Masukองค์รัชทายาทจิ้งไฉ พระโอรสลำดับที่สองของอดีตฮ่องเต้ประสูติแต่อดีตพระสนมกุ้ยเฟย ซูหนิงซาน แห่งตระกูลซู
ความรูปงามขององค์รัชทายาทจิ้งไฉกล่าวกันว่า หากสวรรค์มอบความสง่างามแก่ชายหนึ่งผู้คู่ควรจะครองบัลลังก์ชายผู้นั้นย่อมคือองค์รัชทายาทจิ้งไฉ
พระวรกายสูงสง่าท่วงท่าผึ่งผายสมบุรุษผู้เกิดในวงศ์มังกร พระพักตร์รูปไข่เรียวได้สัดส่วน คิ้วคมประดุจลายพู่กันหมึกดำ ขนงขวางเรียวเหนือดวงเนตรคู่ล้ำลึกดั่งสายน้ำยามราตรี เยือกเย็น นิ่งสงบ แต่แฝงรอยคมกล้า ริมพระโอษฐ์มักคลี่ยิ้มบางจนยากหยั่งถึงพระทัย วาจาอ่อนโยนแต่แฝงอำนาจในทุกถ้อยคำ
เมื่อทรงเครื่องฉลองพระองค์สีดำปักมังกรทอง เส้นไหมทอสะท้อนแสงยามต้องแดด ราวกับเปลวไฟบนหิมะ ยิ่งขับให้พระสิริโฉมงามประหนึ่งหยกเยือกแข็งที่ไม่อาจแตะต้อง ว่ากันว่าผู้ใดสบพระเนตรนั้น จะรู้สึกเหมือนตนกำลังถูกมองทะลุถึงหัวใจ งามสง่าเกินชายทั่วไปงามจนคล้ายเทพอสูรในตำนาน
ฮ่องเต้จิ้งอู่และองค์รัชทายาทจิ้งไฉ เป็นพี่น้องต่างมารดาแต่เติบโตมาท่ามกลางความแตกต่างอย่างสิ้นเชิง จิ้งอู่ในฐานะพี่ชายเป็นคนเด็ดขาด รอบคอบและแบกรับความคาดหวังของราชสำนักตั้งแต่วัยเยาว์ เขาได้ขึ้นครองราชย์ด้วยความสามารถและความเด็ดเดี่ยว แต่ความสำเร็จนั้นแลกมาด้วยหัวใจที่เย็นชาและระแวดระวังทุกสิ่ง
ส่วนจิ้งไฉผู้น้องกลับเป็นคนตรงข้ามมีความสามารถด้านศิลป์ ฉลาดหลักแหลมแต่ใจอ่อน มักเห็นค่าความเมตตามากกว่ากฎระเบียบ ความคิดแบบนี้ทำให้เขาได้รับความรักจากประชาชนและขุนนางสายปัญญาชน แต่กลับทำให้พี่ชายรู้สึกว่าถูกท้าทายอำนาจอยู่เสมอ
เรื่องขัดแย้งระหว่างทั้งคู่เริ่มตั้งแต่สมัยยังเป็นองค์ชาย เมื่อจิ้งไฉเคยช่วยเหลือขุนนางที่ถูกกล่าวหากบฏ ซึ่งต่อมากลายเป็นคนของศัตรูทางการเมือง ฮ่องเต้จิ้งอู่จึงถือเป็นตราบาปของน้องชายและนับแต่นั้น ความสัมพันธ์ก็มีแต่รอยร้าวลึกขึ้น
เมื่อเติบโตมาในฐานะฮ่องเต้กับองค์รัชทายาทความหวาดระแวงยิ่งทวี จิ้งอู่กลัวว่าน้องชายจะรวบรวมพรรคพวกโค่นตน ส่วนจิ้งไฉก็เจ็บปวดที่พี่ชายไม่เคยเชื่อใจ
อดีตพระสนมเต๋อเฟยแห่งตระกูลฉินมารดาของฮ่องเต้จิ้งอู่ กับอดีตพระสนมกุ้ยเฟยแห่งตระกูลซู มารดาขององค์รัชทายาทจิ้งไฉ ต่างเป็นหญิงงามผู้มีอิทธิพลในรัชกาลก่อน แต่กลับเป็นศัตรูคู่อาฆาตในราชสำนัก
