ห้วงความฝัน
เด็กชายตัวเล็กพยายามยื้อแย่งตุ๊กตาในอ้อมปากของเจ้าหมาจอมดื้อ
"อื้ออ... อย่าเอาของน้อง! แงงง!"
เขาร้องไห้สะอึกสะอื้น ดึงสุดแรงเกิด แต่แรงเด็กน้อยสู้หมาตัวโตไม่ไหว ตุ๊กตาหมีสีเหลืองยังคงถูกคาบแน่นในปากของมัน
"แง... แงงง!" เสียงร้องดังลั่นไปทั่วสนามหญ้า จนเด็กอีกคนวิ่งเข้ามาพร้อมกับไม้ในมือ
"ไอ้หมา! ปล่อยเดี๋ยวนี้นะ!"
...ฟาด!
... ฟาด!
เจ้าหมาสะดุ้งเฮือก ส่ายหัวไปมา ก่อนจะทนความเจ็บไม่ไหว ยอมคลายตุ๊กตาหมีสีเหลืองออกจากปาก
"เย้ๆๆ!" เด็กน้อยกระโดดดีใจ เสียงหัวเราะสดใสดังขึ้น พี่ชายใจดีที่ช่วยปกป้องเขาหยิบตุ๊กตาขึ้นมา
"อันนี้ของเราสินะ แต่มันเปื้อนหมดเลย"
"ไม่เป็นไรครับ... หมูเหลืองไปซักได้"
เด็กชายตัวน้อยยิ้มกว้าง ดวงตาเป็นประกาย ก่อนภาพทุกอย่างจะเลือนหายไป…
.
.
.
วี๊วอ! วี๊วอ!
เสียงไซเรนรถพยาบาลดังระงมไปทั่ว ความวุ่นวาย เสียงตะโกนของเจ้าหน้าที่ เสียงวิทยุสื่อสารแทรกเป็นระยะ
มือของเขาเปื้อนเลือด...เลือดสีแดงฉานที่ไหลรินลงมาตามนิ้วสั่นเทา ภาพที่เขาเห็นทำให้เขาเริ่มเขาหายใจไม่ออก... เหมือนมีบางอย่างรัดแน่นที่หน้าอก อึดอัดจนแทบขาดใจ น้ำตาค่อยๆไหลอาบหน้า
"อึก...!"
ความหวาดกลัวพุ่งทะยานขึ้นมาอีกครั้ง ทุกอย่างกำลังจมหายไปในความมืด—
แต่แล้ว...
เสียงกระซิบแผ่วเบา ดังขึ้นข้างหู
"เราไม่เป็นไรนะ..."
"ไม่ต้องกลัวนะ... กนกไม่เป็นอะไรแล้ว"
สัมผัสอ่อนโยนลูบไล้บนเส้นผมของเขา ความอบอุ่นที่คุ้นเคยซึมซับเข้ามาอย่างแผ่วเบา ริมฝีปากนุ่มประทับลงบนหน้าผาก ละมุนละไม จนความตื่นกลัวเริ่มจางหายไปทีละน้อย...
ค่ำคืนนี้ ฝันร้ายถูกปลอบโยนด้วยสัมผัสที่อบอุ่นที่สุด
สัมผัสของใครบางคน ที่เฝ้าดูแลเขาเสมอมา…
เมื่อคืนกนกหลับสนิท แม้จะเหนื่อยล้าจากการร้องไห้ แต่กลับรู้สึกอบอุ่นราวกับได้รับการปลอบโยนอย่างอ่อนโยนจากบางสิ่งที่มองไม่เห็น
เช้าวันรุ่งขึ้น เสียงพูดคุยเบาๆ ดังขึ้นในห้องพัก
"เมื่อคืนเหมือนแกฝันร้ายเลยนะ แกเหมือนจะร้องไห้ เรากำลังจะปลุกแต่จู่ๆ แกก็กลับมาสงบลงเอง" มิวเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงห่วงใย
กนกชะงักไปครู่หนึ่ง ก่อนพยักหน้ารับ "อืม...แต่ตอนนี้โอเคแล้วล่ะ"
"ก็ดีแล้ว อย่างน้อยก็ได้พักผ่อนบ้าง" มิวถอนหายใจเบาๆ ก่อนก้มดูนาฬิกาข้อมือ "ว่าแต่ นี่กี่โมงแล้ว?"
กนกหันไปมองนาฬิกา แล้วพยายามหลบสายตาจากเจ้าหมีตัวน้อยที่วางอยู่ข้างเตียง มันเป็นเพียงตุ๊กตาธรรมดา แต่ทุกครั้งที่มอง เขากลับรู้สึกว่ามีบางอย่างแฝงอยู่ในนั้น บางสิ่งที่เขาไม่สามารถอธิบายได้
เมื่อกลับมาเรียน กนกสังเกตตัวเองว่าเขาระแวดระวังผิดปกติจนเพื่อนๆ พากันแซว
"แกเป็นอะไรของแกเนี่ย มองซ้ายมองขวาอย่างกับคนกำลังหาอะไรอยู่ตลอด" พราวเอ่ยถาม พลางเลิกคิ้วมองด้วยความสงสัย
"ไม่ได้หาอะไรหรอก..." กนกตอบเสียงเบา แต่สายตายังคงไล่มองไปรอบๆ อย่างระแวดระวัง
พราวจ้องเพื่อนนิ่ง "หรือว่า...แกเห็นอะไรที่พวกเราไม่เห็น?"
กนกเม้มปากแน่นเหมือนกำลังชั่งใจว่าจะตอบดีไหม แต่ยังไม่ทันได้พูดอะไร พราวก็หวีดร้องลั่นห้อง
"กรี๊ด!"
