Share

อาศิรวิษ
อาศิรวิษ
Author: พลอยแก้ว

บทนำ

last update Huling Na-update: 2025-04-25 23:04:50

เรื่องเล่าที่ชาวบ้านกล่าวขานกันมาปากต่อปาก เกล็ดแห่งนาคา ที่ผู้คนต้องการครอบครองเพื่อความเป็นอมตะนิรันดร์กาล เชื่อกันว่าเกล็ดพญานาคหากได้ผสมน้ำดื่มกินคนผู้นั้นจะมีชีวิตอมตะ ฉันได้ฟังมาตั้งแต่เด็ก ๆ จนปัจจุบันเรื่องเล่านี้ก็ยังถูกพูดถึง มันคือสิ่งที่มนุษย์กิเลสหนาอยากได้ไว้เคียงกาย ด้วยอำนาจและอิทธิฤทธิ์ประหนึ่งเทวาสถิต เสริมให้ผู้ที่ได้ครอบครองอยู่เหนือสุดของมนุษย์ทั้งปวง ทั้งที่ไม่รู้ว่ามีอยู่จริงหรือเปล่า แต่อีกอย่างที่ฉันเคยได้ยินมาเช่นกันร่างตัวแทนแห่งนาคาที่แอบซ่อนในกายหยาบของมนุษย์ แต่คนผู้นั้นคือใครกัน? มีจริงเหมือนที่คนเฒ่าโบราณลือกันจริงหรือ?...ฉันก็ได้แต่ฟังเพราะไม่ค่อยเชื่อเรื่องเหล่านี้แต่ก็ไม่ได้หลบหลู่แต่อย่างใด

"นั่นสินะ ในโลกนี้ย่อมมีคนดีและไม่ดีปะปนกันไป เฮ้อ~~ แต่ฉันก็อยากให้โลกใบนี้มีแต่คนดีละนะ"

"บ่นอะไรของแกยัยณิน อะนี่น้ำที่แกฝากซื้อ"

"ขอบใจจ้าเพื่อนคนสวย...ไม่ได้บ่นอะไรหรอก อ่านหนังสือเล่มนี้แล้วคิดเฉย ๆ น่ะ"

"อ่านเรื่องอะไรอะ"

"อาศิรวิษ"

"เออชื่อเรื่องแปลกแต่น่าสนใจดี ขอยืมอ่านบ้างดิ"

"ได้...แต่แกต้องทะนุถนอมหนังสือฉันให้ดี ๆ ห้ามยับเยินเด็ดขาดไม่งั้นฉันจะตีมือแกให้เจ็บเลย"

"ย่ะ"

มันคือการสนทนาของฉันและเพื่อนสาวคนสนิท เธอชื่อว่าเนยหวาน เป็นเพื่อนคนแรกที่ฉันคบด้วย เรื่องทุกเรื่อง ปัญหาทุกปัญหา ฉันสามารถระบายกับเธอได้อย่างสนิทใจ เราสองคนไม่เคยมีอะไรปิดบังกัน แม้กระทั่งเรื่องเล็กน้อย

"เออเนยช่วงนี้ฉันรู้สึกแปลก ๆ อะ เป็นอะไรก็ไม่รู้ชอบปวดหัวตอนเย็นตลอดเลย ปวดมากเหมือนหัวจะระเบิด แล้วก็ฝันแปลก ๆ ทุกวัน"

"แล้วแกหาหมอยังอะ หรือแกอ่านหนังสือมากไป?"

"ไปหาหมอตรวจมาแล้ว แต่ก็ไม่มีอะไรผิดปกติเลย"

"ไปตรวจอีกทีไหมแก เผื่อมันคลาดเคลื่อน"

("มันคือสัญญาณเตือน")

เสียงที่ดังแทรกระหว่างการสนทนาระหว่างฉันกับเนยหวาน ทำให้เราทั้งสองคนตกใจ และต้องหันหลังกลับไปมอง

"คุณยายหมายความว่ายังไงคะ?"

ฉันเอ่ยถามพร้อมกับหัวคิ้วที่แทบชนกันด้วยความไม่เข้าใจ งงด้วยว่าคุณยายท่านนี้มาจากไหน เพราะไม่ได้ยินแม้กระทั่งเสียงเดิน

"เมื่อถึงเวลาก็จะรู้ด้วยตัวเอง ต่อให้ไม่ยอมรับ ท้ายสุดก็เลี่ยงและหนีไม่พ้น มันคือชะตาของเจ้า ผณินทร"

ทำเอาฉันงงหนักไปใหญ่ ยิ่งฟังที่คุณยายพูดฉันก็ยิ่งไม่เข้าใจ จนต้องหันไปสบตามองกับเนยหวานที่งงไม่ต่างกัน

“ผณินทร?” ฉันหันไปพูดกับเนยหวาน มันคือชื่อของใครกัน ฉันกับเนยหวานมองหน้ากันด้วยความงง

"คุณยะ....อ้าวหายไปไหนแล้วล่ะ?"

เนยหวานที่กำลังอ้าปากพูดต้องชะงัก รวมทั้งฉันด้วยที่งงเป็นไก่ตาแตก คุณยายหายไปไหน!? ทั้งที่แค่เสี้ยวนาทีเท่านั้น อายุของคุณยายไม่น่าจะเดินได้เร็วจนมองไม่เห็นแม้กระทั่งด้านหลัง เพราะฉันก็เห็นเต็มสองตาว่าท่านใช้ไม้เท้าช่วยประคองเดิน สิ่งที่คุณยายคนนั้นพูดมันคืออะไรกันแน่!?