ตระกูลฉินถือเป็นตระกูลขุนนางฝ่ายทหารมีอำนาจในกองทัพครึ่งหนึ่ง ส่วนตระกูลซูเป็นตระกูลปัญญาชนสายบุ๋นที่ มีซูเหวินอี้มหาเสนาบดีฝ่ายซ้าย ผู้มีอำนาจครอบคลุมราชสำนักกว่าครึ่ง พระสนมกุ้ยเฟยได้รับความโปรดปรานจากอดีตฮ่องเต้มากกว่า ความแตกต่างนี้ทำให้สองพระสนมมักขัดแย้งกันทั้งในเรื่องฐานะและอำนาจเบื้องหลัง
เมื่อครั้งยังอยู่ในวังหลังซูกุ้ยเฟยเคยได้รับพระเมตตาจากอดีตฮ่องเต้ จนเกือบจะได้เลื่อนตำแหน่งขึ้นเป็นฮองเฮา แต่กลับถูกขัดขวางโดยฉินเต๋อเฟย ซึ่งใช้กำลังจากฝ่ายทหารและความสัมพันธ์กับขันทีผู้ใหญ่ทำให้พระสนมซูกุ้ยเฟยถูกลดความสำคัญลง
ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาทั้งสองฝ่ายต่างเฝ้าปลูกฝังบุตรของตนด้วยแนวคิดที่ตรงข้ามกัน เต๋อเฟยสอนให้จิ้งอู่รู้จักเข้มแข็ง ไม่ไว้ใจผู้ใด แม้แต่สายเลือดเดียวกัน กุ้ยเฟยกลับสอนให้จิ้งไฉ มีเมตตา เชื่อมั่นในคุณธรรม และอย่าปล่อยให้ความหวาดระแวงครอบงำหัวใจ เพราะไม่ให้องค์รัชทยาทจิ้งไฉหลงใหลในอำนาจเหมือนท่านลุง แต่ก็อย่างไรองค์รัชทยาทจิ้งไฉก็ถูกเสี้ยมสอนโดยท่านลุงผู้กระหายอำนาจอยู่ดี
ห้องเสวยชั้นในในวังหลวงเย็นใจ เบื้องหลังผ้าม่านผ้ากำมะหยี่สีมุก เสียงโคมไฟกระพริบเป็นจังหวะเดียวกับลมหายใจของผู้ถูกเรียกเข้าเฝ้า พระสนมซูกุ้ยเฟยถูกสั่งให้อมวานพัดไว้ในมือ เดินเข้ามาอย่างสง่างาม แต่แววตายังซ่อนหวาดกลัวของความระมัดระวังไว้อย่างมิดชิด
ตรงหน้าเธอ พระองค์ผู้มีอำนาจสูงสุดอยู่ครึ่งในวังบัดนี้ องค์รัชทายาทจิ้งไฉถือเป็นลูกพี่ลูกน้องของพระสนมกุ้ยเฟย และเป็นคนที่พระสนมกลัวมากกว่าท่านพ่อของตัวเองด้วย ดวงตาคมที่สังเกตการณ์ทุกลมหายใจ พบว่าดวงหน้าขององค์รัชทายาทตอนนี้ราวกับน้ำแข็งที่ปิดทับเปลวไฟสักดวงไว้ จิ้งไฉไม่พูดพร่ำพราก เรียกเพียงชื่อของนางแล้วมองนิ่ง
“ซูอี้ผิง ข้ามีเรื่องอยากเตือนเจ้า”
น้ำเสียงนั้นเยือกเย็นแต่หนักแน่น พระสนมกุ้ยเฟยโค้งคำนับด้วยความกลัว
“พระองค์ทรงเมตตา ข้าจะรับฟังเพคะ” อี้ผิง
เธอตอบด้วยโทนสุภาพพยายามไม่ให้สั่น จิ้งไฉก้าวเข้าไปใกล้ขึ้นอีกก้าว แสงเทียนสะท้อนบนเหรียญโลหะที่ประดับอกเสื้อชั้นในของพระองค์
“องค์หญิงหลิงเซียงเป็นเลือดมียศของราชวงศ์ และเป็นน้องสาวที่ข้าต้องปกป้อง ไม่ว่าเพราะหน้าที่หรือเพราะเหตุผลอื่นใดก็ตาม ข้าได้ยินข่าวว่าเจ้าสั่งลงโทษหลิงเซียงและคนในตำหนักไฉ่หงโดยไร้เหตุผลและเกินกว่าเหตุ” จิ้งไฉ
“พระองค์เพคะหม่อมฉันผิดไปแล้ว เห็นแก่ที่เราเป็นลูกพี่ลูกน้องกัน อย่าเอาความหม่อมฉันเลย เพค๋ะ” อี้ผิง
