/ แฟนตาซี / เกิดใหม่เป็นองค์หญิงวิปลาส / บทที่ 14 ชายที่ชื่อเกาเฉียวฟงและตระกูลเกา

공유

บทที่ 14 ชายที่ชื่อเกาเฉียวฟงและตระกูลเกา

last update 최신 업데이트: 2025-11-06 18:24:21

เกาเฉียวฟงถือกำเนิดในตระกูลขุนนางนักรบแห่งแคว้นเว่ย บ้านเกิดอยู่ทางทิศเหนือซึ่งเป็นดินแดนหนาวเย็นและเต็มไปด้วยการศึกจากชนเผ่าชายแดน บิดาของท่านเคยเป็นแม่ทัพรักษาด่านซีเหมิน มารดาเป็นบุตรีตระกูลนักปราชญ์ ท่านจึงเติบโตขึ้นท่ามกลางทั้งศาสตร์แห่งอักษรและคมดาบ

ตั้งแต่วัยสิบห้าปีท่านได้รับสมญาพยัคฆ์หนุ่มแห่งด่านซีเหมิน เพราะสามารถนำกองทหารอาสาเพียงสามร้อยคน เข้าตีซุ่มข้าศึกที่มีจำนวนมากกว่าเป็นเท่าตัวได้สำเร็จ เมื่ออายุยี่สิบห้าเกาเฉียวฟงได้รับพระบัญชาให้เข้ารับราชการในราชสำนักภายใต้รัชกาลของฮ่องเต้หลงเจี้ยน ในฐานะแม่ทัพรักษาชายแดนด้านเหนือ ด้วยความสามารถในการวางกลศึกและการปกครองที่เที่ยงธรรม เขาได้รับการเลื่อนขั้นอย่างรวดเร็ว จนกลายเป็นแม่ทัพใหญ่แห่งกองทัพแคว้นเว่ย

ภายหลังจากที่สงครามชายแดนสงบ ฮ่องเต้ทรงเห็นว่าท่านไม่เพียงมีฝีมือการศึก แต่ยังมีวิสัยทัศน์ทางการเมือง จึงโปรดเกล้าฯแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่ง เสนาบดีใหญ่แห่งกระทรวงทหารมีอำนาจควบคุมกองทัพทั่วทั้งแผ่นดิน

เกาเฉียวฟงได้แต่งงานกับจ้าวเฟยเถา มีบุตรชายด้วยกันสี่คนมีบุตรสาวหนึ่งคน คนโตชื่อเกาฟานหวง คนรองชื่อเกาฟานถง คนที่สามเกาฟานอี้ คนที่สี่เกาฟานอัน คนสุดหลินเจินเป็นบุตรสาวเพียงคนเดียวของเกาเฉียวฟง เป็นหญิงที่ได้รับการอบรมด้วยทั้งสติปัญญาและคุณธรรม เมื่อถึงวัยสิบหกปี ได้ถูกคัดเลือกเข้าสู่ราชสำนัก และภายหลังได้เป็นพระชายาขององค์รัชทายาทหลงเฉิน ซึ่งต่อมาคือฮ่องเต้หลงเฉินหรืออดีตฮ่องเต้หลงเฉิน

แม้บุตรสาวจะได้เป็นฮองเฮา แต่เกาเฉียวฟงมิได้อาศัยอำนาจนั้นเพื่อหาผลประโยชน์ ตรงกันข้ามท่านกลับระวังตนยิ่งนัก ไม่ให้ราชสำนักครหาว่าตระกูลเกาแผ่อำนาจ ทว่าความซื่อสัตย์และตรงไปตรงมาของท่านกลับทำให้ขุนนางบางพวกอิจฉา เกิดเป็นการแบ่งฝ่ายในราชสำนักระหว่าง กลุ่มตระกูลเกากับกลุ่มตระกูลหวังฝั่งภรรยาของเฉียวฟงที่มีอำนาจทางการคลัง

