แม้นางจะไปดักรอที่หน้าเรือนก็ไม่เคยได้พบเขา จนวันนี้ที่นางกำลังจะไปดักรอเช่นเดิมก็เห็นชิงฉางมาพร้อมรถม้าเพื่อมาเก็บของที่เรือนจึงได้รีบร้อนมาหาซูมี่เสียก่อน
"ข้ากับชิงฉางมิได้เป็นคู่หมั้นกันแล้ว เขาจะมากับใครไปที่ใดล้วนไม่เกี่ยวกับข้า" ซูมี่เมื่อพูดจบนางก็หันหลังเตรียมจะเข้าเรือนเพื่อไปทำงานต่อ
"เจ้าต้องไปกับข้า เพราะเจ้ารู้เรื่องที่ข้ากับพี่ชางลอบพบกัน" เสี่ยวเจียเหมือนเสียสติไปแล้วนางลากซูมี่อย่างแรงเพื่อเดินไปเรือนของชิงฉาง
แม้โม่ลี่จะเข้าช่วยเหลือแต่ก็ไม่อาจต้านแรงของเสี่ยวเจียที่เหมือนจะขุดแรงทั้งหมดที่นางมีเพื่อลากตัวซูมี่ไปด้วย ซูมี่จำต้องยอมให้นางลากตัวไป โม่ลี่ก็เดินตามไปด้วยอย่างเป็นห่วง
เมื่อมาถึงหน้าเรือนของชิงฉางก็พบว่ายังมีชาวบ้านอีกหลายคนที่มาสอบถามเขาอยู่ ซูมี่นางเพียงยืนกอดอกรออยู่ข้างนอกเพื่อดูเรื่องสนุก
"เสี่ยเจียไปตามเจ้ามาจนได้" เสี่ยวเผ่ยเมื่อเห็นซูมี่นางยืนอยู่ด้วยก็เดินเข้ามาหาพร้อมพูดคุยทันที
"อืม ก็อย่างที่เจ้าเห็น เสี่ยวเจียดูท่าจะเสียสติไปแล้ว" ซูมี่ส่ายหัว
เพราะตอนนี้เสี่ยวเจียเดินเข้าไปหาชิงฉางแล้วโวยวายเสียงดัง โดยไม่สนสายตาของชาวบ้านที่มองนางอย่าางแปลกใจ ถิงถิงเลิกผ้าม่านที่รถม้าขึ้นเพื่อมองเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
ซูมี่จึงได้เห็นใบหน้าด้านข้างของนาง แววตาของถิงถิงที่ผลักซูมี่ลงบ่อน้ำนางยังจำได้ดี ซูมี่เผลอกำมือแน่นอย่างโกรธแค้น
"คุณหนู" โม่ลี่จับแขนของซูมี่อย่างเป็นกังวล
"ข้าไม่เป็นอันใด" ซูมี่หันไปยิ้มให้โม่ลี่
เสียงกรีดร้องของเสี่ยวเจียดังขึ้นเมื่อชิงฉางบอกว่าเขามิได้คิดอันใดกับนางเป็นนางที่คิดไปเอง เสี่ยวเจียรีบพุ่งตัวเข้ามาหาซูมี่พร้อมดึงนางเข้าไปด้านใน
"เจ้าพูดสิอามี่ เจ้าเห็นข้ากับพี่ชางลอบพบกันใช่หรือไม่" ซูมี่ถลึงตามองเสี่ยวเจีย แทนที่จะเรียกนางดีดีกับดึงนางจนแขนขึ้นรอยนิ้วมือ
ซูมี่มองไปที่ชิงฉางก็พบสายตาที่ขอความเห็นใจของเขามองมาที่นางอยู่ ซูมี่จึงเบะปากให้เขาอย่างดูแคลน ก่อนที่จะหันไปมองถิงถิงที่เปิดผ้าม่านรถม้ามองมาที่นางอย่างสงสัย
