ไม่คาดคิดว่าแม่หญิงคู่หมั้นคู่หมายจะมีนิสัยแปลกไป แตกต่างจากผู้หญิงทุกคนในยุคนี้ราวกับเธอเป็นคนอื่นที่เขาไม่รู้จัก ไม่หนำซ้ำยังกอดแขนกอดคอเรียกเขาว่าเพื่อนและสาวได้หน้าตาเฉยทั้งที่เธออายุน้อยกว่าเขาหลายขวบปี ตอนแรกยังว่าเขาแก่อยู่เลยอยู่ๆก็มาเป็นเพื่อนเสียอย่างนั้น
“หึ....” ออกพระรามแอบมองพริกแกงที่กำลังทำท่าทางประหลาดอยู่แถวๆท่าน้ำหลังจากที่เจรจาต่อรองกันเสร็จเรียบร้อยในเรื่องที่เขาไม่เข้าใจภาษาแต่ก็พอเข้าใจความหมายที่เธอต้องการจะสื่อถึง ในสายตาของพริกแกงตอนนี้เขาเป็นพวกบันเดาะนอกรีตที่ครอบครัวไม่ยอมรับและปกปิดตัวเองไว้ แถมเจ้าหล่อนยังยอมรับได้ช่วยแต่งงานปกปิด
“นี่มันเรื่องวิปริตกระไรกันหนอ” พูดไปมองท่าทางของหญิงสาวไปและยิ้มออกมา
“มองดูอะไรรึพ่อราม” ผู้เป็นแม่เดินเข้ามาหาลูกชายตัวเองทำเอาเจ้าตัวสะดุ้งโหยงรีบหันกลับไปทางต้นเสียงทันทีพร้อมกับเอาตัวเองบังหน้าต่างไว้
“ดึกดื่นป่านนี้เจ้าคุณแม่ออกมาพบลูกด้วยเรื่องอันใดกันขอรับ?”
“เรื่องแม่พริก”
“ทำไมรึขอรับ?”
“บ่าวไพร่ลือกันให้ทั่วว่าแม่พริกโดนพิษจนวิปลาส แม่เห็นเป็นจริงดังบ่าวไพร่ว่า”
“งั้นรือขอรับ...” ตอบเพียงแค่นั้นเพราะคิดว่าจริงอย่างที่คนอื่นว่า
จากการพูดจาท่าทางกริยาต่างๆมันแตกต่างออกไป แต่ก็ใช่ว่าจะไม่เคยได้ยินเรื่องกริยามารยาทของแม่หญิงพริกแกงที่เมืองละโว้จากที่สืบเสาะมา ถึงอย่างนั้นมันก็แปลกไปจากที่ได้ยินมาเสียหน่อย เรื่องที่เคยได้ยินว่าชอบชม้อยชม้ายชายตายั่วยวนชายทุกผู้ไม่สงวนท่าทีทุกตัวคนนั่นยังไม่ทันได้เห็นเป็นจริงดังเขาเล่าอ้างกันมา
“ไตร่ตรองแล้วก็สงสารนางหนาพ่อราม”
“..ขอรับ..”
“หากนางมิได้เดินทางมายังเรือนเราที่อยุธยาคงจักมิต้องประสบพบเจอเรื่อง”
“ลูกผิดเองขอรับเจ้าคุณแม่”
“แม่มิได้หมายว่าอย่างนั้น...แม่รู้สาแก่ใจดีว่าพ่อรามมีใจให้แม่เดือนแรม”
“ขอรับ?...เอ่อ..”
“แต่ถึงกระนั้นแม่พริกก็เป็นคู่หมายของพ่อรามนะลูก แม่อยากให้พ่อไตร่ตรองดูเสียหน่อย”
“......”
