อากาศต้นเดือนห้านั้นร้อนอบอ้าวยิ่งนัก อวิ๋นซือนั่งมองจดหมายในมือด้วยแววตาราบเรียบไร้ความรู้สึก ตัวอักษรที่บรรยายมาชวนให้ใจหดหู่ คล้ายนางเห็นเหตุการณ์พวกนั้นเกิดขึ้นเบื้องหน้า
มือขาวเนียนดุจหยกสั่นวูบหนึ่ง ทว่าเพียงเสี้ยวพริบตาก็เป็นปกติ เมื่อเจ้าของมันกลับมาควบคุมสติตัวเองได้อีกครั้ง ตั้งแต่เติบใหญ่มาหญิงสาวไม่เคยร้องไห้โศกเศร้า นางใช้สติจัดการเรื่องราวทุกอย่าง เติบโตมากับการใช้เหตุผลแทนการใช้ความรู้สึก เพราะอวิ๋นซือรู้ดีว่าคนที่รู้สึกก็คือคนที่พ่ายแพ้
แล้วไยมารดาของนางจึงไม่ยอมเข้าใจกันนะ!
ร่างบอบบางขยับกายลุกขึ้นอย่างเชื่องช้า จดหมายแจ้งเรื่องราวของผู้เป็นมารดาถูกนำไปลงวางในกล่อง บิดาคิดปลดมารดา ยกย่องฮูหยินสามขึ้นเป็นใหญ่ อ้างเหตุว่าเป็นเพราะภรรยาเอกนั้นไร้บุตรชายสืบทอดสกุล
อวิ๋นซือแค่นยิ้มเย้ยหยัน ดวงตาสีนิลทอประกายลึกล้ำ เหตุการณ์ในราชสำนักแปรเปลี่ยน ตระกูลจางที่ขาดท่านตากับท่านยายจะยังเหลืออะไรให้บิดาเกรงใจเล่า ที่ผ่านมาอีกฝ่ายยอมให้มารดานางเป็นฮูหยินใหญ่ก็เพราะสิ้นทั้งสองท่านก็ยังมีน้าชายที่เป็นรองแม่ทัพอนาคตไกล
ทว่ายามนี้ท่านน้าสิ้นชีพในการปราบปรามโจรป่า อีกทั้งท่านยังไร้ทายาทสืบทอด แค่มองก็รู้ว่าตระกูลจางถึงคราต้องล่มสลายแล้ว ไฉนท่านพ่อยังต้องไว้หน้าผู้ใดอีกเล่า เอาเถอะ แม้นางจะหดหู่ที่มารดายังงมงายไม่ลืมหูลืมตา แต่อีกฝ่ายก็เป็นผู้ให้กำเนิดชีวิตที่ไร้ความโปรดปรานได้เติบใหญ่ขึ้นมาก็เพราะท่าน จะให้นิ่งดูดายคงไม่ได้อยู่ดี
อีกอย่าง... นางเองก็คาดการณ์เรื่องนี้ไว้นานแล้วมิใช่หรือ เช่นนั้นไหนเลยจะยินยอมแต่งเข้าสกุลหลันง่ายดาย เมื่อชายผู้ให้กำเนิดที่มองตนเองเป็นเพียงไม้ประดับจวนออกคำสั่ง คงถึงเวลาต้องใช้สามีที่แสนดีของนางให้เป็นประโยชน์แล้วกระมัง
เพราะที่นางยอมเหนื่อยยากทั้งหมดก็เพื่อการนี้มิใช่หรือ
“มีใครอยู่ข้างนอกบ้าง” เสียงใสเอ่ยราบเรียบ
ไม่นานสองสาวใช้คนสนิทก็ก้าวเข้ามา “ฮูหยิน”
ดวงตาดำขลับกวาดมองพลางเอ่ยถาม “เสี่ยวเซียงเล่า”
เสี่ยวอิงและเสี่ยวหยวนพลันนิ่งเงียบ ให้นึกเจ็บแค้นแทนผู้เป็นนายจนขอบตาแดงเรื่อ เสี่ยวเซียงหญิงสารเลวเลี้ยงไม่เชื่อง ขนาดฮูหยินเป็นผู้เมตตาชุบชีวิตนางจากการต้องถูกขายเข้าหอนางโลมแท้ๆ อีกฝ่ายยังกล้าแทงข้างหลัง