“แกเปลี่ยนชื่อเหรอยัยณิน” เนยหวานถามพร้อมทั้งหัวเราะขบขัน

“บ้าเหรอ ก็ชื่อมณีณินมาแต่ไหนแต่ไรยังไม่เคยเปลี่ยนสักครั้ง พ่อแม่ตั้งให้ก็ยังใช้แบบเดิม” ฉันตอบเพื่อน

“แล้วคุณยายคนนั้นแกพูดชื่อใครกัน”

“นั่นสิ ฉันก็อยากจะรู้”

อย่าว่าแต่เพื่อนสงสัย ฉันเองก็ไม่เข้าใจเหมือนกัน คนยายคนนั้นเป็นใครกันแน่ ทำไมแค่มาพูดทิ้งปริศนาแล้วก็หายไป ทำให้ฉันครุ่นคิดไม่ตกและอยากรู้เรื่องราวที่ท่านพูดถึง

ฉันกลับมาถึงบ้านก็จวนพระอาทิตย์เริ่มจะตกดิน เดินเข้ามาในบ้านได้ไม่กี่นาที ก็มีอาการแบบเดิม ฉันปวดหัว มันปวดเหมือนหัวของฉันจะระเบิดออกมา เหมือนกับว่าสมองจะไหล ยืนแทบไม่ไหว เป็นอะไรที่ทรมานมาก ฉันเริ่มเป็นแบบนี้มานานหลายวัน ไปหาหมอก็ไม่พบการเจ็บไข้ได้ป่วยอะไร ได้แต่งงแล้วก็สงสัย

“แม่คะ” เรียกแม่เสียงเบา

“ณินเป็นอะไรลูก”

ฉันเริ่มไม่ไหวจนต้องเรียกแม่เพื่อขอความช่วยเหลือ แม่วิ่งตาตื่นเข้ามาแล้วประคองฉันไปนั่งบนโซฟา อาการของฉันยังคงปวดหัวตุบ ๆ เรื่อย ๆ ไม่มีทีท่าว่ามันจะหายไปสักนิด

“แม่ณินปวดหัวอีกแล้ว”

“ไหวหรือเปล่า ไปหาหมอไหมลูก”

“เหมือนหัวณินจะระเบิดเลย โอ๊ย!”

“ณิน โธ่ลูก...รอตรงนี้แม่ไปเอายาแก้ปวดมาให้”

ฉันนั่งปวดหัวอยู่แบบนั้น เหมือนมันไม่ได้ยินเสียงแม่ไม่ชัด หูอื้ออึงไปหมด ฉันมองและเห็นสีหน้าของแม่กังวลคงเพราะท่านกำลังเป็นห่วงฉัน เหมือนแม่จะร้องไห้เลย ก่อนจะวิ่งไปในบ้านเอายาตามที่ท่านบอก

“น้ำกับยาแก้ปวดลูก”

แม่ยื่นแก้วน้ำพร้อมกับยาแก้ปวดให้ ฉันจึงรีบกินมันลงไป เพราะตอนนี้ฉันไม่ไหวมันปวดเหลือเกิน หรือว่าฉันจะป่วยเป็นโรคร้ายแรงแล้วตรวจไม่พบ?

“เป็นไงบ้างลูก”

“ปวดเหมือนเดิมเลยค่ะแม่”

“นอนพักก่อนนะ ถ้าไม่ดีขึ้นแม่พาไปหาหมอ”

“ค่ะ”

แม่พูดพร้อมกับประคองฉันเอนตัวลงนอนบนโซฟา ไม่รู้ว่ามันเกิดจากอะไร ฉันถึงได้เป็นแบบนี้อยู่บ่อยครั้ง ฉันนอนหลับตาเผื่อว่ามันจะดีขึ้น แต่อาการปวดก็ยังมีเหมือนเดิม รู้สึกว่าหัวมันบีบรัดแน่นขึ้นเรื่อย ๆ

“แม่ณินปวดเหมือนเดิม โอ๊ย”

“เป็นอะไรนะณิน”

“ฮือ แม่คะณินไม่ไหวแล้ว”

ฉันทนไม่ไหวหัวมันปวดหนึบจนต้องร้องไห้ออกมา มันสุดแสนจะทรมานจนเริ่มจะหายใจไม่ออก

“ไปหาหมอกันปะ เดี๋ยวแม่ไปเรียกพี่น้ำก่อน”

“ค่ะ” แม่บอกแล้วรีบวิ่งขึ้นไปบนบ้านทันที พี่น้ำคงจะอยู่บนห้องนอน ตอนนี้ฉันแทบครองสติไม่ได้ จนลุกขึ้นมานั่งมือกุมหัวเอาไว้ ไม่รู้ต้องทำยังไงถึงจะหายจากอาการปวดนี้ และนี่ก็เป็นการหาหมอรอบที่สามนับจากวันที่ฉันมีอาการ และคำตอบจากปากของหมอก็เหมือนกัน ไม่ได้เป็นอะไร ทุกอย่างทุกปกติ ทั้งที่เข้าซีทีสแกนมาทั้งสามรอบ ตอนแรกฉันกลัวว่าเป็นเนื้องอกไหม แต่หมอบอกไม่มีอะไร

“น้ำเร็วลูก”

“น้องเป็นอะไรเหรอแม่”

“ปวดหัวอีกแล้ว”

ฉันได้ยินเสียงของแม่กับพี่น้ำแว่วเข้ามา น้ำเสียงการพูดคุยดูแตกตื่น ฉันได้แต่นั่งรอด้วยความทรมาน จนพี่น้ำกับแม่เข้ามาประชิดตัว

“น้องเป็นไงบ้างเดินไหวไหม”

“น้ำอุ้มน้องเลยลูก”

ฉันยังไม่ทันได้อ้าปากคุยกับพี่ชาย แม่ก็พูดสวนขึ้นก่อน จากนั้นพี่น้ำก็อุ้มฉันไปยังรถยนต์ แล้วขับออกไปทันที แม่นั่งกอดฉันอยู่เบาะหลัง คอยลูบแขนและนวดขมับช่วยเพื่อให้ฉันผ่อนคลาย แต่ว่ามันไม่มีวี่แววจะหายไปสักนิด

“น้ำเร่งอีกหน่อยน้องเหงื่อออกเยอะมาก”

“ครับ ๆ”

แม่บอกพี่น้ำด้วยน้ำเสียงร้อนรน และรถก็เริ่มวิ่งเร็วขึ้นจนฉันสัมผัสได้ ทุกคนกำลังกังวลและเป็นห่วงฉัน รู้สึกไม่ดีเลยที่ต้องเป็นภาระให้คนในบ้าน

“ใกล้ถึงยังน้ำ” แม่ถามย้ำกับพี่ชาย

“รถเยอะมากเลยแม่ จะแซงก็แซงไม่ได้” พี่น้ำบอกแม่ และคงกังวลไม่ต่างกับแม่

“อดทนหน่อยนะณิน” แม่บอกส่วนฉันก็ได้แต่พยักหน้ารับ

ตอนนี้เหมือนจะถึงโรงพยาบาล สายตาของฉันพร่าเบลอมองไม่ชัดเจน แต่รู้สึกเหมือนกำลังนอนอยู่บนเตียง แล้วเคลื่อนที่ด้วยการเข็น ได้ยินเสียงของแม่แว่วเข้ามา

