เขาครางในอกคล้ายคนที่กำลังร่ำสุราจนมัวเมา ปักจมูกลงที่ผิวกายนางสูดกลิ่นหอมอ่อนเฉพาะตัวของสตรีชาววังชั้นสูงเข้าเต็มอก จากนั้นก็ใช้ปลายลิ้นร้อนไล้วนเลียรอบสะดือ
“ท่านพี่....”
นางเผยอปากร้องเรียกเขาเอาไว้ สองมือผวาจับบ่าแกร่งของเขาไว้แน่น ยิ่งเขาเคลื่อนปากร้าย และปลายลิ้นร้อนเข้าใกล้จุดอ่อนไหวของนางมากเท่าไหร่ นางยิ่งบิดกายเร่าซ่านกระสันมากขึ้น
“ฟางเหริน... ให้ข้าได้ปลอบประโลมเจ้าเถอะ”
ใบหน้าคมคายอาจหาญเงยขึ้นมองนางด้วยความรักใคร่ ขณะที่ใช้ปลายนิ้วแกร่งกดลงที่เม็ดสีแดงบนเนินเนื้อกุหลาบงาม
“อ๊ะ !”
เฟิ่งอี๋สะดุ้งเล็ก ๆ เมื่อเขากดนิ้วเคล้าคลึงตรงจุดที่อ่อนไหวที่สุด ก่อเกิดความเสียวซ่านอย่างยิ่งยวดจากบริเวณนั้นแผ่กระจายไปทั่วทั้งร่าง
“ทะ... ท่านพี่ จะทำอะไร อื้ออออ... อ่า”
ร่างงามบิดเร่าแรงขึ้น เมื่อเกอหลางขยับปลายนิ้วแกร่งถูไถไปตามกลีบดอกกุหลาบสีแดงฉ่ำ
“เจ้าสูญเสียลูกของเราไปจากตรงนี้....”
ลมหายใจของเขากระชั้นถี่ขึ้นเมื่อก้มลงมองกลีบกุหลาบที่กำลังฉ่ำวาวไปด้วยน้ำหวาน ด้านบนมีเม็ดทับทิมสีสวย ส่วนด้านล่างเป็นรูสวรรค์สรรค์สร้างทารก นางต้องเจ็บปวดเพียงไรจากตรงนี้ เขาจึงอยากจะช่วยจูบซับความเจ็บปวดนั้นให้ สองมือแกร่งจึงสอดเข้าใต้สะโพกกลมกลึง แล้วยกสะโพกขึ้นเล็กน้อยให้กลีบเนื้อฉ่ำ ๆ เปิดอ้าออก จากนั้นเขาก็ผนึกปากรวกร้อนลงบนดอกกุหลาบทั้งดอก แล้วใช้ปลายลิ้นร้อนป่ายปาดไปทั่ว
“อ๊า !”
เฟิ่งอี๋กรีดร้องดังขึ้นกว่าเดิม สองมือเลื่อนขึ้นขยุ้มกลุ่มผมดกดำของเขาเอาไว้เต็มกำมือเพื่อบรรเทาความเสียวซ่านที่ถาโถมเข้ามา
เขาใช้ลิ้นร้อนปาดเลียกลืนกินรสชาติหวานล้ำอย่างหิวกระหาย พร้อมกับขบเม้มที่เม็ดทับทิมซ้ำ ๆ จนร่างของนางแอ่นหยัด แล้วน้ำหวานก็ไหลพรั่งพรูออกมาให้เขากลืนกินได้เต็มปาก
“อืม.... อ่า อ๊าซ์ !”
