ไอน้ำอุ่นลอยอ้อยอิ่งภายในห้องน้ำสุดหรูหราที่ใหญ่ อารมณ์เหมือนหลุดเข้าไปในรีวิวคอนโดระดับไฮเอนด์ ภีมยืนอยู่หน้ากระจก เขามองเงาสะท้อนของตัวเองแล้วถึงกับอ้าปากค้าง มัดกล้ามตึงแน่นเรียงตัวกันเหมือนเทรนเนอร์ฟิตเนสจากแอปฯดัง ผิวขาวอมแทนเนียนเรียบแบบที่ต่อให้ลงรีวิวเซรั่มก็ยังดูเป็นสปอนเซอร์ปลอมๆ
"โห หล่อชิบ..." เขาพึมพำ ก่อนจะยิ้มมุมปากให้ตัวเองแล้วแอ็คท่ากลางกระจกแบบที่ไม่เคยทำตอนอยู่ในร่างเดิม เสยผมขึ้น แหงนหน้ามองมุม 45 องศา พร้อมกระซิบเบาๆกับตัวเอง “ถ้าศัลยกรรม ยังไม่ได้เท่านี้เลย ” พรึ่บ! เสียงบางอย่างลอยเข้ามาทางมุมอับสายตา เจ้าแมวดำตัวอ้วนท้วน “โคโค่” ที่ตอนแรกภีมนึกว่าเป็นแมวธรรมดา แต่ตอนนี้เขาค่อนข้างแน่ใจว่ามันน่าจะเป็นสัตว์ประหลาดที่มาจากความฝันหรือโลกคู่ขนานแน่ๆ “ทำอะไรของนาย?” โคโค่ลอยตัวเข้ามาอย่างเงียบกริบ ก่อนจะหรี่ตาจ้องเขาอย่างจับผิด “เห้ย! เวลา ส่วนตัว โว้ยยยย!” ภีมโวยวาย ใบหน้าแดงเถือกรีบปิดประตูห้องน้ำแบบลนลาน โคโค่ส่ายหัว ยักไหล่อย่างเป็นแมวที่ไม่แคร์อะไรเลย ก่อนจะพูดต่อ “แต่งตัวซะ วันนี้นายต้องไปบริษัทแล้วนะ” “บริษัท?” ภีมเลิกคิ้ว เขาแทบยังไม่เข้าใจเลยว่าตัวเองมาอยู่ในโลกนี้ได้ยังไง แล้วจะไปรับรู้อะไรกับตารางงานบริษัทกันเล่า โคโค่หรี่ตา พูดเสียงเย็น “อย่าบอกนะว่านายยังไม่ได้อ่านนิยายเรื่องนี้ให้จบ” “กะ...ก็แค่ผ่านตาไปหลายตอนเอง...” ภีมอ้ำอึ้ง หน้าแดงยิ่งกว่าเดิม “โกหกแมวไม่ได้นะยะ~ อ่านไปเกือบครึ่งเล่มแล้วไม่ใช่หรอ?” โคโค่หัวเราะ หางสะบัดเหมือนแมวที่รู้ทันทุกอย่าง ภีมไม่ตอบ แต่แววตาก็เหมือนถูกจับโป๊ะเต็มๆ “ถ้างั้น...คงยังไม่ถึงฉากเปิดตัววิคเตอร์สินะ” “วิคเตอร์ใคร?” ภีมถามอย่างงุนงง โคโค่ยิ้มกว้าง “ชื่อตัวละครที่นายต้องเล่นไง ไอเจ้าสมองทึบ ถ้าไม่อยากเป็นตัวประกอบที่ตายตามบท ก็ต้องทำคะแนนความชอบซะ” “อะไรนะ!? แล้วเราไม่ได้ต้องทำตัวตามเนื้อเรื่องเดิมหรอวะ?” ภีมยกมือขึ้นแบบนักวิเคราะห์เจนซีสายดิ่ง “อย่างน้อยก็อยู่เงียบๆ ไปจนเรื่องมันจบเองอะไรงี้...” แอ้ก!! อุ้งมือแมวตบกะบาลเข้าเต็มแรงจนภีมหัวโยก “โง่! ถ้านายไม่เข้าไปยุ่ง นายก็จะ ‘ถูกลืม’ แล้วก็ตายตามระบบเรื่องนี้เข้าใจมั้ย?!” โคโค่จ้องตาเขม็ง “....