หลังจากการปรับความเข้าใจครั้งสำคัญในห้องประชุมเล็ก ความสัมพันธ์ระหว่างภาคินัยกับปลายฝันก็เริ่มก่อตัวขึ้นอย่างช้าๆ และมั่นคงยิ่งขึ้น ปลายฝันยังคงมีคำถามและความไม่แน่ใจบางอย่างอยู่ในใจ แต่ความจริงใจที่ภาคินัยแสดงออกมาก็ทำให้กำแพงในใจของเธอพังทลายลงไปมาก เขาใช้ทุกโอกาสที่มีในการดูแลเอาใจใส่เธออย่างสม่ำเสมอ ไม่ว่าจะเป็นการเดินไปส่งเธอที่แผนกหลังจากประชุม หรือการแวะเวียนมาดูงานของเธอที่โต๊ะพร้อมกับกาแฟแก้วโปรด
ปลายฝันเองก็เริ่มเปิดใจรับเขามากขึ้น เธอยอมให้เขามารับประทานอาหารกลางวันด้วยกันบ่อยขึ้น และบางครั้งพวกเขาก็ใช้เวลาช่วงเย็นหลังจากเลิกงานในการพูดคุยกันถึงเรื่องต่างๆ ที่นอกเหนือจากเรื่องงาน ความผ่อนคลายที่เกิดขึ้นเมื่ออยู่ใกล้เขา ทำให้เธอรู้สึกปลอดภัยและอบอุ่นอย่างที่ไม่เคยรู้สึกมาก่อน
ในบ่ายวันหนึ่ง หลังจากเสร็จสิ้นการประชุมใหญ่เรื่องความคืบหน้าของโครงการ The Zenith ซึ่งปลายฝันได้นำเสนอผลงานได้อย่างยอดเยี่ยมจนได้รับคำชมจากบอร์ดบริหารอย่างล้นหลาม ภาคินัยก็เดินมาหาเธอที่โต๊ะทำงาน
“ปายครับ” ภาคินัยเอ่ยเรียกด้วยรอยยิ้มภาคภูมิใจ “วันนี้คุณทำได้ดีมากจริงๆ นะครับ”
ปลายฝันยิ้มรับด้วยความเขินอาย “ขอบคุณค่ะคุณภีม”
“ผมอยากจะเลี้ยงฉลองให้คุณหน่อยนะครับ” ภาคินัยเอ่ยขึ้น “วันนี้เลิกงานแล้วไปทานข้าวกับผมนะครับ”
ปลายฝันลังเลเล็กน้อย เธอมองไปรอบๆ แผนก เห็นสายตาของเพื่อนร่วมงานที่ยังคงจับจ้องมาที่พวกเขา
“คือ...ปายว่าไม่ดีกว่ามั้ยคะคุณภีม” ปลายฝันเอ่ยขึ้นด้วยความเกรงใจ “ปายไม่อยากให้คนอื่นเข้าใจผิดน่ะค่ะ”
ภาคินัยยิ้มอ่อนโยน “คุณไม่ต้องกังวลเรื่องนั้นหรอกครับ ผมจะพาคุณไปทานที่ร้านที่ค่อนข้างเป็นส่วนตัวนะครับ ไม่มีใครรู้จักแน่นอน”
ความแน่วแน่ของภาคินัยทำให้ปลายฝันปฏิเสธไม่ได้ ในใจลึกๆ เธอก็อยากใช้เวลาอยู่กับเขามากขึ้น เพื่อทำความรู้จักเขาให้ลึกซึ้งกว่านี้
“ก็ได้ค่ะคุณภีม” ปลายฝันตอบรับในที่สุด
เมื่อถึงเวลาเลิกงาน ภาคินัยขับรถไปรับปลายฝันที่หน้าบริษัท เขาพาเธอไปยังร้านอาหารเล็กๆ ที่ตั้งอยู่ในซอยเงียบๆ แห่งหนึ่ง บรรยากาศภายในร้านอบอุ่นและเป็นกันเอง มีเพียงไม่กี่โต๊ะ ทำให้รู้สึกถึงความเป็นส่วนตัวอย่างแท้จริง
ขณะที่พวกเขากำลังรับประทานอาหาร ภาคินัยก็เริ่มบทสนทนาที่จริงจังขึ้น
“ปายครับ” ภาคินัยเอ่ยขึ้น “ผมมีเรื่องอยากจะเล่าให้คุณฟังนะครับ เป็นเรื่องเกี่ยวกับอดีตของผมกับคุณทิชา”
ปลายฝันวางช้อนลง เธอรู้ดีว่าเรื่องนี้คือสิ่งที่ยังคงค้างคาอยู่ในใจของเธอเสมอมา
