่น้ำที่นอนตรงโซฟา นี่คงเป็นห้องพักพิเศษถึงได้มีสิ่งอำนวยความสะดวกมากมาย“ณินฟื้นแล้วค่ะ” เสียงของแม่ดังขึ้นด้วยความดีใจฉันกวาดสายตามองรอบ ๆ เห็นพ่อ แม่และพี่ชาย ยืนยิ้มมองมาทางฉันด้วยสีหน้าดีใจ“เป็นยังไงบ้างลูก น้ำไปตามหมอบอกณินฟื้นแล้ว”“ครับพ่อ”พ่อถามแต่ฉันยังไม่ตอบ เหมือนกับปากของฉันมันไม่มีแรงอ้าจะพูดกับใคร ได้แต่พยายามฉีกยิ้มให้ สื่อว่าฉันไม่เป็นอะไร จากนั้นพ่อกันหันไปบอกพี่น้ำให้ตามหมอ แล้วพี่ชายของฉันก็รีบวิ่งออกจากห้องไป ไม่นานพี่น้ำก็มาพร้อมหมอและพยาบาลหนึ่งคน มาถึงก็จับนั่นตรวจนี่ ฉันรู้สึกตัวทุกครั้งและมีสติดี เพียงแต่ยังรู้สึกอ่อนแรงเท่านั้น มองเห็นทุกการกระทำของหมอและคนอื่น ๆ“ร่างกายปกติดีนะครับ ไม่มีอะไรต้องเป็นห่วง ช่วงนี้ก็นอนพักผ่อนให้เยอะ ๆ พรุ่งนี้ก็กลับบ้านได้แล้วล่ะครับ” หมอพูดขึ้น“แต่ลูกสาวดิฉันนอนสลบไปสิบแปดวันเลยนะคะ แน่ใจใช่ไหมคะว่าไม่เป็นอะไรจริง ๆ”แม่ถามย้ำท่านคงเป็นห่วง นี่ฉันนอนหลับไปสองอาทิตย์กว่าเลยงั้นเหรอ?“คนไข้ไม่เป็นอะ
ณ มคธนคร กลางค่ำคืนแห่งจันทราแดง ท้องฟ้าสีเลือดคลุ้งด้วยกลิ่นลางร้าย ดวงจันทร์เต็มดวงถูกหมอกพิษบดบังเพียงครึ่ง… และที่ระเบียงสูงของของตำหนัก ผณินทรยืนนิ่ง ลมเย็นปะทะใบหน้าที่เปื้อนแววหม่นเศร้า เธอยังฝันถึงเสียงของรีภพ…เพื่อนร่วมรบ แม้เขาจะสลายกลายเป็นเศษพลังแห่งนาคธาตุไปแล้วเสียงฝีเท้าก้าวมาช้า ๆ...อาศิรวิษในชุดนักรบสีดำทอง สะพายหอกนาคา ก้าวเข้ามาเงียบ ๆ แต่สายตาเขาจับจ้องมาไม่ลดละ“ข้าฝันถึงตรีภพอีกแล้ว…” เอ่ยเบา ๆ ราวสายลม“เขาอาจยังไม่ได้จากเราไปเสียหมด...” อาศิรวิษพูดเสียงต่ำแผ่ว "...วิญญาณที่ยึดมั่นในคำสัตย์ จะไม่มีวันดับสูญง่ายดาย"และแล้วทันใดนั้น...แผ่นดินก็สั่นไหวเบา ๆ เงานาคที่หลับใหลใต้มหานทีเริ่มขยับณ เทวสถานบ่วงนาคบาศ ในห้องลับใต้เมืองซึ่งซ่อน บ่วงนาคบาศไว้ตราบชั่วกาล…รอยร้าวปรากฏบนผนึกหิน เสียงกระซิบดั่งจากห้วงเหว..."ผู้ที่ควบคุมบ่วง คือผู้ปกครองพรหมแดน...แต่หากบ่วงนี้ตกอยู่ในมือของเงามืดจะไม่มีวันคืนใดปลอดภัย"ฉันและอาศิรวิษรีบรุดไปยังเทวสถานพร้อมคณะองครักษ์ที่นั่น...พวกเขาเจอร่องรอยการบุกรุกและสิ่งที่ไม่คาดคิดที่สุดคือหน้ากากของศัตรูปรากฏ“นั่นใครหรือเจ้าคะเสด็จพ่อ