ครั้นเห็นท่าทางของสาวใช้คนสนิท อวิ๋นซือก็พอเดาได้ว่าเสี่ยวเซียงคงฉวยโอกาสตอนที่ขึ้นเตียงกับเจ้านายสำเร็จ เกาะติดหลันชิงไม่ยอมปล่อย หญิงสาวหลุบตาลงครุ่นคิดด้วยความเงียบขรึม พลางสั่งงานคนของตนให้ไปทำ จากนั้นจึงบอกให้ออกไปได้
เสี่ยวอิงและเสี่ยวหยวนเป็นเด็กสาวหัวไว พวกนางรับคำแล้วไปจัดการโดยไม่เอ่ยถาม เพราะสำหรับทั้งสองแล้ว อวิ๋นซือคือเจ้านาย มิใช่สกุลหลัน
ภายในห้องที่เงียบสงบ อวิ๋นซือนั่งรอโชคชะตาอย่างเงียบๆ บอกตนเองในใจว่าช่วงนี้นางหย่อนยานไปมากจริงๆ ทำให้ละเลยนายจ้างไปไม่น้อย เห็นทีคงต้องออกแรงสักหน่อยแล้ว
สองสามวันต่อมา ข่าวเรื่องสาวใช้นางหนึ่งปีนขึ้นเตียงนายท่านหลัน อีกทั้งยังยั่วยวนไม่ยอมออกจากเรือนใหญ่ก็รู้ไปถึงหูของฮูหยินผู้เฒ่า ซึ่งคนที่นำเรื่องราวไปบอกก็หาใช่ใครอื่น เป็นฮูหยินห้าหลิงซีนั่นเอง
ฮูหยินผู้เฒ่าในอดีตฟันฝ่ากับเหล่าเมียรองของสามีมาอย่างโชกโชน นางย่อมรู้เท่าทันเล่ห์เหลี่ยมกลโกงของสตรีเรือนหลังเป็นอย่างดี อีกทั้งยังมีอคติต่อบรรดาเมียรองกับอนุอย่างยิ่ง เมื่อทราบเรื่องนี้ก็ให้นึกไม่ชอบใจ พอฟังที่หลิงซีเล่าจบก็โบกมือไล่อีกฝ่ายทันที
“ฮูหยิน แล้วพวกเราจะทำอย่างไรต่อดีเจ้าคะ”
เสี่ยวอิงถามคนเป็นนาย สาวใช้ให้นึกร้อนใจแทน แม้ว่าพวกนางจะลอบปล่อยข่าวเรื่องนี้ให้ฮูหยินห้าร้อนใจได้ แต่ถ้าฮูหยินผู้เฒ่าไม่เล่นด้วย ทุกอย่างก็เปล่าประโยชน์เสียแล้ว
คนถูกถามละความสนใจจากอาหารบนโต๊ะ นางเลิกคิ้วขึ้นสูง ใบหน้ามีรอยยิ้มน้อยๆ “ริจะเป็นนายพราน เจ้าต้องมีความอดทนให้มากกว่าเหยื่อ”
เสี่ยวอิงพยักหน้ารับคำ ทว่ายังมีร่องรอยความกังวลให้เห็น อวิ๋นซือส่ายหน้าเบาๆ วางตะเกียบลงบนถ้วยข้าวพลางยื่นมือไปดีดหน้าผากเล็กนั้นอย่างเอ็นดู
“ดูพวกเจ้าสิ ให้ความสนใจผู้อื่นจนละเลยหน้าที่” นางเอ่ยเย้าหยอกคนสนิทพลางหลิ่วตาลง “ปรนนิบัติฮูหยินของเจ้ากินข้าวสำคัญกว่าไหม”
ท่าทางขี้เล่นอารมณ์ดีที่แสดงออกไม่มีคนนอกได้เห็น ดังนั้นจึงไม่เคยมีผู้ใดล่วงรู้ว่าฮูหยินใหญ่ที่น่าเกรงขามก็มีมุมสาวน้อยร่าเริงเช่นกัน เสี่ยวอิงและเสี่ยวหยวนเห็นผู้เป็นนายยังแจ่มใส ก็ละความสนใจจากเรื่องอื่นแล้วหันมาปรนนิบัติอีกฝ่ายให้รับอาหารเพิ่มทันที