แต่มันก็คือนิยายอะดิ...” “มันคือชีวิต!!!” เสียงโคโค่ลากยาว พร้อมหางฟาดพื้นปึงๆ “คะแนนที่ฉันพูดถึงน่ะคือ คะแนนแม่ยก ยิ่งแม่ๆ ชอบนายมากเท่าไหร่ เรตติ้งนายก็จะพุ่ง บทนายก็จะมา นายก็จะ ‘รอด’ เข้าใจยัง?” ภีมชะงัก สมองเริ่มประมวลผล จะรอดจากความตาย...โดยอาศัยคะแนนแม่ยก? เขาพึมพำเบาๆ กับตัวเอง “แปลว่า...ต้องทำตัวให้ปังว่างั้น?” โคโค่ยิ้มเขี้ยว “พูดถูกแล้ว เจ้างั่ง! ยินดีต้อนรับเข้าสู่นิยายวาย...เวอร์ชันเอาชีวิตรอด” " ผมขับรถแล้วก็ทำงานไม่เป็นนะโคโค่ " ภีมเกาหัวพร้อมมองไปที่รถยนต์คันหรูที่ต้องขึ้นไปนั่ง " ไม่ต้องห่วง ทักษะต่างๆของตัวละครจะถูกถ่ายทอดมาที่นาย ลองไปนั้งดูความทรงจำเกี่ยวกับวิธีขับรถมันก็จะเข้าหัวนายเอง " โคโค่วิ๊งตาใส่ก่อนจะลอยตัวเข้าไปนั่งในเบาะข้างคนขับ " อย่างงั้นเองหรอ..." ภีมอ้ำอึ้งก่อนจะขึ้นรถตามไปที่ฝั่งคนขับ " รวมถึงการกระทำเรื่องอย่างว่าด้วยนะ ฮิฮิ วิคเตอร์โคตรจะเซียนเลยละ " คำพูดเล่านั้นทำเอาเด็กวัยรุ่นในร่างของชายรูปหล่อหน้าแดงระเรื่อ เสียงเครื่องยนต์ของรถสปอร์ตสีดำเงางามกระหึ่มเบาๆ ไปตามถนนหรูในย่านใจกลางเมือง ภายในรถ ภีมนั่งหลังพวงมาลัยด้วยท่าทางเกร็ง ๆ ขณะฟังเสียงเล่าโปรไฟล์ที่ดังมาจากแมวอ้วนลอยได้ที่นั่งลอยคว้างอยู่ข้างๆ ติ๊ง! แผ่นจอโปร่งแสงลอยปรากฏตรงหน้าภีม พร้อมเสียงบรรยายอันแสนจะจริงจังจากโคโค่ “วิคเตอร์ เฮด อายุ 27 ปี ลูกครึ่ง ญี่ปุ่น เยอรมัน ออสเตรีย และไทย สูง 189 เซนติเมตร น้ำหนัก 70 กิโลกรัม..ซึ่งแปลว่าเขาเป็นนายแบบในชีวิตจริงได้เลยถ้าเบื่อโลกนักธุรกิจ” “เออ กูได้ยินแล้วววว” ภีมพึมพำ ขมวดคิ้วอย่างเหนื่อยใจ “ฟังไปขับรถไปมันเหนื่อยนะเว้ย!” เพียะ! “โอ๊ย! ตบทำไมเนี่ยโคโค่!” “อย่าขัดตอนฉันกำลังอธิบาย! สมาธินายต้องเป๊ะเหมือนหน้าแฟ้มประวัติ!” โคโค่กระแอมเบาๆ แล้วเริ่มเล่าต่อเหมือนนางพากย์ในรายการชีวประวัตินักธุรกิจหมื่นล้าน “วิคเตอร์ไม่ค่อยสนิทกับพ่อ แต่รักและตามใจน้องชายต่างแม่ที่อายุห่างกันถึงเก้าปี มีเพื่อนสนิทคนเดียวชื่อ ไอแซค กู๊ดเวล แพ้ถั่ว ไม่กินผัก ชอบกินสเต็กทุกชนิดที่มาจากเนื้อสัตว์ โดยเฉพาะวากิว A5 แรร์มีเดียม—“ “พอแล้ว! ขี้เกียจจำ!” ภีมโวยแบบคนขาดน้ำตาลมาแล้วสองวัน “ฉันก็เลยอ่านให้นี่ไง!” ภีมทำหน้าเบื่อหน่าย ตามประสาวัยรุ่นหัวรั้น โคโค่เห็นแบบนั้น ก็ทำใจอดไว้ ก่อนจะเล่าต่อ "เพศรองอัลฟ่า กลิ่นฟีโรโมนกาแฟคั่วผสม คาราเมลไหม้--" " กลิ่นบ้าอะไร นี้วิคเตอร์เป็นสตาร์บั๊คหร- อั๊ก! " อุ้งเท้านุ่มนิ่ม ถีบเน้นๆ ใส่โหนกแก้ม จนหน้าหัน แต่ยังไม่ทันที่ภีมจะได้เถียงกลับอีกสักรอบ โคโค่ก็หันไปมองนอกหน้าต่าง “ถึงแล้วล่ะ ไปจอดรถ ฉันจะบอกขั้นตอนต่อไป” เสียงรองเท้าหนังราคาแพงกระทบพื้นหินอ่อนของลานจอดรถชั้นใต้ดิน วิคเตอร์ or ภีมในร่างวิคเตอร์ ก้าวลงจากรถหรูอย่างมั่นใจ ดึงเนกไทให้ตรงและสะบัดชายเสื้อสูทสีกากีให้เข้าทรง หยิบกระเป๋าเอกสารขึ้นพาดแขนเหมือนพระเอกซีรีส์ธุรกิจเกาหลี “จำไว้นะ” โคโค่เอ่ยเสียงจริงจัง “วิคเตอร์ขึ้นชื่อเรื่องความเป๊ะ บ้างาน เจ้าระเบียบ ไม่ยิ้มสุ่มสี่สุ่มห้า อย่าเผลอหลุดคาแรคเตอร์แบบเถลไถลเชียวล่ะ” “เรื่องแค่นี้ จิ๊บๆ” ภีมยักไหล่ มั่นหน้าแบบคนดูซีรีส์มา 800 เรื่อง เขายืดอก สูดหายใจเต็มปอด แล้วก้าวเปิดประตูเข้าไปในตัวตึกทันที ท่าทีของเขาสงบ สุขุม แววตาเย็นชาในระดับที่เหมือนเจ้านายพร้อมไล่คนออกได้ทุกเมื่อ ...แต่ไม่กี่วินาทีต่อมา ทุกสายตาในล็อบบี้ก็จับจ้องมาที่เขา ราวกับเพิ่งเห็นยูนิคอร์นเดินเข้ามาในบริษัทน้ำมัน ภีมกวาดตามองซ้ายขวา รู้สึกเหมือนหลุดเข้ากล้องวงจรปิดของจักรวาลผิดคิว “อะไรของพวกเขาวะ?” เขาพึมพำ...ก่อนจะเหลือบลงไปมองด้านข้างตัวเอง แมวอ้วนลอยได้… เดินตุ้ยนุ้ยอยู่ข้างเขาด้วยสีหน้าเรียบเฉย “โว้ยยยยยยยย!! โคโค่!! ใครเค้าเอาแมวเข้าบริษัทฟะ!!” โคโค่หาวหวอด “แล้วจะให้ฉันบินเข้ามากลางลิฟต์ต่อหน้าคนเป็นสิบเหมือนตอนอยู่คอนโดรึไง?” ภีมอ้าปากค้าง...แล้วหุบไม่ลง โดนแมวเถียงจนเงิบเป็นครั้งที่ร้อย พอเข้าลิฟต์ได้ เขาก็ถอนหายใจเฮือกใหญ่ แล้วโคโค่ก็ยังไม่หยุดบ่น “นี่ดีนะที่วันนี้ไม่มีบอร์ดใหญ่ ไม่งั้นโดนซุบซิบไปทั้งบริษัทแน่ วิคเตอร์ไม่เคยพาสัตว์เลี้ยงมา นายต้องคีพฟอร์มเข้าใจไหม” “เข้าใจแล้วจ้าาาา...” ภีมถอนหายใจ “รู้สึกเหมือนมาออกรายการเรียลลิตี้เลย” ติ๊ง! ลิฟต์เปิดที่ชั้น 17 ชั้นสูงที่สุดในอาคาร “เชิญคุณวิคเตอร์ เฮด” โคโค่โค้งหัวแบบแกล้งยียวน “ถึงห้องทำงานสุดหรูของคุณแล้วจ้ะ~” ภีมกลืนน้ำลาย เดินเข้าไปพร้อมกับเสียงส้นรองเท้ากระทบพื้นไม้ราคาแพง ...