“หักใจจากแม่เดือนแรมเสีย จักมิได้เสียสัตย์ที่เจ้าคุณพ่อให้กับเพื่อนไว้และเรื่องจักมิได้บานปลายเกินกว่าจักแก้ได้”
“ลูกยังพอมีเวลาขอรับ...ขอลูกทำงานราชนี้สำเร็จก่อนลูกจักให้คำตอบขอรับ”
เมื่อคุณหญิงซ่อนกลิ่นได้ยินอย่างนั้นก็ยิ้มออกมาอย่างพอใจ ก่อนจะเข้าไปจับแขนแกร่งของลูกชายแล้วพยักหน้ารับที่อย่างน้อยลูกชายของตนก็ยังฟังตนและที่เขาจะลองคิดเรื่องของพริกแกงอยู่บ้าง
“ดึกมากแล้วขอรับ เจ้าคุณแม่เข้าเรือนเถิด...ประเดี๋ยวจักป่วยเพราะน้ำค้างเอาได้” พูดพร้อมประคองผู้เป็นแม่เดินไปยังหน้าห้องก่อนจะรอส่งจนคุณหญิงซ่อนกลิ่นเข้าห้องปิดประตูไป จะเหลือก็แต่คู่หมั้นคู่หมายของเขานั่นแหละที่ยังไม่ยอมขึ้นเรือนเสียที
ออกพระรามจึงเดินลงไปอีกครั้งก็เห็นพริกแกงกำลังโยกย้ายส่ายเอวหัวเราะคิกคักกับบ่าวของตน เขาจึงชะงักแล้วรีบหันหลังให้เธอทันทีด้วยความเขินอายกับท่าทางที่ดูยั่วยวนนั้นของเธอ
“อะฮึ่ม! ดึกมากแล้วหนาออเจ้า ทำท่าทีประหลาดยั่วยวนผีสางอยู่รือ มิอายฟ้าอายดินอายข้าบ้างเลยรือ?”
“อ้าว จะอายทำไมในเมื่อคุณออกพระไม่ได้มีความรู้สึกกับเรือนร่างผู้หญิง ‘สวย’ อย่างข้านี่เจ้าคะ”
“แม่หญิงอย่าเอ็ดไปเจ้าค่ะ! ประเดี๋ยวผู้ใดจะมาได้ยินเข้ามันจักเสียท่านออกพระ” บ่าวทั้งสามพูดห้ามปรามพร้อมกัน
“ถึงกระนั้น...”
“ต่อให้ข้า...” พูดแทรกขึ้นพร้อมกับเดินไปใกล้ร่างกำยำกรีดกรายปลายนิ้วที่ไหล่แกร่งเดินนวยนาดสะบัดบั้นท้ายไปตรงหน้าเขาก่อนจะไล่ปลายนิ้วลงมายังอกกำยำนั้นและเลื่อนลงมาเรื่อยๆพร้อมกับสายตาหวานหยาดเยิ้ม
“จะยั่วๆบดๆคุณออกพระแค่ไหนก็ไม่เห็นเป็น...” พูดแล้วก็ส่ายเอวไปมายั่วยวนคนตรงหน้า
หมับ!!
มือหนาคว้าข้อมืออวบของเธอไว้แน่นทั้งที่เธอยังพูดไม่จบ สายตาดูดุดันจ้องมองหญิงสาวตรงหน้าพร้อมขมวดคิ้วมุ่นก่อนจะเบือนหน้าไปทางอื่นด้วยความอายแต่เก็บอาการ...และพยายามข่มใจชายแท้ที่ซ่อนอยู่เอาไว้
“จริงดังออเจ้าว่า แต่...” หันกลับมาเลื่อนใบหน้าเข้าไปใกล้จ้องมองเข้าไปในดวงตานั้น คราวนี้คนที่เอี้ยวเอนตัวหลบเห็นทีจะเป็นเธอไปเสียแล้ว พริกแกงจ้องมองเขานิ่งสายตาอดใจสำรวจใบหน้าหล่อคมหวานนั้นไม่ได้ราวกับโดนมนต์สะกด..
“มิเห็นควรที่ออเจ้าจักมายั่วยวนข้าเช่นนี้...”
“เอ่อ....”
“เพราะถึงอย่างไรร่างกายข้าก็เป็นชาย พวกบันเฑาะก์พึงใจชายก็หาต้านอารมณ์ที่ถูกยั่วยวนได้ไม่ มิว่าหญิงรือชาย”
“......” พริกแกงถึงกับเงียบจ้องมองเขาค้าง ที่ค้างเพราะเธอไม่เข้าใจคำว่าบันเฑาะก์มันคือตัวอะไร ถึงได้นิ่งและต่อล้อต่อเถียงเขาไม่ได้ ออกพระรามรูปงามยกยิ้มขึ้นก่อนจะยอมปล่อยมือเธอ
“กลัวรึ? ข้าเพียงแค่ล้อออเจ้าเล่นอย่าได้กลัวไป”
“โธ่! เจเจ๊!”