“ความลับที่อยู่ในใจของอาศิรวิษ... คือกุญแจสุดท้าย”และก่อนที่ฉันจะถามต่อ เสียงระเบิดพลังพุ่งเข้ามาจากทิศตะวันตก เสียงร้องเตือนจากทหารของมคธนครดังสนั่น“มีเงามืดบุกเข้ามา! พวกมันมีตราเหมือนกับศศินา!”ฉันเบิกตากว้าง“หมายความว่าไง?!”เสียงของอาศิรวิษตะโกนมาอย่างรีบเร่ง“เจ้านางน้อย! อยู่ข้างหลังข้า!”เขาคว้าฉันไว้ในอ้อมแขน ดึงออกจากระเบียงก่อนเปลวพลังจะระเบิดฟาดผ่านจากเงามืด...ศศินาค่อยๆ เดินออกมาอีกครั้ง“ข้า...ไม่ใช่ศศินาคนเดิมอีกต่อไปแล้ว อาศิรวิษ”และเบื้องหลังนางคือเงาในคราบอดีตของอาศิรวิษ ที่เขาไม่เคยเปิดเผยกับใคร...ภาพที่ฉันเห็นตรงหน้าไม่ใช่เพียงศศินา หากแต่คือใครบางคนที่มีเงาทาบซ้อนอยู่เบื้องหลัง นัยน์ตานางไม่ใช่ศศินาอีกต่อไปแต่คือผู้ที่ครอบครองนางอาศิรวิษหน้าถอดสี ฉันสัมผัสได้ว่าเขากำลังสั่นเล็กน้อย“นางคือ...อาคิรนัย”เสียงของอาศิรวิษหลุดเบาออกมาราวกับวิญญาณเขาจะหลุดจากร่าง ฉันหันไปมองเขาด้วยความสงสัยปนสั่นไหว
ฉันก้าวเดินผ่านเส้นทางที่เต็มไปด้วยซากปรักหักพัง หัวใจหนักอึ้งด้วยความสูญเสีย ในมือยังคงกำผ้าผูกข้อมือสีทองของอาศิรวิษและจี้หยดครามของตรีภพไว้แน่น ความทรงจำของพวกเขายังคงชัดเจนในจิตใจ ฉันตัดสินใจเดินทางสู่แดนต้องห้าม สถานที่ซึ่งเล่าขานว่าเป็นที่สถิตของ ผู้เฝ้าประตูแห่งวิญญาณ เชื่อกันว่าผู้เฝ้าประตูสามารถนำวิญญาณกลับคืนสู่โลกได้ แต่ต้องแลกด้วยสิ่งที่มีค่าที่สุดการเดินทางครั้งนี้เต็มไปด้วยอันตราย ฉันต้องฝ่าฟันผ่านป่าทึบที่มีสัตว์ร้ายและกับดักมากมาย แต่ด้วยความมุ่งมั่นและความรักที่มีต่ออาศิรวิษและตรีภพ จึงไม่ยอมแพ้ เมื่อมาถึงประตูแห่งวิญญาณ ฉันพบกับผู้เฝ้าประตู เธอเป็นหญิงสาวลึกลับที่มีดวงตาสีเงินเปล่งประกาย เธอมองฉันด้วยสายตาที่อ่านไม่ออก"เจ้าปรารถนาจะนำวิญญาณกลับคืนหรือ?" เธอถามด้วยเสียงเย็นชาฉันพยักหน้าและตอบด้วยเสียงสั่นเครือ"ข้ายอมแลกทุกอย่างเพื่อให้พวกเขากลับมา"ผู้เฝ้าประตูยิ้มบางๆ และกล่าวว่า"การแลกเปลี่ยนนี้ เจ้าต้องสละสิ่งที่เจ้ารักที่สุด เจ้าพร้อมหรือไม่?"ฉันนิ่งคิด ความรักที่มีต่ออาศิรวิษและตรีภพคือสิ่งที่มีค่