“ค่ะคุณภีม ปายพร้อมรับฟังค่ะ” ปลายฝันตอบด้วยน้ำเสียงที่จริงจัง
ภาคินัยถอนหายใจเล็กน้อย เขาเรียบเรียงคำพูดในใจก่อนจะเริ่มเล่า
“คุณทิชาและผม...เรารู้จักกันมาตั้งแต่เด็กครับ ครอบครัวของเราทั้งสองฝ่ายเป็นพันธมิตรทางธุรกิจกันมานานหลายสิบปี การแต่งงานของเราถูกวางแผนไว้ตั้งแต่เรายังเป็นเด็ก เพื่อเป็นการรวมอำนาจและเสริมสร้างความมั่นคงให้กับธุรกิจของทั้งสองตระกูล”
ปลายฝันรับฟังอย่างตั้งใจ เธอรู้สึกว่าความจริงบางอย่างที่เธอไม่เคยรู้กำลังจะถูกเปิดเผย
“ตลอดเวลาที่ผ่านมา ผมมองคุณทิชาเป็นเหมือนน้องสาว เป็นเพื่อนร่วมโต๊ะอาหารในงานสังคม เป็นคนที่ต้องคอยประสานงานเรื่องธุรกิจร่วมกัน แต่ไม่ใช่ในฐานะคนรักเลย” ภาคินัยกล่าวต่อด้วยน้ำเสียงที่เจือความรู้สึกผิด “เราไม่เคยมีความรักแบบหนุ่มสาวต่อกันเลยแม้แต่น้อย”
“แล้วทำไมคุณภีมถึงยอมตกลงหมั้นกับเธอคะ” ปลายฝันถามด้วยความสงสัย
ภาคินัยถอนหายใจเฮือกใหญ่ “มันเป็นความกดดันจากทางครอบครัวครับคุณ โดยเฉพาะคุณพ่อของผม ท่านต้องการให้ธุรกิจของเราเติบโตอย่างก้าวกระโดด และมองว่าการรวมกันกับตระกูลของคุณทิชาคือหนทางที่ดีที่สุด ผมเองก็พยายามทำความเข้าใจและยอมรับในสิ่งที่ผู้ใหญ่จัดเตรียมไว้ให้”
“แล้วคุณทิชาล่ะคะ เธอรักคุณภีมไหมคะ” ปลายฝันถามด้วยความระมัดระวัง
ภาคินัยส่ายหน้าเล็กน้อย “ผมไม่แน่ใจครับ ผมคิดว่าคุณทิชาเองก็คงอยู่ในสถานการณ์ที่คล้ายกับผม คือถูกครอบครัวกดดันมาตลอด เธออาจจะมองว่าการแต่งงานกับผมคือความมั่นคงและอำนาจที่เธอต้องการมาตลอดชีวิต”
“คุณภีมหมายความว่า...การหมั้นหมายนี้เป็นเรื่องของผลประโยชน์ทางธุรกิจล้วนๆ เลยเหรอคะ” ปลายฝันถามด้วยความตกใจ
“ใช่ครับ” ภาคินัยตอบอย่างตรงไปตรงมา “ตลอดเวลาที่ผ่านมา เราพูดคุยกันแต่เรื่องธุรกิจ เรื่องงานสังคม เรื่องภาพลักษณ์ในสายตาคนภายนอก แต่ไม่เคยมีเรื่องของหัวใจเข้ามาเกี่ยวข้องเลย”
คำสารภาพของภาคินัยทำให้ปลายฝันรู้สึกโล่งใจอย่างบอกไม่ถูก ความเข้าใจผิดที่เคยกัดกินใจเธอมาตลอดเริ่มจางหายไป ความรู้สึกสงสารทิชาก็ผุดขึ้นมาเล็กน้อย แม้ว่าเธอจะเคยทำไม่ดีกับตนเองก็ตาม
“แล้วทำไมจู่ๆ คุณภีมถึงตัดสินใจจะยกเลิกการแต่งงานล่ะคะ” ปลายฝันถามต่อด้วยความอยากรู้
ภาคินัยจ้องมองปลายฝันด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความรู้สึกที่แท้จริง “เพราะผมเจอคุณไงครับปาย”
คำพูดของภาคินัยทำให้หัวใจของปลายฝันเต้นรัวอีกครั้ง เธอรู้สึกอบอุ่นในใจอย่างบอกไม่ถูก