วันนี้อวิ๋นซือก็ยังคงเหมือนทุกวัน ชีวิตของนางวนเวียนอยู่กับการดูแลคฤหาสน์จัดการเรื่องราว ผ่านเวลาไปเรื่อยๆ อย่างไม่เร่งร้อน เพียงไม่กี่วันข่าวการถูกขายของอดีตสาวใช้ก็เข้าหู เสี่ยวอิงเป็นผู้มารายงานด้วยน้ำเสียงสะใจ พวกนางย่อมไม่มีความเห็นใจให้คนที่ทรยศฮูหยินอยู่แล้ว
“ฟังจากป้าผิงแม่ครัว เหมือนเมื่อเช้าจะมีคำสั่งให้ทำความสะอาดเรือนนายท่าน ไม่รู้ว่านางไปทำอีท่าไหนเข้า ถึงทำแจกันพระราชทานที่นายท่านได้มาแตก ฮูหยินผู้เฒ่ามีโทสะจึงสั่งโบยและให้จัดการขายนางเจ้าค่ะ”
เมื่อฟังแล้วอวิ๋นซือให้นึกขบขัน จู่ๆ จะมีเรื่องบังเอิญขนาดนี้เกิดขึ้นได้อย่างไร คำสั่งทำความสะอาดเรือนที่ไม่มีเหตุผล ประจวบเหมาะกับแจกันพระราชทาน ฮูหยินผู้เฒ่าช่างทุ่มทุนนัก แจกันพระราชทานแลกกับสาวใช้คนหนึ่ง เห็นนางมีโทสะ หลันชิงย่อมไม่กล้าขัดขวางเป็นแน่
“ฮูหยินใหญ่เจ้าคะ” เสี่ยวหยวนก้าวเข้ามาเรียกเมื่อเห็นหญิงสาวมองมาก็รีบรายงานต่อ “นางมาคุกเข่าร้องไห้อยู่หน้าเรือนเจ้าค่ะ จะให้บ่าวตามคนมาลากนางกลับไปเลยหรือไม่เจ้าคะ”
ใบหน้างดงามแสดงความแปลกใจนิดๆ อดีตสาวใช้ของนางผู้นี้ไม่มีหัวคิดขนาดนั้นเลยหรือ ทั้งที่เพิ่งหักหลังเจ้านายไปแท้ๆ แต่พอเกิดเรื่องก็วิ่งแจ้นกลับมาร้องห่มร้องไห้ขอความเห็นใจ เห็นนางเป็นแม่พระหรือว่ามีเหตุผลอื่นแอบแฝงกัน
นั่นสินะ นางดูแลเรือนหลังมาด้วยความยุติธรรม อีกฝ่ายมาคุกเข่าร้องห่มร้องไห้น่าสงสารขนาดนี้ หากยังวางตัวนิ่งเฉยคงถูกสตรีเรือนหลังคนอื่นเอามาเสียดสีเป็นแน่ ว่านางเป็นคนจิตใจคับแคบและเห็นแก่ตัว ขนาดคนเคยปรนนิบัติเดือดร้อนยังไม่ยื่นมือเข้าช่วยเหลือ
ฮึ! จนถึงขนาดนี้ยังคิดจะลากกันลงน้ำโคลนไปด้วยอีกหรือเสี่ยวเซียง อือ... ขอถอนคำพูด อีกฝ่ายไม่ใช่ไม่มีหัวคิดอย่างที่นางนึก อีกทั้งยังช่างคิดเสียด้วย
ทว่า... ลืมไปแล้วหรือว่า ใครเป็นคนสอนเจ้าให้คิดเป็นกัน
“เอาเถอะ นางมาร้องไห้หน้าเรือนขนาดนี้ ข้าจะไม่ออกไปดูก็กระไรอยู่”
ร่างบางก้าวออกจากเรือนอย่างไม่รีบร้อน สองข้างขนาบด้วยสาวใช้คนสนิท ทั้งคู่เดินประคองเจ้านายของตนด้วยท่าทีระมัดระวัง แววตามองสตรีผู้มีใบหน้างดงามที่นั่งคุกเข่าอยู่หน้าเรือนอย่างไม่เป็นมิตร
...ก็ใครจะกล้าไว้ใจสุนัขที่เคยเเว้งกัดเจ้าของ!