“เจเจ๊? มันคืออันใด? มันมีชีวิตรือไม่?”
“เจเจ๊ หมายถึงพี่สาว ข้าจะใช้เรียกผู้ชายที่มีใจเป็นหญิงหรือรักกับผู้ชายด้วยกันที่อายุมากกว่าว่าเจเจ๊"
“ออเจ้าหมายความกระไร ข้ามิเห็นจักรู้ความ”
“ชายที่มีใจรักชายเจ้าค่ะ ชายที่ไม่สนใจเรือนร่างผู้หญิง”
“กระนั้นรึ” พยักหน้าเข้าใจแม้คิ้วยังคงขมวดแน่นด้วยความงุนงง
...เจเจ๊ก็เจเจ๊ว่ะ อ้ายรามเอ๋ย! มันคือตัวกระไรก็ช่าง....
ออกพระรามได้แต่คิดในใจยอมไปก่อนเดี๋ยวไม่อย่างนั้นจะเสียการใหญ่ ยังไม่รู้เลยว่าออกหลวงคนไหนเป็นผู้ที่อยู่เบื้องหลังเรื่องพวกนี้ ถ้าความรั่วไหลว่าเขาไม่ใช่พวกบันเฑาะก์จะเข้าไปในโรงน้ำชานนั้นไม่ได้แล้วจะสืบไม่ได้เรื่อง ยังไงช่วงนี้เขาก็ต้องไปไหนมาไหนกับจหมื่นสุนทรเป็นหลักอยู่แล้วเพื่อให้เห็นว่าสนิทสนมกันมากเพียงใด แม้จะไม่อาจโจ่งแจ้งได้แต่พวกบันเฑาะก์ด้วยกันจักมองออก
“ว่าแต่...บัน..เฑาะก์ คืออะไรหรือเจ้าคะ?”
“ถามอ้ายอีพวกนี้เอาเองเถิด ข้ากระดากที่จักตอบ” พูดจบก็เดินขั้นเรือนไป...
“อ้าว นึกจะมาก็มานึกจะไปก็ไป อะไรของเจเจ๊วะ?” พริกแกงเกาหัวมองตามหลังออกพระรามไป ก่อนจะหันไปหาบ่าวทั้งสามที่นั่งหลบสายตาเธออยู่
“บันเฑาะก์คืออะไร?” นั่งลงหยองถามบ่าวคนสนิททั้งสามอย่างไม่ถือตัว บ่าวทั้งสามกระอึกกระอักที่จะตอบก่อนที่สาลี่จะเป็นคนพูดออกมาเพราะสายตาคาดคั้นของหญิงผู้เป็นเจ้านาย
“บันเฑาะก์คือ...เอ่อ...ชายผู้มีกามราคะมากเจ้าค่ะ”
“ฮะ?...แล้ว?”
“ชายผู้มีกามราคะมากล่อลวงชายด้วยกันประพฤตินอกรีต...” จันเอ่ยเสริม
“อ๋อ...อย่างนี้นี่เอง”
“แต่มิเป็นที่ยอมรับได้เจ้าค่ะ จักพูดบันเฑาะก์ไปทั่วมิได้ จักหมายว่าด่าทอชายผู้นั้นด้วยเจ้าค่ะมิสมควร”สาลี่เอ่ยต่อ
“ให้ผู้ใดรู้ก็มิได้เจ้าค่ะ เสียชื่อถือว่าอัปมงคลจักพาลทำให้คนในเรือนเสียตำแหน่ง โทษหนักถึงตายเจ้าค่ะ” แจ่มพูดขึ้นด้วยท่าทีหวาดหวั่น เพราะอย่างนี้พวกบ่าวถึงได้หันหลังทำเป็นไม่รู้ไม่เห็น เพราะยังไงออกพระรามก็เป็นผู้มีพระคุณของบ่าวและทาสที่เลี้ยงข้าวเลี้ยงน้ำไถ่ชีวิตมาให้ทำงานในบ้านไม่ต้องไปขายแรงงานเป็นทาสชาติอื่น..