"เฮ้อ ความจริงเรื่องนี้ไม่เกี่ยอันใดกับข้า ในเมื่อเจ้าอยากให้ข้าพูดโดยที่ไม่กลัวชื่อเสียงของเจ้าเสียหายข้าก็จะพูด" ซูมี่แสร้งทำหน้าหนักใจก่อนจะเปลี่ยนบทเป็นเศร้าขึ้นมาทันที
"ข้า ข้า เห็นเจ้ากับชิงฉางนัดพบกัน แล้ว แล้ว ท่านพ่อข้าก็เห็นชิงฉางลอบนัดพบกับคุณหนูเฉียวที่ในเมืองจึงต้องยอมถอนหมั้น"
เมื่อซูมี่พูดจบ ชิงฉางก็หลับตาลงพร้อมทั้งสะกดกลั้นอารมณ์ เพราะเรื่องที่ซูมี่พูดทั้งหมดเป็นเรื่องจริง ชาวบ้านที่อยู่รอบๆต่างก็กลั้นหายใจฟังก่อนจะเริ่มส่งเสียงนินทาต่อว่าทั้งสามคน แล้วเปลี่ยนมาเห็นใจซูมี่แทน
ซูมี่หันไปมองถิงถิงที่ร่ำไห้อยู่บนรถม้าแล้วมองมาที่นางอย่างโกรธแค้น ซูมี่หันไปยิ้มเยาะเย้ยให้ถิงถิงอย่างสะใจ เรื่องมาถึงขั้นนี้แล้วแสดงว่าถิงถิงนางต้องตั้งครรภ์แล้วแน่นอน มิเช่นนั้นคหบดีเฉียวคงไม่มารับตัวชิงฉางเข้าไปอยู่ในเมือง
"เพราะข้ารู้ดีว่าชิงฉางจำต้องแต่งให้คุณหนูเฉียวเพราะ เพราะนาง" ซูมี่เอ่ยขึ้นอีกครั้งเพื่อราดน้ำมันเข้าไปในกองไฟ ประโยคสุดท้ายเมื่อนางเงียบเสียงลงชาวบ้านก็ต่างรอคอยว่านางจะพูดสิ่งใด แต่ซูมี่ทำเพียงมองไปที่ท้องของถิงถิงแทน
เพียงเท่านั้นชาวบ้านที่มีประสบการณ์เรื่องเช่นนี้ย่อมรู้แล้วว่าถิงถิงนางตั้งครรภ์ ต้องก็ยกมือขึ้นปิดปากเพื่อไม่ให้ส่งเสียงร้องออกมา
"อามี่เจ้าหมายความว่าเช่นไร" เสี่ยวเจียเดินเข้ามาเขย่าตัวของซูมี่
"เจ้ายังอยากจะให้ข้าพูดเรื่องบัดสีอีกหรือ" ซูมี่ตีหน้าเศร้าแล้วหันหลังเดินจากไป นางยังจับตัวของโม่ลี่เพื่อให้ประคองนางที่เหมือนบอบช้ำกลับเรือนอีกด้วย
เมื่อพ้นสายตาของชาวบ้านซูมี่ก็คลายมือของโม่ลี่ออกแล้วหัวเราะออกมาเสียงดัง โม่ลี่ที่เข้าใจว่าคุณหนูของนางเสียใจจนใบหน้าแดงก่ำไปหมดแท้จริงแล้วนางกลั้นขำไว้
"โถ่คุณหนู" โม่ลี่ตบที่อกตัวเอง
"โม่ลี่เจ้าคิกหรือว่าข้าจะเสียดายบุรุษเช่นนั้น" โม่ลี่เมื่อคิดตามก็พยักหน้าอย่างเห็นด้วย ต่อให้คุณหนูของนางไม่มีสามีนางก็ไม่ลำบากเพราะความสามารถของนางพร้อมทั้งของแปลกตาที่พวกเขาได้รับคนอื่นย่อมไม่มีเช่นนี้แน่
