ขณะที่พวกเขานั่งกินข้าวกันอยู่ที่โรงอาหาร บรรยากาศในช่วงบ่ายคล้อยยังคงเต็มไปด้วยเสียงพูดคุยจอแจของนักศึกษา คนเดินผ่านไปมาถือถาดอาหาร บ้างนั่งจับกลุ่มคุยกัน บ้างจดจ่ออยู่กับจอโทรศัพท์
จู่ๆ รุ่นพี่ต่างคณะก็เดินเข้ามาหากนก พร้อมกับยื่นกล่องของขวัญขนาดใหญ่ให้โดยไม่พูดอะไรนัก กนกเงยหน้ามองงงๆ พลางรับของมา ก่อนที่พี่คนนั้นจะเดินจากไปท่ามกลางสายตาสงสัยของเพื่อนๆ
“มิวกับพราวแซวเขาว่า เดี๋ยวนี้ฮอตมาก มีคนเอาของมาให้ตลอดเลยนะ”
“ก็ไม่ขนาดนั้นหรอก” กนกตอบเรียบๆ พลางมองกล่องของขวัญในมือ
“หรือจะเป็นพี่รหัสที่กำลังจะซิ่วไปเรียนที่อื่น?” มิวตั้งข้อสันนิษฐาน
“ไม่รู้อะ” กนกส่ายหน้า
พราวเบิกตากว้าง มือเกาะโต๊ะพลางเขย่าเบาๆ “แต่กล่องใหญ่มากอ่ะ! อยากดูแล้ว!”
“เดี๋ยวเลิกเรียนก่อน ค่อยมาดูกัน” กนกหัวเราะกับท่าทางกระตือรือร้นของพราว
“เย้ๆ” พราวแทบกระโดด
มิวส่ายหน้าอย่างระอา “พราวเวอร์มาก อะไรจะดีใจขนาดนั้น ไม่ใช่ของตัวเองสักหน่อย”
“ก็นกเป็นเพื่อนเราอะ ขอเห่อแทนหน่อยไม่ได้หรือไง” พราวเถียง ก่อนจะทำหน้ามุ่ย “อีกอย่างนะ ชั้นยังไม่เคยได้อะไรจากพี่รหัสเลย ขนาดพี่แววท็อปภาคยังไม่เคยขนชีทมาให้เหมือนที่กนกได้เลย”
กนกหัวเราะน้อยๆ “พราวอ่านกับเราก็ได้ ถ้าเป็นชีทติว เดี๋ยวเราถ่ายให้”
“เย่ๆ กนกเพื่อนรัก!” พราวโถมตัวเข้ากอดกนกทันที
“เห้ย! จะกอดทำไมเนี่ย!” กนกดิ้นหนี
“ก็ชั้นรักแกอะ!”
“ไม่ต้องกอด!”
“แกเขินเหรออออ กนกเขินชั้นเหรอออ~” พราวแซวไม่หยุด
เสียงหัวเราะดังขึ้นระหว่างที่ทั้งสองไล่หยอกกันไปตามทางเดิน พราวพยายามคว้าตัวกนก ในขณะที่กนกวิ่งหนีพลางหัวเราะไปด้วย รอยยิ้มและเสียงแซวเติมเต็มบรรยากาศรอบข้าง ทำให้แม้แต่คนที่เดินผ่านไปมาต้องเหลียวมองด้วยความเอ็นดู ก่อนที่ทั้งคู่จะหยุดลงหน้าประตูโถงเรียนรวม หายใจหอบเล็กน้อยแต่ยังยิ้มให้กันอย่างสนุกสนาน
หลังเลิกเรียน เวลายังไม่ถึงเย็นสนิท พวกเขานัดกันไปกินข้าวก่อนแยกย้าย
“กินร้านไหน” มิวถาม
“นี่เราต้องกินอีกแล้วหรอ เพิ่งสี่โมงเอง” พราวบ่น
“หรือแกจะไม่กิน?” มิวหันไปมองพราว ก่อนจะหันไปถามกนก “กนกกินไหม?”
“กินๆ แล้วเดี๋ยวซื้อขนมไปเพิ่มด้วย วันนี้ว่าจะทำงานบ้านที่หอ รีบกลับไปอ่านนิยายที่ค้างอยู่” กนกตอบยิ้มๆ
“ตลอดอะ นายนี่” มิวถอนหายใจ
“แล้วพราวไม่กินหรอ”
“กินยำก็ได้ เรายังไม่ค่อยหิว”
“นั่งตรงโน้นนะ มีพัดลม”
“อืมๆ”
หลังจากอิ่มท้องกันแล้ว พราวที่เฝ้าจ้องกล่องของขวัญมานานก็ทนไม่ไหว ยื่นหน้าเข้ามาใกล้ๆ กนก “เปิดเลยน้า ชั้นอยากรู้ว่ามันคืออะไร”
“ถ้าเป็นขนมล่ะก็…”
“แกก็จะแบ่งของกนกไปใช่ไหมล่ะ?” มิวหรี่ตาใส่
“มิวอ่า… แต่กนกแบ่งเพื่อนได้อยู่แล้วเนอะ ถ้าขนมเยอะขนาดนี้แกกินไม่หมดหรอก เนอะๆๆ” พราวยิ้มแป้น
กนกส่ายหน้า ก่อนจะค่อยๆ แกะห่อของขวัญออก เมื่อกระดาษหลุดออก เผยให้เห็นตุ๊กตาหมีสีเหลืองตัวเก่า—เก่าจนเหมือนผ่านกาลเวลามาอย่างยาวนาน
หัวใจเขาเต้นสะดุด รู้สึกแปลกๆ เหมือนมีอะไรบางอย่างติดอยู่ที่ปลายความทรงจำ
“…เหมือนเราเคยเห็นมันมาก่อน…”
แต่ยังไม่ทันที่กนกจะได้คิดอะไรไปมากกว่านั้น จู่ๆ ความปวดแปลบก็แล่นเข้าสู่ศีรษะ รุนแรงจนต้องยกมือขึ้นกุมขมับ
“โอ๊ย…”
ภาพบางอย่างแวบเข้ามาในหัว แสงไฟสีส้มสลัว ห้องเก่าๆ เสียงกระซิบบางเบาที่ฟังไม่ได้ศัพท์ ลมหายใจของกนกเริ่มขาดห้วง ราวกับอากาศรอบตัวถูกสูบออกไป หัวใจเต้นกระหน่ำอย่างไร้จังหวะ ความร้อนวูบขึ้นมาจากภายในแต่กลับรู้สึกเย็นเยียบตามปลายนิ้ว เหงื่อเย็นผุดขึ้นตามไรผม มือสั่นระริกจนแทบควบคุมไม่ได้ เท้าชาเหมือนถูกตรึงกับพื้น ความกลัวที่ไม่มีรูปร่างค่อยๆ คืบคลานเข้ามา กดทับจนรู้สึกเหมือนกำลังจมหายไปในความมืดที่มองไม่เห็น
“เฮ้ย! กนก เป็นอะไร!” มิวรีบเข้าประคองกนกที่ยกมือกุมขมับอย่างเครียดเกร็ง ส่วนพราวตกใจทำอะไรไม่ถูก
“พราว! โทรหาห้องพยาบาลเร็ว!” พราวพยายามกดหมายเลข แต่ปลายนิ้วที่สั่นเทาทำให้กดผิดซ้ำไปซ้ำมา ใจเต้นระรัวเหมือนกลองรัวเร็ว
“กนก!..”