“น่าสงสารจัง...ไม่เห็นเหมือนอีกสามร้อยกว่าปีข้างหน้าเลย...แล้วอย่างนี้จะรักกันได้ยังไงล่ะ” พูดไปพร้อมกับทำหน้าสลดนึกสงสารออกพระที่เธอเรียกว่าเจเจ๊ขึ้นมาทันที ตำแหน่งก็ใหญ่โตแต่ต้องมาแอบรักกับชายที่รักแบบหลบๆซ่อนๆ มิน่าละถึงได้ประวิงเวลาไม่แต่งงานสักที
“ไปอาบน้ำอาบท่าแล้วขึ้นเรือนเถิดเจ้าค่ะแม่หญิง” จันพูดขึ้นด้วยท่าทีเป็นห่วง
“ประเดี๋ยวดึกดื่นมากกว่านี้แล้วจักป่วยไข้เอาได้เจ้าค่ะ” แจ่มเอ่ยต่อ
พริกแกงพยักหน้าก่อนจะเดินนำพวกบ่าวทั้งสามไปที่ห้องหรือที่พวกคุณๆเขาเรียกว่าเรือนหอนอน เพื่อที่จะเตรียมตัวไปอาบน้ำอาบท่าหลังจากออกกำลังกายจนเหงื่อท่วมตัว แม้จะหิวแต่เธอก็มีความอดทนมากพอที่จะไม่กินมื้อดึก การเปลี่ยนแปลงไปทั้งลักษณะนิสัยการกินและนิสัยอื่นๆของแม่หญิง ทำให้พวกบ่าวที่ตามรับใช้ค่อนข้างที่จะเป็นห่วงไม่น้อย จะว่าดีก็ดีจะว่าไม่ดีก็ตรงที่พูดจาไม่ค่อยรู้เรื่องไม่เหมือนชาวบ้านชาวเมืองนี่แหละนี่น่าเป็นห่วง
“ฮัดชิ้ว!!”
หลังจากที่จัดการอาบน้ำเสร็จท่ามกลางอากาศที่เย็นลงในยามค่ำคืนดึกดื่น พริกแกงก็ได้แต่กอดตัวเองกับผ้าคลุมไหล่ผืนบางแล้วรีบวิ่งเข้าห้องก่อนพวกบ่าวเสียอีก เล่นเอาบ่าวทั้งสามวิ่งตามแทบไม่ทัน
...สมัยก่อนทำไมหนาวขนาดนี้วะ ไม่ใช่ว่ามีฤดูร้อน ร้อนมาก ร้อนโคตรๆเหมือนสมัยเราเหรอเนี่ย...
เมื่อลองคิดเปรียบเทียบกันแล้ว ในโลกปัจจุบันหน้าหนาวมาเยือนแค่สองสามวันเท่านั้นนอกนั้นร้อนจนแทบอยู่ไม่ได้ แต่ยุคสมัยโบราณนั้นไม่ว่าฤดูไหนอากาศตอนกลางคืนจะเย็น อาจจะเป็นเพราะว่าต้นไม้ใบหน้าเยอะกว่าปัจจุบัน ไม่ว่าเจ้าขุนมูลนายตำแหน่งไหน ต่างก็มีที่นาไว้ปลูกข้าว พืชผักซะส่วนใหญ่ รอบบ้านจะมีแต่ดอกไม้ใบหญ้านาข้าวนาบัว
“ปกติพวกพี่นอนที่ไหน?”
“พวกบ่าวจักนอนอยู่หน้าเรือนแม่หญิงเจ้าค่ะ เกิดเหตุกระไรขึ้นแม่หญิงเรียกบ่าวได้ตลอดเลยเจ้าค่ะ” สาลี่ตอบ
“จะเกิดเหตุอะไรล่ะ บ้านนี้ก็เป็นถึงบ้านท่านออกญาไม่ใช่เหรอ? ใครมันจะกล้าเข้ามาเอาชีวิตตัวเองมาทิ้งล่ะ”
“จริงดังแม่หญิงว่าเจ้าค่ะ แต่ถึงกระนั้นก็ยังมีโจรเก่งกล้าอยู่มิน้อยเลย” จันพูดขึ้นเสียงแผ่วราวกับกลัวใครที่ไหนจะมาได้ยิน พริกแกงก็ได้แต่พยักหน้ารอให้พวกบ่าวแต่งตัวให้แล้วเสร็จก็ลุกพรวดขึ้นเปิดประตูห้องเดินออกไปทันที
“แม่หญิง! แม่หญิงจักไปที่ใดรือเจ้าคะ?!” แจ่มทักท้วงขึ้นอย่างหน้าตาตื่น