เธอรีบพุ่งไปหลบหลังมิว ทำเอาเพื่อนทั้งห้องหันมามองเป็นตาเดียว
"เป็นอะไรของพราว! อายคนเขาไหมเนี่ย?" มิวหันไปเอ็ดเสียงเบา
พราวชี้นิ้วไปทางกนก ดวงตาเบิกกว้าง "กนก...กนกมัน..."
กนกสะดุ้ง รีบหันไปมองรอบตัวทันที แต่...ไม่มีอะไรผิดปกติ
มิวถอนหายใจ ก่อนแกะมือพราวออกจากแขนของตัวเองแล้วเดินไปหากนก "แกโอเคหรือเปล่า?"
"มะ...ไม่มีอะไร" กนกพึมพำ "แค่รู้สึกเหมือนมีใครจ้องอยู่"
มิวหันไปมองรอบๆ ตามคำพูดของเพื่อน แต่กลับไม่พบสายตาของใครที่จ้องมาทางพวกเขาเลย มีเพียงกลุ่มนักศึกษาที่กำลังเดินไปยังอาคารแลปเท่านั้น
"แกคิดมากไปเองหรือเปล่า?" มิวตบบ่าเบาๆ "เอาเถอะ รีบไปกันเถอะ เดี๋ยวเข้าเรียนไม่ทัน"
พูดจบก็คว้าไหล่กนกแล้วพาเดินออกไป ส่วนพราวก็รีบวิ่งตามมาติดๆ
ระหว่างอยู่ในคลาสเรียนรวม พราวกระซิบเบาๆ "แกเอานิยายมาอ่านอีกแล้วใช่ไหม?"
กนกสะดุ้งเฮือก รีบปิดหนังสือลง
"เป็นอะไร? ฉันแค่ถามเฉยๆ ทำไมต้องตกใจขนาดนั้น?"
กนกเหลือบมองหนังสือในมือ นิยาย ลิขิตรักจากฟากฟ้า ตอนที่กำลังอ่านอยู่เป็นช่วงเหตุการณ์ลี้ลับในอาณาจักร—เหล่าเชื้อพระวงศ์ถูกปลงพระชนม์ทีละองค์ ร่องรอยที่เหลืออยู่ชวนให้เชื่อว่ามันเป็นฝีมือของมนต์ดำ
เขาขมวดคิ้ว "...หรือว่า เราจะโดนมนต์ดำเหมือนกัน?"
"หืม? แกว่าอะไรนะ?"
"ปะ...เปล่าๆ ไม่มีอะไร"
พราวมองหน้าเพื่อนอย่างจับผิด แต่สุดท้ายก็ยักไหล่ "เอาเถอะ อย่างน้อยแกก็กลับมาอ่านนิยายได้ แปลว่าแกเริ่มปกติขึ้นแล้ว" ว่าแล้วก็หันไปสนใจโปรเจกเตอร์หน้าห้องต่อ
กนกไล้นิ้วไปบนปกหนังสือเบาๆ ยิ่งอ่านนิยายเล่มนี้ เขายิ่งรู้สึกเหมือนตัวเองถูกดูดเข้าไปในโลกของมันจริงๆ ราวกับมีบางสิ่งดึงดูดเขาไว้ไม่ให้วางมันลง
หรือว่า... หนังสือเล่มนี้จะมีเรื่องลี้ลับซ่อนอยู่จริงๆ?
แต่ถึงจะคิดแบบนั้น เขาก็ยังวางมันไม่ลง
คืนนั้น หลังจากกลับมาถึงห้อง กนกรีบอาบน้ำ ทำการบ้าน เวลานี้งานล้นมือ ใกล้สอบปลายภาค ทั้งรายงาน ทั้งหนังสือเรียน และที่สำคัญ นิยายที่เขาต้องแบ่งเวลาให้
กว่าจะทำทุกอย่างเสร็จ ก็ล่วงเลยมาตีหนึ่งอีกแล้ว
เขาลุกจากโต๊ะหนังสือ เดินไปที่ประตู ตั้งใจจะตรวจดูให้แน่ใจว่าล็อกแล้ว แต่ขณะที่กำลังจะจับลูกบิด...
มันหมุนไปอีกด้านเอง!
กนกเบิกตากว้าง ก่อนที่ประตูจะเปิดออก และทันใดนั้น—ชายหนุ่มร่างสูงใหญ่ก็พุ่งเข้ามาโอบกอดเขาแน่น!
"เฮ้ย!"
เขาพยายามดิ้นหนี แต่เสียงทุ้มกระซิบเบาๆ ข้างหู
"...ไม่ต้องกลัวนะ พี่จะไม่ทำร้ายเธอ"
"อะ...อะไร"
"จะไม่มีใครทำร้ายเรา"
สัมผัสอบอุ่นจากอ้อมกอดของชายแปลกหน้าทำให้กนกนิ่งงันไปชั่วขณะ หัวใจเต้นแรงอย่างควบคุมไม่ได้ ราวกับเสียงกระซิบแผ่วเบานั้นมีอำนาจสะกดเขาไว้
ถึงแม้จะรู้สึกอบอุ่น แต่ความหวาดระแวงก็ยังคงอยู่ กนกพยายามดันแขนแกร่งออก ทว่าคนตรงหน้ากลับโน้มใบหน้าลง กดจมูกลงที่ข้างแก้มของเขา หอมฟอดใหญ่!
"อ๊ะ!"