“กนก!”
เสียงรอบข้างเริ่มพร่าเลือน ความกดดันที่มองไม่เห็นบีบรัดเข้ามา กนกสะอื้นจนตัวโยน หายใจไม่ทั่วท้องและมือกำเสื้อแน่นเกร็ง เมื่อเห็นว่าขณะที่พราวตัวสั่นด้วยความตกใจ มิวรีบตะโกนให้คนช่วยแจ้งห้องพยาบาล ทั้งโรงอาหารเริ่มแตกตื่น ทุกสายตาหันมามองเหตุการณ์ตรงหน้า และไม่นาน พวกเขาก็มาถึงห้องพยาบาล
พราวเดินไปเดินมาหน้าเคาน์เตอร์ สีหน้าของเธอเต็มไปด้วยความกังวล ฝีเท้าที่ก้าวไปมาสะท้อนถึงอารมณ์ที่ปั่นป่วนอยู่ภายใน
"แกจะเดินอีกนานไหม…" มิวพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงอ่อนล้า ขยับมือกดขมับเบาๆ "เราปวดหัว"
พราวชะงักไปครู่หนึ่ง ก่อนจะเม้มปากแน่น น้ำตารื้นขึ้นคลอหน่วย "กนก…"
แค่พูดชื่อเพื่อนออกมา เสียงก็สั่นจนแทบไม่เป็นคำ
มิวถอนหายใจ ก่อนจะเอื้อมมือไปดึงพราวเข้ามากอดลูบหลังเบาๆ "มันไม่ได้เป็นอะไรหรอก อาจจะเครียดช่วงนี้"
"แต่มันบอกว่าช่วงนี้มีคนคอยตามมัน…" พราวกระซิบเสียงสั่น
มิวเงียบไปชั่วครู่ คำพูดของกนกย้อนกลับมาในหัว เขาเองก็เคยรู้สึกเหมือนมีใครบางคน หรืออะไรบางอย่างคอยจ้องมองอยู่ตลอดเวลาแต่เขาเลือกที่จะไม่พูดออกมา…ไม่อยากให้ใครต้องกังวลมากไปกว่านี้
"อย่าคิดมาก ไม่มีอะไรหรอก" มิวพูดขึ้นในที่สุด พยายามทำให้เสียงของตัวเองฟังดูปกติที่สุด พราวไม่ได้ตอบอะไร เพียงแค่กอดแขนมิวแน่นขึ้นเล็กน้อย
.
.
.
และไม่นานหลังจากนั้น เสียงเปิดประตูดังขึ้น หมอเดินออกมาจากห้องพยาบาล ทั้งสองรีบตรงเข้าไปหาในทันที…
"คนไข้ปลอดภัยนะครับ…น่าจะเกิดจากสภาวะเครียดสะสม ส่งผลให้เกิดอาการเกร็งและปฏิกิริยาทางร่างกาย อย่างที่พวกคุณเห็น"
พราวถอนหายใจเฮือกใหญ่ ก่อนจะรีบถามเสียงสั่น "งั้นแปลว่า…ไม่เป็นอะไรมากใช่ไหมคะ?"
"ครับ ตอนนี้ให้พักอีกสักสิบนาที ร่างกายน่าจะฟื้นตัวขึ้น แล้วสามารถกลับไปพักที่หอได้"
"ขอบคุณมากครับหมอ" มิวเอ่ยแทนทุกคน ขณะที่พราวปล่อยโฮแล้วซุกหน้าลงกับไหล่มิว กอดเขาแน่นด้วยความโล่งใจ เมื่อได้รับอนุญาต ทั้งสองจึงรีบเข้าไปหาเพื่อนที่ห้องพยาบาล
กนกฟื้นแล้ว แต่ยังดูซึมๆ คงเพราะฤทธิ์ยาคลายเครียด ทำให้เปลือกตาหนักและร่างกายอ่อนแรงกว่าปกติ
มิวเดินไปนั่งข้างเตียง จับแขนเพื่อนเบาๆ "ไหวไหม? หมอให้ยาแล้วดีขึ้นหรือยัง"
"อืม…ดีขึ้นแล้ว" กนกพยักหน้าช้าๆ
"ถ้าไม่ไหว เราพาไปแอดมิทโรงพยาบาลไหม?"
"ไปให้น้ำเกลือหน่อยไหมกนก?" สีหน้าของเธอยังไม่คลายกังวล
กนกส่ายหน้าช้าๆ "ไม่ๆ เราโอเค…แค่เหนื่อย…คงไม่ค่อยได้นอนมั้ง"
"อืม…งั้นกลับหอกันเถอะ" มิวพยุงกนกขึ้นช้าๆ
ลมยามเย็นพัดผ่านเบาๆ แต่บรรยากาศรอบตัวกลับไม่ได้ทำให้รู้สึกผ่อนคลายเลยแม้แต่น้อย พราวลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะยื่นบางอย่างให้กนก ตุ๊กตาหมีตัวนั้น
"นี่…แกยังอยากเก็บมันไว้ไหม?" กนกมองมันอยู่ครู่หนึ่ง ดวงตาสั่นไหวเหมือนกำลังชั่งใจ เขากลืนน้ำลายลงคอฝืดๆ ก่อนจะพูดเสียงแผ่ว
"แกช่วยเอาไปวางไว้ที่เตียงให้หน่อยสิ…ตอนนี้เราไม่อยากเห็นมัน แต่…เรารู้สึกว่า…" เขาชะงักไปครู่หนึ่ง ก่อนจะพึมพำต่อ "มันเหมือนเคยเห็นมาก่อน…แค่ไม่อยากทิ้ง" แต่พอเผลอไปสบตากับตุ๊กตาหมีสีเหลืองซีดๆ ในมือของพราว หัวใจเขาก็เหมือนถูกบีบรัด ความรู้สึกหนักอึ้งกดทับลงมาจนลมหายใจติดขัด
"อึก…!"