“ณินอดทนไว้นะลูก” นี่เป็นเสียงของแม่

“น้องอย่าเพิ่งหลับตานะ อดทนไว้ใกล้ถึงมือหมอแล้ว” และนี่เสียงของพี่ชาย ในที่สุดฉันก็อดทนลืมตาไม่ไหว ทุกอย่างมืดสนิทลงจนไม่รับรู้อะไรอีกเลย

Patuloy na basahin ang aklat na ito nang libre
I-scan ang code upang i-download ang App

Kaugnay na kabanata

  • อาศิรวิษ   1-เรื่องจริงหรือความฝัน(1/4)

    “ที่นี่ที่ไหนกันไม่คุ้นเลย”“แล้วนั่นอะไร?”“จะไปไหนกันเหรอคะคุณยาย”“.....”ฉันมาอยู่สถานที่นี้ได้ยังไงก็ไม่รู้ เป็นเหมือนปราสาทขอมสมัยโบราณ ทางเดินก็ค่อนข้างจะชัน ฉันเดินไปตามทางเรื่อย ๆ พร้อมกับผู้คนมากมาย ถามยายคนหนึ่งที่กำลังเดินสวนไปท่านก็ไม่ตอบ ฉันเดินขึ้นไปเรื่อย ๆ จนเริ่มรู้สึกว่าเดินไม่ไหว ทางมันชันเกินไปเหมือนจะกลิ้ง แต่“จับเชือกไว้สิโยม”มีพระสงฆ์สองรูปยื่นเชือกมาให้ แล้วบอกให้ฉันจับไว้ ก็เลยทำตามเพราะกลัวว่าจะกลิ้งตกลงไป แล้วพระสงฆ์สองรูปก็ดึงพาฉันขึ้นไปจนสำเร็จ มองรอบ ๆ เป็นภูเขาสูงตระหง่าน และมียอดปราสาทอยู่บนนั้น“ที่นี่ที่ไหนเหรอคะ?”“.....”ฉันพนมมือแนบอกแล้วถามพระสงฆ์ทั้งสองรูปที่พาฉันขึ้นมา แต่ว่าท่านไม่ตอบและเดินหนีฉันไปเฉยเลย ส่วนฉันก็ได้แต่ยืนงงอยู่คนเดียว ผู้คนก็เดินผ่านไปผ่านมา แต่เหมือนกับว่าไม่มีใครสนใจหรือตอบอะไรฉันเลย ฉันเดินไปถามก็เหมือนกับว่าไม่มีใครได้ยิน นี่มันคืออะไรกัน?“คุณป้าคะ ที่นี่ที่ไหนเหรอคะ?”“...” ไม่ตอบฉันอีกแล้ว ฉันจึงวิ่งไปหาอีกคนที่กำลังเดิน“นั่นมัน...คุณยายคนนั้นนี่นา” ฉันตกใจเมื่อเห็นคนยายที่มาคุยกับฉันและเนยหวาน ทำไมท่านถึงมาอยู่ที่

    Huling Na-update : 2025-04-25
  • อาศิรวิษ   1-เรื่องจริงหรือความฝัน 2/4

    “นะ นะ นั่นมันอะไร?”และฉันต้องผงะจนขายืนทรงตัวไม่อยู่ ล้มก้นกระแทกกับพื้นหิน ดวงตาเบิกโต กับภาพตรงหน้าคุณตาคนนั้นกลายเป็นงูที่มีรูปร่างใหญ่มาก ส่วนหัวและลำคอดูแปลกประหลาด จะว่างูก็ไม่ใช่ แต่เลื้อยเหมือนงู นั่นเรียกว่าอะไร? ฉันตกใจกลัวแทบหยุดหายใจ และรู้สึกว่าตอนนี้ฉันกำลังครองสติไม่อยู่ ท้ายที่สุดจนก็ล้มฟุบกับพื้นพร้อมความมืดในดวงตาเสียงเจื้อยแจ้วดังแว่วเข้ามาในหู การรับรู้ถ้อยคำของผู้คนที่พูดคุยกัน ทำให้ฉันรู้สึกตัว และลืมตาตื่นในถัดมา ฉันมองเพดานและรอบด้าน ทุกอย่างที่เห็นมันแปลกตาไปหมด ทั้งการตบแต่ง ข้าวของเครื่องใช้มันดูไม่เหมือนกับสิ่งที่ฉันเคยเจอมา และที่นี่ก็ไม่ใช่สถานที่ก่อนหน้าที่ฉันพบเจอ“??” ฉันงงและสงสัย พลันคิดในใจว่ามันเกิดเรื่องอะไรขึ้นกับฉันอีก ทุกอย่างมันแปลกประหลาดไปเสียหมด รวมทั้งผู้คนที่ฉันเห็นอยู่ตอนนี้“เจ้านางน้อย” ผู้หญิงคนหนึ่งพูดขึ้น ฉันพยายามลุกนั่งและมองหาคนที่เธอคนนั้นเรียก“รู้สึกกระไรบ้างเพคะ” เธอยังคงถามและมองหน้าฉัน“ใครเหรอเจ้านางน้อย” ฉันงงเลยเลือกที่จะถามออกไป“พระนางอย่างไรเล่าเพคะ” เธอคนนั้นย้ำว่าเป็นฉัน นี่มันอะไรอีกล่ะเนี่ย“ฉันเหรอ?” ชี้นิ้วเข