เมื่อกลับถึงเรือน จางกุ้ยก็รีบสอบถามบุตรสาวว่าเกิดเรื่องใดขึ้น ซูมี่นางจึงเล่าเรื่องทั้งหมดให้ฟังพร้อมทั้งหัวเราะอย่างสะใจไปด้วย
"โอ๊ย ท่านแม่" ซูมี่ร้องขึ้นเพราะถูกมารดาหยิกเข้าที่เอว กลายเป็นว่าตอนนี้คนอื่นที่นั่งทำงานขบขำนางแทน
"เจ้าเป็นสตรีจะหัวเราะเช่นนี้ได้อย่างไร"
"โถ่ท่านแม่ ข้าอยู่ในเรือนนะเจ้าค่ะ"ซูมี่กอดแขนมารดาพร้อมออดอ้อน
ต้าหลางที่ถึงเวลาหยุดพักก็รู้เรื่องที่จางกุ้ยเล่าให้ฟัง เขาตบเข่าตนเองพร้อมทั้งหัวเราะเช่นเดียวกับบุตรสาว
"เช่นนี้ก็ดี คนอื่นจะได้ไม่คิดว่ามี่เออร์ของข้าร้ายกาจจนถูกถอนหมั้น" จางกุ้ยเมื่อคิดตามสามีก็เห็นด้วยกับเรื่องนี้
คนงานบุรุษเมื่อหยุดพักทานอาหารได้ดื่มน้ำ แทนที่พวกเขาทำงานจะเหนื่อยล้าแต่กลับสดชื่นเหมือนเพิ่งตื่น ตอนแรกทุกคนก็แปลกใจแต่เมื่อคิดถึงสิ่งของต่างๆที่แปลกประหลาดต่างก็พากันเข้าใจได้ทันทีโดยไม่ต้องเอ่ยถาม
ซูมี่นางส่งฮ่องเต้และฮองเฮาลงแช่น้ำโดยให้ มามาและหยางกงกงคอยดูแลแล้วก็พาองค์รัชทายาทไปที่ถ้ำของเสี่ยวไป๋"เพราะพระองค์เห็นหม่อมฉันเป็นน้องสาว และหม่อมฉันก็เห็นพระองค์เป็นพี่ชาย จึงได้พามาที่ถ้ำของเสี่ยวไป๋" ซูมี่นางอธิบายเรื่องการเปลี่ยนไขกระดูกและการฝึกวรยุทธให้องค์รัชทายาทได้เข้าใจอย่างน้อยองค์รัชทายาทก็ต้องมีวรยุทธไว้ปกป้องพระองค์เอง เพื่อเกิดเหตุการณ์เช่นกบฏองค์ชายรองอีกครั้ง"มี่เออร์ เปิ่นหวางไม่เสียทีที่รักเจ้าเหมือนดั่งน้องสาว" องค์รัชทายาทเอ่ยออกมาจากใจ เพราะเขารักนางเหมือนน้องสาวตั้งแต่ครั้งแรกที่นางช่วยเสด็จพ่อของตนไว้ ไม่คิดว่านางจะไว้ใจตนจนมอบเรื่องวิเศษเช่นนี้ให้"พระองค์อดทนให้ได้นะเพคะ" ซูมี่บอกองค์รัชทายาทเมื่อมาถึงด้านในถ้ำของเสี่ยวไป๋"เปิ่นหวางจะอดทน" ซูมี่พยักหน้าให้ฮุ่ยหมิ่นคอยดูแลองค์รัชทายาท ส่วนนางจะกลับไปดูทางฮ่องเต้ ฮองเฮาก่อนเสียงกรีดร้องขององค์รัชทายาทดังออกมาจากนอกถ้ำ เสี่ยวไป๋ส่งเสียงขึ้นจมูกอย่างดูแคลน"ร้องดังกว่าเจ้าในยามนั้นเสียอีก" ซูมี่อดจะหัวเราะเสียงดังออกมามิได้เมื่อได้ยินคำพูดของเสี่ยวไป๋เมื่อกลับมาถึงถ้ำของเสี่ยวเฮย ฮ่องเต้ก็ขึ้นจากน้ำมาเรี