อาการหายใจไม่ออกเริ่มเล่นงานอีกครั้ง ลมหายใจของกนกขาดห้วง เหงื่อเย็นซึมขึ้นตามไรผม มือกำเสื้อตัวเองแน่นราวกับพยายามควบคุมร่างกายที่สั่นระริก
"กนก!" มิวรีบเข้ามาพยุง เขามองหน้าเพื่อนด้วยความเป็นห่วง
"แกไหวไหม!?"
"หรือเราทิ้งมันไปดี…"
"ระ…เรา…" กนกพยายามตั้งสติ แต่แค่เห็นตุ๊กตาตัวนั้นอยู่ตรงนี้ก็เหมือนถูกฉุดให้จมลงไปในความรู้สึกที่อธิบายไม่ได้
มิวคว้าตุ๊กตาหมีแล้วโยนมันไปที่มุมห้องอย่างหงุดหงิด "พอ! วันนี้เราจะอยู่กับกนกเอง"
"แกกลับไปก่อนแล้วกันพราว วันนี้เรานอนห้องกนก เดี๋ยวตุ๊กตานี่ก็วางไว้มุมห้องไปก่อน อย่าเพิ่งสนใจมัน"
"แล้ว…แล้วแกจะกลับไปเอาของที่ห้องไหม?"
"เออ เดี๋ยวไปเอาเสื้อผ้า กับการบ้าน"
"โอเค…"
เธอมองกนกเป็นครั้งสุดท้ายก่อนจะตัดใจเดินออกไป
"กนก…ไปนอนได้แล้ว ไม่ต้องคิดมาก" กนกมองมิวแล้วพยักหน้าเบาๆ แต่ในใจยังเต็มไปด้วยคำถาม…
ตุ๊กตาหมีตัวนั้น…ทำไมเขาถึงรู้สึกคุ้นเคยอย่างประหลาด?
"แม่ครับ อ่านเรื่องนี้ให้ฟังหน่อย!""นิยายเรื่องนี้สนุกไหมครับแม่?""กนกอยากนอนหลับไปกับกองนิยายเล้ยย!"เสียงสดใสของกนกดังขึ้นท่ามกลางบรรยากาศอบอุ่นของบ้านหลังเล็ก ที่นี่เต็มไปด้วยเสียงพูดคุยเกี่ยวกับหนังสือแทบทุกวัน แม่ของเขาชอบอ่านหนังสือสารคดีแปลก ๆ แล้วมักจะเล่าเรื่องให้ลูกชายฟังด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น ส่วนพ่อก็เป็นสายหนังสือพัฒนาตัวเอง ชอบสอนกนกเรื่องแนวคิดการเติบโตและการใช้ชีวิต ทุกเย็นบ้านนี้แทบไม่เงียบเหงา เพราะมื้อค่ำมักกลายเป็นวงสนทนาเกี่ยวกับหนังสือที่แต่ละคนกำลังอ่าน ราวกับเป็นสโมสรนักอ่านขนาดย่อมแต่ในบรรดาหนังสือทั้งหมด กนกรักนิยายรักของแม่มากที่สุด ตู้หนังสือของแม่เต็มไปด้วยเล่มปกสีหวาน บางเล่มเก่าจนกระดาษเปลี่ยนเป็นสีเหลือง ตอนเด็ก ๆ เขาหยิบมาอ่านเพราะคิดว่ามันตลก แต่พอโตขึ้น เขากลับหลงรักเรื่องราวในนั้นอย่างไม่รู้ตัว"กนกลูก มากินข้าวกันครับ"เสียงแม่ดังแว่วมาจากชั้นล่าง ในขณะที่กนกกำลังจมอยู่กับฉากสำคัญของนิยาย"แป๊บนึงนะครับแม่... อีกนิดเดียวจะจบแล้ว!""แม่รอนะลูก แต่อย่านานล่ะ ข้าวจะเย็นหมด""ได้ครับแม่" กนกตอบลอย ๆ แต่สายตายังคงตรึงอยู่กับหน้ากระดาษ "อีกแค่สามหน้าเอง
แล้วพวกเขา 3 คนก็เดินทางไปห้องสมุดด้วยกัน สถานที่ที่กว้างขวาง เงียบสงบเหมาะสำหรับการอ่านหนังสือและการทำงานอย่างจริงจัง กนก มิวและพราวต่างก็มีเป้าหมายของตัวเอง มิวและพราวตั้งใจจะหาหนังสือเกี่ยวกับวิชาเคมีเพื่อใช้เป็นข้อมูลอ้างอิงสำหรับรายงาน ส่วนกนกนั้นแม้ว่าจะไม่ได้มีงานเร่งด่วนอะไรแต่เขาก็อยากมาหาหนังสือนิยายรักโรแมนติกเล่มใหม่เอาไว้อ่านสักหน่อยเมื่อเดินเข้าไปในห้องสมุด มิวและพราวก็แยกย้ายไปหาหนังสือในส่วนของวิทยาศาสตร์ ในขณะที่กนกเดินตรงไปที่ชั้นหนังสือวรรณกรรม เขาหยิบนิยายรักโรแมนติกเล่มหนึ่งที่เขาคิดว่าน่าสนใจแล้วก็หามุมสงบในห้องสมุดเพื่อนั่งอ่านต่อหลังจากนั้นไม่นาน มิวและพราวก็เสร็จสิ้นจากการค้นหาหนังสือและเดินมาหากนก ที่กำลังจดจ่ออยู่กับหนังสือเล่มหนา"นี่กนก ยังอ่านไม่จบอีกเหรอ" มิวยื่นหน้าไปถามกระซิบเสียงเบา"กำลังถึงตอนสำคัญเลย พระเอกเพิ่งจะสารภาพรักนางเอก" กนกตอบด้วยแววตาที่เป็นประกาย"แกนี่น่ะ..." พราวยิ้มเล็กๆหมั่นไส้เจ้าเพื่อนหนอนหนังสือ "แต่เอาเถอะ เราเสร็จแล้ว กลับกันไหม?"กนกพยักหน้าแล้วปิดหนังสืออย่างเสียดายแต่เขาก็รู้ว่าต้องกลับมาอ่านต่อในวันหลัง พวกเขาทั้งสามเดิน