เขาสะดุ้งเฮือก ความตกใจทำให้ร่างกายแข็งทื่อ แต่ชายหนุ่มเพียงยิ้มบาง
"วันนี้พี่ชื่นใจแล้วครับ"
กนกอ้าปากค้าง หัวสมองว่างเปล่าแม้แต่คำเดียวก็พูดไม่ออก
"คนเก่งของพี่ หลับฝันดีนะ หลังจากนี้เราไม่ต้องกลัวอะไรอีกแล้ว เพราะพี่จะปกป้องเราเอง"
หลังจากพูดจบ ชายหนุ่มก็เปิดประตู เดินออกไป ทิ้งให้กนกยืนนิ่งอยู่ตรงนั้น
ตกใจ ประหลาดใจ เขินอาย และ...อบอุ่น...ใจ
วันนี้กนกเริ่มรู้สึกว่า…บางที คนที่ตามเขาอาจไม่ใช่ผีอย่างที่เขาคิด สายตาของใครบางคนเหมือนเฝ้าจับจ้องเขาจากที่ไกลๆ มันไม่ได้เป็นเพียงความรู้สึกวูบไหวหรือภาพหลอนที่เกิดจากความหวาดระแวง แต่มันชัดเจนจนทำให้ขนที่ต้นคอลุกชัน"หืม…มีอะไรเหรอ?" พราวถามขึ้นระหว่างกำลังตักข้าวเข้าปากในโรงอาหารกนกขมวดคิ้วเล็กน้อย ก่อนจะส่ายหน้า "เปล่าๆ ไม่มีอะไรหรอก" พราวเหลือบตามองอย่างสงสัยแต่ก็ไม่ได้เซ้าซี้ต่อช่วงบ่าย ขณะเดินไปห้องแล็บ มิวเข้ามากระซิบที่ข้างหูพราว เสียงของเขาเบาราวกับไม่ต้องการให้ใครได้ยิน พราวชะงักไปเล็กน้อย สีหน้าตกใจแต่ก็พยายามเก็บอาการแล้วทั้งสองค่อยๆลดความเร็วในการเดินราวกับกำลังจับตาดูอะไรบางอย่างตรงข้ามกับพวกเขา กนกกลับเดินนำหน้าอย่างสบายใจ หูฟังเสียบอยู่กับหู ขยับปากร้องเพลงเบาๆ โดยไม่รู้ตัวเลยว่ามีสายตาคู่หนึ่งจับจ้องอยู่และมันก็เป็นอย่างที่คิด...เมื่อมิวกับพราวถอยห่างออกมา ก็เห็นชายคนหนึ่งที่ไม่เคยพบมาก่อน สวมหมวกและผ้าปิดปาก เดินลอบเลียบเลาะตามกนกอย่างแนบเนียน ทว่า…มีบางอย่างผิดปกติวันนี้เขาใส่เสื้อแขนยาว
มิวมาพักกับกนกได้ราวหนึ่งสัปดาห์ ก่อนจะต้องกลับไปอ่านหนังสือและติวให้เพื่อนกลุ่มอื่น คืนนี้จึงเป็นคืนแรกในรอบหลายวันที่กนกต้องนอนคนเดียวอีกครั้ง เขาปิดไฟและพลิกตัวซุกผ้าห่ม ตั้งใจจะข่มตานอน แต่แล้ว...แกร๊ก!เสียงของลูกบิดประตูที่หมุนเบาๆ ทำให้ร่างทั้งร่างแข็งค้างหัวใจเขาเต้นระรัวพร้อมลมหายใจที่ติดขัด ราวกับถูกพันธนาการด้วยความกลัวที่บีบรัดแน่นจนแทบหายใจไม่ออกใคร?น้ำตาค่อยๆไหลออกมาพร้อมกับร่างกายที่เริ่มสั่นสะท้าน สติเริ่มตีกันยุ่งเหยิง เมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าใกล้เข้ามาใกล้ๆจนกระทั่ง...อ้อมแขนอบอุ่นโอบกอดเขาไว้แน่น"ไม่ต้องกลัวนะ..." เสียงทุ้มกระซิบข้างหูนั้นแผ่วเบาและมั่นคง"ไม่มีใครทำร้ายกนกได้อีกแล้ว" กลิ่นหอมอ่อนๆ ลอยมาจากเสื้อตัวหนาของชายแปลกหน้า อ้อมแขนที่กอดแน่นนั้นให้ความรู้สึกคุ้นเคยจนน่าแปลกใจ กนกหอบหายใจหนักขึ้นและร่างกายยังคงสั่นสะท้านแต่สัมผัสจากคนตรงหน้ากลับช่วยให้หัวใจที่เต้นกระหน่ำเริ่มสงบลงทีละนิด"พี่ขอโทษ...พี่ขอโทษสำหรับท
"แม่ครับ อ่านเรื่องนี้ให้ฟังหน่อย!""นิยายเรื่องนี้สนุกไหมครับแม่?""กนกอยากนอนหลับไปกับกองนิยายเล้ยย!"เสียงสดใสของกนกดังขึ้นท่ามกลางบรรยากาศอบอุ่นของบ้านหลังเล็ก ที่นี่เต็มไปด้วยเสียงพูดคุยเกี่ยวกับหนังสือแทบทุกวัน แม่ของเขาชอบอ่านหนังสือสารคดีแปลก ๆ แล้วมักจะเล่าเรื่องให้ลูกชายฟังด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น ส่วนพ่อก็เป็นสายหนังสือพัฒนาตัวเอง ชอบสอนกนกเรื่องแนวคิดการเติบโตและการใช้ชีวิต ทุกเย็นบ้านนี้แทบไม่เงียบเหงา เพราะมื้อค่ำมักกลายเป็นวงสนทนาเกี่ยวกับหนังสือที่แต่ละคนกำลังอ่าน ราวกับเป็นสโมสรนักอ่านขนาดย่อมแต่ในบรรดาหนังสือทั้งหมด กนกรักนิยายรักของแม่มากที่สุด ตู้หนังสือของแม่เต็มไปด้วยเล่มปกสีหวาน บางเล่มเก่าจนกระดาษเปลี่ยนเป็นสีเหลือง ตอนเด็ก ๆ เขาหยิบมาอ่านเพราะคิดว่ามันตลก แต่พอโตขึ้น เขากลับหลงรักเรื่องราวในนั้นอย่างไม่รู้ตัว"กนกลูก มากินข้าวกันครับ"เสียงแม่ดังแว่วมาจากชั้นล่าง ในขณะที่กนกกำลังจมอยู่กับฉากสำคัญของนิยาย"แป๊บนึงนะครับแม่... อีกนิดเดียวจะจบแล้ว!""