โดยที่ยังไม่รู้เลยว่าข้างในนั้นมีอะไรรอเขาอยู่บ้าง ภายในห้องทำงานที่เงียบสงบ เสียงปากกาลูบไล้กระดาษแผ่นแล้วแผ่นเล่าเป็นจังหวะเดียวกับเสียงหาวยาว ๆ ของไอแมวตัวอ้วนที่นอนแผ่หลาอยู่ข้างกองเอกสาร นักธุรกิจหนุ่มหน้าตาหล่อเหลา วิคเตอร์ กำลังก้มหน้าก้มตาเซ็นเอกสารอย่างหมดแรง ไม่ใช่เพราะงานเยอะ...แต่เพราะเขาหิว! ย้อนกลับไปไม่กี่ชั่วโมงก่อน เมื่อประตูลิฟต์เปิดออก ร่างสูงในสูทเนี้ยบเดินผ่านหน้าโต๊ะของเลขาสาวผมยาวสลวย ดวงตากลมโตของเธอมองมาด้วยแววกังวลปนตื่นเต้น ก่อนจะลุกขึ้นมายื่นแฟ้มเอกสารให้เขาด้วยท่าทีเรียบร้อย “คุณวิคเตอร์ เอกสารที่ต้องเซ็นทั้งหมดค่ะ” ภีม...หรือวิคเตอร์ในร่างภีม ถึงกับชะงักไปเล็กน้อย ดวงตาไล่มองใบหน้าหวานของเธออย่างลืมตัว และรอยยิ้มบาง ๆ ที่หลุดออกมาโดยไม่ตั้งใจก็ทำให้เธอหน้าแดงก่ำ รีบหันหลังกลับไปนั่งที่โต๊ะเหมือนเจอวิญญาณหลอน เมื่อเขาเดินเข้าห้องทำงาน โคโค่ แมวอ้วนผู้เป็นทั้งผู้ช่วยชีวิตและหัวหน้าฝ่ายจรรยาบรรณ ก็กระโดดขึ้นโต๊ะ พูดทันทีโดยไม่ต้องให้ตั้งตัว “แกนี่มันจริง ๆ เจอสาวสวยก็ยิ้มสุ่มสี่สุ่มห้า ไอ้เด็กแก่แดด!” “ผมไม่ใช่เด็กแล้วโคโค่ ผมอยู่ในร่างผู้ใหญ่โตกว่าเดิมด้วยซ้ำ!” ภีมเถียงกลับทันควัน โคโค่ชะงักไปเล็กน้อยเหมือนเพิ่งนึกได้...ก่อนจะตอบกลับเสียงต่ำว่า “แล้วก็ยังลืมคีพลุคอยู่ดี!” หลังจากนั้นภีมก็โดนสั่งให้นั่งเซ็นเอกสารยาวเหยียดจนเกือบหมดเวลาพักเที่ยง เสียงบ่นเริ่มดังขึ้นเรื่อย ๆ ตั้งแต่ “คิดถึงข้าวกะเพราหมูกรอบ” ไปจนถึง “อยากแดกชานมไข่มุก!” โคโค่เบื่อเต็มที ก่อนจะบอกเสียงห้วนว่า “รอแป๊บนึง ของกินกำลังจะมาเอง” “จะมาก็มาเถอะ! หิวจะตายอยู่แล้วเว้ยย!!” ภีมตะโกนกลับ เสียงก้องห้องไปทั่ว และทันใดนั้น... แกร๊ก เสียงประตูเปิดเบา ๆ ร่างเล็กบางในเสื้อเชิ้ตพอดีตัว เดินเข้ามาพร้อมกล่องข้าวสีดำที่ดูแพงชนิดว่าข้างในน่าจะมีซูชิทองคำหน้าปลาแซลมอน ผิวขาวเนียนละเอียดแบบไม่เห็นรูขุมขน ใบหน้าหวานจัดราวกับหลุดออกมาจากไลฟ์สดขายของออนไลน์ บนแผ่นหน้ามีความสดใสปนเหงา บรรยากาศโดยรอบราวกับกลิ่นหอมของโยเกิร์ตผสมน้ำผึ้งกำลังฟุ้งอยู่ทั่วห้อง โคโค่หาวหนึ่งทีแล้วเอ่ยอย่างไร้อารมณ์ “นั่นไง อาหารมาหานายแล้ว” ภีมกระพริบตา มองเจ้าคนที่เดินเข้ามาด้วยความงุนงง เขาคือใคร? ยังไม่ทันจะได้ถาม เสียง ติ้ง ดังขึ้นเบา ๆ ที่เบื้องหน้า แผ่นโปร่งแสงก็ปรากฏกลางอากาศ ชื่อ: มิเอล เพศรอง: โอเมก้า กลิ่น: โยเกิร์ตน้ำผึ้ง สถานะ: นายเอก นายเอก?...นายเอก..นายเอกของเรื่องนี้อ่ะน่ะ!!!!? สมองของภีมชะงักค้างไปหลายวิ เขาหันไปมองโคโค่ที่กระโดดขึ้นนอนแกว่งหางบนโต๊ะอย่างภูมิใจ “เขามักจะเอาอาหารมาให้นายทุกวัน เพราะนายกับเขา...คบกันอยู่น่ะสิ~ อิอิ” ช็อกสิครับรออะไร ภีมตาโตเท่าไข่นกกระจอกเทศ เขาเริ่มคำนวณในหัวทันที ถ้านี่คือนายเอก...แล้ววิคเตอร์ในเรื่องก็ต้องเคยคบกับเขา... แล้วเขาก็ตายเพราะสาเหตุบางอย่างหลังจากที่เลิกกันหรอ???!!! “พวกนายทะเลาะกันเมื่อวาน” โคโค่เสริมเบา ๆ “แต่นายเอกก็ยังไม่ลืมหน้าที่ตัวเองเนอะ น่ารักจัง~” ภีมหันไปมองโคโค่อีกรอบ อยากจะถามว่า “แสดงว่าเลิกกันแล้วเหรอ?” โคโค่พยักหน้า ก่อนจะแสดงแผ่นข้อความลอยอีกครั้ง “ฉันพูดไม่ได้ตอนนี้เพราะมีตัวละครอื่นอยู่ด้วย ต่อจากนี้ก็คีพลุค แล้วก็อย่าทำตัวน่าสงสัยเข้าใจมั้ย ทำตัวให้ดีเข้าไว้ เพิ่มคะแนนแม่ยกน่ะ” ภีมกลืนน้ำลาย หันกลับมาตั้งสติ พร้อมเผชิญหน้ากับคนตัวบางตรงหน้า ที่ตอนนี้กำลังยื่นกล่องอาหารให้ พร้อมรอยยิ้มหวานละมุน...จนทำเอา “น้ำตาลตกเกลื่อน” ไปทั่วห้อง"ดูหนังกันมั้ยครับ " ธีโอพูดขึ้นเชิญชวนวิคเตอร์ผู้เป็นเจ้าของบ้านทันทีที่เขาเห็นจอทีวี" เอ่อ..นี่มันก็น่าจะดึกแล้ว ให้ผมไปส่งคุณที่บ้านไม่ดีกว่าหรอครับ " วิคเตอร์พยายามพูดเพื่อให้แขกยอมกลับบ้าน ทั้งกินมื้อค่ำแล้วยังเดินเล่นในบ้านของเขาราวกับเป็นสนามเด็กเล่นวิคเตอร์เห็นทีว่าต้องส่งแขก แต่ดูเหมือนแขกคนนี้ค่อนข้างดื้อและมึนสุดๆ จนสุดท้ายก็...