ร่างของชายปริศนาแนบชิดเข้ามา กนกแทบไม่ได้มีเวลาตั้งตัว ก่อนที่ลมหายใจร้อนจะเคลื่อนเข้าใกล้ กลิ่นหอมอ่อนๆ ที่เขาไม่คุ้นเคยลอยอวลอยู่รอบตัว เสี้ยววินาทีต่อมา ริมฝีปากของชายแปลกหน้ากดลงมาบนริมฝีปากของเขา...อ่อนโยน ทว่าตราตึงในความรู้สึกเขา กนกเบิกตากว้างพร้อมหัวใจเต้นกระหน่ำราวกับจะทะลุออกจากอก เขาพยายามจะขยับตัวแต่กลับถูกอ้อมแขนแข็งแรงตรึงไว้อย่างมั่นคง ไม่ใช่การบังคับขืนใจแต่เป็นสัมผัสที่เต็มไปด้วยแรงดึงดูดลึกลับราวกับอีกฝ่ายกำลังเฝ้าค้นหาอะไรบางอย่างจากตัวเขา“คุณ...” เสียงของกนกสั่นไหว ไม่แน่ใจว่าควรผลักออกหรือหยุดนิ่ง ความอบอุ่นที่แนบชิดส่งผ่านความรู้สึกบางอย่างที่เขาอธิบายไม่ได้ชายปริศนาโน้มลงมา สูดลมหายใจช้าๆ ใกล้ต้นคอของเขา ปลายนิ้วเย็นเฉียบไล้ผ่านข้างแก้มก่อนกระซิบเบาๆ ข้างหู“...ในที่สุด พี่ก็เจอเราสักที”นี่มันอะไรกัน... เขาคิดในใจ แต่ร่างกายของเขากลับตอบสนองต่อความรู้สึกที่แปลกใหม่นี้ผู้ชายคนนั้นยิ้มให้เขาอีกครั้งแล้วก็พูดด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยน"ไม่ต้องกลัวนะ...พี่จะไม่ทำร้ายเธอ"กนกรู้สึกว่าหัวใจของเขาเต้นแรงขึ้น เขาพยายามจะพูดอะไรแต่คำพูดก็ติดอยู่ในลำคอ ผู้ชายคนนั้นยิ้มให
เขารู้สึกว่าวันนี้เป็นวันที่ยาวนานและวุ่นวายเพราะเขามีเรียนตั้งแต่เช้าถึงสองทุ่ม ทั้งบรรยายวิชาชีวะและทำแล็ปการทดลองเคมีภาคค่ำ กว่าจะลากสังขารกลับหอได้ก็พากันหมดแรง"ทำไมวันนี้โหดขนาดนี้...ใครจัดตารางเรียนว่ะ" "นั่นนะสิ...จะแบ้ล้า นี่มันเด็กปีหนึ่งนะเว้ย" พราวสมทบอีกหนึ่งเสียง"แล้วพวกแกจะบ่นเพื่อ...กินข้าว กลับบ้านแยกย้ายกัน" "เย้ อาหารจะช่วยชีวิตพวกเรา ฉันอยากกินยำ อยากกินยำ" พราวพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความตื่นเต้น"กนกกินอะไรดี?" "อ่า...อะไรดีอ่าา อยากกินกระเพาะแล้วกัน กระเพาะเนื้อ" "อืม งั้นไปร้านป้าข้างหอพราว แล้วค่อยเดินกลับมาหอในแล้วกัน" "อืม..." กนกพยักหน้ารับระหว่างทาง กนกก็เหม่อมองบรรยากาศโดยรอบ วันนี้รู้สึกเหนื่อยตั้งแต่เช้าที่ต้องวิ่งมาเรียน ข้าวเช้าก็ไม่ได้กินแล้วมาเรียนแล็ปต่อ ปวดหัวจะแย่ คิดถึงหนังสือนิยายที่อยู่ที่หอจะแย่อยู่แล้ว เมื่อไหร่จะได้กลับไปอ่านต่อนะ... แต่ในตอนนี้ เขาต้องกินข้าวให้อิ่มก่อนแล้วค่อยกลับไปหาหนังสือเล่มโปรดที่รอเขาอยู่"ป้าคะ หนูขอยำแซ่บๆหนึ่งจานค่ะ ขอเผ็ดๆเลยนะคะ" พราวสั่งอาหารด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยหิวกระหาย"กินเผ็ดเดี๋ยวก็ปว
เพราะความรู้สึกบางอย่างที่ทำให้อยากกลับบ้าน จึงตัดสินใจว่ากลับบ้านไปตามหาอะไรบางอย่างน่าจะดีกว่า"อ้าว...ทำไมกลับ เดินทางตั้งหลายชั่วโมงนะ" ใช่...เพื่อนเขาพูดถูก พวกเราทั้งสามคนสอบติดมหาวิทยาลัยในกรุงเทพ แต่บ้านของพวกเราอยู่ชลบุรี ถึงจะนั่งรถตู้ไปถึงสถานีใช้เวลาประมาณสองชั่วโมงแต่จากสถานีก็ต้องนั่งรถสองแถวเข้าบ้านอีกตั้งสี่สิบนาที นานๆ ทีพวกเราถึงจะกลับบ้านกัน"อืม...มีธุระนิดหน่อยน่ะ" เขาไลน์บอกแม่ว่าจะกลับบ้านไปทำธุระ แม่ก็ไม่ได้ว่าอะไร"เป็นไงบ้าง เหนื่อยไหม มาถึงดึกเชียว" "เหนื่อยครับแม่ ดีที่วันนี้กนกเรียนแค่คาบเช้า ไม่งั้นดึกกว่านี้แน่เลย" "งั้นไปพักผ่อนแล้วลงมาทานข้าวเย็นด้วยกันนะ" "ไม่เป็นไรครับ ผมกินข้าวบ้านน้าแป้นมาแล้ว""อ่อ...เออ พูดถึงน้าแป้น" "หืมม...ทำไมหรอครับ" "เห็นแกบอกว่าลูกชายเขาก็ไปเรียนกรุงเทพนะ แต่ที่ไหนแม่ก็จำไม่ได้""หรอครับ แต่พี่...อ่าา จำไม่ได้แล้วอ่า" "อืมม... จำได้ว่าน่าจะเป็นรุ่นพี่เรานะ" "อ่าา...ครับ" กนกพยักหน้า"กนกขึ้นไปพักก่อนนะ""รีบพักนะลูก" กนกรีบขึ้นไปพักบนห้องของตัวเอง บ้านของเขาไม่ได้ใหญ่โตมากนัก แม้ว่าพ่อกับแม่จะรักการอ่านหนังสือมากแ