แม่รอนะลูก แต่อย่านานล่ะ ข้าวจะเย็นหมด""ได้ครับแม่" กนกตอบลอย ๆ แต่สายตายังคงตรึงอยู่กับหน้ากระดาษ "อีกแค่สามหน้าเอง
แล้วพวกเขา 3 คนก็เดินทางไปห้องสมุดด้วยกัน สถานที่ที่กว้างขวาง เงียบสงบเหมาะสำหรับการอ่านหนังสือและการทำงานอย่างจริงจัง กนก มิวและพราวต่างก็มีเป้าหมายของตัวเอง มิวและพราวตั้งใจจะหาหนังสือเกี่ยวกับวิชาเคมีเพื่อใช้เป็นข้อมูลอ้างอิงสำหรับรายงาน ส่วนกนกนั้นแม้ว่าจะไม่ได้มีงานเร่งด่วนอะไรแต่เขาก็อยากมาหาหนังสือนิยายรักโรแมนติกเล่มใหม่เอาไว้อ่านสักหน่อยเมื่อเดินเข้าไปในห้องสมุด มิวและพราวก็แยกย้ายไปหาหนังสือในส่วนของวิทยาศาสตร์ ในขณะที่กนกเดินตรงไปที่ชั้นหนังสือวรรณกรรม เขาหยิบนิยายรักโรแมนติกเล่มหนึ่งที่เขาคิดว่าน่าสนใจแล้วก็หามุมสงบในห้องสมุดเพื่อนั่งอ่านต่อหลังจากนั้นไม่นาน มิวและพราวก็เสร็จสิ้นจากการค้นหาหนังสือและเดินมาหากนก ที่กำลังจดจ่ออยู่กับหนังสือเล่มหนา"นี่กนก ยังอ่านไม่จบอีกเหรอ" มิวยื่นหน้าไปถามกระซิบเสียงเบา"กำลังถึงตอนสำคัญเลย พระเอกเพิ่งจะสารภาพรักนางเอก" กนกตอบด้วยแววตาที่เป็นประกาย"แกนี่น่ะ..." พราวยิ้มเล็กๆหมั่นไส้เจ้าเพื่อนหนอนหนังสือ "แต่เอาเถอะ เราเสร็จแล้ว กลับกันไหม?"กนกพยักหน้าแล้วปิดหนังสืออย่างเสียดายแต่เขาก็รู้ว่าต้องกลับมาอ่านต่อในวันหลัง พวกเขาทั้งสามเดิน
ร่างของชายปริศนาแนบชิดเข้ามา กนกแทบไม่ได้มีเวลาตั้งตัว ก่อนที่ลมหายใจร้อนจะเคลื่อนเข้าใกล้ กลิ่นหอมอ่อนๆ ที่เขาไม่คุ้นเคยลอยอวลอยู่รอบตัว เสี้ยววินาทีต่อมา ริมฝีปากของชายแปลกหน้ากดลงมาบนริมฝีปากของเขา...อ่อนโยน ทว่าตราตึงในความรู้สึกเขา กนกเบิกตากว้างพร้อมหัวใจเต้นกระหน่ำราวกับจะทะลุออกจากอก เขาพยายามจะขยับตัวแต่กลับถูกอ้อมแขนแข็งแรงตรึงไว้อย่างมั่นคง ไม่ใช่การบังคับขืนใจแต่เป็นสัมผัสที่เต็มไปด้วยแรงดึงดูดลึกลับราวกับอีกฝ่ายกำลังเฝ้าค้นหาอะไรบางอย่างจากตัวเขา“คุณ...” เสียงของกนกสั่นไหว ไม่แน่ใจว่าควรผลักออกหรือหยุดนิ่ง ความอบอุ่นที่แนบชิดส่งผ่านความรู้สึกบางอย่างที่เขาอธิบายไม่ได้ชายปริศนาโน้มลงมา สูดลมหายใจช้าๆ ใกล้ต้นคอของเขา ปลายนิ้วเย็นเฉียบไล้ผ่านข้างแก้มก่อนกระซิบเบาๆ ข้างหู“...ในที่สุด พี่ก็เจอเราสักที”นี่มันอะไรกัน... เขาคิดในใจ แต่ร่างกายของเขากลับตอบสนองต่อความรู้สึกที่แปลกใหม่นี้ผู้ชายคนนั้นยิ้มให้เขาอีกครั้งแล้วก็พูดด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยน"ไม่ต้องกลัวนะ...พี่จะไม่ทำร้ายเธอ"กนกรู้สึกว่าหัวใจของเขาเต้นแรงขึ้น เขาพยายามจะพูดอะไรแต่คำพูดก็ติดอยู่ในลำคอ ผู้ชายคนนั้นยิ้มให