    Huling Na-update : 2025-04-25
  • อาศิรวิษ   1-เรื่องจริงหรือความฝัน 3/4

    “เจ้านางน้อยพูดสำเนียงกระไรรึเพคะ?” ผู้หญิงที่ชื่อกาลัดถามขึ้น“สำเนียงไทยนี่แหละ อะไรของพวกเธอละเนี่ย” ฉันก็งงกับพวกนางทั้งที่ฉันก็พูดภาษาไทย ทำไมถึงบอกมันแปลก“สำเนียงไทยฟังดูพิลึกชอบกลเพคะ”“เออ ช่างเถอะน่าแค่ฟังออกไม่ใช่ไง?”“ไม่ใช่ไง? แปลว่ากระไรรึเพคะ?”“พอ! เลิกถามเลิกสงสัยเพราะฉันปวดหัวกับพวกเธอมาก”ฉันต้องรีบยกมือห้ามก่อนที่จะปวดหัวไปมากกว่านี้ นี่มันคือที่ไหนกันนะ ทำไมฉันถึงมาอยู่ที่นี่ได้ทั้งที่ไม่รู้จักมาก่อน“นี่พวกเธอ”(“เพคะ”) ทั้งสองคนก็ตอบฉันพร้อมกัน“นี่มันที่ไหนกันทำไมดูแปลกประหลาด สถานที่ก็แปลก คนก็ยังจะแปลกอีก” ฉันนึกได้จึงถามตามที่สงสัย“นครมคธอย่างไรเพคะเจ้านางน้อยทรงลืมไปแล้วหรือ” กลีบบัวเป็นคนให้คำตอบแก่ฉัน“นครมคธ?”“เพคะ”ฉันงงไปกันใหญ่ นี่ฉันมาโผล่ที่นี่ได้ยังไงกัน แล้วนครมคธมันอยู่ส่วนไหนของประเทศไทย ไม่เคยได้ยินชื่อแปลกประหลาดแบบนี้มาก่อน นี่ต้องเป็นความฝันซ้อนฝันแน่ ๆ ฉันว่ามันต้องใช่ เพราะฉันจะมาอยู่ในที่แบบนี้ได้ยังไง มันไม่ใช่ความจริงกับชีวิตของฉันสักอย่างเพี๊ยะ!(“เจ้านางน้อย!!!”)เพื่อพิสูจน์ว่าทุกอย่างนั้นเพียงแค่ฉันแค่ฝันไป จึงตบเข้าใบหน้าตัวเองเ

    Huling Na-update : 2025-04-25
  • อาศิรวิษ   1-เรื่องจริงหรือความฝัน 4/4

    “ท่านอาศิรวิษองครักษ์ประจำกายเจ้านางน้อยเพคะ”“หล่อจัง”คนที่ฉันเห็นทำให้ฉันเผลอลั่นปากพูดออกมา ก็ใบหน้าสมส่วนมีเสน่ห์ ใครเห็นก็ต้องทักแบบฉันนี่แหละ เขาหล่อจริง ๆ ล่ำสั่นสมชายชาตรี ฉันไล่มองตั้งแต่หัวจรดเท้าก็หาที่ติในความหล่อเหลาของเขาไม่ได้เลย นี่คนหรือเทพบุตรกันแน่นะ“เจ้านางน้อยเพคะ...เจ้านางน้อย”“ห ห๊ะ”“ทรงเป็นกระไรหรือเพคะหม่อมฉันสะกิดอยู่นานก็ไม่ขานรับ”“ม ไม่มีอะไร กลีบบัวว่าอะไรนะ ขออีกที”ฉันรู้สึกตัวจากการจ้องหน้าผู้ชายที่เป็นองครักษ์เมื่อกลีบบัวเขย่าแขนแรง มันอดไม่ได้ที่จะมอง ครุ่นคิดในหัวเขาเหมือนกับผู้ชายที่อยู่ในหนังสือเรื่องที่เพิ่งอ่านจบไป ภาพจินตนาการของฉันจากการบรรยายในหนังสือบอกว่าเป็นเขา แต่มันคงจะไม่บังเอิญขนาดนั้นหรอกมั้ง“เอาล่ะ เอาล่ะ พวกเราออกไปกันเสียก่อน ให้เจ้านางน้อยได้พักผ่อน” เป็นเจ้าหลวงที่พูดขึ้น(พ่ะย่ะค่ะ)(“กราบลาเจ้าหลวงเพคะ”)กลีบบัวและกาลัดน้อมตัวแล้วกราบลาผู้สูงศักดิ์ จากนั้นทุกคนก็ออกจากห้องไป มีเพียงกาลัดกับกลีบบัวที่อยู่เหมือนเดิม พวกเธอคงไม่ห่างจากฉันเป็นแน่ เพราะตั้งแต่ลืมตาตื่นมาก็เห็นทั้งสองคนอยู่เคียงข้าง คงเป็นคนสนิทของเจ้าของร่างนี้

    Huling Na-update : 2025-04-25
  • อาศิรวิษ   2-แค่เพียงบังเอิญ 1/4

    “เป็นเยี่ยงไรบ้างเพคะเจ้านางน้อย รู้สึกดีหรือไม่” เพียงแค่ฉันลืมตาตื่นเสียงทักก็ดังขึ้น จึงหันไปมองพบเป็นกาลัดที่นั่งอยู่ข้างเตียง “อืม หลับสนิทดี แล้วนี่กลีบบัวไปไหนล่ะ?” ฉันพยุงตัวลุกนั่งทั้งที่ยังมีอาการงัวเงีย ไม่เห็นกลีบบัวจึงได้ถามขึ้น “ห้องครัวเพคะ เตรียมสำรับให้เจ้านางน้อย” กาลัดตอบ “ตอนนี้กี่โมงกี่ยามละ” ฉันถามกาลัดทั้งที่ยังสะลืมสะลือมือขยี้ตาเบา ๆ “ย่ำค่ำแล้วเพคะเจ้านางน้อย” กาลัดตอบฉัน และมันก็ทำเอาตาฉันสว่างโล่ เพราะงุนงงกับเวลาที่กาลัดบอก “ย่ำค่ำนี่กี่โมงวะ” ฉันเกาหัวงึมงำกับตัวเอง “เออย่ำค่ำก็ย่ำค่ำ” “เจ้านางน้อยทรงตรัสว่ากระไรหรือเพคะ” กาลัดถามพลางขมวดคิ้วงง “ไม่มีอะไรหรอก บ่นไปเรื่อยน่ะ” ฉันฉีกยิ้มแล้วตอบเธอ “กลีบบัวไปนานนัก ทำให้เจ้านางน้อยต้องคอยอยู่นาน” กาลัดบ่น พร้อมกับชะเง้อมองไปทางบานประตู “เออนี่กาลัด แล้วถ้าฉันอยากจะอาบน้ำล่ะต้องไปตรงไหน” “สระบัวแก้วมรกตเพคะ เป็นสระส่วนพระองค์ที่เจ้าหลวงสร้างขึ้นเพื่อเจ้านางน้อยพ