อำนาจของตระกูลเกาในแคว้นเว่ย ตระกูลเกาเป็นหนึ่งในตระกูลใหญ่ที่สืบสายมาหลายชั่วอายุคนของแคว้นเว่ย นับตั้งแต่ยุคต้นราชวงศ์ ตระกูลนี้ได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์จากการทำศึกเพื่อแผ่นดิน จากขุนพลผู้ภักดีในสนามรบ กลายมาเป็นตระกูลขุนนางผู้ทรงอำนาจที่สุดแห่งยุค ถึงตระกูลฉินของไทเฮาพระองค์ปัจจุบันจะมีอำนาจทางทหารครึ่งหนึ่ง แต่สำหรับตระกูลเกานั้นนอกจากจะมีทหารครึ่งหนึ่งของกองทัพเว่ยอยู่ได้อานัตแล้ว แต่ตระกูลเว่ยมีกองกำลังของชาวแคว้นเว่ยที่พร้อมปกป้องเสมอ ด้วยเพราะคุณธรรมไม่เคยเอาเปรียบชาวบ้านชาวแคว้นจึงรักตระกูลเกามากจนหลายตระกูลกังวล และตำแหน่งใหญ่ ๆ ทางการทหารคนตระกูลเกานั้นมีมากว่าตระกูลฉิน จึงทำให้หลายตระกูลอยากดึงเข้าร่วมกลุ่มอำนาจด้วย

ความรุ่งเรืองแห่งตระกูลเกาและบุตรชายทั้งสี่แห่งบ้านเกาเฉียวฟงในแคว้นเว่ย หากกล่าวถึงตระกูลเกาไม่มีใครไม่เอ่ยถึงชื่อของท่านแม่ทัพใหญ่เกาเฉียวฟง ชายผู้ที่มีทั้งความกล้า ทั้งสุขุม และซื่อสัตย์ต่อราชบัลลังก์อย่างยิ่ง เขามิได้ยิ่งใหญ่เพียงเพราะกองทัพที่อยู่ใต้บังคับบัญชาเท่านั้น แต่เพราะลูกชายทั้งสี่ของเขา ล้วนเป็นอัจฉริยะที่สืบสายเลือดแห่งเกาอย่างสมบูรณ์

 เกาฟานหวง บุตรชายคนโตขุนศึกผู้เยือกเย็นแห่งทิศเหนือ เกาฟานหวงคือแบบอย่างของนักรบผู้สมบูรณ์แบบ  สุขุม เยือกเย็น และเด็ดขาด ตั้งแต่วัยยี่สิบต้น ๆ ก็รับตำแหน่งแม่ทัพรักษาชายแดนเหนือ ภายใต้การบัญชาของเขา กองทัพแคว้นเว่ยมิถูกศัตรูต่างแคว้นรุกรานได้แม้แต่ก้าวเดียว ว่ากันว่าเพียงเขาออกศึก ดาบยังไม่จำเป็นต้องเปื้อนเลือด เพราะชื่อเกาฟานหวง เองก็เพียงพอจะทำให้ศัตรูยอมถอย

“ข้าไม่ต้องชนะด้วยคมดาบ หากแต่ด้วยความกลัวในใจศัตรู” คำกล่าวของเกาฟานหวงที่กลายเป็นตำนานของเหล่าทหารชายแดน

 เกาฟานถง บุตรชายคนรองเสนาธิการทหารผู้เฉียบแหลม ต่างจากพี่ชายที่เก่งกล้าในสนามรบ เกาฟานถงกลับโดดเด่นในทางปัญญา เขาเป็นนักวางแผนและนักปกครองที่มากด้วยไหวพริบ เป็นผู้ร่างยุทธศาสตร์ให้ราชสำนักเว่ยหลายครั้งจนได้รับตำแหน่งเสนาธิการทหารฝ่ายยุทธศาสตร์ เขามีสติปัญญาลึกซึ้ง มองการณ์ไกล สามารถอ่านใจผู้คนและสถานการณ์ได้ราวกับเปิดหนังสือผู้คนกล่าวว่า เกาฟานหวงชนะด้วยดาบ แต่เกาฟานถงชนะด้วยปากกาและทั้งสองรวมกัน คือพลังของแผ่นดินเว่ยที่ไร้ผู้ต้าน

เกาฟานอี้ บุตรชายคนที่สามขุนพลผู้ร่าเริงแห่งกองม้า เกาฟานอี้เป็นชายหนุ่มเลือดร้อนและรักอิสระ เขาไม่ชอบพิธีรีตองในราชสำนัก แต่กลับเก่งกาจในการรบเคลื่อนที่เร็ว เป็นแม่ทัพม้าผู้มีฝีมือโดดเด่นจนได้รับฉายา อัสนีแห่งเว่ย เพราะทุกครั้งที่กองม้าของเขาปรากฏบนสนามรบ เสียงกลองศึกจะดังราวฟ้าผ่า แม้มีนิสัยหัวรั้นและขบถเล็กน้อย แต่เขาก็เป็นที่รักของเหล่าทหาร เพราะต่อหน้าศัตรูเขามักอยู่แนวหน้าเสมอ