เขารู้สึกว่าวันนี้เป็นวันที่ยาวนานและวุ่นวายเพราะเขามีเรียนตั้งแต่เช้าถึงสองทุ่ม ทั้งบรรยายวิชาชีวะและทำแล็ปการทดลองเคมีภาคค่ำ กว่าจะลากสังขารกลับหอได้ก็พากันหมดแรง"ทำไมวันนี้โหดขนาดนี้...ใครจัดตารางเรียนว่ะ" "นั่นนะสิ...จะแบ้ล้า นี่มันเด็กปีหนึ่งนะเว้ย" พราวสมทบอีกหนึ่งเสียง"แล้วพวกแกจะบ่นเพื่อ...กินข้าว กลับบ้านแยกย้ายกัน" "เย้ อาหารจะช่วยชีวิตพวกเรา ฉันอยากกินยำ อยากกินยำ" พราวพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความตื่นเต้น"กนกกินอะไรดี?" "อ่า...อะไรดีอ่าา อยากกินกระเพาะแล้วกัน กระเพาะเนื้อ" "อืม งั้นไปร้านป้าข้างหอพราว แล้วค่อยเดินกลับมาหอในแล้วกัน" "อืม..." กนกพยักหน้ารับระหว่างทาง กนกก็เหม่อมองบรรยากาศโดยรอบ วันนี้รู้สึกเหนื่อยตั้งแต่เช้าที่ต้องวิ่งมาเรียน ข้าวเช้าก็ไม่ได้กินแล้วมาเรียนแล็ปต่อ ปวดหัวจะแย่ คิดถึงหนังสือนิยายที่อยู่ที่หอจะแย่อยู่แล้ว เมื่อไหร่จะได้กลับไปอ่านต่อนะ... แต่ในตอนนี้ เขาต้องกินข้าวให้อิ่มก่อนแล้วค่อยกลับไปหาหนังสือเล่มโปรดที่รอเขาอยู่"ป้าคะ หนูขอยำแซ่บๆหนึ่งจานค่ะ ขอเผ็ดๆเลยนะคะ" พราวสั่งอาหารด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยหิวกระหาย"กินเผ็ดเดี๋ยวก็ปว
เพราะความรู้สึกบางอย่างที่ทำให้อยากกลับบ้าน จึงตัดสินใจว่ากลับบ้านไปตามหาอะไรบางอย่างน่าจะดีกว่า"อ้าว...ทำไมกลับ เดินทางตั้งหลายชั่วโมงนะ" ใช่...เพื่อนเขาพูดถูก พวกเราทั้งสามคนสอบติดมหาวิทยาลัยในกรุงเทพ แต่บ้านของพวกเราอยู่ชลบุรี ถึงจะนั่งรถตู้ไปถึงสถานีใช้เวลาประมาณสองชั่วโมงแต่จากสถานีก็ต้องนั่งรถสองแถวเข้าบ้านอีกตั้งสี่สิบนาที นานๆ ทีพวกเราถึงจะกลับบ้านกัน"อืม...มีธุระนิดหน่อยน่ะ" เขาไลน์บอกแม่ว่าจะกลับบ้านไปทำธุระ แม่ก็ไม่ได้ว่าอะไร"เป็นไงบ้าง เหนื่อยไหม มาถึงดึกเชียว" "เหนื่อยครับแม่ ดีที่วันนี้กนกเรียนแค่คาบเช้า ไม่งั้นดึกกว่านี้แน่เลย" "งั้นไปพักผ่อนแล้วลงมาทานข้าวเย็นด้วยกันนะ" "ไม่เป็นไรครับ ผมกินข้าวบ้านน้าแป้นมาแล้ว""อ่อ...เออ พูดถึงน้าแป้น" "หืมม...ทำไมหรอครับ" "เห็นแกบอกว่าลูกชายเขาก็ไปเรียนกรุงเทพนะ แต่ที่ไหนแม่ก็จำไม่ได้""หรอครับ แต่พี่...อ่าา จำไม่ได้แล้วอ่า" "อืมม... จำได้ว่าน่าจะเป็นรุ่นพี่เรานะ" "อ่าา...ครับ" กนกพยักหน้า"กนกขึ้นไปพักก่อนนะ""รีบพักนะลูก" กนกรีบขึ้นไปพักบนห้องของตัวเอง บ้านของเขาไม่ได้ใหญ่โตมากนัก แม้ว่าพ่อกับแม่จะรักการอ่านหนังสือมากแ
ถึงแม้ว่ารู้สึกยังพักผ่อนไม่เต็มที่ แต่ด้วยภารกิจในการเรียนทำให้กนกต้องเดินทางกลับมาที่หอตั้งแต่เช้ามืด ความเศร้าที่อยู่ภายในใจยังเกาะกิน ความผูกพันธ์ที่เขามีต่อหนังสือเล่มนั้นทำให้เขารู้สึกว่ามันอาจมีอะไรซ่อนอยู่ ซึ่งอาจจะเชื่อมโยงกับตัวเขาเอง ทำให้รู้สึกว่าวันนี้บรรยากาศรอบตัวมีแต่ความหมองหม่น ความเหม่อลอยตลอดเส้นทางการเดินไปมหาวิทยาลัยทำให้เขาเกือบจะโดนรถเฉี่ยวปิ๊ดดด!แต่ทันใดนั้น กลับมีใครบางคนดึงตัวเขากลับมาได้ทันเวลา หัวใจเขาตื่นระรัวด้วยความตกใจ และกำลังจะหันกลับไปขอบคุณคนใจดีคนนั้น แต่กลับไม่เห็นใครอยู่ตรงนั้นเลย มีเพียงสายลมที่พัดผ่านและเสียงใบไม้ที่สั่นไหว เหมือนกับว่ามีใครสักคนหายไปในอากาศ“ใครนะ...?” เขาพูดเบาๆ กับตัวเอง แต่ไม่มีใครตอบ มีเพียงเสียงลมพัดผ่านหูเบาๆ เหมือนเสียงกระซิบที่เขาคุ้นเคยถึงแม้จะยังคงสงสัย แต่พอดูนาฬิกาก็พบว่าใกล้จะถึงเวลาเข้าเรียนแล้ว เลยรีบกวดฝีเท้าให้เร็วขึ้นเพื่อจะเข้าเรียนให้ทัน เขาวิ่งกระหืดกระหอบมาทันเวลาพอดี มองหาเพื่อนสนิทก็เห็นพราวโบกมือทักทายให้มานั่งข้าง เมื่อถึงที่นั่งก็ฟุบลงกับโต๊ะ แสดงอาการเหนื่อยหอบ“เป็นไงกลับบ้านมา...สนุกไหม?” “น่