“ข้าว่าจะไปคุยกับคุณออกพระหน่อย”
“มิได้เจ้าค่ะ มิงาม...เป็นหญิงเป็นนางจักไปเคาะห้องชายได้อย่างไร” สาลี่พูดขึ้นหน้าตาตื่นรีบลุกเดินไปนั่งขวางทางข้างหน้าแม่หญิงของตนทันทีด้วยสีหน้าจะร้องไห้ ก่อนที่บ่าวอีกสองคนจะเดินมาขวางทางด้วยอีกแรง
พริกแกงเริ่มเล่าที่มาของเธอว่าเธอนั้นมาจากอนาคตอีกสี่ร้อยปีข้างหน้า เพื่อมาแก้ไขไม่ให้ตัวเองอายุสั้นและการผลัดเปลี่ยนแผ่นดินนั้นมันเป็นเรื่องที่ต้องเป็นไปฝืนไม่ได้ ไม่อย่างนั้นจะมีผลต่ออนาคต ทุกคนนั่งฟังอย่างตั้งใจด้วยสีหน้าเหลือเชื่อแต่ก็ต้องเชื่อ เนื่องจากเธอไม่เหมือนคนอื่นๆ หลายอย่างจากที่ผ่านมา“ต่อไปกาลข้างหน้า จักมีผู้เก่งกาจกอบกู้เมืองสยามแล้วไปตั้งเมืองหลวงที่อื่นรือ?” พริกแกงพยักหน้าให้กับคำถามของจหมื่นพันแสง“นานรือไม่ กว่าจักกอบกู้เมืองได้?” พระยารามเอ่ยขึ้นด้วยความอยากรู้“เจ็ด...” พริกแกงนำหน้าครุ่นคิด“เจ็ดปีเทียวรือ” ทุกคนพูดขึ้นพร้อมกัน พริกแกงส่ายหน้าไปมาก่อนจะยิ้มออกมาเมื่อนึกขึ้นได้ จากที่เธอเคยอ่านมา“เจ็ดเดือนเจ้าค่ะ”“เก่งประมาณนั้นเทียวรือ”“เก่งมากเลยล่ะเจ้าค่ะ...ไม่อย่างนั้นไทยก็คงไม่เป็นไทจนชั่วลูกชั่วหลาน” เมื่อได้ฟังอย่างนั้นทุกคนก็ยิ้มขึ้นมาอย่างพอใจ ความรักชาติบ้านเมืองของชาวกรุงเก่านั้นเข้มขลังจนเธอรู้สึกขนลุกอีกครั้ง
“แม่พริก...เป็นกระไรไปรือ? ตั้งแต่พี่กลับมาออเจ้าก็มิร่าเริงเลยหนา” พระยารามเอ่ยถามพริกแกงหลังจากที่เขาเปลี่ยนผลัดผ้าเรียบร้อย เพราะเธอไม่เข้าไปใกล้เขาเลยตอนแต่งชุดนักรบ พริกแกงหันมองหน้าเขาด้วยใบหน้าที่ดูหวาดกลัว“คุณพี่...จำที่เคยสัญญากับข้าได้ไหมเจ้าคะ?” พริกแกงเอ่ยถามขึ้นด้วยสีหน้าที่ดูเป็นกังวล พระยารามยิ้มอย่างอ่อนโยนก่อนจะเอื้อมมือไปลูบศีรษะเธออย่างเอ็นดู“พี่จำได้แม่น...พี่มิได้มีเมียเล็กเมียน้อยดอกหนา ไปถึงสุโขทัยมิได้เข้าหอชำเรา มิได้แตะเนื้อต้องตัวหญิงใด”“ไม่ใช่เรื่องนั้นเจ้าค่ะ”“ออ...มิว่าจะเกิดกระไรขึ้น...” เขาเงียบไปครู่หนึ่งหลุบสายตามองพริกแกงที่รอฟังอย่างคาดหวัง พระยารามจึงดึงเธอเข้ามากอดปลอบโยนเธอแล้วเอ่ยขึ้น“พี่ก็จักมิมีวันฟันคอออเจ้าผู้ที่เป็นเมียพี่” เขาพูดขึ้น ตอนนี้เขารับรู้แล้วว่าทำไมเธอถึงนิ่งอึ้งค้างท่าทางเหมือนกลัวขนาดนั้นเมื่อตอนเห็นเขากลับมาพร้อมเครื่องราชย์เหล่านั้น“แล้วทำไมถึงเอาของพวกนั้นมาไว้ที่เรือนตัวเองล่ะเจ้าคะ? ไม่ใช่ว่าต้อง