ถึงแม้ว่ารู้สึกยังพักผ่อนไม่เต็มที่ แต่ด้วยภารกิจในการเรียนทำให้กนกต้องเดินทางกลับมาที่หอตั้งแต่เช้ามืด ความเศร้าที่อยู่ภายในใจยังเกาะกิน ความผูกพันธ์ที่เขามีต่อหนังสือเล่มนั้นทำให้เขารู้สึกว่ามันอาจมีอะไรซ่อนอยู่ ซึ่งอาจจะเชื่อมโยงกับตัวเขาเอง ทำให้รู้สึกว่าวันนี้บรรยากาศรอบตัวมีแต่ความหมองหม่น ความเหม่อลอยตลอดเส้นทางการเดินไปมหาวิทยาลัยทำให้เขาเกือบจะโดนรถเฉี่ยวปิ๊ดดด!แต่ทันใดนั้น กลับมีใครบางคนดึงตัวเขากลับมาได้ทันเวลา หัวใจเขาตื่นระรัวด้วยความตกใจ และกำลังจะหันกลับไปขอบคุณคนใจดีคนนั้น แต่กลับไม่เห็นใครอยู่ตรงนั้นเลย มีเพียงสายลมที่พัดผ่านและเสียงใบไม้ที่สั่นไหว เหมือนกับว่ามีใครสักคนหายไปในอากาศ“ใครนะ...?” เขาพูดเบาๆ กับตัวเอง แต่ไม่มีใครตอบ มีเพียงเสียงลมพัดผ่านหูเบาๆ เหมือนเสียงกระซิบที่เขาคุ้นเคยถึงแม้จะยังคงสงสัย แต่พอดูนาฬิกาก็พบว่าใกล้จะถึงเวลาเข้าเรียนแล้ว เลยรีบกวดฝีเท้าให้เร็วขึ้นเพื่อจะเข้าเรียนให้ทัน เขาวิ่งกระหืดกระหอบมาทันเวลาพอดี มองหาเพื่อนสนิทก็เห็นพราวโบกมือทักทายให้มานั่งข้าง เมื่อถึงที่นั่งก็ฟุบลงกับโต๊ะ แสดงอาการเหนื่อยหอบ“เป็นไงกลับบ้านมา...สนุกไหม?” “น่
วันนี้ชั่วโมงเรียนของกนกลากยาวมาถึง 5 โมงเย็น ความเหนื่อยล้าตั้งแต่เช้าส่งผลให้ช่วงเย็น ขณะที่กำลังรออาหารตามสั่งจากร้านป้านิด เขาก็เผลอพิงศีรษะกับแขนตัวเอง ดวงตาปรือคล้ายจะหลับสนิท ท่ามกลางเสียงพูดคุยของเพื่อน ๆ ที่ยังดังอยู่รอบตัว“กนก ตื่นก่อน!” พราวเรียกด้วยเสียงดัง“ใช่ๆ กินข้าวก่อน นี่กระเพาะกุ้งของชอบแกไง กินก่อนแล้วค่อยกลับไปนอน” มิวพูดพร้อมกับยื่นช้อนให้“อืมม...” กนกพยักหน้าเบาๆ แต่สายตาของเขาดูเหมือนจะปิดลงทุกที เขายิ้มบาง ๆ แต่ก็ยังไม่ยอมลืมตาขึ้นเต็มที่ ความเหนื่อยสะสมทำให้ร่างกายของเขาหนักอึ้ง จนเผลอคิดไปว่า... ถ้าตอนนี้ได้เอนตัวลงนอนที่ไหนสักที่ก็คงดี แต่ระหว่างที่กำลังจะหลับตาลงอีกครั้ง “ป้าได้ยังคะ? เพื่อนหนูจะหลับตาโต๊ะแล้วค่าา” พราวหันไปเรียกป้านิด เจ้าของร้านอาหาร“ฮ่ะๆ วันนี้เรียนหนักกันหรอคะ? เพิ่งวันจันทร์กันเอง” ป้านิดถามด้วยน้ำเสียงอบอุ่น“วันนี้ไม่หนักเท่าไรค่ะป้านิด แต่กนกมันเพิ่งกลับบ้านมา ตื่นตั้งแต่ตี 4 วันนี้เรียนตั้งแต่เช้าลากถึงเย็นคงจะง่วงเต็มที่” “น้องกนกรีบทานจะได้รีบไปพักนะคะ” ป้านิดพูดพร้อมกับยิ้มให้“ขอบคุณครับป้านิด ผมจะรีบกิน...จะได้รีบไปนอน
ช่วงเวลาสอบกลางภาคกำลังจะเริ่มขึ้น ทำให้บรรยากาศของนักศึกษาใหม่ชั้นปีที่ 1 เต็มไปด้วยความกดดัน อาจารย์เร่งสอนเนื้อหาให้ทันก่อนสอบ ขณะที่นักศึกษาทุกคนต่างต้องเร่งอ่านหนังสือและทบทวนบทเรียนอย่างเคร่งเครียด ไม่เว้นแม้แต่กลุ่มของกนกเองที่ตอนนี้กำลังปรึกษากันว่าหลังจากทานอาหารกลางวันเสร็จแล้วพวกเขาจะไปอ่านหนังสือกันที่ไหนต่อ“หลังจากนี้คงต้องติวให้เยอะกว่าเดิม” กนกพูดขึ้นขณะที่พราวและมิวกำลังกดโทรศัทพ์เปิดดูแหล่งบันเทิงเพื่อผ่อนคลายจากความเคร่งเครียดที่เพิ่งผ่านกันมา“ก็คงงั้นแหละ เพราะบางคาบแกก็หลับในห้องไง กนก” พราวอมยิ้มและดูสนุกที่ได้แซวเพื่อนตัวเล็ก“ทำเป็นพูดนะพราว เหมือนแกไม่เคยหลับ”“ถึงชั้นจะหลับ แต่ก็ไม่ได้หลับเกือบทุกคาบเหมือนแก” ก่อนที่เพื่อนทั้งสองจะเถียงกันจะเกิดเสียงดังและอาจจะมีการโกรธเคืองเกิดขึ้น“ทั้งสองหยุดเลย เลิกทะเลาะกันได้แล้ว” มิวแทรกเข้ามาด้วยเสียงหนักแน่น“หลังจากกินข้าววันนี้ เราจะไปหาหนังสือที่ห้องสมุด ใครจะไปบ้าง?”“เราไป&rdquo