“คุณเข้ามาในชีวิตผม ในช่วงเวลาที่ผมกำลังรู้สึกอึดอัดกับสถานการณ์ที่ผมต้องเผชิญอยู่” ภาคินัยกล่าวต่อ “คุณทำให้ผมได้เห็นว่าชีวิตมันมีอะไรที่มากกว่าแค่เรื่องธุรกิจ เรื่องความคาดหวังของคนอื่น คุณทำให้ผมได้รู้จักความรู้สึกที่แท้จริงของการรักใครสักคน”
“ปาย...ปายไม่รู้จะพูดยังไงดีค่ะคุณภีม” ปลายฝันเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงที่สั่นเครือ
“คุณไม่จำเป็นต้องพูดอะไรหรอกครับ” ภาคินัยเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “ผมแค่อยากให้คุณเข้าใจในสิ่งที่ผมเป็น และสิ่งที่ผมตัดสินใจทำ”
“ปายเข้าใจมากขึ้นแล้วค่ะคุณภีม” ปลายฝันตอบด้วยน้ำเสียงที่จริงใจ “ขอบคุณนะคะที่เล่าให้ปายฟัง”
ภาคินัยยิ้มออกมาด้วยความดีใจ เขาจับมือของปลายฝันเบาๆ และบีบกระชับราวกับต้องการส่งผ่านความรู้สึกทั้งหมดที่มีให้กับเธอ
“ผมจะจัดการเรื่องการยกเลิกงานแต่งงานให้เรียบร้อยโดยเร็วที่สุดนะครับ” ภาคินัยเอ่ยขึ้นอย่างหนักแน่น “ผมจะไม่ปล่อยให้คุณทิชามาสร้างปัญหาให้คุณอีกแล้ว”
คำพูดของภาคินัยทำให้ปลายฝันรู้สึกปลอดภัย เธอเชื่อใจเขามากขึ้นแล้วในตอนนี้
ในขณะที่ภาคินัยกำลังบอกเล่าความจริงในอดีตให้กับปลายฝัน และความสัมพันธ์ของพวกเขากำลังก่อร่างสร้างตัวขึ้นอย่างช้าๆ ทิชาก็กำลังดำเนินการตามแผนการร้ายของเธออย่างลับๆ
เธอได้ติดต่อกับสื่อมวลชนหลายแห่ง และวางแผนที่จะปล่อยข่าวลือที่บิดเบือนความจริงเกี่ยวกับปลายฝัน โดยมีเป้าหมายเพื่อทำลายชื่อเสียงและอนาคตในวงการออกแบบของเธออย่างถาวร
ทิชาโทรหาคุณหญิงรัญจวนมารดาของเธอ “คุณแม่คะ ทิชาได้คุยกับนักข่าวเรียบร้อยแล้วค่ะ ทุกอย่างเป็นไปตามแผน”
“ดีมากทิชา” คุณหญิงรัญจวนเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงพอใจ “อีกไม่นานยัยเด็กนั่นก็จะต้องหายไปจากชีวิตของภาคินัยอย่างถาวร”
“ทิชาไม่ยอมให้ใครมาแย่งสิ่งที่ทิชาควรจะได้ไปเด็ดขาดค่ะคุณแม่” ทิชากล่าวด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความแค้น
ในขณะที่ทิชากำลังวางแผนการร้าย ธามก็ได้นัดพบกับคุณหญิงรัญจวน เพื่อพูดคุยเรื่องการยกเลิกงานแต่งงานระหว่างภาคินัยกับทิชาตามคำขอของคุณพ่อของภาคินัย
พวกเขาพบกันที่ร้านกาแฟสุดหรูแห่งหนึ่งในย่านธุรกิจใจกลางเมือง
“คุณหญิงรัญจวนครับ” ธามเริ่มบทสนทนาด้วยน้ำเสียงสุภาพ “ผมอยากจะขอคุยเรื่องคุณภีมกับคุณทิชาน่ะครับ”
คุณหญิงรัญจวนจิบกาแฟอย่างสงบ ใบหน้าของเธอดูเย็นชาและไร้อารมณ์ “มีอะไรจะคุยคะคุณธาม”