“อย่าเสแสร้ง แกล้งรับปากล่ะ หากเจ้ายังกล้าเคลื่อนไหวใกล้ชิดองค์หญิงในเชิงข่มขู่หรือระราน วันนั้นแม้แต่ท่านลุงหรือเสด็จแม่ของข้าก็ไม่สามารถช่วยเจ้าได้” จิ้งไฉ
ประโยคนั้นเหมือนลูกศรปักกลางอก พระสนมกุ้ยเฟยนิ่งไปชั่วครู่
“หม่อมฉันสัญญาเพค่ะ” อี้ผิง
เธอตอบด้วยน้ำเสียงสั่น และเจ็บแค้นภายในใจ แต่ก็ทำอะไรไม่ได้เพราะลูกพี่ลูกน้องคนนี้น่ากลัวมากจริง ๆ
องค์รัชทายาทจิ้งไฉความโหดเหี้ยมที่เย็นยิ่งกว่าน้ำแข็ง พระพักตร์ของจิ้งไฉมักสงบนิ่ง ไม่มีแววโกรธหรือรอยยิ้ม แต่ผู้ที่เคยเห็น ยามพระองค์ลงมือต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่าไม่มีสิ่งใดน่ากลัวเท่าความเงียบก่อนพระองค์เอ่ยคำสั่ง
จิ้งไฉไม่เคยตะโกน ไม่เคยใช้เสียงดัง แต่คำพูดเพียงสั้น ๆ ของพระองค์กลับหมายถึงชีวิตและความตาย และนั่นคือประโยคที่ข้าราชบริพารทุกคนต่างจดจำได้ขึ้นใจ
ว่ากันว่าครั้งหนึ่งมีขุนนางชั้นรองผู้กล้าเสนอความเห็นค้านในที่ประชุม จิ้งไฉเพียงแค่เงยตาขึ้นมอง ไม่มีเสียงตอบกลับ ไม่มีพระดำรัสใดทั้งสิ้น แต่วันรุ่งขึ้น ขุนนางผู้นั้นถูกพบเป็นศพในบ่อน้ำแห้งท้ายวัง โดยไร้ร่องรอยการต่อสู้ ราวกับถูกบีบให้สิ้นใจด้วยมือที่มองไม่เห็น
หรือครั้งหนึ่งมีองครักษ์ลับพยายามทรยศต่อราชสำนัก ขายข่าวให้ตระกูลศัตรู องค์รัชทายาททรงเรียกเข้าพบส่วนตัว และคืนนั้นเอง เสียงเหล็กเสียดกับพื้นศิลาในห้องสอบสวนใต้ดินก็ดังขึ้นเกือบทั้งคืน รุ่งเช้าประตูห้องนั้นเปิดออก เฉพาะพระองค์ที่ยังยืนอยู่โดยไม่เปื้อนเลือด แต่ภายในห้องกลับไร้ร่างใดให้พบ เหลือเพียงผ้าคลุมองครักษ์ที่ถูกวางไว้กลางพื้นอย่างเรียบงาม
ความน่ากลัวของพระองค์ไม่ได้อยู่ที่การลงโทษ แต่อยู่ที่พระองค์ไม่จำเป็นต้องลงมือเอง เพียงแววตาเดียว เหล่าผู้ภักดีรอบข้างก็พร้อมทำทุกอย่างให้เสร็จสิ้นตามพระประสงค์ และทุกการลงทัณฑ์ ล้วนเกิดขึ้นในเงาไม่มีหลักฐาน ไม่มีเสียงร้อง ไม่มีพยาน จิ้งไฉเป็นผู้ที่รู้จักความกลัวของมนุษย์ดียิ่งกว่าใคร พระองค์ไม่ต้องขู่ เพียงแค่เงียบคนก็ตายทั้งเป็น ถึงพระมารดาจะคอยสอนให้มีเมตตา แต่ถ้าใครกล้าแตะคนที่พระองค์รักมันตายสถานเดียว