“ฮูหยินใหญ่ๆ ได้โปรดเมตตาช่วยเสี่ยวเซียงเถิดนะเจ้าคะ ข้าสำนึกผิดแล้วจริงๆ”
พอสายตาเห็นเจ้านายเก่า อดีตสาวใช้ก็รีบถลาเข้ามาคุกเข่า ใบหน้าเล็กงดงามเปียกปอนด้วยน้ำตา ท่าทางร่ำไห้เห็นแล้วชวนให้นึกอยากทะนุถนอม ประดุจดอกสาลี่ต้องลมฝน ทว่าน่าเสียดายที่อวิ๋นซือหาใช่บุรุษ จึงมิได้มีใจรักหยกถนอมบุปฝาสักเท่าใด
“ผิดแล้วเสี่ยวเซี่ยง มันไม่ใช่เรื่องที่ข้าจะเมตตาหรือไม่ แม้ว่าเจ้าเป็นสาวใช้ของข้าก็ตามเถอะ”
คำพูดแบ่งแยก ขีดเส้นสูงต่ำอย่างเห็นได้ชัด ขนาดแค่ไม่กี่วันที่ขึ้นเตียงสามีนางได้ เสี่ยวเซียงกล้าเล่นลิ้นใช้คำว่า ‘ข้า’ แทน ‘บ่าว’ อย่างที่เคย เห็นชัดว่าคิดปีนเกลียว แล้วจะให้นางส่งเสริมงูพิษมาเเว้งกัดตนเองหรือ อวิ๋นซือผู้นี้ยังไม่โง่งมถึงเพียงนั้น
เสี่ยวเซียงพลันชะงักในใจ ประโยคเมื่อครู่ฮูหยินใหญ่จงใจกดศีรษะนางแน่นอน อีกฝ่ายแสดงออกชัดเจนว่าไม่ได้มองนางเป็นเมียอีกคนของนายท่านเลยสักนิด อดีตสาวใช้จวนเก่ากัดริมฝีปากจนรู้สึกได้ถึงกลิ่นโลหิต แม้จะโกรธเกลียดคนตรงหน้ามากเพียงใด ทว่ายามนี้ไม่อาจต้านทานอำนาจของอีกฝ่าย จึงจำต้องก้มหัวให้เพื่อเอาตัวรอด
ในอดีตเสี่ยวเซียงเป็นคนฉลาดเฉลียวที่สุดในบรรดาสาวใช้ของอวิ๋นซือ นางถนัดในการมองสีหน้าและเอาใจผู้คน นับแต่ที่ได้คุณหนูใหญ่ใช้เงินไถ่ตัวมาจากบิดาที่คิดนำนางไปขายหอนางโลม เด็กสาวก็ติดตามอีกฝ่ายเรื่อยมา ในจวนเสนาบดีนั้น จางซื่อไร้อำนาจอีกทั้งความคิดยังตื้นเขิน ที่สามารถนั่งตำแหน่งฮูหยินใหญ่มาได้จนทุกวันนี้ก็เพราะบุตรสาวที่วางแผนอยู่เบื้องหลังนั่นเอง
เสี่ยวเซียงติดตามอวิ๋นซือพลางเฝ้าซึมซับและเรียนรู้ อยู่ที่จวนเก่านางไร้ความคิดจะปีนเตียงใต้เท้าเสนาบดี เพราะรูปลักษณ์และอายุของบิดาอีกฝ่ายหาได้น่าพิศมัยอันใด ทว่าหลันชิงนั้นไม่ใช่ เขามีรูปลักษณ์หล่อเหลา อีกทั้งยังอบอุ่นละมุนนุ่มนวล แผ่กลิ่นอายของบัณฑิต นับแต่ได้เห็นแวบแรก เสี่ยวเซียงก็เทใจทั้งดวงให้อีกฝ่ายจนสิ้น
นางหลงรักเขาตั้งแต่แวบแรกที่ได้พบ ใจดวงนี้มีนายท่านเข้ามายึดครองหมดทั้งดวง อีกทั้งเห็นสตรีของหลันชิงที่มีมากเสียยิ่งกว่ามาก เสี่ยวเซียงจึงกล้าตัดสินใจกระทำการหักหลังผู้เป็นนาย
อย่างไรเสียนายท่านก็ไม่ได้มีฮูหยินใหญ่เพียงผู้เดียวอยู่แล้ว เพิ่มนางอีกคนจะเป็นอะไรไป!