“แม่ทัพไม่ควรสั่งให้ผู้อื่นตายแทนตน แต่ควรให้ศัตรูเห็นว่าตนยอมตายเพื่อแผ่นดินก่อนใคร” คำกล่าวของเกาฟานอี้ ก่อนนำทัพฝ่าศึกตะวันตก

เกาฟานอัน บุตรชายคนเล็กผู้สืบสายเลือดแห่งปัญญาและยุทธศิลป์ เกาฟานอันเป็นบุตรชายคนเล็กสุด ผู้เงียบขรึมแต่เฉลียวฉลาดเกินวัยตั้งแต่เด็ก ตอนยังวัยเยาว์เขากลับได้รับการยกย่องว่า ฉลาดเทียบเสนาบดี แต่ใจกล้าเทียบแม่ทัพ เขาชำนาญทั้งการวางกลศึกและศิลปะการเจรจา ถูกส่งไปเป็นทูตในต่างแคว้นตั้งแต่อายุยังไม่ถึงยี่สิบ และสามารถทำให้แคว้นศัตรูลงนามสันติภาพได้โดยไม่ต้องเสียเลือดเนื้อในราชสำนัก หลายคนกล่าวว่าเขาคือเงาของท่านพ่อ 

ทั้งลุงทั้งสี่นั้นรักหลานสาวอย่างองค์หญิงหลิงเซียงมาก เพราะองค์หญิงหลิงเซียงนั้นน่าสงสารตั้งเสียมารดาไปในวัยอันควร ท่านลุงทั้งสี่นั้นไม่มีลูกสาวเลยจึงรักองค์หญิงมาก จะว่าองค์หญิงหลิงเซียงเป็นคนที่ไว้ดูต่างหน้าของอดีตฮองเฮาก็ว่าได้ และที่สำคัญก่อนอดีตฮองเฮาจะสิ้นพระชนม์ได้ฝากฝังองค์หญิงไว้จนลมหายใจสุดท้าย

이 책을.
QR 코드를 스캔하여 앱을 다운로드하세요

최신 챕터

  • เกิดใหม่เป็นองค์หญิงวิปลาส   บทที่ 78 หนีรอดแต่ก็ไม่รอด

    รุ่งสางหมอกบางคลุมลานหินนอกกำแพงวัง ทหารหลวงและหน่วยองครักษ์พิเศษล้อมพื้นที่แน่นหนา ร่างนักฆ่าเงารัตติกาลสามคนถูกจับกดไว้กับพื้นแขนถูกมัด เลือดเปื้อนเสื้อผ้า ดวงตาทุกคู่ยังคงว่างเปล่าไร้ความหวาดกลัวมู่เทียนหลางยืนอยู่เบื้องหน้า เสื้อเกราะยังมีรอยคมมีด สายตาเย็นเยียบ“ใครเป็นคนสั่ง” เทียนหลางเสียงของเขาเรียบ แต่กดดันหนึ่งในนักฆ่าเงยหน้าขึ้น มุมปากยกยิ้มประหลาด“สายไปแล้ว…คุณชายมู่”มู่เทียนหลางขมวดคิ้ว“เจ้าหมายความว่าอย่างไร” เทียนหลางนักฆ่าคนนั้นกัดฟันแน่นก่อนที่ใครจะทันขยับกร๊อบ!เขากัดแคปซูลเล็ก ๆ ที่ซ่อนอยู่ใต้ลิ้น เลือดสีดำไหลออกจากปากทันที“หยุดเขาไว้ ห้ามให้ตายเด็ดขาด!” เทียนหลางแต่ไม่ทันแล้วอีกสองคนทำเช่นเดียวกัน ร่างกระตุกเพียงครู่ก่อนแน่นิ่ง ความเงียบปกคลุมพื้นที่ กลิ่นโลหิตและยาพิษลอยคลุ้ง หมอหลวงรีบเข้าตรวจ ก่อนส่ายหน้าอย่างเคร่งเครียด“พิษปลิดชีพขอรับออกฤทธิ์เร็วมาก ไม่มีทางช่วย”มู่เทียนหลางกำมือแน่นเส้นเลือดที่ขมับปูดขึ้น“แม้ตาย…ก็ยังซื่อสัตย์ต่อสำนัก” เทียนหลางหัวหน้าทหารหลวงคุกเข่าลง“ขออภัยคุณชายมู่พวกมันไม่ทิ้งร่องรอยใด ๆ เลย”มู่เทียนหลางหลับตาชั่วขณะในใจหนั