มิวมาพักกับกนกได้ราวหนึ่งสัปดาห์ ก่อนจะต้องกลับไปอ่านหนังสือและติวให้เพื่อนกลุ่มอื่น คืนนี้จึงเป็นคืนแรกในรอบหลายวันที่กนกต้องนอนคนเดียวอีกครั้ง เขาปิดไฟและพลิกตัวซุกผ้าห่ม ตั้งใจจะข่มตานอน แต่แล้ว...แกร๊ก!เสียงของลูกบิดประตูที่หมุนเบาๆ ทำให้ร่างทั้งร่างแข็งค้างหัวใจเขาเต้นระรัวพร้อมลมหายใจที่ติดขัด ราวกับถูกพันธนาการด้วยความกลัวที่บีบรัดแน่นจนแทบหายใจไม่ออกใคร?น้ำตาค่อยๆไหลออกมาพร้อมกับร่างกายที่เริ่มสั่นสะท้าน สติเริ่มตีกันยุ่งเหยิง เมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าใกล้เข้ามาใกล้ๆจนกระทั่ง...อ้อมแขนอบอุ่นโอบกอดเขาไว้แน่น"ไม่ต้องกลัวนะ..." เสียงทุ้มกระซิบข้างหูนั้นแผ่วเบาและมั่นคง"ไม่มีใครทำร้ายกนกได้อีกแล้ว" กลิ่นหอมอ่อนๆ ลอยมาจากเสื้อตัวหนาของชายแปลกหน้า อ้อมแขนที่กอดแน่นนั้นให้ความรู้สึกคุ้นเคยจนน่าแปลกใจ กนกหอบหายใจหนักขึ้นและร่างกายยังคงสั่นสะท้านแต่สัมผัสจากคนตรงหน้ากลับช่วยให้หัวใจที่เต้นกระหน่ำเริ่มสงบลงทีละนิด"พี่ขอโทษ...พี่ขอโทษสำหรับท
วันนี้กนกเริ่มรู้สึกว่า…บางที คนที่ตามเขาอาจไม่ใช่ผีอย่างที่เขาคิด สายตาของใครบางคนเหมือนเฝ้าจับจ้องเขาจากที่ไกลๆ มันไม่ได้เป็นเพียงความรู้สึกวูบไหวหรือภาพหลอนที่เกิดจากความหวาดระแวง แต่มันชัดเจนจนทำให้ขนที่ต้นคอลุกชัน"หืม…มีอะไรเหรอ?" พราวถามขึ้นระหว่างกำลังตักข้าวเข้าปากในโรงอาหารกนกขมวดคิ้วเล็กน้อย ก่อนจะส่ายหน้า "เปล่าๆ ไม่มีอะไรหรอก" พราวเหลือบตามองอย่างสงสัยแต่ก็ไม่ได้เซ้าซี้ต่อช่วงบ่าย ขณะเดินไปห้องแล็บ มิวเข้ามากระซิบที่ข้างหูพราว เสียงของเขาเบาราวกับไม่ต้องการให้ใครได้ยิน พราวชะงักไปเล็กน้อย สีหน้าตกใจแต่ก็พยายามเก็บอาการแล้วทั้งสองค่อยๆลดความเร็วในการเดินราวกับกำลังจับตาดูอะไรบางอย่างตรงข้ามกับพวกเขา กนกกลับเดินนำหน้าอย่างสบายใจ หูฟังเสียบอยู่กับหู ขยับปากร้องเพลงเบาๆ โดยไม่รู้ตัวเลยว่ามีสายตาคู่หนึ่งจับจ้องอยู่และมันก็เป็นอย่างที่คิด...เมื่อมิวกับพราวถอยห่างออกมา ก็เห็นชายคนหนึ่งที่ไม่เคยพบมาก่อน สวมหมวกและผ้าปิดปาก เดินลอบเลียบเลาะตามกนกอย่างแนบเนียน ทว่า…มีบางอย่างผิดปกติวันนี้เขาใส่เสื้อแขนยาว
ห้วงความฝันเด็กชายตัวเล็กพยายามยื้อแย่งตุ๊กตาในอ้อมปากของเจ้าหมาจอมดื้อ"อื้ออ... อย่าเอาของน้อง! แงงง!"เขาร้องไห้สะอึกสะอื้น ดึงสุดแรงเกิด แต่แรงเด็กน้อยสู้หมาตัวโตไม่ไหว ตุ๊กตาหมีสีเหลืองยังคงถูกคาบแน่นในปากของมัน"แง... แงงง!" เสียงร้องดังลั่นไปทั่วสนามหญ้า จนเด็กอีกคนวิ่งเข้ามาพร้อมกับไม้ในมือ"ไอ้หมา! ปล่อยเดี๋ยวนี้นะ!"...ฟาด!... ฟาด!เจ้าหมาสะดุ้งเฮือก ส่ายหัวไปมา ก่อนจะทนความเจ็บไม่ไหว ยอมคลายตุ๊กตาหมีสีเหลืองออกจากปาก"เย้ๆๆ!" เด็กน้อยกระโดดดีใจ เสียงหัวเราะสดใสดังขึ้น พี่ชายใจดีที่ช่วยปกป้องเขาหยิบตุ๊กตาขึ้นมา"อันนี้ของเราสินะ แต่มันเปื้อนหมดเลย""ไม่เป็นไรครับ... หมูเหลืองไปซักได้"เด็กชายตัวน้อยยิ้มกว้าง ดวงตาเป็นประกาย ก่อนภาพทุกอย่างจะเลือนหายไป…...วี๊วอ! วี๊วอ!เสียงไซเรนรถพยาบาลดังระงมไปทั่ว ความวุ่นวาย เสียงตะโกนของเจ้าหน้าที่ เสียงวิทยุสื่อสารแทรกเป็นระยะมือของเขาเปื้อนเลือด...เลือด