    Huling Na-update : 2025-04-27
  • อาศิรวิษ   2-แค่เพียงบังเอิญ 2/4

    “โอ้แม่เจ้า! มันตัวอะไรวะนั่น”ฉันเงยหน้ามองขึ้นไปยังกลางอากาศ ความใหญ่โตของสิ่งตรงหน้าทำเอาฉันอ้าปากค้างและรู้สึกกลัว ตัวหนึ่งเหมือนนกยักษ์ ส่วนอีกตัวเหมือนกับพญางูใหญ่กำลังต่อสู้กัน หัวใจของฉันเต้นระส่ำและกลัวมาก อยากจะวิ่งหนีไปหลบแต่ขาดันก้าวไม่ออกเสียอย่างนั้น ได้แต่กลืนน้ำลายลงคอเงยหน้ามองดูเหตุการณ์ปะทะกันระหว่างสิ่งมีชีวิตแสนแปลกประหลาดด้วยความหวาดหวั่น“นั่นมันท่านอาศิรวิษนี่เพคะเจ้านางน้อย” กลีบบัวว่าขึ้นด้วยน้ำเสียงตระหนก“จริงด้วย” กาลัดเอ่ยตาม“!!!” ส่วนฉันได้แต่ยืนนิ่งประหนึ่งคนหยุดหายใจ ไม่รู้ว่าใครเป็นใคร แต่การต่อสู้และสิ่งตรงหน้าทำให้ฉันกลัวจนตัวเริ่มสั่น อยากจะก้าวขาวิ่งหนีแต่ก็เหมือนมีใครฉุดไว้ จึงทำได้เพียงกลั้นลมหายใจกัดฟันมองดูภาพตรงหน้า พร้อมกับหัวใจที่เต้นระรัว“เจ้านางน้อยหลบเถิดเพคะ” กาลัดจับแขนของฉันไว้“ข ข ขาฉันก้าวไม่ได้ อยากวิ่งตั้งนานแล้ว” แต่ขาเจ้ากรรมดันแข็งทื่อประหนึ่งท่อนไม้“ขยับสิเพคะเจ้านางน้อย อันตรายนักหากยังยืนอยู่ตรงนี้” กลีบบัวพูดด้วยความวิตกลนลานทั้งกาลัดและกลีบบัวพยายามยกขาของฉันให้ก้าวเดิน แต่มันก็แสนจะลำบากเหลือเกิน ยิ่งฉันอยากจะวิ่งให้

    Huling Na-update : 2025-04-27
  • อาศิรวิษ   2-แค่เพียงบังเอิญ 3/4

    (“ไม่นึกฝันว่าเราจะได้เจอกันในเวลานี้ เจ้านางน้อยผณินทร”)“เฮือก! 0.0”ร่างสูงใหญ่ปีกหนาค่อย ๆ โฉบบินลงมาสู่พื้นดินพร้อมกับประกายรัศมีสีขาว ก่อนจะผันกลายเป็นร่างมนุษย์กำยำยืนตรงหน้าของฉัน คนที่มาใหม่ทำให้ฉันรับรู้ทันทีว่าเป็นใคร กาลัดกับกลีบบัวรีบเข้ามายืนบังด้านหน้าของฉัน พร้อมกับกางแขนออกทั้งสองข้างอย่างปกป้อง“เวนไตย?” ฉันพูดชื่อของคนตรงหน้าออกมาเบา ๆ พร้อมกับจดจ้องมองหน้าอย่างใจสู้ ทั้งที่ภายในอกนั้นสั่นเทิ้มหวาดกลัว ทำเป็นใจดีสู้เสือเพื่อไม่ให้ศัตรูได้ใจ“ปลื้มใจเหลือเกินที่เจ้านางน้อยผู้สูงศักดิ์ยังจดจำนามของข้าได้” เขาพูดพร้อมกับรอยยิ้มร้ายกาจ พร้อมกับก้าวขาเดินเข้ามาใกล้อย่างเชื่องช้า กลีบบัวและกาลัดก็ดันให้ฉันเดินถอยหลังออกห่างก้าวต่อก้าวเช่นกัน“ท่านอย่าคิดแตะต้องเจ้านางน้อยเด็ดขาด” กาลัดพูดขึ้นอย่างไม่คิดกลัวฉันจ้องมองคนที่กลายร่างเป็นคนยืนตรงหน้าด้วยสายตาแข็งกร้าว เขาดูร้ายกาจจนทำให้ฉันขนลุกไปทั้งตัว ขาค่อย ๆ ขยับถอยออกห่างทีละก้าวอย่างเชื่องข้า จับสังเกตพฤติกรรมว่าจะกระทำอะไรที่มันไม่น่าไว้ใจมากกว่านี้ไหม จะได้หาทางหนีทีไล่ ตอนนี้ยังไม่รู้เลยว่าพวกฉันต้องเจออันตรายแค่ไหน

    Huling Na-update : 2025-04-27
  • อาศิรวิษ   2-แค่เพียงบังเอิญ 4/4

    “เจ้านางน้อยแสดงกิริยาเช่นนั้นไม่งามเจ้าค่ะ เสด็จกลับเถิดเพคะ” กาลัดยังคงพูดกรอกหูของฉัน พร้อมกับลากแขนไปพลาง“น่าโมโหชะมัด เขาด่าฉันชอบเสือกนะ...คิดว่ากลัวหรือไง!” ฉันหยุดเดินแล้วมือเท้าสะเอวพูดกับสองสาว ตามด้วยประโยคหลังตะโกนกลับหลังหวังให้เขาได้ยิน“ชู่...เบาเสียงเพคะเจ้านางน้อย” กลีบบัวปรามฉัน“ก็ดูสิเขาปากเสียขนาดนั้นนะ ไอ้คนบ้า!” แต่อารมณ์ของฉันมันเดือดมาก“เบา ๆ เพคะเจ้านางน้อย เดี๋ยวท่านอาศิรวิษก็ได้ยินนะเพคะ” กาลัดปรามอีกเสียง แถมยังเอามือปิดปากของฉันไว้อีก“ได้ยินก็ได้ไปสิใครกลัวเขากัน” อารมณ์ร้อนปะทุจนห้ามไม่ไหว ฉันหันหลังกลับแล้วแหกปากพูดเสียงดังอีกครั้ง แต่...“ไม่กลัวกระหม่อมอย่างนั้นหรือพ่ะย่ะค่ะ”“ม ม ไม่กลัว ทำไมต้องกลัวด้วย”การมาที่ไร้เสียงทำให้ฉันตกใจจนพูดออกไปตะกุกตะกัก มองหน้าที่แสนจะเย็นชาด้วยความหวาดหวั่น สายตาของเขานั้นฉันเดาไม่ออกเลยว่ากำลังรู้สึกหรือนึกคิดอะไร มันดูว่างเปล่าซะเหลือเกิน“เจ้านางน้อยเพคะ” กลีบบัวกระตุกแขนฉัน แล้วพูดเสียงอ่อนย้ำเตือนอยู่ข้าง ๆ“ทรงลืมแล้วหรืออย่างไรว่าแม้จะเป็นองครักษ์ประจำกายของพระองค์ แต่ท่านอาศิรวิษก็ได้รับการแต่งตั้งเป็นบุต