นายท่านไป๋กับฮูหยินไป๋เมื่อลืมตาขึ้นอีกครั้งก็พบว่าตรงหน้าของตนได้เปลี่ยนไป แปลงสมุนไพรที่มีสมุนไพรหายากมากมาย ผัก ผลไม้ที่ขึ้นเต็มไปหมดเสี่ยวไป๋ในยามนี้ตัวใหญ่จนน่าตกตะลึง แล้วไหนจะหมาป่าสี่ตัวกับหมีควายที่กำลังวิ่งมาทางนี้อีก ฮูหยินไป๋เกือบจะเป็นลมแต่ถูกฮุ่ยหมิ่นประคองไว้เสียก่อนเป่าเปาที่ปรากฏกายด้วยรูปร่างที่แท้จริงบินไปตรงหน้าของนายท่านไป๋ เขาจ้องมองทุกสิ่งอย่างไม่อยากเชื่อสายตา แม้จะผ่านเรื่องน่าเหลือเชื่อมาหลายครั้ง แต่ครั้งนี้นับว่าเกินเขาจะรับไว้"มี่เออร์นี่เรื่องอันใด" เขาเอ่ยเสียงที่แทบหาไม่เจอออกมาอย่างอยากเย็นซูมี่เล่าเรื่องภายในมิติของนางให้นายท่านไป๋และฮูหยินไป๋ได้ฟัง นางพาทั้งคู่ไปที่ถ้ำของเสี่ยวเฮย เพื่อให้พวกเขาลงไปแช่ในน้ำ เพราะทั้งคู่ไม่ต้องเปลี่ยนไขกระดูกเช่นนางกับฮุ่ยหมิ่นจึงไม่ต้องไปที่ถ้ำของเสี่ยวไป๋เมื่อทั้งสองลงไปแช่ในน้ำ เพียงหนึ่งชั่วยามเมื่อขึ้นมาจากน้ำต่างก็พบความเปลี่ยนแปลงของตน นายท่านไป๋ที่มีโรคปวดตามข้อตามอายุของตนก็หายเป็นปลิดทิ้ง แม้ก่อนหน้านี้จะกินผักผลไม้ของตระกูลซูแต่ก็ต้องกินเป็นระยะเวลานานถึงจะเห็นผลรูปลักษณ์ของทั้งคู่ก็ดูจะอ่อนเยาว์ขึ้นอ
เสี่ยวซานก็จัดการหาฤกษ์มงคล พร้อมทั้งหาแม่สื่อไปพูดคุยกับซูถัง ป้าอวี้ บิดามารดาของโม่ลี่เพื่อสุ่ขอนางตามธรรมเนียม เรื่องสินสอดและสินเดิมซูมี่นางก็จัดการให้อย่างใจกว้างจนบ่าวในเรือนที่ชอบพอกันมาบอกกล่าวนางว่าตนอยากจะแต่งกับคนนั้น คนนี้ ซูมี่ก็ไม่ขัดข้องพร้อมทั้งจัดการให้ทุกคน เพราะทุกคนที่กล้ามาพูดกับนางล้วนอยู่กับนางมาตั้งแต่ที่เมืองเจียงซวนงานมงคลของบ่าวในจวนแม่ทัพจัดขึ้นภายในเรือน แม้แต่จวนอื่นก็ไม่อยากจะเชื่อว่า แม่ทัพไป๋กับฮูหยินจะใจกว้างถึงกับจัดงานในบ่าวของตนด้วยเพียงวันเดียวก็มีคู่แต่งงานในจวนถึงห้าคู่ ซูมี่แบกท้องที่ใหญ่โตของนางไปร่วมงานด้วย ทั้งยังอยู่ร่วมรับประทานอาหารกับทุกคน