เฟิ่งอี๋ครางลั่น ตอนนี้นางไม่เกรงกลัวแล้วว่าเสียงของนางจะปลุกนางกำนัลในตำหนักตื่นมาหรือไม่ นางรับรู้เพียงความสุขซ่านที่ระเบิดแตกออกจนนางลอยละลิ่วขึ้นสู่เบื้องบน
นับตั้งแต่นางถวายตัวแก่ฮ่องเต้ จากสนมตำแหน่งเล็ก ๆ จนก้าวเข้าสู่ตำแหน่งฮองเฮา นางล้วนเป็นฝ่ายถวายงานบนเตียงให้ฮ่องเต้สุขสมโดยไม่ใส่ใจว่าตนเองจะมีความสุขหรือไม่ แต่แล้วคืนนี้นางจึงรู้ซึ้งแก่ใจว่า การเป็นฝ่ายได้รับการปรนนิบัติอย่างเอาใจใส่เช่นนี้ช่างสุขซ่านราวกับว่าบรรลุเป็นเทพเซียนแล้ว
เกอหลางหยัดกายขึ้น แววตาเร่าร้อนของเขามองใบหน้าสวยที่กำลังหยาดเยิ้มไปด้วยความสุขซ่านจากการปรนเปรอของเขาเมื่อครู่ ผมดำดุจเส้นไหมของนางแผ่กระจายเต็มหมอน ผิวของนางขึ้นสีแดงเปล่งปลั่ง ปลุกเร้าให้เลือดบุรุษร้อนฉ่า อาวุธที่ทรงอานุภาพร้ายแรงที่ซ่อนตัวอยู่ใต้หว่างเขาก็ผงาดง้ำขึ้น เขาจึงรีบเปลื้องอาภรณ์ของตนออกอย่างรวดเร็ว
ในระหว่างนั้น เขาก็ได้ยินเสียงฝีเท้าวิ่งมาหยุดที่หน้าห้องบรรทม
“พระสนม ! พระสนมเพคะ ทรงเป็นอะไรหรือไม่เพคะ”
นางกำนัลคนใหม่ร้องตามอย่างร้อนใจ ไม่กล้าวิ่งเข้าไปดูในห้องบรรทมว่าเกิดสิ่งใดขึ้นภายในห้อง เพราะเกรงว่าจะถูกลงโทษ นางจึงทำได้เพียงยืนกุมมือแน่นอยู่หน้าประตู
เกอหลางชะงักไปมองสบตาฟางเหรินกุ้ยเฟยภายใต้ความสลัวของแสงจันทร์ เขายังไม่ทันได้ตักตวงความสุขซ่านก็ถูกนางกำนัลคนใหม่เข้ามาขัดจังหวะเสียแล้ว เมื่อก่อนทุกครั้งที่เขามาหาฟางเหริน นางกำนัลคนสนิทอย่างอี๋เหนียงจะเป็นคนดูต้นทางให้ เพื่อป้องกันคนอื่นเข้ามารบกวน น่าเสียดายนักที่ตอนนี้นางอยู่ในคุก
เฟิ่งอี๋ปรับลมหายใจของตนเองให้เป็นปกติ จากนั้นจึงรีบตะโกนตอบกลับไปว่า
“เราแค่ฝันร้ายเท่านั้น ไม่ต้องเข้ามา และเราไม่อยากให้ใครรบกวน”
เมื่อได้ยินเสียงพระสนมตอบกลับมาแล้ว นางกำนัลจึงถอนหายใจอย่างโล่งอก แล้วเอ่ยตอบกลับว่า
“เพคะ”
เมื่อเงาของนางกำนัลหายไปจากหน้าประตูแล้ว เฟิ่งอี๋จึงหันความสนใจมาที่เรือนกายบุรุษตรงหน้า บ่าไหล่บึกบึนแข็งแรง แผงอกกว้างกำยำ ช่วงหน้าท้องมองเห็นมัดกล้ามเนื้อชัดเจน ส่วนความเป็นบุรุษของเขาใหญ่ผงาดราวกับลำหอกสวรรค์
“ท่านพี่.....”
เฟิ่งอี๋เรียกเขาอย่างเว้าวอน
เกอหลางมองสบประสานสายตากับนาง แล้วโน้มกายเข้าหายอดดวงใจของเขา สองมือประคองใบหน้างามหยาดเยิ้มเอาไว้ แล้วสั่งนางเสียงพร่าแหบว่า
“เรียกข้าว่า... เกอหลาง....”
เมื่อได้ยินดังนั้น เฟิ่งอี๋จึงรู้ว่าแท้จริงแล้วฟางเหรินเรียกชู้ลับเช่นนี้เอง นางจึงเรียกเขาเสียงหวานหยดว่า
“เกอหลาง....”