ขณะที่พวกเขานั่งกินข้าวกันอยู่ที่โรงอาหาร บรรยากาศในช่วงบ่ายคล้อยยังคงเต็มไปด้วยเสียงพูดคุยจอแจของนักศึกษา คนเดินผ่านไปมาถือถาดอาหาร บ้างนั่งจับกลุ่มคุยกัน บ้างจดจ่ออยู่กับจอโทรศัพท์จู่ๆ รุ่นพี่ต่างคณะก็เดินเข้ามาหากนก พร้อมกับยื่นกล่องของขวัญขนาดใหญ่ให้โดยไม่พูดอะไรนัก กนกเงยหน้ามองงงๆ พลางรับของมา ก่อนที่พี่คนนั้นจะเดินจากไปท่ามกลางสายตาสงสัยของเพื่อนๆ“มิวกับพราวแซวเขาว่า เดี๋ยวนี้ฮอตมาก มีคนเอาของมาให้ตลอดเลยนะ”“ก็ไม่ขนาดนั้นหรอก” กนกตอบเรียบๆ พลางมองกล่องของขวัญในมือ“หรือจะเป็นพี่รหัสที่กำลังจะซิ่วไปเรียนที่อื่น?” มิวตั้งข้อสันนิษฐาน“ไม่รู้อะ” กนกส่ายหน้าพราวเบิกตากว้าง มือเกาะโต๊ะพลางเขย่าเบาๆ “แต่กล่องใหญ่มากอ่ะ! อยากดูแล้ว!”“เดี๋ยวเลิกเรียนก่อน ค่อยมาดูกัน” กนกหัวเราะกับท่าทางกระตือรือร้นของพราว“เย้ๆ” พราวแทบกระโดดมิวส่ายหน้าอย่างระอา “พราวเวอร์มาก อะไรจะดีใจ
ในวัย 13 ปี… เขากลายเป็นคนที่แตกสลายโดยสมบูรณ์ภาพในความทรงจำตีกลับมาอีกครั้ง...เสียงของพ่อตวาดดังลั่นเป็นสิ่งที่เด็ก 13 ปีไม่เคยเจอมาก่อนในชีวิต...เสียงของแม่กรีดร้องด้วยความทุกข์ทรมาณ...เลือดไหลเป็นสายลงบนพื้นไม้...และร่างของเขาถูกเหวี่ยงกระแทกกับโต๊ะอย่างแรง เสียงนั้นดังสะท้อนในหัวของเขาเหมือนแผ่นเสียงตกร่องภพสะดุ้งเฮือก ลืมตาโพลง หัวใจเต้นระรัวจนเหมือนจะระเบิดออกมา"ไม่ ไม่เอาแล้ว... พอเถอะ..."เขาอยากกรีดร้องออกมาดิ้นพราดอยู่บนเตียง ร่างกายสั่นเทาเหมือนคนกำลังจะจมน้ำป้าได้ยินเสียงผิดปกติ เธอรีบเข้ามาดูเขา และพบว่าเขากำลังกระตุกอยู่บนเตียง"ภพ! ใจเย็นๆ นะลูก ป้าอยู่ตรงนี้!"มือของป้ากอบกุมมือของเขาไว้แน่น น้ำตาของเธอไหลออกมาอย่างเงียบงัน เขาต้องฝืนใจมีชีวิตอยู่ ทั้งที่หัวใจของเขาแทบจะตายไปแล้วแม้จะเจ็บปวดแค่ไหน แม้จะร้องไห้ในใจมากเท่าไร แต่ไม่มีวันไหนที่ภพมีน้ำตา เขากัดฟันเผชิญหน้ากับทุกความเจ็บปวด... เพราะเขาไม่อยากให้แม่ต้องร้องไห้อีกแล้ว แม่คือคนเดียวที่เหล
หลังจากสอบกลางภาคเสร็จ กนกก็มีเวลาผ่อนคลายมากขึ้น เขากลับมาหาเพื่อนเก่าที่เขารัก นั่นคือหนังสือนิยาย เย็นวันนั้น ฝนโปรยปรายลงมาบางเบา กลิ่นดินหลังฝนอบอวลอยู่ในอากาศ ลมเย็นพัดผ่านหน้าต่างที่เปิดแง้มไว้ทำให้ผ้าม่านสีขาวพลิ้วไหวไปตามจังหวะลม กนกนั่งขัดสมาธิอยู่บนเตียง ผ้าห่มนุ่มคลุมกาย เขาหยิบหนังสือเรื่อง ลิขิตรักจากฟากฟ้า มาอ่านอีกครั้งแสงไฟจากโคมข้างเตียงส่องกระทบตัวอักษร สะท้อนเป็นเงาจาง ๆ บนหน้ากระดาษ เรื่องราวความรักที่เศร้าและซับซ้อนในเล่มเหมือนพาเขาหลุดเข้าไปอยู่ในโลกของเจ้าหญิงและองครักษ์ซึ่งเปรียบเสมือนตนเองเป็นทาสผู้ซื่อสัตย์ เสียงฝนที่ตกกระทบกลายเป็นท่วงทำนองแผ่วเบา คลอเคล้าไปกับเสียงหัวใจที่เต้นตามจังหวะของเนื้อเรื่อง ดอกเยอบีร่าและความรักที่เบ่งบาน''องค์หญิงดูนี่สิพะยะค่ะ'' ซาเลล องค์รักษ์หนุ่มคุกเข่าลงข้างหนึ่ง ยื่นมือไปเด็ดดอกไม้ป่าที่ขึ้นอยู่ริมลำธาร ก่อนเงยหน้าขึ้นมององค์หญิงเอมม่า ผู้เป็นองค์หญิงน้องสุดท้องของอาณาจักร บัดนี้พระองค์ทรงก้าวเข้าสู่วัยสาวแล้ว พระบิดาจึงเข้มงวดกับทุกเรื่องราวรอบตัว กระทั่งการออกไปสู