“คือ...คุณภีมเขาตัดสินใจแล้วว่าจะยกเลิกงานแต่งงานครับ” ธามเอ่ยขึ้นอย่างตรงไปตรงมา
คุณหญิงรัญจวนวางแก้วกาแฟลงเล็กน้อย ดวงตาของเธอฉายแววไม่พอใจ “คุณธามคิดว่าคุณจะมาบอกเรื่องนี้กับดิฉันง่ายๆ อย่างนั้นเหรอคะ”
“ผมเข้าใจครับว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องที่ละเอียดอ่อน” ธามกล่าวต่อ “แต่ผมก็คิดว่าการที่คุณทั้งสองฝ่ายได้พูดคุยกันอย่างเปิดอกน่าจะเป็นทางออกที่ดีที่สุดนะครับ”
“ทางออกที่ดีที่สุดคือการที่ภาคินัยแต่งงานกับทิชาค่ะคุณธาม” คุณหญิงรัญจวนเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงเด็ดขาด “คุณรู้ว่าการแต่งงานครั้งนี้มีความสำคัญต่อธุรกิจของเรามากแค่ไหน”
“ผมทราบครับ” ธามตอบ “แต่ถ้าคุณภีมไม่ได้รักคุณทิชาจริงๆ คุณคิดว่าชีวิตคู่ของพวกเขาจะมีความสุขได้อย่างไรครับ”
“ความรักไม่ได้สำคัญเสมอไปหรอกค่ะคุณธาม” คุณหญิงรัญจวนเอ่ยขึ้นด้วยรอยยิ้มเย้ยหยัน “สำหรับคนอย่างเรา อำนาจและผลประโยชน์ต่างหากที่สำคัญที่สุด”
คำพูดของคุณหญิงรัญจวนทำให้ธามรู้สึกผิดหวัง เขาไม่คิดว่าเธอจะมองเรื่องนี้ด้วยทัศนคติแบบนี้
“ผมหวังว่าคุณหญิงรัญจวนจะพิจารณาเรื่องนี้อีกครั้งนะครับ” ธามเอ่ยขึ้น “ผมไม่อยากให้เรื่องราวต้องบานปลายไปมากกว่านี้”
“เรื่องราวจะบานปลายหรือไม่ ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของภาคินัยค่ะ” คุณหญิงรัญจวนเอ่ยขึ้น “ถ้าเขายังยืนยันที่จะทำลายชื่อเสียงของตระกูลเรา ดิฉันก็คงจะต้องตอบโต้บ้าง”
คุณหญิงรัญจวนลุกขึ้นยืน และเดินออกจากร้านกาแฟไปทันที ปล่อยให้ธามนั่งอยู่คนเดียวกับความรู้สึกหนักใจ
ธามถอนหายใจเฮือกใหญ่ เขารู้ดีว่าภารกิจนี้ยากกว่าที่เขาคิดไว้มาก ทิชาและคุณหญิงรัญจวนดูเหมือนจะไม่มีทางยอมอะไรง่ายๆ เลย
ในขณะเดียวกัน ภาคินัยและปลายฝันกำลังใช้เวลาอยู่ด้วยกันอย่างมีความสุข พวกเขาไปเดินเล่นที่สวนสาธารณะใกล้ร้านอาหาร และพูดคุยกันถึงอนาคตที่พวกเขาอยากจะสร้างร่วมกัน
“คุณภีมคะ” ปลายฝันเอ่ยขึ้นด้วยรอยยิ้ม “ปายมีความสุขมากเลยค่ะที่ได้อยู่กับคุณ”
“ผมก็มีความสุขมากเหมือนกันครับปาย” ภาคินัยเอ่ยขึ้น “ผมจะทำให้คุณมีความสุขแบบนี้ไปตลอดชีวิตเลยครับ”
ภาคินัยจับมือของปลายฝันเบาๆ และมองไปที่ดวงตาของเธอด้วยความรัก เขาตัดสินใจแล้วว่าจะไม่ยอมปล่อยเธอไปจากชีวิตเขาอีกแล้ว ไม่ว่าจะต้องเผชิญหน้ากับอุปสรรคอะไรก็ตาม
เรื่องราวความรักของพวกเขาที่เริ่มต้นจากความเข้าใจผิด กำลังจะก้าวไปสู่บทใหม่ที่เต็มไปด้วยความท้าทาย แต่พวกเขาก็พร้อมที่จะเผชิญหน้ากับมันทุกรูปแบบเพื่อความรักของพวกเขา