    Huling Na-update : 2025-04-27

Pinakabagong kabanata

  • อาศิรวิษ   เสียงเงียบของคนที่ไม่มีวันถูกเลือก

    ลมเย็นพัดแผ่วผ่านลานศิลาใต้แสงจันทร์ ฉันเดินเคียงข้างอาศิรวิษ บรรยากาศเงียบสงบอย่างประหลาด แสงไฟวาวจากโคมนาคายามค่ำ ค่อย ๆ ส่องสะท้อนระยิบบนพื้นน้ำ เขายังคงเดินอย่างเงียบขรึมตามแบบของเขา แต่ฉันจับได้ว่าทุกครั้งที่ฉันชะงักฝีเท้า...เขาจะหยุดก่อนฉันเสี้ยววินาทีเสมอ“อาศิรวิษ” ฉันเอ่ยเบา ๆ “ท่านเคยกลัวบ้างไหม ว่าวันหนึ่งทุกอย่างจะหายไปหมด”เขาหยุดเดิน แล้วหันมามอง ดวงตาสีทองนวลวาวใต้แสงจันทร์“เคย...กระหม่อมเคยกลัวจะสูญเสียท่านทั้งที่ตอนนั้นท่านยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าข้าคือใคร” คำพูดนั้นทำให้ฉันเผลอยิ้ม“แล้วตอนนี้ล่ะยังกลัวอยู่ไหม?”“ไม่แล้ว” เขาตอบก่อนจะเอื้อมมือมาแตะที่มือฉัน“เพราะกระหม่อมจะไม่ยอมปล่อยเจ้านางน้อยไปไหนอีก”“อยู่กันแค่สองคน เราเคยคุยกันแล้วว่าจะไม่พูดคำเป็นทางการไง”“...”“แต่ช่างเถอะอยากพูดยังไงก็พูด ข้าเคยคิดว่าท่านเย็นชาแต่ตอนนี้ข้ารู้แล้วว่า...ท่านแค่ไม่เคยมีใครให้เปิดหัวใจ”เขายิ้มเบา ๆ แล้วพูดช้า ๆ“และพี่ก็ไม่เคยคิดว่าจะมีใครอยากเปิดหัวใจให้เช่นกัน” มืออุ่นของเขาจับมือฉันไว้แน่น ไม่ใช่เพราะกลัวจะหลุดจากกัน...แต่เพราะอยากจะอยู่ด้วยกันให้นานที่สุดแต่ในขณะเดียวกัน พญาน

  • อาศิรวิษ   9-บ่วงกรรมแห่งตรีภพ 2

    หลายพันปีก่อน เอกวรา นาคินีแห่งรัก ผู้เป็นที่รักยิ่งของเหล่านาค แต่หัวใจของเธอกลับมิได้อยู่ในวิมานบาดาล เธอตกหลุมรัก อริยะ พญาครุฑหนุ่มผู้กล้าหาญ ผู้ขึ้นสู้กับทวยเทพเพื่อขอความยุติธรรมให้เหล่าสัตว์ครึ่งอสูร ความรักของทั้งคู่ต้องห้ามเด็ดขาด แต่เอกวรายอมเสียทุกสิ่ง แม้กระทั่งบัลลังก์สูงสุดเพื่อใช้ชีวิตกับอริยะในดินแดนลับแล ไม่นานเอกวราก็ให้กำเนิด เวนไตย ทารกผู้มีปีกทองแดงเหมือนครุฑ แต่ดวงตาสีแดงเรืองแสงเหมือนพญานาคทว่า...พลังที่เวนไตยถือกำเนิดมานั้น คือพลังของครุฑพันคำสาป การรวมคำสาปจากสองภพ คำสาปแห่งการหวงแหนและคำสาปแห่งการพลัดพราก“ข้าไม่อาจควบคุมเขาได้...เวนไตยเติบโตมาพร้อมความแค้น และอำนาจที่แม้แต่ข้าก็เกรงกลัว”เอกวราจึงตัดสินใจ ผนึกวิญญาณตนเองไว้ใน ดาบบุษบง เพื่อเป็นดาบที่สามารถหยุดเวนไตยได้ แต่แลกกับการที่ลูกอีกคนหนึ่ง...ต้องแบกภาระอันโหดร้ายนี้ไว้“ตรีภพ...เจ้าคือผู้สืบสายเลือดของข้า ลูกแห่งความรัก และเจ้าจะต้องเลือกระหว่างคำสาบานหรือความรัก”//ปัจจุบัน//ตรีภพลืมตาขึ้น ท่าม