ทันทีที่นางเรียกชื่อเขา ใบหน้าคมคายองอาจก็โน้มลงทาบทับปากลงบนกลีบปากสีสวย บดเคล้าครั้งแล้วครั้งเล่าอย่างดูดดื่ม
“อึก”
เฟิ่งอี๋เผยอปากรับจูบแสนเร่าร้อนนั้นอย่างเคลิบเคลิ้ม ปลายลิ้นร้อนของเขารุกรานเข้าสู่โพรงปากหวาน จากนั้นก็เกี่ยวกวัดพัวพันจนรู้สึกหัวหมุนไปหมด
“อ่า”
เมื่อถอนปลายลิ้นออก ปากร้อนของเขาก็ขบเม้มกลีบปากด้านล่างของนางแผ่วเบา แล้วขบเม้มเนื้อลําคอขาวผ่อง
“อื้อ... เกอหลาง”
นางครางออกมาพร้อมกับหยัดกายขึ้นเสียดสีตนเองกับกล้ามเนื้อร้อนระอุของเขา นางรับรู้ถึงหอกสวรรค์แข็งแกร่งบดเบียดอยู่ที่หน้าท้องของนาง
“หืม”
เกอหลางคำรามเสียงต่ำในลำคอ ยิ่งรับรู้ว่านางกำลังต้องการเขา เขาก็ยิ่งต้องการนางอย่างรุนแรงยิ่งกว่า ลำหอกของเขามันเจ็บร้าวแทบจะระเบิด เขาจึงยกเรียวงามของนางขึ้นแล้วแยกออก เพื่อให้ลำหอกอยู่ตรงรูสวรรค์ จากนั้นก็ค่อย ๆ ขยับสะโพกแกร่งชําแรกเสียบเข้าไปในกายของนาง
“อ๊า......”
เฟิ่งอี๋ครางออกมาอย่างสุขสม รู้สึกถึงกลีบเนื้อของตนกำลังค่อย ๆ กลืนกินลำหอกใหญ่ร้อนฉ่า จากนั้นก็โอบรัดมันไว้ แล้วบริเวณนั้นก็กระตุกตอดดูดหอกให้เข้าไปลึกจนสุดลำ
“ฮืม... ฟางเหริน...”
เกอหลางครางเสียงสั่นพร่า ใบหน้าองอาจมีเหงื่อผุดพรายขึ้น ความรวดร้าวที่ลำหอกนำพาเขาให้ขยับเอวสอบจ้วงแทงเข้าออกอย่างช้า ๆ จากนั้นก็เร่งจังหวะหนักขึ้น ถี่ขึ้น
“อ๊ะ ๆ เกอหลาง.... เกอหลาง.... อ๊า ๆ...”
นางครวญครางเรียกชื่อเขากระเส่า ยิ่งส่งเสียงร้องครางมากขึ้นเท่าใด ก็เหมือนกับยิ่งเติมเชื้อไฟให้เขาถาโถมลำหอกข้าใส่นางอย่างหนักหน่วงและรุนแรงคล้ายกับม้าที่ห้อตะบึงไปข้างหน้าอย่างคึกคะนอง
“ฟางเหริน... ฟางเหริน...”
เกอหลางไม่สามารถควบคุมยับยั้งตนเองได้อีกแล้ว เขาจึงเร่งกระทั้นกระแทกเข้าใส่นางอย่างรุนแรง จนนางหยัดร่างเข้าหาเขา แล้วแหงนหงายศีรษะไปด้านหลังไม่นานนักร่างของนางก็เกร็งสะท้าน กลีบเนื้อนางบีบรัดลำหอกเขาตุบตับ น้ำหวานไหลทะลักออกมา
“อ๊า......”
เฟิ่งอี๋ร้องออกมาคำหนึ่ง ก่อนลอยละลิ่วขึ้นสู่สรวงสวรรค์
ในขณะที่นางลอยขึ้นสวรรค์ไปเป็นครั้งที่สอง ลำหอกใหญ่ของเขายังคงแข็งคึกในกายนาง กลีบเนื้อนางบีบรัดแน่นขึ้น ความร้อนระอุจากช่องแคบเร่งเร้าให้เขาลอยตามติดนางไป มือแกร่งจึงจับร่างนางพลิกขึ้นให้อยู่ในท่าคลานสี่ขา ส่วนตัวเขาทาบทับอยู่ด้านหลัง
“อ๊า !”