ขณะที่พวกเขานั่งกินข้าวกันอยู่ที่โรงอาหาร บรรยากาศในช่วงบ่ายคล้อยยังคงเต็มไปด้วยเสียงพูดคุยจอแจของนักศึกษา คนเดินผ่านไปมาถือถาดอาหาร บ้างนั่งจับกลุ่มคุยกัน บ้างจดจ่ออยู่กับจอโทรศัพท์จู่ๆ รุ่นพี่ต่างคณะก็เดินเข้ามาหากนก พร้อมกับยื่นกล่องของขวัญขนาดใหญ่ให้โดยไม่พูดอะไรนัก กนกเงยหน้ามองงงๆ พลางรับของมา ก่อนที่พี่คนนั้นจะเดินจากไปท่ามกลางสายตาสงสัยของเพื่อนๆ“มิวกับพราวแซวเขาว่า เดี๋ยวนี้ฮอตมาก มีคนเอาของมาให้ตลอดเลยนะ”“ก็ไม่ขนาดนั้นหรอก” กนกตอบเรียบๆ พลางมองกล่องของขวัญในมือ“หรือจะเป็นพี่รหัสที่กำลังจะซิ่วไปเรียนที่อื่น?” มิวตั้งข้อสันนิษฐาน“ไม่รู้อะ” กนกส่ายหน้าพราวเบิกตากว้าง มือเกาะโต๊ะพลางเขย่าเบาๆ “แต่กล่องใหญ่มากอ่ะ! อยากดูแล้ว!”“เดี๋ยวเลิกเรียนก่อน ค่อยมาดูกัน” กนกหัวเราะกับท่าทางกระตือรือร้นของพราว“เย้ๆ” พราวแทบกระโดดมิวส่ายหน้าอย่างระอา “พราวเวอร์มาก อะไรจะดีใจ
ในวัย 13 ปี… เขากลายเป็นคนที่แตกสลายโดยสมบูรณ์ภาพในความทรงจำตีกลับมาอีกครั้ง...เสียงของพ่อตวาดดังลั่นเป็นสิ่งที่เด็ก 13 ปีไม่เคยเจอมาก่อนในชีวิต...เสียงของแม่กรีดร้องด้วยความทุกข์ทรมาณ...เลือดไหลเป็นสายลงบนพื้นไม้...และร่างของเขาถูกเหวี่ยงกระแทกกับโต๊ะอย่างแรง เสียงนั้นดังสะท้อนในหัวของเขาเหมือนแผ่นเสียงตกร่องภพสะดุ้งเฮือก ลืมตาโพลง หัวใจเต้นระรัวจนเหมือนจะระเบิดออกมา"ไม่ ไม่เอาแล้ว... พอเถอะ..."เขาอยากกรีดร้องออกมาดิ้นพราดอยู่บนเตียง ร่างกายสั่นเทาเหมือนคนกำลังจะจมน้ำป้าได้ยินเสียงผิดปกติ เธอรีบเข้ามาดูเขา และพบว่าเขากำลังกระตุกอยู่บนเตียง"ภพ! ใจเย็นๆ นะลูก ป้าอยู่ตรงนี้!"มือของป้ากอบกุมมือของเขาไว้แน่น น้ำตาของเธอไหลออกมาอย่างเงียบงัน เขาต้องฝืนใจมีชีวิตอยู่ ทั้งที่หัวใจของเขาแทบจะตายไปแล้วแม้จะเจ็บปวดแค่ไหน แม้จะร้องไห้ในใจมากเท่าไร แต่ไม่มีวันไหนที่ภพมีน้ำตา เขากัดฟันเผชิญหน้ากับทุกความเจ็บปวด... เพราะเขาไม่อยากให้แม่ต้องร้องไห้อีกแล้ว แม่คือคนเดียวที่เหล
หลังจากสอบกลางภาคเสร็จ กนกก็มีเวลาผ่อนคลายมากขึ้น เขากลับมาหาเพื่อนเก่าที่เขารัก นั่นคือหนังสือนิยาย เย็นวันนั้น ฝนโปรยปรายลงมาบางเบา กลิ่นดินหลังฝนอบอวลอยู่ในอากาศ ลมเย็นพัดผ่านหน้าต่างที่เปิดแง้มไว้ทำให้ผ้าม่านสีขาวพลิ้วไหวไปตามจังหวะลม กนกนั่งขัดสมาธิอยู่บนเตียง ผ้าห่มนุ่มคลุมกาย เขาหยิบหนังสือเรื่อง ลิขิตรักจากฟากฟ้า มาอ่านอีกครั้งแสงไฟจากโคมข้างเตียงส่องกระทบตัวอักษร สะท้อนเป็นเงาจาง ๆ บนหน้ากระดาษ เรื่องราวความรักที่เศร้าและซับซ้อนในเล่มเหมือนพาเขาหลุดเข้าไปอยู่ในโลกของเจ้าหญิงและองครักษ์ซึ่งเปรียบเสมือนตนเองเป็นทาสผู้ซื่อสัตย์ เสียงฝนที่ตกกระทบกลายเป็นท่วงทำนองแผ่วเบา คลอเคล้าไปกับเสียงหัวใจที่เต้นตามจังหวะของเนื้อเรื่อง ดอกเยอบีร่าและความรักที่เบ่งบาน''องค์หญิงดูนี่สิพะยะค่ะ'' ซาเลล องค์รักษ์หนุ่มคุกเข่าลงข้างหนึ่ง ยื่นมือไปเด็ดดอกไม้ป่าที่ขึ้นอยู่ริมลำธาร ก่อนเงยหน้าขึ้นมององค์หญิงเอมม่า ผู้เป็นองค์หญิงน้องสุดท้องของอาณาจักร บัดนี้พระองค์ทรงก้าวเข้าสู่วัยสาวแล้ว พระบิดาจึงเข้มงวดกับทุกเรื่องราวรอบตัว กระทั่งการออกไปสู