  • อาศิรวิษ   9-บ่วงกรรมแห่งตรีภพ

    ฉันลืมตาขึ้นอีกครั้ง ใต้เท้าคือพื้นศิลาของ วิหารเงานาคากำลังแตกแยกจากแรงอาคมสะท้อนของคำสาป ในมือยังอบอุ่นจากการกุมของอาศิรวิษ พลังในร่างกายเปลี่ยนไปคล้ายมีบางสิ่งแฝงตัวในเลือดและลมหายใจ เห็นบางอย่างในเงาสะท้อนของผืนน้ำ...นัยน์ตาแปรเปลี่ยนเป็นสีน้ำเงินเข้มเรืองแสง มีอักขระคล้ายเกล็ดนาคาซ้อนกันอยู่“นี่คืออะไร ทำไมมันเปลี่ยนไปมากขนาดนี้”อาศิรวิษยกมือประคองบ่าของฉันเบา ๆ ดวงตาคมเหมือนพญานาคที่หลับใหลมานานมองฉัน“มันคือตัวตนแท้จริงของท่านเจ้านางน้อย ข้ารู้ว่าท่านสงสัย เพียงแต่ตอนนี้เราต้องไปช่วยตรีภพเสียบัดเดี๋ยวนี้ ก่อนทุกอย่างจะสายเกินไป”ฉันกับอาศิรวิษรีบเดินทางผ่านประตูเงานาคาชั้นใน อาศิรวิษเล่าว่านี่เป็นช่องว่างที่เชื่อมระหว่างภพมนุษย์กับแดนพันธนา สถานที่ที่ตรีภพถูกคุมขังด้วยตราอาคมของครุฑ และฉันมองเห็นเขาตรีภพ นั่งคุกเข่าอยู่กลางวงแหวนอาคม มีเสาเทพครุฑ ปักไว้สี่ทิศ อาคมค่อย ๆ ดูดพลังชีวิตเขาทีละหยด ผิวของตรีภพเริ่มซีดเผือด ริมฝีปากแตก แต่แววตายังแน่วแน่“เกี่ยวกับเวนไตยด้วยอย่างนั้นเหรอเนี่ย ซับซ้อนเกิน” ฉันพึมพำในใจฉันเลิกคิดเรื่องกวนใจ แล้วพุ่งเข้าไปแต่กลับถูกม่านครุฑศิลป์ต้า

  • อาศิรวิษ   8-เพลิงคำสาปและเสียงครูบา 2

    เสียงคำรามของเงานาคาก้องไปทั่วซากวิหารโบราณพื้นดินแตกระแหง ต้นไม้ล้มระเนระนาด และ “ตรีภพ” ถูกตรึงร่างไว้กลางลานพิธีด้วยเงาดำ พันธะคำสาปที่กำลังจะกลืนกินหัวใจของเขา“พี่ภพ!!” ฉันแผดเสียงเรียกอย่างแหบพร่า หัวใจเหมือนจะแตกออกจากอก เห็นตรีภพเหมือนกำลังจะขาดใจ ฉันหยัดแรงและตั้งท่าจะพุ่งเข้าไปช่วย แต่เสียงกึกก้องดุจสายฟ้าผ่าก็ดังขึ้นจากด้านหลัง“อย่าเข้าไป!! นั่นคือคำสาปของเทวนาคา ท่านจะแตะต้องมันไม่ได้!!”เสียงนั้น... ฉันรู้ดีว่าเป็นใคร“อาศิรวิษ”ชายร่างสูงสง่าในชุดนักรบโบราณสีดำปักลายเกล็ดนาคา อาศิรวิษพญานาคองครักษ์ประจำตัว และคนที่ฉันเฝ้ามองอยู่เงียบ ๆเมื่อลงจอดกลางวิหารเงานาคา...อาศิรวิษเข่าทรุดลงกับพื้น ดวงตาของเขาจ้องมาทางฉัน มันเป็นแววตาที่หนักแน่นปะปนด้วยค

  • อาศิรวิษ   8-เพลิงคำสาปและเสียงครูบา

    รุ่งเช้าของวันใหม่ ฟ้าสางเหนือเทือกเขานาคบาศงามจับใจ แต่ภายใต้ความสงบกลับซ่อนบางสิ่งที่อึดอัดไว้ลึก ๆ ฉันนั่งอยู่บนหลังม้าสีหมอก ข้างกายเป็นสหายแต่วัยเยาว์ สายตาเขามองตรงไปเบื้องหน้า แต่ใจเราสองคนกลับจดจ่อกับอดีตที่ยังไม่ได้รับคำตอบ มันเหมือนมีความรู้สึกบางอย่างมักฉายภาพเข้ามาในหัวของฉัน ซึ่งฉันไม่เข้าใจ“ศาลาพันธะนาคาอยู่ห่างจากวังหลวงหนึ่งวันทางม้า ทว่าหากเรากลายร่างเป็นพญานาคไปจักเร็วขึ้น แต่อาจจะทำให้ศัตรูเห็น จึงจำเป็นต้องเดินทางด้วยม้า เจ้านางน้อยพร้อมหรือไม่” เขาถามเสียงเรียบ“ตั้งแต่ที่ข้าถูกใส่ความ ข้าก็ไม่เคยหยุด...พร้อมมากเลยล่ะ” ฉันตอบพลางกระตุกบังเหียนเบา ๆ พลันหวนคิดคำแทนตัวก็นึกตลก ฉันอยู่จนพูดคำโบราณเหล่านี้ออกมาอย่างไม่ขัดเขินแล้วเหรอเนี่ย ก็อย่างว่าเข้าเมืองตาหลิ่วต้องหลิ่วตาตามฉันและตรีภพเดินทางผ่านป่าทึบและธารน้ำใส ก่อนจะไปถึงเนินเขาเตี้ย ๆ ที่ตั้งของ ศาลาโบราณ ซึ่งเชื่อกันว่าเป็นที่ผูกสา

  • อาศิรวิษ   7-ปัญหาที่ต้องรับมือ 4/4

    ประตูท้องพระโรงเปิดออกอย่างฉับพลัน“หัวหน้ายามวิหารอาคมมาแล้วพ่ะย่ะค่ะ!”ชายชราร่างผอม ผมเผ้าขาวโพลน เดินเข้ามาพร้อมกับก้มกราบเจ้าหลวงอย่างเคารพ“ถวายบังคมพ่ะย่ะค่ะ”“เราต้องการให้เจ้าตอบความหนึ่ง” เจ้าหลวงเอ่ย “คืนก่อนบ่วงนาคบาศจะหาย เจ้าได้อนุญาตให้ผู้ใดเข้าวิหารหรือไม่?”“ไม่ได้มีผู้ใดเข้ามาพ่ะย่ะค่ะ ทุกอย่างสงบเรียบร้อยดี” เขาขมวดคิ้ว “เว้นแต่...”“เว้นแต่?” เจ้าหลวงถามเสียงเข้ม“เว้นแต่มีข้ารับใช้คนหนึ่งมาขอเข้าไปตรวจตราตอนก่อนรุ่งสาง พ่ะย่ะค่ะ”ทุกคนในท้องพระโรงตกใจ ฉันหันขวับไปมองตรีภพ ดวงตาของเขาฉายแววคาดเดาออกมาแล้ว“เป็นใคร?” ฉันถามเสียงดังหัวหน้ายามนิ่งไปครู่หนึ่ง ก่อนจะหยิบผ้าแพรผืนเล็กออกจากอกเสื้อ ยื่นให้เจ้าหลวง“ข้ารับใช้ผู้นั้นลืมผ้าไว้พ่ะย่ะค่ะ ข้าน้อยเก็บไว้ยังไม่ได้ส่งคืน ในผ้ามีลายปักรูปดอกบุนนาค...ข้าน้อยจำได้ดี”ฉันกับตรีภพสบตากันทันที“ดอกบุนนาค