เฟิ่งอี๋เหยียดยิ้มที่มุมปาก แล้วกรีดนิ้วหยิบน้ำชาขึ้นจิบอย่างสำราญใจ“ใต้เท้าเกอหลาง หัวหน้าองครักษ์ขอเข้าเฝ้า”เสียงขันทีประจำตำหนักเมฆาสวรรค์ร้องประกาศขึ้นตามระเบียบการขอเข้าเฝ้าฮ่องเต้“เข้ามาได้”เฟิ่งอี๋เอ่ยเสียงเรียบเป็นการอนุญาต ขันทีจึงเดินนำขุนนางผู้นั้นเข้ามา เมื่อฮ่องเต้หญิงโบกมือขึ้นหนึ่งครั้ง นางกำนัลและขันทีก็หายออกไปจากห้องรับรองอย่างรวดเร็ว“ถวายพระพรฝ่าบาท ของจงทรงพระเจริญ หมื่นปี หมื่นปี หมื่นหมื่นปี”เกอหลางคุกเข่าลงถวายความเคารพต่อฮ่องเต้พระองค์ใหม่ ซึ่งเคยเป็นสตรีอันเป็นที่รักยิ่งของเขา เขาจึงรู้สึกกระอักกระอ่วนใจปนเปกับความคิดสับสนบางประการ“ลุกขึ้นเถอะ ไม่ตั้งมากพิธี”เฟิ่งอี๋บอก ดวงตาหงส์คมกริบจับจ้องบุรุษตรงหน้าอย่างใคร่ครวญ ความรักที่มีต่อฟางเหรินของบุรุษผู้นี้ทำให้แผนการแก้แค้นทุกอย่างราบรื่น แต่นางก็ไม่อาจแน่ใจได้ว่าความรักที่มีมากล้นนี้จะหวนกลับมาทำร้ายนางหรือไม่ หากเขารู้ว่าแท้จริงแล้ววิญญาณที่อยู่ในร่างนี้ไม่ใช่ฟางเหรินคนรักของเขา !“ขอบพระทัยพ่ะย่ะค่ะ”เกอหลางลุกขึ้น แล้วมองสบพระเนตรฮ่องเต้หญิง ฉับพลันนั้นเขารู้สึกว่าไม่เคยรู้จักสตรีตรงหน้าแม้แต่น้อย ด
เฉินฉู่หยัดสะโพกขึ้นรับกับปากน้อยอย่างซ่านกระสัน สองมือสอดเข้าเรือนผมสีดำนุ่มสลวยของนาง แล้วเคล้าคลึงอย่างสุขซ่านเฟิ่งอี๋ใช้เรียวลิ้นเล็กตวัดไล้เลียที่ส่วนหัวมังกรบากใหญ่ลิ้มรสหวานผสมกับรสเค็มปะแล่ม จากนั้นก็ปาดเลียไปทั่วแก่นลำ“อืม... ฮองเฮา... ฮองเฮา ข้าจะทนไม่ไหวแล้ว”เฉินฉู่ไม่อาจทนการยั่วเย้าได้อีกไป เขาหยัดกายขึ้นแล้วกดนางลงกับเตียงเป็นฝ่ายขึ้นคร่อมนางไว้ จากนั้นก็จ้วงแทงแก่นมังกรใหญ่เข้าสู่กายนางอย่างเร็วรวด“อ๊าซ์ !”เฟิ่งอี๋อุทานครางออกมาลั่น แก่นมังกรร้อนฉ่ามุดเข้าสู่ภายในกายของนางจนสุดลำ“ฮองเฮา...ข้ารักเจ้า... ข้ารักเจ้า”อ๋องเฉิงฉู่พร่ำไม่หยุดปาก ขณะที่พรมจูบไปตามใบหน้างดงามเต็มไปด้วยเสน่ห์เร้าใจ จากนั้นก็ก้มลงบดจูบนางอย่างเร่าร้อน ใช้ปลายลิ้นร้อนตวัดเกี่ยวพันกับลิ้นเล็กเพื่อดูดดื่มความหวานล้ำ เมื่อถอนจูบออกเขาก็ขบเม้มกลีบปากล่างของนางอย่างหื่นกระหาย“อ่า”เฟิ่งอี๋ยกมือขึ้นลูบไล้ไปตามแผ่นหลังแกร่ง เร่งเร้าให้เขาขยับสะโพกอัดแก่นมังกรเข้าออกร่างอ๋องเฉิงฉู่สั่นสะท้านตอบรับ ลมหายใจกระชั้น เขาจึงขบนางเบา ๆ ที่บ่าอย่างลุ่มหลง แล้วหยัดตัวขึ้น สองมือจับเอวนางไว้แล้วเริ่มกระแทกแ