“หากฮูหยินใหญ่ยอมช่วยเหลือ เสี่ยวเซียงยินดีเป็นวัวเป็นม้าตอบแทนเจ้าค่ะ หากท่านสนับสนุนข้า ภายหน้าแม้มีบุตร ข้าก็พร้อมยกให้ท่านเป็นผู้ดูแล”
เสี่ยวเซียงมิได้โง่ นางรู้ดีที่อวิ๋นซือถูกเหล่าสตรีเรือนหลังวางแผนกลั่นแกล้ง ส่วนหนึ่งก็เพราะไม่มีบุตรค้ำจุนฐานะ ทำให้แม้ปกครองเหล่าอนุเด็ดขาดเพียงไหน ก็ยังไม่วายถูกวางเล่ห์ใส่ในบางครา และสิ่งที่นางเสนอก็เป็นทางเลือกที่บรรดาเมียเอกมักใช้ในยามที่ไม่สามารถมีทายาทเองได้ สาวใช้เงยหน้าขึ้นสบตากับอดีตเจ้านายอย่างมุ่งมั่น มั่นใจว่าอีกฝ่ายต้องยอมรับข้อเสนอของตนแน่นอน
‘ฮึ! แม่ไก่ที่ออกไข่ไม่ได้อย่างคนตรงหน้ามีหรือจะไม่หวาดกลัว เสี่ยวเซียงผู้นี้ไม่เชื่อหรอก!’
ยามเหม่ามาเยือน รอบด้านเริ่มสว่างรำไร แว่วเสียงสกุณาขับขาน แสงสีส้มสาดส่องตรงขอบฟ้า ไล่สีสว่างขึ้นเรื่อยๆร่างสูงในอาภรณ์สีดำตัวยาวก้าวผ่านสวนดอกไม้ละลานตา ขาเรียวเหยียบย่างก้าวสู่ด้านในตัวเรือน สายตามองตรงไปยังประตูห้องนอนเขม็งที่หน้าห้องมีร่างสาวใช้คนสนิทของอวิ๋นหานอยู่สองคน พวกนางมองบุรุษผู้มาพร้อมกลิ่นอายเย็นชาด้วยสายตาตื่นตระหนก แต่ยังคงพยายามทำหน้าที่ขัดขวางอีกฝ่ายไว้“หลีกไป! ข้ามีธุระต้องคุยกับคนข้างใน ไม่มีเวลามาวุ่นวายกับพวกเจ้าหรอก” ฉิงเหวินฟู่เอ่ยขณะที่ดวงตาฉายความหงุดหงิด เขาไม่ใช่คนรักหยกถนอมบุปผาก็จริง แต่การจะให้ทำร้ายสตรีนั้นหาใช่นิสัยไม่ เพราะเหตุการณ์ที่เรือนรับรองของอวิ๋นซือเมื่อครู่พาให้อารมณ์ขุ่นมัวมิใช่น้อย การแสดงออกในยามนี้จึงดุดันและแฝงแววข่มขวัญยิ่งจงเหมยกับจงหมิงมองหน้ากัน ดวงตามีแววตกใจพาดผ่าน ไฉนคุณชายฉิงผู้นี้จึงพูดเหมือนรู้ว่านายท่านหลันอยู่ด้านในกันเล่า“คุณชายโปรดรั้งเท้า คุณหนูของพวกเรากำลังพักผ่อนอยู่ในห้อง ชายหญิงมิอาจใกล้ชิดจนเกินงาม ขอท่านโปรดให้เกียรติด้วย”เป็นจงเหมยที่เอ่ยปากขึ้น นางไม่รู้ว่าอีกฝ่ายทราบอะไรมา แต่ถ้าใครรู้ว่าคุณหนูร่วมห้องกับ