ตอนที่ 122 บทส่งท้ายกาลเวลาหมุนผ่านไปอย่างรวดเร็ว แต่ความทรงจำที่สวยงามยังคงถูกถักทอขึ้นอย่างต่อเนื่องในชีวิตของภาคินัย ปลายฝัน ธามและน้ำหวาน ทุกเส้นทางที่พวกเขาได้เดินผ่านมา ไม่ว่าจะสุข ทุกข์ หรือท้าทาย ล้วนหล่อหลอมให้พวกเขากลายเป็นคนที่สมบูรณ์ในวันนี้ บทสรุปของเรื่องราวนี้จึงเป็นการสะท้อนถึงชีวิตที่เต็มไปด้วยความสุข ความรักที่อบอุ่น และอนาคตที่สดใส ที่พวกเขาได้สร้างขึ้นด้วยกันวันหยุดสุดสัปดาห์ที่สดใสครอบครัวของภาคินัยและปลายฝัน รวมถึงธามและน้ำหวาน ได้วางแผนเดินทางไปเที่ยวทะเลด้วยกัน เป็นครั้งแรกที่เด็กๆ จะได้สัมผัสผืนทรายและน้ำทะเลด้วยตัวเองรถตู้คันใหญ่เต็มไปด้วยเสียงหัวเราะและบทเพลงจากเด็กๆ น้องเมฆและน้องเมษาที่ตอนนี้เริ่มเดินได้คล่องแคล่ว ต่างตื่นเต้นกับวิวทิวทัศน์นอกหน้าต่างที่ไม่คุ้นเคย"คุณภีมคะ ดูสิคะน้องเมฆชี้ไปที่ทะเลใหญ่เลย" ปลายฝันยิ้มอย่างมีความสุข"เมษาก็ตื่นเต้นเหมือนกันค่ะคุณธาม" น้ำหวานเสริม พลางมองลูกสาวที่กำลังยิ้มกว้างเมื่อเดินทางถึงรีสอร์ตหรูริมทะเล ภาคินัยและธามต่างช่วยกันขนสัมภาระลงจากรถ ส่วนปลายฝันและน้ำหวานก็ดูแลเด็กๆ ที่วิ่งสำรวจไปทั่วบริเวณด้วยความกระตือ
ตอนที่ 121 บทสรุปของความรักชีวิตของภาคินัยและปลายฝันดำเนินมาถึงบทสรุปที่งดงาม พวกเขาได้ค้นพบความสุขที่แท้จริงในทุกมิติ ทั้งในด้านความรักที่มั่นคง ครอบครัวที่อบอุ่น และหน้าที่การงานที่รุ่งโรจน์ ความรักของพวกเขาสุกงอมและเบ่งบานอย่างเต็มที่ เช่นเดียวกับธามและน้ำหวาน ที่ต่างก็สร้างสรรค์ชีวิตในแบบของตัวเองได้อย่างลงตัว บทสรุปของความรักครั้งนี้จึงเป็นการเฉลิมฉลองให้กับชีวิตที่เต็มไปด้วยความสุข ความเข้าใจ และการเติมเต็มซึ่งกันและกันผ่านมาหลายปี นับตั้งแต่น้องเมฆลืมตาดูโลก ชีวิตของภาคินัยและปลายฝันดูเหมือนจะสมบูรณ์แบบในทุกด้าน พวกเขายังคงเป็นสามีภรรยาที่รักกันอย่างลึกซึ้ง ความผูกพันที่แน่นแฟ้นยิ่งทวีคูณขึ้นตามกาลเวลา แม้จะมีความรับผิดชอบมากมาย แต่พวกเขาก็ไม่เคยละเลยที่จะเติมเต็มความปรารถนาและความเร่าร้อนให้แก่กันและกันค่ำคืนหนึ่งหลังจากที่น้องเมฆหลับไปแล้ว แสงจันทร์สาดส่องเข้ามาในห้องนอนอย่างนุ่มนวล ภาคินัยโอบกอดปลายฝันจากด้านหลังอย่างแผ่วเบา สัมผัสที่คุ้นเคยทำให้ปลายฝันรู้สึกอบอุ่นและปลอดภัย เธอซบหน้ากับแผงอกที่คุ้นเคยของเขา"ปายครับ คุณสวยที่สุดเลยนะ" ภาคินัยกระซิบเสียงพร่า พลางจูบลงบนไหล