หลังจากสอบเสร็จ วันเฉลยพี่รหัสก็มาถึงช่วงเย็น พวกเรานัดรวมตัวกันที่โถงกลางคณะ เสียงจอแจของพี่ปีสองและปีสามดังไปทั่ว ทำให้บรรยากาศคึกคักเต็มไปด้วยความตื่นเต้น เสียงหัวเราะแทรกผ่านเสียงพูดคุย ดนตรีจากลำโพงเปิดคลอสร้างความสนุกสนาน ไฟสีส้มจากโถงกลางทอดเงาลงบนพื้น ทำให้ทุกอย่างดูอบอุ่นและคึกครื้นกว่าปกติ นี่เป็นครั้งแรกที่เราจะได้รู้ว่าพี่รหัสที่คอยดูแลเราอยู่เงียบ ๆ เป็นใครกัน“สำหรับน้องๆ คนไหนที่มาถึงโถงกลางแล้ว ก็ไปนั่งรวมกับเพื่อนได้เลยนะ” เสียงประกาศจากพี่ฝ่ายสันทนาการดังขึ้น ท่ามกลางความตื่นเต้นของทุกคน กนกกับเพื่อน ๆ เพิ่งเรียนเสร็จ เมื่อได้ยินประกาศจึงรีบไปรวมตัวที่โถงกลางทันที“ชั้นว่าพี่รหัสชั้นต้องเป็นผู้ชายแน่เลย” พราวกระซิบ พลางมองไปรอบ ๆ ด้วยสายตาเป็นประกาย“ทำไม?” มิวถามเสริมขึ้นมา“ก็ไม่เคยให้อะไรเลยไง”“แต่ของกนกต้องเป็นผู้หญิงแน่ ๆ”“ทำไมล่ะ?” กนกเลิกคิ้ว“ก็แกได้ของตลอดไง เนอะ มิว”“อืม...อาจจะ” กนกตอบแบบไม่แน่ใจนัก ก่อนจะหันไปมองรอบ ๆ อย่างครุ่นคิด
เป็นครั้งแรกที่นักศึกษาปีหนึ่งได้สัมผัสกับบรรยากาศของการสอบในมหาวิทยาลัยแตกต่างจากสมัยมัธยมโดยสิ้นเชิง ไม่มีอาจารย์มาเดินเตือน ไม่มีใครคอยกำกับให้เข้าห้องสอบเป็นแถวเป็นแนว ทุกอย่างขึ้นอยู่กับตัวเองล้วนๆกนกนั่งอยู่ที่โต๊ะอ่านหนังสือของห้องพัก หอพักนักศึกษาดูเงียบผิดปกติ เพราะทุกคนต่างจมอยู่กับกองตำรา บางคนท่องจำจนหัวหมุน บางคนยังนั่งกุมขมับเหมือนเพิ่งเริ่มต้นอ่านวันนี้ บรรยากาศของมหาวิทยาลัยที่เคยเต็มไปด้วยเสียงพูดคุยกลับเงียบลงเหลือเพียงเสียงพลิกกระดาษและเสียงถอนหายใจเบาๆ เขาก็เป็นหนึ่งในนั้นที่รู้สึกว่าชีวิตมหาวิทยาลัยให้เวลาอิสระมากกว่าสมัยมัธยม แต่นั่นก็หมายความว่าความรับผิดชอบเพิ่มขึ้นด้วยการสอบไม่ได้มีขอบเขตที่แน่นอนเหมือนเดิม และเขาต้องวางแผนการอ่านเองทั้งหมด ถึงจะพยายามแบ่งเวลา แต่สุดท้ายแล้ว เวลาว่างของเขาก็ถูกกลืนหายไปหมด จนไม่มีแม้แต่เวลาแตะนิยายเล่มโปรดที่เคยอ่านก่อนนอน คืนนี้เขาใช้เวลาทบทวนเนื้อหาไปเรื่อยๆ จนรู้สึกว่าตัวหนังสือเริ่มซ้อนกันไปมา เปลือกตาหนักอึ้ง แต่สมองยังคงวนเวียนคิดถึงเนื้อหาสอบ วันพรุ่งนี้จะเป็นอย่างไรนะ... เช้านี้มหาว
ช่วงเวลาสอบกลางภาคกำลังจะเริ่มขึ้น ทำให้บรรยากาศของนักศึกษาใหม่ชั้นปีที่ 1 เต็มไปด้วยความกดดัน อาจารย์เร่งสอนเนื้อหาให้ทันก่อนสอบ ขณะที่นักศึกษาทุกคนต่างต้องเร่งอ่านหนังสือและทบทวนบทเรียนอย่างเคร่งเครียด ไม่เว้นแม้แต่กลุ่มของกนกเองที่ตอนนี้กำลังปรึกษากันว่าหลังจากทานอาหารกลางวันเสร็จแล้วพวกเขาจะไปอ่านหนังสือกันที่ไหนต่อ“หลังจากนี้คงต้องติวให้เยอะกว่าเดิม” กนกพูดขึ้นขณะที่พราวและมิวกำลังกดโทรศัทพ์เปิดดูแหล่งบันเทิงเพื่อผ่อนคลายจากความเคร่งเครียดที่เพิ่งผ่านกันมา“ก็คงงั้นแหละ เพราะบางคาบแกก็หลับในห้องไง กนก” พราวอมยิ้มและดูสนุกที่ได้แซวเพื่อนตัวเล็ก“ทำเป็นพูดนะพราว เหมือนแกไม่เคยหลับ”“ถึงชั้นจะหลับ แต่ก็ไม่ได้หลับเกือบทุกคาบเหมือนแก” ก่อนที่เพื่อนทั้งสองจะเถียงกันจะเกิดเสียงดังและอาจจะมีการโกรธเคืองเกิดขึ้น“ทั้งสองหยุดเลย เลิกทะเลาะกันได้แล้ว” มิวแทรกเข้ามาด้วยเสียงหนักแน่น“หลังจากกินข้าววันนี้ เราจะไปหาหนังสือที่ห้องสมุด ใครจะไปบ้าง?”“เราไป&rdquo