รุ่งสางหมอกบางคลุมลานหินนอกกำแพงวัง ทหารหลวงและหน่วยองครักษ์พิเศษล้อมพื้นที่แน่นหนา ร่างนักฆ่าเงารัตติกาลสามคนถูกจับกดไว้กับพื้นแขนถูกมัด เลือดเปื้อนเสื้อผ้า ดวงตาทุกคู่ยังคงว่างเปล่าไร้ความหวาดกลัวมู่เทียนหลางยืนอยู่เบื้องหน้า เสื้อเกราะยังมีรอยคมมีด สายตาเย็นเยียบ“ใครเป็นคนสั่ง” เทียนหลางเสียงของเขาเรียบ แต่กดดันหนึ่งในนักฆ่าเงยหน้าขึ้น มุมปากยกยิ้มประหลาด“สายไปแล้ว…คุณชายมู่”มู่เทียนหลางขมวดคิ้ว“เจ้าหมายความว่าอย่างไร” เทียนหลางนักฆ่าคนนั้นกัดฟันแน่นก่อนที่ใครจะทันขยับกร๊อบ!เขากัดแคปซูลเล็ก ๆ ที่ซ่อนอยู่ใต้ลิ้น เลือดสีดำไหลออกจากปากทันที“หยุดเขาไว้ ห้ามให้ตายเด็ดขาด!” เทียนหลางแต่ไม่ทันแล้วอีกสองคนทำเช่นเดียวกัน ร่างกระตุกเพียงครู่ก่อนแน่นิ่ง ความเงียบปกคลุมพื้นที่ กลิ่นโลหิตและยาพิษลอยคลุ้ง หมอหลวงรีบเข้าตรวจ ก่อนส่ายหน้าอย่างเคร่งเครียด“พิษปลิดชีพขอรับออกฤทธิ์เร็วมาก ไม่มีทางช่วย”มู่เทียนหลางกำมือแน่นเส้นเลือดที่ขมับปูดขึ้น“แม้ตาย…ก็ยังซื่อสัตย์ต่อสำนัก” เทียนหลางหัวหน้าทหารหลวงคุกเข่าลง“ขออภัยคุณชายมู่พวกมันไม่ทิ้งร่องรอยใด ๆ เลย”มู่เทียนหลางหลับตาชั่วขณะในใจหนั
คืนนั้นวังหลวงเงียบงันเกินปกติแม้แสงโคมจะส่องสว่างตามระเบียง แต่กลับให้ความรู้สึกเย็นเยียบอย่างประหลาด ในเงามืดของเรือนร้างใกล้กำแพงชั้นใน ชายผู้หนึ่งยืนอยู่ใต้ชายคา หน้ากากสีดำปิดครึ่งใบหน้า ดวงตาคมกริบไร้ความรู้สึก“แผนเริ่มได้แล้ว”หัวหน้านำเงารัตติกาลกล่าวเสียงของเขาเบาแต่เด็ดขาด ร่างเงาหลายร่างคุกเข่าลงพร้อมกัน“เป้าหมายอยู่ในตำหนัก”หนึ่งในนั้นถามหัวหน้านำยกมือขึ้น ในมือคือผ้าไหมปักลายหงส์เครื่องหมายตำหนักไฉ่หง“วันนี้องค์หญิงหลิงเซียงต้องตายและวังหลวงจะลุกเป็นไฟ ตระกูลเกาจะหมดความอดทนกับราชสำนักแน่”คำสั่งนั้นทำให้เงาทั้งหมดนิ่งงันไปชั่วขณะ แม้แต่นักฆ่าก็รู้ดีว่า เป้าหมายนี้ไม่ธรรมดา“อย่าให้ใครสงสัยถึงเรา อย่าให้มีร่องรอยว่าเป็นการลอบสังหาร ต้องดูเหมือน…อุบัติเหตุในวัง”ดวงตาของหัวหน้านำฉายแววเย็นเยียบ“และคืนนี้ต้องเป็นคืนที่องค์หญิงจะมีชีวิตอยู่”ภายในตำหนักไฉ่หงองค์หญิงหลิงเซียงกำลังเตรียมบรรทม หัวใจของนางไม่สงบตั้งแต่รู้ว่าการย้ายจวนล้มเหลว“ไปพักผ่อนเถอะเพค่ะ”นางกำนัลเอ่ยเสียงเบา หญิงพยักหน้า แต่ในวินาทีนั้นเอง มีเสียงดังปึกเสียงเบา ๆ ดังจากหลังคา องครักษ์หน้าตำหนักชะงัก