ตอนที่ 120 ความสุขหลังจากผ่านเรื่องราวมากมาย ทั้งความรัก ความสุข ความท้าทาย และการเติบโตในบทบาทใหม่ ทุกคู่ต่างค้นพบความสุขในแบบของตัวเอง ภาคินัยกับปลายฝัน และธามกับน้ำหวาน ต่างได้ใช้ชีวิตในแบบที่พวกเขาปรารถนา เติมเต็มความหมายของคำว่า "ความสุขที่แท้จริง" ในแบบฉบับของตัวเองชีวิตของภาคินัยและปลายฝันตอนนี้เปรียบเสมือนภาพวาดที่สมบูรณ์แบบ ทุกองค์ประกอบต่างถูกเติมเต็มอย่างลงตัว ด้วยความรักที่เปี่ยมล้นจากน้องเมฆ และความสำเร็จในหน้าที่การงานที่รุ่งโรจน์ภาคินัยยังคงทุ่มเทให้กับการบริหารภาคินัย กรุ๊ปอย่างเต็มที่ แต่เขาก็เรียนรู้ที่จะจัดสรรเวลาให้สมดุลระหว่างงานและครอบครัว เขามักจะตื่นเช้าขึ้นมาเล่นกับน้องเมฆก่อนไปทำงาน และพยายามกลับบ้านให้เร็วที่สุดเพื่อใช้เวลาช่วงเย็นกับภรรยาและลูกชาย การเห็นน้องเมฆเติบโตขึ้นในทุกๆ วัน คือพลังขับเคลื่อนที่สำคัญที่สุดในชีวิตของเขา"วันนี้น้องเมฆเรียก 'ป๊า' ชัดขึ้นเยอะเลยนะครับปาย" ภาคินัยเล่าด้วยรอยยิ้มกว้างในมื้อเย็นปลายฝันยังคงเป็นกำลังสำคัญอยู่เบื้องหลังความสำเร็จของภาคินัย เธอทำหน้าที่ภรรยาและคุณแม่ได้อย่างไม่มีที่ติ ดูแลบ้านให้เป็นระเบียบเรียบร้อย อบอุ่
ตอนที่ 119 มิตรภาพที่ยั่งยืนท่ามกลางความวุ่นวายของชีวิตในบทบาทใหม่ ทั้งการเป็นพ่อแม่และการบริหารธุรกิจที่เติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่อง มิตรภาพที่ถักทอขึ้นระหว่างภาคินัยและธาม รวมถึงปลายฝันและน้ำหวาน กลับยิ่งแข็งแกร่งและหยั่งรากลึก พวกเขาพิสูจน์ให้เห็นว่ามิตรภาพที่แท้จริงไม่เคยจางหายไปตามกาลเวลา แต่กลับยิ่งเปล่งประกายและเป็นพลังใจให้แก่กันเสมอครั้งหนึ่ง ภาคินัยและธามเคยเป็นคู่แข่งทางธุรกิจที่ขับเคี่ยวกันอย่างดุเดือดในสนามแข่งขัน แต่ด้วยความจริงใจและความเข้าใจซึ่งกันและกัน พวกเขาก็ได้ก้าวข้ามกำแพงแห่งการแข่งขันและแปรเปลี่ยนเป็นมิตรภาพที่แข็งแกร่ง การมีลูกในเวลาใกล้เคียงกัน ยิ่งทำให้ความสัมพันธ์ของทั้งคู่แน่นแฟ้นยิ่งขึ้นบ่ายวันหนึ่ง ภาคินัยโทรหาธามด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความเหนื่อยล้าแกมขบขัน "เฮ้ยธาม! วันนี้น้องเมฆงอแงไม่ยอมนอนเลยว่ะ ฉันแทบไม่ได้ทำงานเลย"ธามหัวเราะจากปลายสาย "ฉันก็เหมือนกันภีม! น้องเมษาวันนี้เล่นไม่หยุดเลย พลังเยอะจริงๆ เด็กสมัยนี้"บทสนทนาของพวกเขาไม่ใช่เรื่องธุรกิจอีกต่อไป แต่เป็นเรื่องราวของผ้าอ้อม นมผง และการนอนไม่พอ การแลกเปลี่ยนประสบการณ์การเป็นคุณพ่อมือใหม่กลายเ