  • เกิดใหม่เป็นองค์หญิงวิปลาส   บทที่ 77 แผนลอบปองร้ายองค์หญิงในวัง

    คืนนั้นวังหลวงเงียบงันเกินปกติแม้แสงโคมจะส่องสว่างตามระเบียง แต่กลับให้ความรู้สึกเย็นเยียบอย่างประหลาด ในเงามืดของเรือนร้างใกล้กำแพงชั้นใน ชายผู้หนึ่งยืนอยู่ใต้ชายคา หน้ากากสีดำปิดครึ่งใบหน้า ดวงตาคมกริบไร้ความรู้สึก“แผนเริ่มได้แล้ว”หัวหน้านำเงารัตติกาลกล่าวเสียงของเขาเบาแต่เด็ดขาด ร่างเงาหลายร่างคุกเข่าลงพร้อมกัน“เป้าหมายอยู่ในตำหนัก”หนึ่งในนั้นถามหัวหน้านำยกมือขึ้น ในมือคือผ้าไหมปักลายหงส์เครื่องหมายตำหนักไฉ่หง“วันนี้องค์หญิงหลิงเซียงต้องตายและวังหลวงจะลุกเป็นไฟ ตระกูลเกาจะหมดความอดทนกับราชสำนักแน่”คำสั่งนั้นทำให้เงาทั้งหมดนิ่งงันไปชั่วขณะ แม้แต่นักฆ่าก็รู้ดีว่า เป้าหมายนี้ไม่ธรรมดา“อย่าให้ใครสงสัยถึงเรา อย่าให้มีร่องรอยว่าเป็นการลอบสังหาร ต้องดูเหมือน…อุบัติเหตุในวัง”ดวงตาของหัวหน้านำฉายแววเย็นเยียบ“และคืนนี้ต้องเป็นคืนที่องค์หญิงจะมีชีวิตอยู่”ภายในตำหนักไฉ่หงองค์หญิงหลิงเซียงกำลังเตรียมบรรทม หัวใจของนางไม่สงบตั้งแต่รู้ว่าการย้ายจวนล้มเหลว“ไปพักผ่อนเถอะเพค่ะ”นางกำนัลเอ่ยเสียงเบา หญิงพยักหน้า แต่ในวินาทีนั้นเอง มีเสียงดังปึกเสียงเบา ๆ ดังจากหลังคา องครักษ์หน้าตำหนักชะงัก

  • เกิดใหม่เป็นองค์หญิงวิปลาส   บทที่ 76 เผชิญหน้ากับองค์รัชทายาท

    ข่าวว่ามู่เทียนหลางขอเข้าเฝ้าองค์รัชทายาทโดยตรง สร้างความตกตะลึงให้กับคนในวังไม่น้อย เพราะผู้ใดต่างรู้ดีว่านี่มิใช่การเข้าเฝ้าเพื่อทักทาย หากเป็นการเผชิญหน้าที่ไม่มีผู้ใดถอยง่าย ๆ ตำหนักบูรพาอากาศในท้องพระโรงเงียบงัน มู่เทียนหลางคุกเข่าลงอย่างสง่างามแผ่นหลังตรง“กระหม่อมมู่เทียนหลาง ขอเข้าเฝ้าองค์รัชทายาทพ่ะย่ะค่ะ” เทียนหลางจิ้งไฉประทับอยู่บนบัลลังก์ต่ำ พระเนตรทอดมองลงมาอย่างเย็นชา“ลุกขึ้น เจ้ามาด้วยเรื่ององค์หญิง…ใช่หรือไม่” จิ้งไฉมู่เทียนหลางลุกขึ้นช้า ๆ“พ่ะย่ะค่ะ” เทียนหลาง“เช่นนั้นข้าไม่อ้อมค้อเลยแล้วกัน ข้าไม่ยินยอมให้พาน้องสาวข้าไปไหนทั้งนั้น” จิ้งไฉคำตอบนั้นชัดเจนราบเรียบแต่หนักหน่วง มู่เทียนหลางประสานมือค้อมศีรษะเล็กน้อย“กระหม่อมมาที่นี่ มิใช่เพื่อขออนุญาตจากองค์รัชทายาท หากแต่มาเพื่อขอให้ทรงถอนการคัดค้าน” เทียนหลางบรรยากาศรอบกายแข็งค้างขันทีและองครักษ์ต่างกลั้นลมหายใจ จิ้งไฉหัวเราะเบา ๆ“มู่เทียนหลาง…เจ้ากำลังท้าทายข้าหรือ” จิ้งไฉ“กระหม่อมไม่กล้า แต่กระหม่อมจะไม่ถอย” เทียนหลางพระเนตรขององค์รัชทายาทหรี่ลง มู่เทียนหลางเงยหน้าขึ้น สายตานิ่งมั่นคง“องค์หญิงหลิงเซียงไม่ใ