หลังจากสอบเสร็จ วันเฉลยพี่รหัสก็มาถึงช่วงเย็น พวกเรานัดรวมตัวกันที่โถงกลางคณะ เสียงจอแจของพี่ปีสองและปีสามดังไปทั่ว ทำให้บรรยากาศคึกคักเต็มไปด้วยความตื่นเต้น เสียงหัวเราะแทรกผ่านเสียงพูดคุย ดนตรีจากลำโพงเปิดคลอสร้างความสนุกสนาน ไฟสีส้มจากโถงกลางทอดเงาลงบนพื้น ทำให้ทุกอย่างดูอบอุ่นและคึกครื้นกว่าปกติ นี่เป็นครั้งแรกที่เราจะได้รู้ว่าพี่รหัสที่คอยดูแลเราอยู่เงียบ ๆ เป็นใครกัน“สำหรับน้องๆ คนไหนที่มาถึงโถงกลางแล้ว ก็ไปนั่งรวมกับเพื่อนได้เลยนะ” เสียงประกาศจากพี่ฝ่ายสันทนาการดังขึ้น ท่ามกลางความตื่นเต้นของทุกคน กนกกับเพื่อน ๆ เพิ่งเรียนเสร็จ เมื่อได้ยินประกาศจึงรีบไปรวมตัวที่โถงกลางทันที“ชั้นว่าพี่รหัสชั้นต้องเป็นผู้ชายแน่เลย” พราวกระซิบ พลางมองไปรอบ ๆ ด้วยสายตาเป็นประกาย“ทำไม?” มิวถามเสริมขึ้นมา“ก็ไม่เคยให้อะไรเลยไง”“แต่ของกนกต้องเป็นผู้หญิงแน่ ๆ”“ทำไมล่ะ?” กนกเลิกคิ้ว“ก็แกได้ของตลอดไง เนอะ มิว”“อืม...อาจจะ” กนกตอบแบบไม่แน่ใจนัก ก่อนจะหันไปมองรอบ ๆ อย่างครุ่นคิด
เป็นครั้งแรกที่นักศึกษาปีหนึ่งได้สัมผัสกับบรรยากาศของการสอบในมหาวิทยาลัยแตกต่างจากสมัยมัธยมโดยสิ้นเชิง ไม่มีอาจารย์มาเดินเตือน ไม่มีใครคอยกำกับให้เข้าห้องสอบเป็นแถวเป็นแนว ทุกอย่างขึ้นอยู่กับตัวเองล้วนๆกนกนั่งอยู่ที่โต๊ะอ่านหนังสือของห้องพัก หอพักนักศึกษาดูเงียบผิดปกติ เพราะทุกคนต่างจมอยู่กับกองตำรา บางคนท่องจำจนหัวหมุน บางคนยังนั่งกุมขมับเหมือนเพิ่งเริ่มต้นอ่านวันนี้ บรรยากาศของมหาวิทยาลัยที่เคยเต็มไปด้วยเสียงพูดคุยกลับเงียบลงเหลือเพียงเสียงพลิกกระดาษและเสียงถอนหายใจเบาๆ เขาก็เป็นหนึ่งในนั้นที่รู้สึกว่าชีวิตมหาวิทยาลัยให้เวลาอิสระมากกว่าสมัยมัธยม แต่นั่นก็หมายความว่าความรับผิดชอบเพิ่มขึ้นด้วยการสอบไม่ได้มีขอบเขตที่แน่นอนเหมือนเดิม และเขาต้องวางแผนการอ่านเองทั้งหมด ถึงจะพยายามแบ่งเวลา แต่สุดท้ายแล้ว เวลาว่างของเขาก็ถูกกลืนหายไปหมด จนไม่มีแม้แต่เวลาแตะนิยายเล่มโปรดที่เคยอ่านก่อนนอน คืนนี้เขาใช้เวลาทบทวนเนื้อหาไปเรื่อยๆ จนรู้สึกว่าตัวหนังสือเริ่มซ้อนกันไปมา เปลือกตาหนักอึ้ง แต่สมองยังคงวนเวียนคิดถึงเนื้อหาสอบ วันพรุ่งนี้จะเป็นอย่างไรนะ... เช้านี้มหาว
ช่วงเวลาสอบกลางภาคกำลังจะเริ่มขึ้น ทำให้บรรยากาศของนักศึกษาใหม่ชั้นปีที่ 1 เต็มไปด้วยความกดดัน อาจารย์เร่งสอนเนื้อหาให้ทันก่อนสอบ ขณะที่นักศึกษาทุกคนต่างต้องเร่งอ่านหนังสือและทบทวนบทเรียนอย่างเคร่งเครียด ไม่เว้นแม้แต่กลุ่มของกนกเองที่ตอนนี้กำลังปรึกษากันว่าหลังจากทานอาหารกลางวันเสร็จแล้วพวกเขาจะไปอ่านหนังสือกันที่ไหนต่อ“หลังจากนี้คงต้องติวให้เยอะกว่าเดิม” กนกพูดขึ้นขณะที่พราวและมิวกำลังกดโทรศัทพ์เปิดดูแหล่งบันเทิงเพื่อผ่อนคลายจากความเคร่งเครียดที่เพิ่งผ่านกันมา“ก็คงงั้นแหละ เพราะบางคาบแกก็หลับในห้องไง กนก” พราวอมยิ้มและดูสนุกที่ได้แซวเพื่อนตัวเล็ก“ทำเป็นพูดนะพราว เหมือนแกไม่เคยหลับ”“ถึงชั้นจะหลับ แต่ก็ไม่ได้หลับเกือบทุกคาบเหมือนแก” ก่อนที่เพื่อนทั้งสองจะเถียงกันจะเกิดเสียงดังและอาจจะมีการโกรธเคืองเกิดขึ้น“ทั้งสองหยุดเลย เลิกทะเลาะกันได้แล้ว” มิวแทรกเข้ามาด้วยเสียงหนักแน่น“หลังจากกินข้าววันนี้ เราจะไปหาหนังสือที่ห้องสมุด ใครจะไปบ้าง?”“เราไป&rdquo