ตอนที่ 118 การเติบโตของภาคินัย กรุ๊ปหลังจากที่น้องเมฆเข้ามาเติมเต็มชีวิตครอบครัวของภาคินัยและปลายฝัน แรงบันดาลใจและความมุ่งมั่นของทั้งคู่ก็ยิ่งเพิ่มพูนขึ้น ไม่เพียงแต่ในเรื่องส่วนตัวเท่านั้น แต่ยังส่งผลต่อการบริหารงานของภาคินัย กรุ๊ปอย่างเห็นได้ชัด ภายใต้การนำของภาคินัย และการสนับสนุนอย่างเต็มที่จากปลายฝัน บริษัทก็ได้ก้าวเข้าสู่ยุคแห่งความเจริญรุ่งเรืองที่โดดเด่นยิ่งกว่าเดิมเช้าวันหนึ่งที่สดใสในเดือนมิถุนายน ภาคินัยเดินนำปลายฝันและน้องเมฆที่อยู่ในรถเข็นเด็ก เข้าสู่ล็อบบี้สุดหรูของภาคินัย ทาวเวอร์ อาคารสำนักงานใหญ่ใจกลางกรุงเทพฯ ภาคินัยในชุดสูทสีเข้มดูภูมิฐานและสง่างามกว่าเคย ส่วนปลายฝันในชุดเดรสสีอ่อนสบายตาดูสวยสดใสในมาดคุณแม่ลูกหนึ่ง น้องเมฆตัวน้อยในรถเข็นมองซ้ายมองขวาด้วยแววตาอยากรู้อยากเห็น ใบหน้าจิ้มลิ้มมีรอยยิ้มอ้อแอ้ตลอดเวลา"วันนี้ลูกชายมาเยี่ยมบริษัทป๊าครั้งแรกนะลูก" ภาคินัยกระซิบกับน้องเมฆพลางยิ้มอบอุ่นปลายฝันหัวเราะเบาๆ "สงสัยจะชอบบรรยากาศนะคะเนี่ย"พนักงานในล็อบบี้ที่กำลังสัญจรไปมา ต่างหยุดชะงักเมื่อเห็นภาพครอบครัวที่ดูอบอุ่นและสมบูรณ์แบบนี้ หลายคนส่งยิ้มและโค้งคำนับให้ผ
ตอนที่ 117 คุณปู่กับทายาทเมื่อน้องเมฆเติบโตขึ้นในแต่ละวัน ไม่เพียงแต่ภาคินัยและปลายฝันเท่านั้นที่ภาคภูมิใจ แต่ยังมีคุณปู่ของภาคินัย ผู้เป็นรากฐานของอาณาจักรภาคินัย กรุ๊ป ที่เปี่ยมด้วยความสุขอย่างยิ่งที่ได้เห็นทายาทคนใหม่ การมาถึงของน้องเมฆไม่เพียงแต่เติมเต็มความหมายของคำว่าครอบครัวให้สมบูรณ์ แต่ยังเป็นการยืนยันว่าธุรกิจที่สร้างมาด้วยหยาดเหงื่อแรงกาย จะมีผู้สืบทอดต่อไปอย่างมั่นคงคุณปู่ของภาคินัย แม้จะอยู่ในวัยชรา แต่ดวงตาท่านยังคงเปล่งประกายด้วยความสุขและความเฉียบแหลม การมาถึงของน้องเมฆ เหลนชายและทายาทของเหลนคนเดียวของตระกูล ทำให้หัวใจของคุณปู่เต็มตื้นอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อนท่านเฝ้ารอวันนี้มานานแสนนาน วันที่จะได้เห็นสายเลือดของตระกูลยังคงดำเนินต่อไปคุณปู่ก็เดินทางมาเยี่ยมเหลนชายที่บ้านทันที ท่านนั่งลงข้างเปลนอนของน้องเมฆ มองเหลนชายตัวน้อยด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยความรักและความเอ็นดู"ตาหนูเมฆของปู่ ในที่สุดเจ้าก็มา" คุณปู่กระซิบเสียงแผ่ว พลางเอื้อมมือที่เหี่ยวย่นลูบไล้แก้มยุ้ยของน้องเมฆอย่างอ่อนโยนภาคินัยและปลายฝันยืนมองภาพนั้นด้วยความซาบซึ้ง พวกเขารับรู้ได้ถึงความรักอันลึกซึ้งที่คุณ