หมับ!มือแกร่งของใครบางคนยื่นมาคว้าคอเสื้อผู้ที่อยู่ข้างบน พลางออกแรงดึงรั้งคุณชายรองสกุลซูให้ออกห่างจากร่างด้านล่าง ดวงตาผู้มาใหม่ทอประกายวาวโรจน์ สีหน้าของเขาดำคล้ำทั้งยังแผ่กลิ่นอายเกรี้ยวกราดอวิ๋นซือไม่สนใจมองผู้มาใหม่ เมื่อเห็นซูเจี่ยนถูกหิ้วห่างออกไป ปิ่นที่ถืออยู่ในมือพลันพุ่งเข้าใส่เบ้าตาซ้ายของเขาทันทีที่มีโอกาสคนผู้นี้บีบคั้นนางจนเกือบต้องปลิดชีวิตตนเอง ไม่เอาคืนอีกฝ่ายในยามนี้จะไปทำยามไหน“อ๊าก!!!”เสียงร้องของคุณชายซูดังลั่นเรือนรับรอง เลือดแดงฉานทะลักไหลราวกับเป็นน้ำตาสีโลหิต แม้อวิ๋นซือจะเป็นคนลงมือเอง แต่ก็ยังมีใบหน้าซีดขาวด้วยความตกใจ เพราะแต่เดิมนางหาได้เคยทำอะไรแบบนี้ไม่อย่าว่าแต่อวิ๋นซือจะตกใจเลย ร่างสูงในอาภรณ์สีดำที่อยู่ตรงนั้นก็ตะลึงเช่นกัน เมื่อเห็นการลงมือที่เฉียบขาดของสตรีตรงหน้าชายหนุ่มเหวี่ยงคนในมือลงบนพื้นทันควัน จากนั้นจึงก้มลงหยิบผ้าห่มผืนใหญ่ที่ตกอยู่ข้างเตียงขึ้นมาคลุมศีรษะอีกคนจนมิด ก่อนจะลากร่างที่กรีดร้องอยู่ข้างเตียงมาจัดการใกล้ๆ หน้าประตูเสียงหมัดเสียงเท้าดังกระทบเนื้อ อวิ๋นซือยังคงนั่งนิ่งตัวสั่นอยู่ใต้ผืนผ้า นางมองความมืดที่แสงสว่างเข้าไม่ถึ
หลังกลับจากงานเลี้ยง อวิ๋นซือที่รู้สึกล้าจนไม่อยากทำอะไรก็ปล่อยให้สาวใช้ทั้งสองปรนนิบัติตัวเองเพื่อเปลี่ยนชุดเข้านอนนางมองด้านนอกที่ยังมืดสนิทพลางกล่าวไล่คนสนิทไปพักผ่อน เสี่ยวอิงกับเสี่ยวหยวนยามแรกยังดื้อดึงที่จะเฝ้าหน้าห้อง แต่พอคิดถึงว่าอีกเดี๋ยวนายท่านคงจะกลับมา จึงยอมพากันจากไปพักผ่อนอวิ๋นซืออมยิ้มบางๆ นางฟังเสี่ยวอิงเอ่ยกำชับด้วยน้ำเสียงเป็นห่วงแล้วให้ขบขัน เด็กสาวเมื่อวันวานกลายเป็นยายแก่ขี้บ่นในวันนี้เสียแล้ว กาลเวลาช่างเปลี่ยนผู้คนเสียจริง ร่างบางคว้าเสื้อคลุมมาสวมตามคำเตือน รอจนอีกฝ่ายปิดประตูเรียบร้อยจึงได้ก้าวมาหยุดยืนมองออกไปนอกหน้าต่าง แววตาสีนิลเข้มขึ้นจนลึกล้ำเสียงไก่ขันแว่วมาตามสายลม บอกเวลาแทนคนเคาะโมงยามได้ดี อวิ๋นซือเลิกรอคอยใครบางคนแล้วหันกลับไปขึ้นเตียงบอกแล้วอย่างไรเล่าว่ากำแพงที่ฐานไม่ดี ไม่ช้าก็เร็วย่อมต้องพังทลาย...