  • เกิดใหม่เป็นองค์หญิงวิปลาส   บทที่ 75 ขอย้ายเข้าจวนตระกูลมู่

    หลังจากพาองค์หญิงหลิงเซียงกลับจากจวนตระกูลมู่ มู่เทียนหลางยังคงเห็นภาพรอยยิ้มอบอุ่นของคนในบ้านลอยวนอยู่ในความคิดตั้งแต่บิดามารดา พี่ชาย พี่สะใภ้ ไปจนถึงหลาน ๆ ทุกคนล้วนต้อนรับองค์หญิงด้วยความเคารพจริงใจ มิใช่เพราะฐานะ หากเป็นเพราะรักและเอ็นดูในตัวนางอย่างแท้จริง มู่เทียนหลางหลังจากที่พาองค์หญิงไปจวนตระกูลมู่ ได้เห็นครอบครัวตัวเองต้อนรับองค์หญิงเป็นอย่างอบอุ่น จึงอยากลองขอฮ่องเต้จิ้งอู่พาองค์หญิงย้ายไปอยู่ที่จวนตระกูลมู่คืนนั้น มู่เทียนหลางนั่งอยู่ในตำหนักไฉ่หง มององค์หญิงที่กำลังอ่านตำราด้วยสีหน้าสงบหัวใจเขากลับไม่อาจสงบตามไปได้“หลิงเซียง” เทียนหลางเขาเอ่ยเสียงแผ่ว องค์หญิงเงยหน้าขึ้นมอง “มีอะไรหรือเจ้าค่ะท่านพี่” หลิงเซียงมู่เทียนหลางลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนกล่าวด้วยน้ำเสียงจริงจัง“วันนี้ที่จวนตระกูลมู่…เจ้าดูมีความสุขมาก” เทียนหลางองค์หญิงนิ่งไปเล็กน้อย ก่อนยิ้มบาง“เพราะทุกคนอบอุ่นมากเพคะ ทำให้หม่อมฉันคิดถึงครอบครัวเดิมโดยไม่รู้ตัว” หลิงเซียงคำพูดนั้นทำให้มู่เทียนหลางแน่นอก เขาตระหนักดีว่าแม้ตำหนักไฉ่หงจะหรูหรา มีอำนาจ มีคนรับใช้รายล้อม แต่กลับขาดความอบอุ่นของคนในครอบครัว ห