วันนี้ชั่วโมงเรียนของกนกลากยาวมาถึง 5 โมงเย็น ความเหนื่อยล้าตั้งแต่เช้าส่งผลให้ช่วงเย็น ขณะที่กำลังรออาหารตามสั่งจากร้านป้านิด เขาก็เผลอพิงศีรษะกับแขนตัวเอง ดวงตาปรือคล้ายจะหลับสนิท ท่ามกลางเสียงพูดคุยของเพื่อน ๆ ที่ยังดังอยู่รอบตัว“กนก ตื่นก่อน!” พราวเรียกด้วยเสียงดัง“ใช่ๆ กินข้าวก่อน นี่กระเพาะกุ้งของชอบแกไง กินก่อนแล้วค่อยกลับไปนอน” มิวพูดพร้อมกับยื่นช้อนให้“อืมม...” กนกพยักหน้าเบาๆ แต่สายตาของเขาดูเหมือนจะปิดลงทุกที เขายิ้มบาง ๆ แต่ก็ยังไม่ยอมลืมตาขึ้นเต็มที่ ความเหนื่อยสะสมทำให้ร่างกายของเขาหนักอึ้ง จนเผลอคิดไปว่า... ถ้าตอนนี้ได้เอนตัวลงนอนที่ไหนสักที่ก็คงดี แต่ระหว่างที่กำลังจะหลับตาลงอีกครั้ง “ป้าได้ยังคะ? เพื่อนหนูจะหลับตาโต๊ะแล้วค่าา” พราวหันไปเรียกป้านิด เจ้าของร้านอาหาร“ฮ่ะๆ วันนี้เรียนหนักกันหรอคะ? เพิ่งวันจันทร์กันเอง” ป้านิดถามด้วยน้ำเสียงอบอุ่น“วันนี้ไม่หนักเท่าไรค่ะป้านิด แต่กนกมันเพิ่งกลับบ้านมา ตื่นตั้งแต่ตี 4 วันนี้เรียนตั้งแต่เช้าลากถึงเย็นคงจะง่วงเต็มที่” “น้องกนกรีบทานจะได้รีบไปพักนะคะ” ป้านิดพูดพร้อมกับยิ้มให้“ขอบคุณครับป้านิด ผมจะรีบกิน...จะได้รีบไปนอน
ถึงแม้ว่ารู้สึกยังพักผ่อนไม่เต็มที่ แต่ด้วยภารกิจในการเรียนทำให้กนกต้องเดินทางกลับมาที่หอตั้งแต่เช้ามืด ความเศร้าที่อยู่ภายในใจยังเกาะกิน ความผูกพันธ์ที่เขามีต่อหนังสือเล่มนั้นทำให้เขารู้สึกว่ามันอาจมีอะไรซ่อนอยู่ ซึ่งอาจจะเชื่อมโยงกับตัวเขาเอง ทำให้รู้สึกว่าวันนี้บรรยากาศรอบตัวมีแต่ความหมองหม่น ความเหม่อลอยตลอดเส้นทางการเดินไปมหาวิทยาลัยทำให้เขาเกือบจะโดนรถเฉี่ยวปิ๊ดดด!แต่ทันใดนั้น กลับมีใครบางคนดึงตัวเขากลับมาได้ทันเวลา หัวใจเขาตื่นระรัวด้วยความตกใจ และกำลังจะหันกลับไปขอบคุณคนใจดีคนนั้น แต่กลับไม่เห็นใครอยู่ตรงนั้นเลย มีเพียงสายลมที่พัดผ่านและเสียงใบไม้ที่สั่นไหว เหมือนกับว่ามีใครสักคนหายไปในอากาศ“ใครนะ...?” เขาพูดเบาๆ กับตัวเอง แต่ไม่มีใครตอบ มีเพียงเสียงลมพัดผ่านหูเบาๆ เหมือนเสียงกระซิบที่เขาคุ้นเคยถึงแม้จะยังคงสงสัย แต่พอดูนาฬิกาก็พบว่าใกล้จะถึงเวลาเข้าเรียนแล้ว เลยรีบกวดฝีเท้าให้เร็วขึ้นเพื่อจะเข้าเรียนให้ทัน เขาวิ่งกระหืดกระหอบมาทันเวลาพอดี มองหาเพื่อนสนิทก็เห็นพราวโบกมือทักทายให้มานั่งข้าง เมื่อถึงที่นั่งก็ฟุบลงกับโต๊ะ แสดงอาการเหนื่อยหอบ“เป็นไงกลับบ้านมา...สนุกไหม?” “น่
เพราะความรู้สึกบางอย่างที่ทำให้อยากกลับบ้าน จึงตัดสินใจว่ากลับบ้านไปตามหาอะไรบางอย่างน่าจะดีกว่า"อ้าว...ทำไมกลับ เดินทางตั้งหลายชั่วโมงนะ" ใช่...เพื่อนเขาพูดถูก พวกเราทั้งสามคนสอบติดมหาวิทยาลัยในกรุงเทพ แต่บ้านของพวกเราอยู่ชลบุรี ถึงจะนั่งรถตู้ไปถึงสถานีใช้เวลาประมาณสองชั่วโมงแต่จากสถานีก็ต้องนั่งรถสองแถวเข้าบ้านอีกตั้งสี่สิบนาที นานๆ ทีพวกเราถึงจะกลับบ้านกัน"อืม...มีธุระนิดหน่อยน่ะ" เขาไลน์บอกแม่ว่าจะกลับบ้านไปทำธุระ แม่ก็ไม่ได้ว่าอะไร"เป็นไงบ้าง เหนื่อยไหม มาถึงดึกเชียว" "เหนื่อยครับแม่ ดีที่วันนี้กนกเรียนแค่คาบเช้า ไม่งั้นดึกกว่านี้แน่เลย" "งั้นไปพักผ่อนแล้วลงมาทานข้าวเย็นด้วยกันนะ" "ไม่เป็นไรครับ ผมกินข้าวบ้านน้าแป้นมาแล้ว""อ่อ...เออ พูดถึงน้าแป้น" "หืมม...ทำไมหรอครับ" "เห็นแกบอกว่าลูกชายเขาก็ไปเรียนกรุงเทพนะ แต่ที่ไหนแม่ก็จำไม่ได้""หรอครับ แต่พี่...อ่าา จำไม่ได้แล้วอ่า" "อืมม... จำได้ว่าน่าจะเป็นรุ่นพี่เรานะ" "อ่าา...ครับ" กนกพยักหน้า"กนกขึ้นไปพักก่อนนะ""รีบพักนะลูก" กนกรีบขึ้นไปพักบนห้องของตัวเอง บ้านของเขาไม่ได้ใหญ่โตมากนัก แม้ว่าพ่อกับแม่จะรักการอ่านหนังสือมากแ