แสงไฟจากในห้องดับลงไปแล้วพร้อมกับอวิ๋นซือที่เริ่มง่วงงุน นางปรือตามองข้างกายที่ว่างเปล่า มือเล็กขยับลูบบนผืนผ้าที่เย็นเฉียบ ก่อนจะค่อยๆ ปล่อยให้ความง่วงงุนเข้าครอบงำผ่านไปเนิ่นนานขอบฟ้าเริ่มสว่างไม่ดำสนิท ร่างสูงของบุรุษผู้หนึ่งพลันปรากฏกายขึ
ฉิงเหวินฟู่มองใบหน้าเล็กที่ยามนี้แดงก่ำอย่างเฉยชา เห็นซูลี่หลินมีท่าทีอับอาย นางเกาะกุมแขนญาติผู้พี่ไว้แน่น ดวงตาคู่สวยคลอน้ำใสเต็มหน่วยตา ท่าทางกิริยาล้วนน่าถนอม ผู้คนในงานล้วนให้ความเห็นใจ พวกเขามาร่วมงานฉลองครั้งนี้ ก็เพราะสกุลตระกูลซูปล่อยข่าวออกไปเรื่องการหมั้นหมายของคุณหนูซูกับคุณชายตระกูลสกุลฉิงแทนที่จะได้เห็นภาพยินดีของงานมงคล กลับได้เห็นบุรุษอกสามศอกกลั่นแกล้งสาวน้อยผู้น่าสงสารแทนเสียนี่ฉิงเหวินฟู่ยังคงนั่งเฉย ไม่เอ่ยปากหรือไม่พูดคุยกับผู้ใด วางตนอยู่เหนือเรื่องราวทั้งมวล เขาเคยสัญญาหรือว่าจะตบแต่งอีกฝ่าย ที่ยินยอมมาก็เพื่อเผื่อว่าจะทำให้ตาแก่ที่คฤหาสน์พอใจได้บ้างทว่าปู่ของเขาหาใช่คนแก่แก่ธรรมดาเหมือนใครที่ไหน แค่เห็นท่าทีเสแสร้งแกล้งทำนั่นก็ ขี้คร้านจะไล่ฟาดหลังตนแทบไม่ทันน่ะสิแต่งภรรยาทั้งทีใครจะอยากได้สตรีที่ตีสองหน้าทั้งวี่ทั้งวันกัน เขาฉิงเหวินฟู่ไม่ใช่นายโรงละครงิ้ว จะได้ชื่นชอบดูการแสดงตลอดเวลา อีกทั้งต่อให้เป็นก็ไม่เอาคนที่ด้อยฝีมือด้อยจนเห็นได้ชัดอย่างนี้แน่นอนอวิ๋นซือมองซูลี่หลินที่มีท่าทีเสียใจจนหลันชิงต้องประคองออกไปพลางส่ายศีรษะหัว คุณชายฉิงผู้นี้ช่างไม่รักห
ฮูหยินใหญ่ของพวกนางเปลี่ยนไป!เสี่ยวอิงกับเสี่ยวหยวนบอกตัวเองซ้ำๆ พวกนางพากันมองภาพคนงามออดอ้อนพลางเย้าหยอกบุรุษข้างกายด้วยกิริยาอ่อนหวาน ถึงขนาดดวงตาแข็งค้าง นั่นคือเจ้านายของพวกนางจริงหรือ ไม่ใช่ผู้อื่นปลอมตัวมาแน่นะอวิ๋นซือไม่รับรู้ถึงความในใจของคนสนิท นางทำเพียงยิ้มหวานจนถึงดวงตา ปล่อยให้สามีโอบประคองร่างตนเองไว้ในวงแขน