  • อาศิรวิษ   7-ปัญหาที่ต้องรับมือ 3/4

    “ตอนนี้ไม่มีผู้ใดแล้ว นับว่ามีแต่คนในครอบครัว พ่อจักไม่ยื้อถามให้มากความ...อัปสรา”“เพคะ”“ครั้นก่อนหน้าไยเจ้าจึงได้บอกว่าผณินทรเป็นผู้ขโมยบ่วงนาคบาศไป” เจ้าหลวงเอ่ยอย่างตรงประเด็น ฉันเห็นสีหน้าของอัปสราสลดลงทันตา ทุกคนจ้องมองไปยังเธออย่างเฝ้ารอการโต้ตอบ เธอดูประหม่ากำมือแน่น แขนสั่นเทา ฉันเห็นความกลัวในแววตาของเธอชัดเจน“เช้ามืดของวันนั้นลูกตื่นแต่เช้า เพราะนอนไม่หลับ ลูกเห็นเจ้าพี่ผณินทรออกมาจากวิหารอาคมเพคะ ต่อมาก็ได้ยินข่าวว่าบ่วงนาคบาศหายไป จึงไปกราบทูลให้เสด็จพ่อทรงทราบ หากไม่ใช่ท่านพี่จักเป็นผู้ใดได้เล่าเพคะ ในเมื่อไม่มีผู้ใดสามารถเข้าไปในวิหารอาคมนี้ได้”อัปสราเล่าเรื่องราว ทำเอาฉันถึงกับกำมือแน่นด้วยความโมโห แต่ต้องข่มอารมณ์ไว้ รอดูต่อไปว่าเธอจะใส่ร้ายฉันยังไงอีก จากที่เธอเล่ามามันย้อนแย้งกันมาก เพราะเป็นวันที่ฉันไม่ได้อยู่ในเขตพระราชวัง เรื่องนี้มันชักจะไม่

  • อาศิรวิษ   7-ปัญหาที่ต้องรับมือ 2/4

    “ข้าก็ไม่แน่ใจนักหรอกท่านผู้อาวุโสวิเชียรนาคราช เพียงแค่...” อัปสราพูดพลางชายตามาที่ฉันชั่วครู่ ก่อนจะหันไปมองหน้าท่านผู้อาวุโสวิเชียร“แค่กระไรอย่างนั้นหรือ”“สงสัยเจ้านางน้อยผณินทร ที่ไม่อยู่ในเขตตำหนักตั้งหลายวัน...ไปที่ใดมาอย่างนั้นหรือเจ้าคะท่านพี่” อัปสราพูดและมองมาที่ฉัน“ท่านพี่...ตอแหลฉิบหายเลยยัยตัวแสบ” ฉันพูดในใจ“ไปธุระมาสิ” ฉันตอบตรง ๆ ตามนิสัยที่เป็น(!?) แต่ดูจากสีหน้าแล้วเหมือนกับผู้คนในนี้จะงวยงงไปกันหมด นึกขึ้นได้ว่านี่ไม่ใช่ที่ที่ฉันเคยอยู่ จึงดึงสติกลับมา“ข้าไป เอ่อ ไป ไป...ไปเที่ยวเล่นกับท่านพี่ตรีภพมา” ฉันตะกุกตะกักด้วยความกดดัน ไม่กล้าบอกความจริง เพราะเป็นสิ่งที่เจ้าหลวงสั่งห้าม สายตามองไปเห็นตรีภพกำลังเดินเข้ามาอย่างเงียบ ๆ ฉันจึงพลันนึกได้และแอบอ้าง เนื่องจากไม่สามารถบอกความจริงที่หายไปหลายวันได้“นางโป้ปดเพคะ!” อัปสรารีบแย้งเสียงแข็ง“ไม่เชื่อก็ถามท่านพี่ตรีภพดูสิ” ฉันท้าทายอัปสรา ก่อนจะส่งสายตามองไปยังตรีภพด้วยแววตาอ้อนวอน“เงียบก่อนเถิดอัปสรา ไถ่ถามจากตรีภพเสียก่อนว่าเป็นดั่งที่เจ้านางน้อยผณินทรว่าหรือไม่” เจ้าหลวงบอกกล่าว นั่นจึงทำให้อัปสราเงียบสงบลง“ว่า

  • อาศิรวิษ   7-ปัญหาที่ต้องรับมือ 1/4

    ((“เจ้านางน้อย!”))“มีอะไรทำไมหน้าตาตื่นกันเชียว กาลัด กลีบบัว”“พระองค์ไปไหนมาเพคะ ในวังเกิดเรี่องใหญ่แล้วเพคะ”“เกิดอะไรขึ้น?”เพียงเดินเข้ามาในเขตตำหนักได้ไม่กี่ก้าว หลังจากที่ตรีภพมาส่งหน้าเขตตำหนัก เขาก็จากไปทันที กาลัดและกลีบบัวก็วิ่งหน้าตั้งเข้ามาประชิดตัวของฉันทันที ด้วยสีหน้าตระหนกมีความกังวล จนฉันตั้งเอ่ยปากถามด้วยความอยากรู้“เจ้านางอัปสราน่ะสิเพคะ กล่าวหาว่าเจ้านางน้อยทรงขโมยบ่วงนาคบาศ และลอบหนีไปพบบุรุษคนรักบนเมืองมนุษย์” กลีบบัวพูดขึ้น“จะบ้าเหรอ! ข้าไม่ได้ขโมยไปนะ แล้วคนรักที่เมืองมนุษย์บ้าบออะไรกัน...ยัยนี่หาเรื่องตอนที่ฉันไม่อยู่” สิ่งที่ได้ยินทำฉันตะเบ็งเสียงดัง ก่อนจะสบถกับเบา ๆ กับตัวเองด้วยความคับแค้นใจ“พวกหม่

Galugarin at basahin ang magagandang nobela
Libreng basahin ang magagandang nobela sa GoodNovel app. I-download ang mga librong gusto mo at basahin kahit saan at anumang oras.
Libreng basahin ang mga aklat sa app
I-scan ang code para mabasa sa App
DMCA.com Protection Status