ทีวีจอใหญ่ระดับ IMAX ขนาดเกือบเท่าฝาบ้านฉายแสงสีนวลอุ่นๆ วิคเตอร์นั่งตัวตรงราวกับเป็นบอดี้การ์ด ไม่ได้เอนหลังพิงโซฟาแม้แต่นิด ขณะที่ธีโอนั่งข้างๆ ด้วยท่าทีที่ "ไม่รู้เลยว่านี่นั่งดูหนังหรือจะดูเจ้าของบ้านมากกว่า"ผมเรียกวิคเตอร์ ว่าพี่ได้มั้ยครับ เราน่าจะสนิทกันแล้วนี่น่า~" ธีโอพูดเล่นพร้อมยิ้มกริ่ม ก่อนจะลุกขึ้นไปหยิบรีโมต “พี่เองก็เรียกผมธีโอจะได้แฟร์ๆกัน”“อ่า ได้สิ…” วิคเตอร์ตอบช้าๆ แอบกลืนน้ำลายเล็กน้อยเมื่อธีโอทิ้งตัวลงนั่งข้างเขาอีกครั้ง แบบใกล้เกินระยะปลอดภัยของชาวอัลฟ่าจนหนังเริ่มฉาย...แต่วิคเตอร์ไม่ได้ดูหนังเล เพราะทุกๆ ครั้งที่เขาขยับตัว หรือเงยหน้าขึ้นมองจอ ก็จะเห็นธีโอนั่งหันมาทางเขาแบบ...จ้องจ้องแบบลึก จ้องแบบอยากขอข้อมูลพันธุกร
กลิ่นหอมละมุนแบบกาแฟคั่วสดกับคาราเมลหอมกลิ่นไหม้อ่อนๆ ลอยฟุ้งกลางอากาศ ราวกับเรียกร้องให้ใครบางคนตามมันไปธีโอ หยุดยืนกลางโถง สูดหายใจลึกอีกครั้ง ดวงตาทอประกายสว่างขึ้นในทันที “เขาออกไปแล้ว...แต่กลิ่นยังไม่หาย”เสียงฝีเท้าเขาดังชัดในทางเดินที่ไร้ผู้คน กลิ่นของวิคเตอร์ไม่ชัดเจนเหมือนตอนอยู่ใกล้ แต่มันก็ชัดพอจะพาเขาเดินเลี้ยวออกจากตัวอาคาร มุ่งหน้าสู่โรงจอดรถลมเย็นภายนอกตีกลิ่นจางๆ กระจายไปทั่ว แต่ธีโอกลับตามมันได้อย่างแม่นยำอย่างเหลือเชื่อ“คุณวิคเตอร์...หนีผมไม่พ้นหรอกครับ” เสียงกระซิบของเขาดังแผ่วเบาเหมือนคำสัญญาในเงามืดในโรงจอดรถ ไฟบางส่วนยังเปิดอยู่ และในความเงียบที่ปกคลุม รถหรูคันหนึ่งจอดนิ่งอยู่ข้างใน ประตูด้านคนขับปิดไม่สนิทดีนัก ราวกับมีใครบางคนรีบหนีเข้าไป ธีโอหยุดยืนตรงหน้า ยกมือแตะฝากระโปรงเบาๆ ก่อนจะเงยหน้าขึ้น ดวงตาเยือกเย็นกลับกลายเป็นร้อนแรงเขายื่นหน้าเข้าไปใกล้หน้าต่างรถ สูดลมหายใจลึกอีกครั้ง กลิ่นวิคเตอร์เข้มข้นราวกับเพิ่งปล่อยออกมาเมื่อครู่“นั่นแหละ… นี่แหละกลิ่นของคุณ” เขาพึมพำภายในรถ วิคเตอร์นั่งนิ่งอยู่ในเบาะหลัง ดวงตาเบิกกว้างเมื่อเห็นเงาร่างของธีโอเคลื่อนใ
กลางวันแสกๆ ของห้องทำงานชั้นบนสุด ที่ควรจะสงบเงียบ…แต่กลับมีเสียงพึมพำของโคโค่เจ้าแมวอ้วนลอยมาก่อนใครเพื่อน "นายเห็นไหม พระเอกจ้องจะเล่นนาย… เอ็งหนีไม่พ้นหรอกเว้ย วิคเตอร์"บนโต๊ะทำงานหรูดีไซน์มินิมอลของวิคเตอร์ มีทั้งกาแฟดำที่ใกล้เย็นสนิท กับแผ่นโปร่งแสงของ AI ที่ลอยอยู่เหนือพื้นโต๊ะ แสดงค่าพารามิเตอร์ความนิยมของตัวละครชื่อ “วิคเตอร์” กำลังขึ้นสูงแบบผิดคาด“นี่มันบ้าไปแล้ว… ตัวละครประกอบอย่างผมควรจะตายตั้งแต่บทที่ 