พลางหลับตาพริ้มเมื่อริมฝีปากอุ่นร้อนประทับลงตรงหว่างคิ้ว“อีกไม่กี่วันก็จะถึงวันเกิดของเจ้าแล้วนี่”เสียงทุ้มเอ่ยขึ้นข้างหูชวนให้วาบหวาม นางทำเพียงพยักหน้ารับพร้อมด้วยท่าทีเอียงอาย ผู้เป็นสามีมองกิริยาเก้อเขินด้วยความเอ็นดู พลางตัดใจไม่แกล้งภรรยาของตนต่อ“ใช่เจ้าค่ะ ต้นเดือนสิบก็จะถึงวันครบรอบสิบเจ็ดปีของน้อง” ร่างบางตอบเสียงหวาน ทุกการกระทำล้วนสื่อถึงความรักใคร่ผู้ชายของตนอาอิ้นที่ยืนรอรับใช้อยู่ด้านนอกเห็นแล้วยังอดยิ้มตามไม่ได้ มาลั่วหยางคราวนี้ถือว่าไม่เสียเที่ยวจริงๆ ในที่สุดนายท่านกับฮูหยินใหญ่ก็เข้าใจกันได้เสียที“อือ... ปีก่อนไม่ได้เตรียมตัว มอบให้เจ้าเพียงของขวัญทั่วไป ปีนี้ฮูหยินอยากได้สิ่งใด สามีจะไปหามามอบให้เจ้า แม้ดวงเดือนหรือดวงดาวพี่ก็คว้ามาให้เจ้า
ดรุณีน้อยนางนั้นสวมอาภรณ์สีชมพู กิริยาน่ารักสดใส ใบหน้างดงาม มีเค้าคล้ายอวิ๋นซือไม่น้อย เจ้าตัวพูดคุยกับหลันชิงด้วยท่าทางสนิทสนมพอเสี่ยวอิงเห็นก็พลันตกใจจนต้องเอ่ยขึ้น “เอ๊ะ! นั่นคุณหนูรองนี่เจ้าคะ นางมาลั่วหยางได้อย่างไร”อวิ๋นซือมองอยู่ไม่นานก็รั้งสายตากลับ ผละมานั่งให้เสี่ยวหยวนจัดการผมที่เปียกชื้นของตัวเอง มุมปากยังคงอมยิ้มตามความเคยชินทำไมจะมาไม่ได้เล่า ฮูหยินสามหลิงจีแห่งจวนเสนาบดีกรมคลังกับซูฮูหยินเป็นลูกพี่ลูกน้องกัน พวกนางสนิทสนมกันมาแต่ไหนแต่ไร ไม่แปลกหากอวิ๋นหานจะใช้โอกาสนี้มาร่วมงานเพื่อจะได้พบหน้าบุรุษที่นางใฝ่หาครั้นเห็นสามียังคงมีสีหน้าอ่อนโยนนุ่มนวลกับรอยยิ้มหวานของผู้เป็นน้องสาวร่วมบิดา อวิ๋นซือก็อดยิ้มบ้างไม่ได้ จริงอยู่ที่หลันชิงไม่ใช่ขุนนางมีอำนาจ แต่เขาคือพ่อค้าที่มีเงิน และบิดาของนางก็คือคนที่ต้องการมันมากที่สุดเกือบสองปีที่ผ่านมา หลันชิงเสียเงินส่วนนี้ให้ท่านพ่อของนางไปไม่น้อย จวนเสนาบดีกรมคลังไม่ต่างจากเปลือกหอยที่ข้างนอกคงอยู่ดี แต่ข้างในนั้นกลวงโบ๋ เพราะความมือใหญ่ใจเติบของบิดา เกรงว่าอีกฝ่ายคงเริ่มไม่ไว้ใจนาง และคงกังวลว่าขุมทรัพย์เยี่ยงหลันชิงจะหลุดมือ