ต้าหลาง จางกุ้ยก็พาบ่าวในจวนของเขามาร่วมงานด้วยเช่นกัน"ท่านพี่ ข้าคิดว่าข้าจะคลอดแล้วเจ้าค่ะ"ซูมี่ดึงแขนเสื้อของฮุ่ยหมิ่นที่ร่วมดื่มเหล้ามงคล"ตามหมอตำแยประเดี๋ยวนี้" ฮุ่ยหมิ่นตกตะลึง เมื่อดึงสติมาได้ เขาก็ตะโกนเสียงดังภายในจวนจึงได้วุ่นวายไปหมด โม่ลี่ที่อยู่ในห้องหอก็อยากจะออกมาดูนายหญิงของตนใจแทบขาด แต่ก็โดนสั่งห้ามไว้ เพราะมีคนอยู่ในจวนมากมายให้นางวางใจได้ แต่นางก็มิยอมฟังยังออกจากห้องหอมาที่เ
คุณหนูหานร้องอย่างตกใจ พร้อมทั้งกระโดดไปที่ฮุ่ยหมิ่น แต่มีหรือที่คนอย่างฮุ่ยหมิ่นจะยอมให้สตรีนางอื่นมาโดนตัว เขาพุ่งหลบไปอีกทางอย่างรวดเร็วโดยไม่ลืมที่จะดึงซูมี่ออกห่างมาด้วยคุณหนูหานจึงล้มลงไปกองที่พื้นเสียงดัง สาวใช้ของนางต้องรีบเข้ามาประคองนายของตนอย่างเสียขวัญไหนจะมีเสือขาวที่นอนหมอบจ้องมาทางพวกนางเหมือนจ้องตะครุบเหยื่อ แต่ก็ไม่กล้าที่จะทิ้งนายตนเองมิเช่นนั้นเมื่อกลับจวนไม่รู้ว่าจะโดนลงโทษเช่นใด"ไล่มันออกไปสิเจ้าค่ะ" นางร้องสั่งฮุ่ยหมิ่นให้ไล่เสือขาว"เป็นเจ้าที่ต้องออกไป เสี่ยวไป๋เป็นสัตว์เลี้ยงของมี่มี่" ฮุ่ยหมิ่นเอ่ยเสียงเย็นอย่างไม่ไว้หน้าคุณหนูหานไม่คิดว่าฮุ่ยหมิ่นไม่รับตัวนางไว้ แล้วยังออกปากไล่นางออกจากจวนอีก นางจึงร้องไห้รีบร้อนออกจากจวนท่านแม่ทัพไปอย่างอับอาย"นางเข้ามาได้อย่างไร" ฮุ่ยหมิ่นเอ่ยถามบ่าวเสียงเข้ม"ข้าให้นางเข้ามาเองเจ้าค่ะ อยากรู้ว่านางมาด้วยเรื่องอันใด" ซูมี่ถูกฮุ่ยหมิ่นประคองมายังที่นั่ง"แล้วรู้หรือยังว่านางเข้ามาด้วยเรื่องอันใด" เขาเอ่ยถามอย่างไม่เข้าใจ เพราะเขากับตระกูลหานไม่ได้สนิทถึงขั้นต้องไปมาหาสู่กัน อีกอย่างฮูหยินรองก็ไม่ถูกกับมารดาของตนอีกด้
ฮุ่ยหมิ่นก็ตั้งใจทำเช่นที่เขาพูดจริง นับตั้งแต่วันนั้นมา ฮุ่ยหมิ่นก็เหมือนจะเร่งมือเรื่องทำบุตรทุกค่ำคืน เพราะซูมี่นางกลับไปที่จวนโหวทุกวันเพื่อดูน้องชายบ้างวันฮุ่ยหมิ่นกลับมาจากค่ายทหารยังหาภรรยารักไม่พบ จนต้องตามไปที่จวนท่านพ่อตาเพื่อรับนางกลับจวน"เกิดอันใดขึ้น" ฮุ่ยหมิ่นที่เพิ่งกลับมาถึงเรือน