อดทนมาหลายวัน แอบเมียงมองว่าที่ภริยาของตนเตรียมตัวเป็นแม่บ้านแม่เรือนอย่างห่วงๆ แต่กลับทำให้เขาประหลาดใจไม่น้อยเมื่อเธอกลับเป็นแม่บ้านแม่เรือนกว่าที่เขาคิดไว้มากนัก ก่อนจะถึงวันแต่งงานเขาก็ได้ทำตามที่ใจของพริกแกงที่ได้ตั้งใจไว้เรื่องรับบ่าวเมื่อเข้าวังไปรับงานราชก็ทูลขอขุนหลวงเรื่องบ่าวของออกหลวงมโนสรที่ถูกชำเราให้ละเว้นโทษ และรับมาเลี้ยงดูเป็นบ่าวในเรือนของตน ขุนหลวงเห็นว่าออกพระรามมีผลงานดีงามและใกล้จะแต่งงานจึงได้ยอมยกบ่าวของออกหลวงให้ตามที่ทูลขอ อ้ายผาและพวกพ้องจึงเข้ามาทำงานในเรือนของออกพระรามและรับใช้อย่างซื่อสัตย์วันแต่งงานก็ผ่านไปได้ด้วยดี แม้พริกแกงจะทำตัวแก่นแก้วเต้นกลางงานแต่ก็พาคนอื่นๆ สนุกสนานไปด้วย เมื่อแต่งงานแล้วออกพระรามและพริกแกงก็ต้องหาที่ปลูกเรือนแยก ในบริเวณที่ดินใกล้เรือนพ่อแม่ของออกพระรามนั่นแหละ ไม่ได้ไกลกันนัก..ส่วนเรื่องของแม่เดือนแรมเห็นทีจะยอมพ่ายแพ้ไปเสียแล้ว เนื่องจากจหมื่นพันแสงนั้นเคยขัดห้ามอย่างเด็ดขาด ไม่อย่างนั้นจะฟ้องพ่อกับแม่ก็เลยทำให้แม่เดือนแรมยอมรามือไปเสีย ทุกอย่างคลี่คลายราบรื่น..แต่เพื่อนพ้องของออกพระรามคิดเห็นว่าออก
“ทะ...ทำไมต้องเขินด้วยเล่า...อย่างนี้คนอื่นก็เขินด้วยน่ะสิ” พริกแกงพูดแก้เขิน เมื่อเห็นเขาเขินเธอก็เขินตามไปด้วย ออกพระรามกระแอมเบาๆ ก่อนจะพูดขึ้นเสียงเบา“พี่มิเคย...เอ่ยคำนี้กับผู้ใด” พูดไปพลางเบือนหน้าหนี พริกแกงเองก็เบือนหน้ากลับมานั่งมองนิ้วตัวเองเล่นอย่างทำตัวไม่ถูก...ตอนได้กันครั้งแรกยังไม่เห็นเขินอะไรขนาดนี้เลยด้วยซ้ำไม่ทันได้เขินนานนักก็รู้สึกถึงมือหนาที่เลื่อนลูบปลายเส้นผมของเธอเบาๆ พริกแกงหันไปมองหน้าคนที่เปลี่ยนอารมณ์ไวเหมือนกิ้งก่า คิดจะหันไปจิกกัดเขาแต่ก็ต้องเงียบลงเมื่อเห็นใบหน้าของเขาที่กำลังยิ้มบางๆ พร้อมกับก้มลงดอมดมปลายเส้นผมของเธอที่เขาจับอยู่ ใบหน้าของเธอร้อนผ่าวขึ้นมาเสียอย่างนั้นท่าทางนั่งชันเข่าขึ้นข้างหนึ่งมีแขนแกร่งพาดเข่าที่ชันขึ้น มืออีกข้างจับเล่นเส้นผมของเธอดอมดมมันด้วยใบหน้าที่ดูพึงพอใจนั้น ปฏิเสธไม่ได้ว่าเขาดูมีเสน่ห์จนเธอละสายตาไม่ได้ ท่อนบนเปลือยเปล่ามีเพียงผ้าโสร่งมัดพันรอบเอวยิ่งทำให้เขาดูมีเสน่ห์..รับกับใบหน้าหล่อคมหวานของเขาพอดิบพอดี เผลอจ้องจนเจ้าของร่างรู้ตัว“จดจ้องเรือนกายพี่เช่นนี้