3” วิคเตอร์บ่นพลางจ้องตัวเลขด้วยสีหน้าปลงๆ แต่โคโค่กลับขำแห้งๆ แล้วพ่นออกมาหนึ่งประโยค “นายโดนระบบเรือใหญ่เลือกไปแล้วอะดิ”วิคเตอร์กำลังจะเถียงอะไรกลับ แต่จู่ๆ โคโค่เงียบกริบ ดวงตาเรืองแสงของแมวอ้วนเบิกกว้างขึ้นอย่างระแวดระวัง “เดี๋ยว มีคนกำลังเดินมา...”แล้วมันก็ทำตามสัญชาตญาณของแมวทันทีกระโดดกลับไปนอนกลมบนโต๊ะ เสมือนว่าไม่เคยพูดอะไรเลยแม้แต่น้อย ก่อนจะยกอุ้งมือขึ้นมาเลียราวกับแมวบ้านธรรมดาแกร๊ก ประตูเปิดออกพร้อมเสียงฝีเท้านุ่มนวล และกลิ่นหอมของอาหารโฮมเมด วิคเตอร์เงยหน้าขึ้นก่อนจะชะงัก “มาเอล…?”คนที่ปรากฏตัวคือนายเอกของเรื่องในร่างบางผิวขาวนวล สวมเชิ้ตแขนยาวสีขาวสะอาด
เสียงประตูล็อกดังแกร๊ก ทำเอาวิคเตอร์กลืนน้ำลายอึกใหญ่ กลิ่นหอมบางของน้ำหอมในบ้านผสานกลิ่นไวน์แดง ทำให้เขารู้ทันทีว่า...เกมนี้ไม่ใช่แค่ดื่มธรรมดา ใช่แล้วสุดท้ายเขาก็จำยอมมากับพระเอกทั้งที่รู้ว่าไม่น่าไว้ใจเลยแท้ๆบ้านของธีโอหรูเกินกว่าจะเรียกว่าบ้าน แถมเป็นมากกว่านั้น...เหมือนพิพิธภัณฑ์ศิลปะที่มีเจ้าของเป็นจิ้งจอกแสนร้าย“เดินดูรอบ ๆ ก่อนสิครับคุณวิคเตอร์” ธีโอเอ่ยอย่างใจดีเกินเบอร์ มือเรียวโบกไปทางห้องรับแขก เปิดไฟอุ่น ๆ ที่ทำให้บ้านยิ่งดูอบอุ่นแบบน่าระแวงวิคเตอร์เดินตามอย่างเสียไม่ได้ รองเท้าหนังสะท้อนกับพื้นไม้ขัดมัน แววตาเขากวาดไปทั่วบ้านแบบคนกำลังหาทางหนี ก่อนจะจบลงที่โซฟาหนังวัวนุ่มลึกกลางบ้าน ธีโอลากไวน์ขวดละหลายพันขึ้นมาเทช้า ๆ ก่อนยื่นแก้วให้เขาด้วยรอยยิ้ม“เชิญครับ แขกพิเศษของคืนนี้”วิคเตอร์กลืนน้ำลายอึกใหญ่ ขณะรับแก้วมา มือเย็นเฉียบเพราะเขากำลังคิดถึงแมวบางตัวที่ควรจะโผล่มาช่วยในเวลานี้แทนที่จะปล่อยให้เขาเผชิญด่านบอส“วันนี้ผม...ต้องขอโทษเรื่องมื้อเย็นด้วยจริงๆนะครับ” ธีโอเปิดบทสนทนา เสียงทุ้มนุ่มมีน้ำหนักวิคเตอร์เอียงคอ “หืม.. ครับ?”“ที่ผมอาจจะทำตัวเสียมารยาทน่ะครับ...แ