ข่าวว่ามู่เทียนหลางขอเข้าเฝ้าองค์รัชทายาทโดยตรง สร้างความตกตะลึงให้กับคนในวังไม่น้อย เพราะผู้ใดต่างรู้ดีว่านี่มิใช่การเข้าเฝ้าเพื่อทักทาย หากเป็นการเผชิญหน้าที่ไม่มีผู้ใดถอยง่าย ๆ ตำหนักบูรพาอากาศในท้องพระโรงเงียบงัน มู่เทียนหลางคุกเข่าลงอย่างสง่างามแผ่นหลังตรง“กระหม่อมมู่เทียนหลาง ขอเข้าเฝ้าองค์รัชทายาทพ่ะย่ะค่ะ” เทียนหลางจิ้งไฉประทับอยู่บนบัลลังก์ต่ำ พระเนตรทอดมองลงมาอย่างเย็นชา“ลุกขึ้น เจ้ามาด้วยเรื่ององค์หญิง…ใช่หรือไม่” จิ้งไฉมู่เทียนหลางลุกขึ้นช้า ๆ“พ่ะย่ะค่ะ” เทียนหลาง“เช่นนั้นข้าไม่อ้อมค้อเลยแล้วกัน ข้าไม่ยินยอมให้พาน้องสาวข้าไปไหนทั้งนั้น” จิ้งไฉคำตอบนั้นชัดเจนราบเรียบแต่หนักหน่วง มู่เทียนหลางประสานมือค้อมศีรษะเล็กน้อย“กระหม่อมมาที่นี่ มิใช่เพื่อขออนุญาตจากองค์รัชทายาท หากแต่มาเพื่อขอให้ทรงถอนการคัดค้าน” เทียนหลางบรรยากาศรอบกายแข็งค้างขันทีและองครักษ์ต่างกลั้นลมหายใจ จิ้งไฉหัวเราะเบา ๆ“มู่เทียนหลาง…เจ้ากำลังท้าทายข้าหรือ” จิ้งไฉ“กระหม่อมไม่กล้า แต่กระหม่อมจะไม่ถอย” เทียนหลางพระเนตรขององค์รัชทายาทหรี่ลง มู่เทียนหลางเงยหน้าขึ้น สายตานิ่งมั่นคง“องค์หญิงหลิงเซียงไม่ใ
หลังจากพาองค์หญิงหลิงเซียงกลับจากจวนตระกูลมู่ มู่เทียนหลางยังคงเห็นภาพรอยยิ้มอบอุ่นของคนในบ้านลอยวนอยู่ในความคิดตั้งแต่บิดามารดา พี่ชาย พี่สะใภ้ ไปจนถึงหลาน ๆ ทุกคนล้วนต้อนรับองค์หญิงด้วยความเคารพจริงใจ มิใช่เพราะฐานะ หากเป็นเพราะรักและเอ็นดูในตัวนางอย่างแท้จริง มู่เทียนหลางหลังจากที่พาองค์หญิงไปจวนตระกูลมู่ ได้เห็นครอบครัวตัวเองต้อนรับองค์หญิงเป็นอย่างอบอุ่น จึงอยากลองขอฮ่องเต้จิ้งอู่พาองค์หญิงย้ายไปอยู่ที่จวนตระกูลมู่คืนนั้น มู่เทียนหลางนั่งอยู่ในตำหนักไฉ่หง มององค์หญิงที่กำลังอ่านตำราด้วยสีหน้าสงบหัวใจเขากลับไม่อาจสงบตามไปได้“หลิงเซียง” เทียนหลางเขาเอ่ยเสียงแผ่ว องค์หญิงเงยหน้าขึ้นมอง “มีอะไรหรือเจ้าค่ะท่านพี่” หลิงเซียงมู่เทียนหลางลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนกล่าวด้วยน้ำเสียงจริงจัง“วันนี้ที่จวนตระกูลมู่…เจ้าดูมีความสุขมาก” เทียนหลางองค์หญิงนิ่งไปเล็กน้อย ก่อนยิ้มบาง“เพราะทุกคนอบอุ่นมากเพคะ ทำให้หม่อมฉันคิดถึงครอบครัวเดิมโดยไม่รู้ตัว” หลิงเซียงคำพูดนั้นทำให้มู่เทียนหลางแน่นอก เขาตระหนักดีว่าแม้ตำหนักไฉ่หงจะหรูหรา มีอำนาจ มีคนรับใช้รายล้อม แต่กลับขาดความอบอุ่นของคนในครอบครัว ห