พอถึงช่วงเย็นก็ไปกินข้าวพร้อมหน้าเหมือนเช่นทุกวัน เพียงแต่วันนี้บรรยากาศมันจะเงียบเหงาไปเสียหน่อย ไม่กล้ามีใครเอ่ยพูดอะไรขึ้นต่างคนต่างก้มหน้าก้มตากินอาหารตรงหน้าจนแล้วเสร็จ ก็แยกย้ายกันไปอาบน้ำอาบท่าเข้าหอนอนของตัวเองพริกแกงนั่งหวีสางผมเผ้าอยู่หน้ากระจก จ้องมองในกระจกนั้นอย่างเหม่อลอยเพราะในหัวคาวมคิดรู้สึกผิดที่ไม่ได้บอกผุ้อาวุโสทั้งสองว่าที่จริงแล้วเธอไม่ได้อยากล้มเลิกงานแต่ง สีหน้าของทั้งสองท่านเมื่อตอนเย็นบนโต๊ะกินข้าวนั้นทำให้เธอนั่งถอนหายใจอยู่พักใหญ่ สาลี่และจันมองหน้ากันไปมาก่อนหันไปมองแม่หญิงของตนอย่างนึกห่วง“มีเรื่องกระไรมิสบายใจรือเจ้าคะแม่หญิง” สาลี่เอ่ยถาม“ข้าว่าคุณลุงคุณป้าเข้าใจผิดไปกันใหญ่แล้ว ดูสีหน้าท่านเมื่อตอนเย็นสิพี่” พูดแล้วก็หันไปทำหน้างอแงใส่บ่าวทั้งสองคน สาลี่และจันเอื้อมมือไปจับกุมมือเล็กของผู้เป็นเจ้านายอย่างเอ็นดู“โธ่...แม่หญิงของบ่าว มิต้องคิดมากไปดอกเจ้าค่ะ ประเดี๋ยวเรื่องมันก็ซา” จันเอ่ยปลอบ“นั่นสิเจ้าคะ...ต่อให้แม่หญิงมิพูด แต่พอถึงวันงานมันก็จักดีขึ้นเจ้าค่ะ” สา
ออกพระรามเห็นอย่างนั้นก็อดยิ้มกริ่มออกมาไม่ได้ เดินตามแม่หญิงขึ้นโบสถ์ไป ทั้งสองต่างนั่งแอบลอบมองกันไปมาอย่างยิ้มๆ พริกแกงเองก็พยายามหลบเลี่ยงสายตาของเขาอยู่เนืองๆ การกระทำของชายหญิงทั้งคู่ประจักษ์แก่สายตาของคุณหญิงซ่อนกลิ่นผู้เป็นแม่ที่นั่งอยู่เบื้องหน้าลูกชาย หันไปเห็นถึงความเปลี่ยนแปลงไปกับกิริยาท่าทางของลูกชายและพริกแกงเมื่องานเสร็จสรรพเรียบร้อยดี เหล่าขุนนางและคนอื่นๆ ก็ต่างพากันร่ำลากลับเรือนไปเสีย มาตั้งแต่เช้าจะกลับก็บ่ายแล้ว เรือขุนนางหลายลำแล่นแยกย้ายกันออกไป ออกญาผู้เป็นพ่อและคุณหญิงซ่อนกลิ่น รวมถึงพริกแกง ออกพระรามและบ่าวไพร่คนสนิทนั่งเรือลำเดียวกันเป็นเรือใหญ่ ส่วนบ่าวไพร่คนอื่นๆ ก็นั่งลำอื่นพายตามกันมาติดๆ คุณหญิงมองลูกชายตนที่นั่งแนบชิดติดกายแม่หญิงคู่หมั้นจ้องมองเธอไม่วางตาก็อดกระแอมขึ้นขัดไม่ได้“อะแฮ่ม...พ่อราม ใกล้จักถึงวันงานแต่งของลูกแล้วหนา”“ขอรับเจ้าคุณแม่” พูดตอบรับผู้เป็นแม่พลางจ้องมองหญิงสาวข้างกายด้วยรอยยิ้ม พริกแกงก็หลบเลี่ยงสายตามองไปทางอื่นไม่ให้ตัวเองเขินไปมากกว่านี้“แม่ใคร่ให้ลูก...อดใจห่างม