อ๋องเฉินฉู่เอ่ยกับนาง แต่กลับก้มหน้าลง มิอาจมองนางตรง ๆ ได้ เพราะอาภรณ์ที่นางสวมใส่บางนัก จนมองเห็นโครงร่างของทรวงอกอวบอิ่มเป็นดอกบัวตูมดอกใหญ่ ปลายยอดดอกพุ่งชี้มาทางเขา จนรู้สึกว่าห้องนี้ช่างร้อนเกินไปแล้ว“ท่านอ๋อง.... บัดนี้ฮ่องเต้ทรงประชวรมิอาจออกว่าราชการได้ งานในราชสำนักหากปล่อยไว้เนิ่นนานไม่ดีแน่ เรามองไม่เห็นผู้ใดแล้ว.... นอกจากท่าน... ท่านเท่านั้นที่จะบริหารบ้านเมืองต่อไปได้”เสียงของนางหวานล้ำอีกทั้งยังเจื่อความขมขื่นในใจ ต่อให้ผู้ฟังเป็นบุรุษใจหินเพียบงใด ก็อ่อนยวบลงราวกับขี้ผึ้งลนไฟเมื่อได้ยินนางเอ่ยเช่นนั้นสายตาของอ๋องเฉินฉู่ก็แปรเปลี่ยนเป็นกรุ้มกริ่มขึ้นมา ต่อให้นางเป็นแม่ของแผ่นดิน แต่ดรุณีน้อยก็ยังเป็นบุปผาแรกแย้มอยู่วันยังค่ำ เมื่อเสาหลักที่ยึดเกาะพังทลายลง มีหรือนางจะไม่หันเข้าหาเสาต้นใหม่เป็นที่พักพิง“ขอบพระทัยฮองเฮาที่ทรงเชื่อมั่นในตัวข้า”เขาเอ่ยอย่างลำพองใจเป็นที่สุด นับตั้งแต่อดีตเชื้อพระวงศ์ก็มิอาจหลีกเลี่ยงการเข่นฆ่าพี่น้องเพื่อชิงบัลลังก์ แต่สำหรับเขาแล้วรู้สึกว่าสวรรค์ช่างเข้าข้างยิ่งนัก เลือดไม่เปื้อนมือเขาสักหยด แต่บัลลังก์กลับถูกถวายใส่พานให้เขาเสียแล้ว
“ว่าอย่างไรนะ”ฮ่องไทเฮาแทบจะล้มลงกับพื้น นางกำนัลสองคนจึงรีบเข้ามาพยุงไว้ ผู้ที่ได้ยินถ้อยคำนั้นถึงกับอุทานออกมาอย่างพร้อมเพรียง – ฮ่องเต้มีชีวิตอยู่ราวกับคนตายหรือเนี่ย –ส่วนหมอหลวงนั้นมิอาจตอบคำถามได้อีกต่อไปทรุดตัวลงแล้วโขกศีรษะลงกับพื้นราวกับคนเสียสติเพื่อร้องขอชีวิต“โปรดไว้ชีวิตหม่อมฉันด้วย”“เอามันไปตัดหัว !”ฮองไทเฮาสั่งลงอาญาทั้งน้ำตาเฉินเฉิงฮ่องเต้ได้ยิน และเห็นทุกอย่างผ่านห่างตา เห็นว่าหมอหลวงถูกทหารลากออกไปได้รับโทษทัณฑ์แทนฮองเฮา แต่เขามิอาจเอ่ยวาจาร้องขอความเป็นธรรมแทนหมอหลวงได้ แม้กระทั่งขยับตัวก็มิอาจทำได้ ทำได้เพียงปล่อยเรื่องทั้งหมดให้เป็นไป พระองค์เสียใจอย่างที่สุดที่เฟิ่งอี๋ไม่ฆ่าเขาให้ตาย เพราะถ้าเขาตายก็ไม่ต้องรู้สึกเจ็บปวดและสิ้นหวังเหมือนตอนนี้ !2 วันต่อมาเฟิ่งอี๋ในร่างของฟางเหรินฮองเฮากำลังกรีดนิ้วหยิบช้อนตักน้ำแกงป้อนฮ่องเต้ซึ่งนอนอยู่บนแท่นบรรทม น้ำแกงสีทองไหลเข้าพระโอษฐ์ได้เพียงหนึ่งส่วน ส่วนที่เหลือล้วนถูกเขาใช้ลมขับพ่นออกมาจนเลอะไปทั้งหน้าและปากของตนเองเฟิ่งอี๋ไม่เพียงแต่ไม่โมโหกลับยังยิ้มเย็นให้คนที่ทำตัวเหมือนเด็กเอาแต่ใจไม่ยอมกลืนอาหารลงไปดี ๆ น