ในที่สุดเทศกาลไหว้พระจันทร์ก็เวียนมาถึง ค่ำคืนต้นฤดูใบไม้ร่วง ท้องฟ้าโปร่งใส ดวงจันทร์กลมโตเริ่มทอแสงนวลเหนือหลังคาวังตั้งแต่เช้าตรู่ ตำหนักไฉ่หงก็เต็มไปด้วยความคึกคักนางกำนัลช่วยกันแขวนโคมไฟสีแดงและสีทองเรียงรายตามระเบียง ผืนผ้าลายเมฆและกระต่ายหยกถูกนำมาตกแต่งโต๊ะบูชาอย่างประณีต“แขวนโคมตรงนั้นอีกนิดเจ้าค่ะ!”“โต๊ะขนมไหว้ต้องหันรับแสงจันทร์นะ!”เสียงพูดคุยหัวเราะดังไม่ขาดสาย บนโต๊ะยาวกลางตำหนัก ขนมไหว้พระจันทร์ถูกจัดเรียงอย่างงดงาม ทั้งไส้ถั่วแดง ไส้งาดำ ไส้พุทรา ผลไม้ตามฤดูกาลถูกวางคู่กับชาอุ่นหอมกรุ่น องค์หญิงหลิงเซียงยืนดูความเรียบร้อยด้วยรอยยิ้มอ่อน“อย่าลืมวางขนมรูปกระต่ายหยกไว้ตรงกลางนะ” หลิงเซียงนางกำนัลรับคำอย่างขะมักเขม้น“เพค่ะองค์หญิง!”บรรยากาศก่อนค่ำเมื่อแสงอาทิตย์คล้อยต่ำ ลมเย็นพัดผ่านตำหนักไฉ่หงอย่างอ่อนโยน กลิ่นธูปหอมอ่อน ๆ ลอยคลุ้งเสียงพิณเบา ๆ ดังคลอจากด้านใน ทุกคนแต่งกายด้วยชุดสีอ่อนงดงามนางกำนัลหลายคนแอบกระซิบด้วยดวงตาเป็นประกาย“คืนนี้องค์หญิงต้องงดงามมากแน่ ๆ”“ได้ยินว่าคุณชายมู่จะมาร่วมงานด้วยนะ หลังจากนั้นก็จะพาองค์หญิงไปที่จวนตระกูลมู่ด้วยนะ!”เมื่อถึงยามโหย
ตอนนี้ชีวิตใหม่ที่แสนจะมีวุ่นวายของหมิวที่อยู่ในร่างขององค์หญิงหลิงเซียงเริ่มมีความสุขมากขึ้น มากจนคิดว่าถ้าหากถึงวันที่เกิดเหตุร้ายตามที่เขาศึกษามา เขาคงต้องเสียใจมากแน่เพราะมู่เทียนหลาง เท่าที่รู้มาเขาจะกลายเป็นคุณชายตาบอดไปตลอดชีวิต เพราะเข้าไปช่วยฮ่องเต้ที่ติดอยู่ในกองเพลิง เขาตั้งในแล้วว่าจะไม่มีทางให้มันเกิดขึ้นแน่นอน อีกอย่างตั้งแต่มาอยู่ที่นี้แล้วมีเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น ล้วนมาจากฝีมือของสำนักเงารัตติกาล หากวิเคราะห์โดยที่ไม่อิงประวัติศาสตร์ที่ศึกษาตัดออกไปไม่เอามาร่วม ก็จะเห็นได้ว่าเหตุการณ์ร้ายที่จะเชื่อมไปถึงในปีที่ 7 ของการของครองราชย์ของฮ่องจิ้งอู่ สำนักรัตติกาลนี้แหละคือตัวร้ายและน่าจะร่วมมือกับคนในราชวงศ์คนใดคนหนึ่งที่ทำให้ ทั้งฮ่องเต้และองค์รัชทายาทแตกหักกันมานานหลายปี วิเคราะห์ดูแล้วเอาเข้าจึง ๆ ไม่เป็นที่ประวัติศาสตร์ในตำราบันทึกไว้เลย ดูท่าเขากับมู่เทียนหลางคงต้องสืบหาคนอยู่เบื้อหลังอีกนานเลยวันนี้องค์หญิงหลิงเซียงอยากฉลองให้ตัวเองที่อยู่รอดปลอดภัยมาถึงปีที่สองจึงอยากทำอาหารฉลองสักหน่อย เมนูก็มีอะไรง่าย ๆ ที่ทำจากหมู หมูผัดกิมจิ ข้าวผัดหมู หมูทอดกระเทียม และหม