คืนหลังศึกใหญ่...สายลมพัดเบา ใบไม้ไหวคล้ายลมหายใจแห่งพงไพร ฉันยืนอยู่ริมระเบียงเรือนรับรองของมคธนครจ้องมองดวงจันทร์ที่ลอยเด่นเหนือผืนน้ำเบื้องล่าง มือยังอบอุ่นจากสัมผัสสุดท้ายของใครบางคน เสียงฝีเท้าแผ่วเบา... แต่ฉันรู้ทันทีว่าเป็นเขา“ข้าไม่คิดว่าเจ้าจะตื่นอยู่” เสียงของเขาเบาราวกระซิบ“ข้ารอท่านอยู่ต่างหาก...”ฉันหันไปยิ้มอ่อนให้ชายตรงหน้า อาศิรวิษเดินเข้ามาใกล้ ยังสวมชุดนาคาธิคุณที่ซีดจางไปเล็กน้อย แผลบนร่างเขาเกือบหายดีแล้ว แต่ในดวงตายังมี ความอ่อนล้า...และบางอย่างที่ลึกซึ้งกว่าเดิม“ท่านรู้ไหม… ตอนที่ท่านกางแขนป้องข้าไว้ข้างหลัง ข้าคิดว่า…ข้ากำลังจะเสียท่านไป” เสียงของฉันเบาราวเสียงสายฝนแรกของปี “แต่ท่านก็ยังอยู่ตรงนี้…ยังอยู่กับข้า”เขาเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะเอื้อมมือมากุมมือฉันไว้“ข้าเคยคิดว่า ความรักของข้า…ต้องจางหายไปเหมือนละอองควัน แต่ท่านทำให้ข้ารู้ว่า ความรักไม่ต้องดัง ไม่ต้องร้อนแรง แค่อยู่ตรงนั้นเสมอ…ก็พอแล้ว”ฉันรู้สึกได
หลังจากที่เข้าพบเจ้าหลวง ในคืนเดียวกันฉันรู้สึกถึงแรงบางอย่างที่กำลังเริ่มคืบคลานเข้ามา...อาศิรวิษพาฉันมายืนใต้แสงจันทร์ เขาเงียบอยู่นาน ก่อนจะพูดขึ้น“พี่มีเรื่องจะถาม…ถ้าวันหนึ่งเจ้าพบว่ามีบางคนจากอดีตชาติ กลับมาทวงคำสัญญา…เจ้าจักเลือกอะไร?”ฉันชะงักทันที คำถามนั้นแฝงความกลัว...ไม่ใช่ต่ออดีตแต่ต่อการสูญเสีย ฉันไม่ตอบ แต่กุมมือเขาไว้แน่น แล้วกระซิบเบา ๆ ว่า“อดีตอาจมีคำสัญญา แต่ปัจจุบันคือความรู้สึก และในวันนี้...ข้าเลือกท่าน”อาศิรวิษหลับตาแน่น ดวงตาเขาเปียกชื้นเล็กน้อยแล้วกอดฉันไว้ เหมือนกลัวว่าฉันจะหายไปแต่ในเงาจันทร์เหนือสระบูชา เงาดำรูปหนึ่งก้าวออกจากเงาสะท้อนของน้ำ เขายืนเงียบ ใบหน้ายังปิดด้วยผ้าดำ...แต่เสียงแผ่วนั้นดังก้องในเงามืด เหมือนในฝันคืนก่อน“อ อาศิรวิษดูนั่น” ฉันเรียกให้เขาเงยมองเบื้องบน อาศิรวิษเจ้ามือฉันแน่น เหมือนสื่อว่าไม่ต้องกลัวตราบใดที่เขายังอยู่ตรงนี้“ในที่สุดเจ้าก็เลือกทางของเจ้า เยี่ยงนั้นข้าก็จะเลือกทางของข้าเช่นกัน...ผณินทร”