  • เกิดใหม่เป็นองค์หญิงวิปลาส   บทที่ 74 เทศกาลไหว้พระจันทร์

    ในที่สุดเทศกาลไหว้พระจันทร์ก็เวียนมาถึง ค่ำคืนต้นฤดูใบไม้ร่วง ท้องฟ้าโปร่งใส ดวงจันทร์กลมโตเริ่มทอแสงนวลเหนือหลังคาวังตั้งแต่เช้าตรู่ ตำหนักไฉ่หงก็เต็มไปด้วยความคึกคักนางกำนัลช่วยกันแขวนโคมไฟสีแดงและสีทองเรียงรายตามระเบียง ผืนผ้าลายเมฆและกระต่ายหยกถูกนำมาตกแต่งโต๊ะบูชาอย่างประณีต“แขวนโคมตรงนั้นอีกนิดเจ้าค่ะ!”“โต๊ะขนมไหว้ต้องหันรับแสงจันทร์นะ!”เสียงพูดคุยหัวเราะดังไม่ขาดสาย บนโต๊ะยาวกลางตำหนัก ขนมไหว้พระจันทร์ถูกจัดเรียงอย่างงดงาม ทั้งไส้ถั่วแดง ไส้งาดำ ไส้พุทรา ผลไม้ตามฤดูกาลถูกวางคู่กับชาอุ่นหอมกรุ่น องค์หญิงหลิงเซียงยืนดูความเรียบร้อยด้วยรอยยิ้มอ่อน“อย่าลืมวางขนมรูปกระต่ายหยกไว้ตรงกลางนะ” หลิงเซียงนางกำนัลรับคำอย่างขะมักเขม้น“เพค่ะองค์หญิง!”บรรยากาศก่อนค่ำเมื่อแสงอาทิตย์คล้อยต่ำ ลมเย็นพัดผ่านตำหนักไฉ่หงอย่างอ่อนโยน กลิ่นธูปหอมอ่อน ๆ ลอยคลุ้งเสียงพิณเบา ๆ ดังคลอจากด้านใน ทุกคนแต่งกายด้วยชุดสีอ่อนงดงามนางกำนัลหลายคนแอบกระซิบด้วยดวงตาเป็นประกาย“คืนนี้องค์หญิงต้องงดงามมากแน่ ๆ”“ได้ยินว่าคุณชายมู่จะมาร่วมงานด้วยนะ หลังจากนั้นก็จะพาองค์หญิงไปที่จวนตระกูลมู่ด้วยนะ!”เมื่อถึงยามโหย

  • เกิดใหม่เป็นองค์หญิงวิปลาส   บทที่ 73 เข้าปีที่ 2

    ตอนนี้ชีวิตใหม่ที่แสนจะมีวุ่นวายของหมิวที่อยู่ในร่างขององค์หญิงหลิงเซียงเริ่มมีความสุขมากขึ้น มากจนคิดว่าถ้าหากถึงวันที่เกิดเหตุร้ายตามที่เขาศึกษามา เขาคงต้องเสียใจมากแน่เพราะมู่เทียนหลาง เท่าที่รู้มาเขาจะกลายเป็นคุณชายตาบอดไปตลอดชีวิต เพราะเข้าไปช่วยฮ่องเต้ที่ติดอยู่ในกองเพลิง เขาตั้งในแล้วว่าจะไม่มีทางให้มันเกิดขึ้นแน่นอน อีกอย่างตั้งแต่มาอยู่ที่นี้แล้วมีเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น ล้วนมาจากฝีมือของสำนักเงารัตติกาล หากวิเคราะห์โดยที่ไม่อิงประวัติศาสตร์ที่ศึกษาตัดออกไปไม่เอามาร่วม ก็จะเห็นได้ว่าเหตุการณ์ร้ายที่จะเชื่อมไปถึงในปีที่ 7 ของการของครองราชย์ของฮ่องจิ้งอู่ สำนักรัตติกาลนี้แหละคือตัวร้ายและน่าจะร่วมมือกับคนในราชวงศ์คนใดคนหนึ่งที่ทำให้ ทั้งฮ่องเต้และองค์รัชทายาทแตกหักกันมานานหลายปี วิเคราะห์ดูแล้วเอาเข้าจึง ๆ ไม่เป็นที่ประวัติศาสตร์ในตำราบันทึกไว้เลย ดูท่าเขากับมู่เทียนหลางคงต้องสืบหาคนอยู่เบื้อหลังอีกนานเลยวันนี้องค์หญิงหลิงเซียงอยากฉลองให้ตัวเองที่อยู่รอดปลอดภัยมาถึงปีที่สองจึงอยากทำอาหารฉลองสักหน่อย เมนูก็มีอะไรง่าย ๆ ที่ทำจากหมู หมูผัดกิมจิ ข้าวผัดหมู หมูทอดกระเทียม และหม

더보기
좋은 소설을 무료로 찾아 읽어보세요
GoodNovel 앱에서 수많은 인기 소설을 무료로 즐기세요! 마음에 드는 책을 다운로드하고, 언제 어디서나 편하게 읽을 수 있습니다
앱에서 책을 무료로 읽어보세요
앱에서 읽으려면 QR 코드를 스캔하세요.
DMCA.com Protection Status