ก็เห็นบ่าววิ่งกันให้วุ่น"ท่านแม่ทัพ ฮูหยินนางกินอันใดมิได้ขอรับ บ่าวในเรือนจึงต้องไปทำใหม่เสียหลายรอบ" พ่อบ้านซานรีบบอกฮุ่ยหมิ่น"ตามหมอหรือยัง" ฮุ่ยหมิ่นเหมือนจะลืมไปว่าซูมี่นางรู้วิชาแพทย์"ฮูหยินมิได้ตามขอรับ" พ่อบ้านซานหลบสายตาของฮุ่ยหมิ่น"ประเสริฐ" เขารีบร้อนเดินไปที่เรือนของตนเพื่อดูอาการของซูมี่ และอยากจะตำหนินางที่ไม่ยอมตามหมอ"มี่มี่ เหตุใด เจ้าถึงไม่ตามหมอ" ฮุ่ยหมิ่นเข้ามาถึงก็เอ่ยถามทันทีแต่เมื่อเห็นโม่ลี่ประคองกระโถนในมือเพื่อให้ซูมี่นางอาเจียนก็รีบร้อนเข้ามานั่งข้างนางทันที"ท่านยังมิรู้อีกหรือว่าข้าเป็นอันใด" ซูมี่เอ่ยถามอย่างอ่อนแรง เสี่ยวไป๋ก็เข้ามาซุกอยู่ที่ท้องของนางอย่างห่วงใย"ดื่มก่อนเจ้าค่ะนายหญิง" เป่าเปาส่งถ้วยน้ำในมือของนางให้ซูมี่ เมื่อนางดื่มเข้าไปอาการอยากอาเจี
ภายในห้องโถงเรือนหลักของจวนแม่ทัพ ในยามนี้มีเพียงบิดามารดาของฮุ่ยหมิ่นเท่านั้น เพราะเขาแยกจวนมาอยู่ที่จวนท่านแม่ทัพแล้ว วันนี้นายท่านไป๋กับฮูหยินไป๋เพียงมาพักช่วงรับตัวเจ้าสาวเข้าจวน"คารวะท่านพ่อ ท่านแม่เจ้าค่ะ" ซูมี่ยกน้ำชาขึ้นเหนือคิ้วของนาง ส่งให้นายท่านไป๋กับฮูหยินไป๋"นับจากนี้เจ้าเป็นบุตรสาวของข้าอีกคนแล้ว" ฮูหยินไป๋จินชาเล็กน้อย ก่อนจะวางโฉนดที่ดินนอกเมืองให้ซูมี่ห้าร้อยหมู่เพื่อรับขวัญลูกสะใภ้"หากมีเรื่องอันใดที่จัดการไม่ได้ ก็บอกแม่สามีของเจ้าแล้วกัน" นายท่านไป๋ก็ชาขึ้นดื่มเล็กน้อยพร้อมทั้งโบ้ยให้ทางฮูหยินไป๋รับเรื่องไว้ฮุ่ยหมิ่นส่ายหัว เมื่อเห็นมารดาทำหน้าเหมือนอยากจะทุบบิดาของตน ซูมี่นำของที่นางเตรียมไว้มอบให้นายท่านไป๋และฮูหยินไป๋ เมื่อทั้งคู่เปิดดูก็ต้องตกตะลึงจนอ้าปากค้าง เพราะนางให้โสมที่นางปลูกไว้ให้ทั้งสองถึงห้าหัวแต่ถ้าทั้งคู่รู้ว่าโสมของนางมีเป็นพันหัวไม่รู้จะแสดงสีหน้าเช่นไร แม้โสมทั้งห้าหัวจะไม่ได้มีขนาดใหญ่เช่นที่เสี่ยวเฮยนำมาให้ซูมี่ แต่ถ้าเทียบกับที่จวนอื่นมี ในมือของทั้งคู่ตอนนี้ก็ถือว่าใหญ่ที่สุด ฮูหยินไป๋กอดกล่องไม้ไม่ยอมส่งให้สาวใช้ถือ เมื่อทานอาหารเช