ตั้งแต่สตรีนางนี้เหยียบย่างเข้าสู่วังหลวง ล้วนมีเรื่องร้ายให้พระองค์ต้องกังวลพระทัยบ่อย ๆ พระองค์จึงไม่โปรดนางเท่าใดนัก ยิ่งวันนี้โอรสของพระองค์ถึงกับประชวรในขณะที่ฟางเหรินเป็นผู้ปรนนิบัติ พระองค์จึงชิงชังนางเข้าไส้ เพราะปักพระทัยเชื่อว่า สตรีนางนี้เป็นกาลกิณีที่นำเภทภัยมาสู่บัลลังก์ !ฮองไทเฮาตวัดสายตาคืนกลับมา ด้วยเคยเป็นพญาหงส์มานานจึงซ่อนอารมณ์ความรู้สึกทุกอย่างไว้ภายใต้หน้ากากยับย่นที่เต็มไปด้วยริ้วรอยแห่งวัย พระองค์รอให้หมอหลวงตรวจพระวรกายขององค์ฮ่องเต้จนเรียบร้อยแล้วจึงตรัสถามว่า“เป็นอย่างไรบ้าง”“เรียนไทเฮา... จากการตรวจชีพจรพบว่าเลือดลมของฝ่าบาทวุ่นวายสับสน คล้ายกับว่าเผชิญกับเรื่องตื่นตระหนก หรือตื่นเต้นอย่างสุดขีด เกินกว่าร่างกายจะรับไหว จึงหมดสติไปพ่ะย่ะค่ะ”หมอหลวงประสานมือไว้ได้หน้าแล้วกล่าวรายงาน ไม่กล้าสบพระเนตรฮองไทเฮาคล้ายกับมีสิ่งใดซ่อนไว้“ถ้าเพียงแค่ตกใจ ไยตอนนี้ฮ่องเต้ยังไม่ฟื้นเล่า”ฮองไทเฮาน้ำเสียงเข้มขึ้น ซักถามอย่างข้องใจ“อะ... เอ่อ..”หัวใจของหมอหลวงเต้นแรงขึ้น บนหน้าผากเริ่มมีเหงื่อผุดพรายขึ้นมา“ท่านหมอ”ฮองไทเฮาเรียกหมอหลวงเสียงเยียบเย็นเสียงนั้นทำให้ห
เฉินเฉิงแววตาสั่นระริกในนั้นปรากฏรอยหวาดกลัวและสับสน อยากจะวิ่งหนีแต่ร่างกายขยับไม่ได้ตามคำสั่งแม้แต่น้อย อยากตะโกนให้คนช่วยแต่ขากรรไกรเขากลับค้างไม่สามารถเปล่งวาจาออกมาเป็นคำได้เลย“อ่า.... พระองค์ทรงลืมไปแล้วหรือ.... มีสตรีนางหนึ่งที่ยอมละทิ้งอาชีพทางการแพทย์ ทิ้งความฝันของตนเพียงเพื่อถวายตัวและหัวใจรับใช้ฝ่าบาทอย่างโง่งม”เฟิ่งอี๋หยัดกายขึ้น เอ่ยถึงความหลังขณะที่ใช้ปลายนิ้วไล้ไปตามพระพักตร์ขาวซีดของฮ่องเต้“ในครั้งนั้น ฝ่าบาททรงโปรดหม่อมฉันที่สุด จนได้รับแต่งตั้งเป็นฮองเฮา และยังตรัสกับหม่อมฉันว่า - สตรีงามไม่นานก็โรยรา แต่สตรีมีปัญญาเลิศล้ำ ควรค่าต่อการเป็นแม่ของแผ่นดิน - เหอะ !”นางแค่นเสียงออกมาคำหนึ่ง ดวงตารื้นขึ้นด้วยน้ำตาแห่งความเจ็บซ้ำ จากนั้นก็เอ่ยต่อไปด้วยเสียงสั่นพร่าว่า“ถ้อยคำเหล่านั้นล้วนจอมปลอมทั้งสิ้น มีปัญญาสูงค่าแล้วอย่างไร สุดท้ายพระองค์ก็เลือกสตรีเลอโฉมขึ้นมาแทนที่หม่อมฉัน หนำซ้ำยังควักเอาหัวใจของหม่อมฉันออกมาเฉือนเป็นชิ้น ๆ โดยการสั่งให้หม่อมฉันดื่มยาขับเลือด ! ลูกของหม่อมฉัน พระองค์ทรงฆ่าลูกของเราด้วยมือของพระองค์เอง !”น้ำตาของนางไหลอาบทั้งสองแก้ม น้ำอุ่น ๆ ไ