กลิ่นหอมของเนื้อย่างและไวน์ชั้นดีลอยฟุ้งปะทะประสาทรับรู้ แต่สิ่งที่กระแทกอารมณ์มากกว่านั้นคือสงครามเย็นระหว่างสองชายหนุ่มที่นั่งขนาบซ้ายขวาของวิคเตอร์หลังคำจิกกัดเผ็ดร้อนแบบมีดโกนของมิเอลกับธีโอ ภีมหรือวิคเตอร์ ก็แทบไม่กล้าขยับตัว กลัวว่าจะกลายเป็นเหมือนลูกโซ่ที่ทำให้ระเบิดลูกต่อไปทำงานใส่ตัวเอง“ว่าแต่…” ธีโอเลิกคิ้ว มองวิคเตอร์ด้วยสายตาสนอกสนใจแบบจงใจ “คุณวิคเตอร์นี่แปลกตาดีนะครับ ผมขาว ตาสีทองอร่าม…เหมือนลูกแก้วเลย งดงามแบบไม่เหมือนใคร”คำพูดนั้นเหมือนลูกศรที่พุ่งเข้ากลางใจมาเอลทันที เขาขยับคิ้วขึ้นนิดหนึ่งแต่ไม่พูดอะไร สายตากลับหันไปมองวิคเตอร์แทน“อ๋อ พอดีผมเป็นลูกเสี้ยวหลายเชื้อชาติน่ะครับ” วิคเตอร์หัวเราะแหะ ๆ มือกำชายเสื้อแน่น “คงได้มารวมกันเยอะไปหน่อย”“ตอนคบกัน นายชอบใส่แว่นไม่ใช่เหรอ?” เสียงเรียบของมิเอลแทรกเข้ามากลางวงอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย “ทำไมตอนนี้ถึงถอดมันล่ะ?”“แว่นมันเกะกะน่ะ” วิคเตอร์ยิ้มแหย “ถอดแล้วมองอะไรชัดขึ้นเยอะเลย”“แต่นายก็ดูดีมากเลยนะตอนนี้” มิเอลยิ้มบาง แต่ดวงตานั้นกลับทอดเงาลึกชวนสงสัย “ใช่มั้ย…เพื่อน(รัก)?”คำว่า เพื่อนรัก ถูกเน้นหนักจนวิคเตอร์รู้สึกได้ถ
เสียงเพลงป๊อปแดนซ์จังหวะกระชากใจดังลั่นไปทั่วคอนโดหรู วิคเตอร์ หรือ ภีม ในชื่อเดิมของเขากำลังสวมเสื้อกล้าม กางเกงขาสั้น เดินเต้นลั้ลลาแบบไม่สนโลก ราวกับว่าชีวิตในจักรวาลโอเมก้าเวิร์สนี้ไม่มีอะไรร้ายแรงไปกว่าการเลือกว่าจะกินข้าวหรือกาแฟก่อนดี"ถ้าให้เธอเป็นเสื้อ..คงเป็นเบบี้ที~” เขาหมุนตัวเองหน้าโซฟาอย่างภาคภูมิ ก่อนจะชี้นิ้วฟาดจังหวะเข้ากับเสียงเพลงที่ดังสนั่น…จนกระทั่ง...ปึ้ง! เพลงเงียบลงทันใดวิคเตอร์กะพริบตาปริบ ๆ หันขวับไปมองต้นเสียง แมวดำตัวอ้วนกลมที่ชื่อว่า โคโค่ นั่งกอดอกอยู่บนโต๊ะกาแฟกลางห้อง แพขนฟู ๆ ยกหูรีโมตขึ้นแล้ววางอย่างช้า ๆ แบบโคตรมีเจตนา“โอ้ย โคโค่! เพลงกำลังมันส์ ทำไมปิดอะ!”“เพลงไม่สำคัญเท่า ‘เนื้อเรื่อง’ นะยะ” โคโค่หรี่ตาเหมือนจะกลืนเขาเข้าไปทั้งตัว “นายรู้มั้ยว่า คะแนนความชอบของแม่ยก ที่ให้กับตัวละคร ‘วิคเตอร์’ ตอนนี้มันหยุดนิ่ง! นาน! แล้ว! เพราะอะไร? เพราะคุณลูกชายเอาแต่นอนเป็นส้มในคอนโด ไม่ไปเข้าเนื้อเรื่องหลักไงล่ะ!”วิคเตอร์ทำท่าจะโวยแต่ก็กลายเป็นแค่ถอนหายใจ ก่อนจะเดินลากสลิปเปอร์กลับไปที่โซฟาแล้วหยิบหมอนมาฟาดหน้าตัวเองอย่างเซ็ง ๆ “พูดอีกละ พูดทุกวัน หูผมชา