“ทำไมจะไม่ได้ล่ะ เจเจ๊เป็นเพื่อนสาวไม่เป็นไรหรอก อีกอย่างข้าไม่คิดว่าคุณออกพระเป็นชายเลยสักนิด”
ว่าจบก็เดินเบี่ยงบ่าวทั้งสามไปแต่บ่าวทั้งสามก็รีบวิ่งไปดักหน้าจับเท้าเธอก้มหัวลงแทบจะชิดติดเท้าแล้วพูดด้วยเสียงสั่นเครือทำเอาเธอตกใจไม่น้อย
“หากแม่หญิงไป พวกบ่าวหลังลายเป็นแน่เจ้าค่ะ” แจ่มพูด
“ไม่มีใครกล้าตีพวกพี่หรอกเชื่อข้า! ข้าจะปกป้องพวกพี่เอง” พูดพร้อมกับตบบ่าบ่าวทั้งสามก่อนจะรีบเดินไปยังห้องหอนอนตรงข้าม พวกบ่าวเห็นอย่างนั้นก็จำยอมต้องตามแม่หญิงของตนพร้อมกับมอบลงก้มหัวตัวสั่นอยู่หน้าห้อง
ก๊อกๆ...
“เจเจ๊ หลับหรือยังเจ้าคะ?” เคาะไปพลางเรียกไปแต่เสียงยังคงเงียบกริบ เธอเงี่ยหูแนบประตูไม้หวังจะฟังเสียงด้านใน แอบคิดว่าออกพระอาจจะนัดชายใดมาที่ห้องก็ได้ แค่คิดก็ตื่นเต้นแล้วเธออยากรู้ว่าชาวLGBTQ+สมัยอยุธยาจะหาทางพลอดรักกันอย่างไร
ก๊อกๆ... “เจเจ๊..หลับหรือ...ว๊าย!!” ไม่ทันตั้งตัวใบหน้าที่แนบกับประตูไม้สีเข้มก็ถลาเข้าไปชนกับอกแกร่งแข็งทันทีจนเธอร้องเสียงหลง เขาเองก็รีบรับตัวเธอไว้ด้วยสัญชาตญาณก่อนที่ทั้งสองจะมองหน้าที่ใกล้กันแค่คืบนิ่งค้างอย่างนั้น
“อะ...เอ่อ...” พริกแกงรีบดีดตัวออกจากอ้อมกอดแกร่งของเขาด้วยท่าทีขวยเขิน แอบคิดไปครู่หนึ่งว่าถ้าเขาไม่ใช่เพื่อนสาวหรือเจเจ๊เธอคงจะเผลอใจไปแล้ว ดีนะที่ไหวตัวทัน...
“มีกระไรอีกออเจ้า เคาะห้องชายดึกดื่นมิพึงกระทำอย่างยิ่ง” พูดเสียงดุใบหน้าของเขาเองก็ดุเธอด้วย พริกแกงกระแอมกับตัวเองเบาๆ ก่อนจะหันไปยิ้มแป้นแล้นให้เขาแทน
“ไม่เห็นเป็นไรนี่เจ้าคะ คุณออกพระไม่ใช่ชายสักหน่อย” พูดอย่างไม่รู้สำนึก
“ฮึ่ม...ถึงกระนั้นออเจ้าก็มิควร ใครมาเห็นเข้าจักดูไม่งาม”
“มีเรื่องจะถามเจ้าค่ะ”
“เรื่องกระไรอีก ทุกชั่วยามเลยหนา...มีเรื่องให้ข้าเวียนหัวมิหยุดหย่อน”
“เข้าไปคุยกันข้างในเถอะเจ้าค่ะ”
“ประเดี๋ยว!...” ร้องห้ามไม่ทัน เมื่อหญิงสาวไม่พูดเปล่าคว้าท่อนแขนแกร่งของเขาเดินเข้าห้อง ออกพระรามรีบดึงรั้งตัวเองไว้ทำให้เธอก้าวเข้าห้องของเขาได้เพียงก้าวเดียว
“อะไรอีกล่ะเจ้าคะ?”
“มิได้เด็ดขาด! ชายหญิงยังมิออกเรือนมิสมควรอยู่ในหอนอนสองต่อสอง!”
“ก็บอกแล้วว่าไม่เป็นไรไงเจ้าคะ ไม่มีอะไรเกิดขึ้นสักหน่อย”
“มิได้ก็คือมิได้! ออเจ้าฟังมิรู้ความรือ?! ผู้ใดรู้เข้าออเจ้าจักเสียหาย! แม่หญิงใดอยุธยามิเคยทำกริยาอย่างออเจ้า!!”
“โอ๊ย! ก็อย่าให้ใครรู้สิเจ้าคะ ดึกดื่นป่านนี้ใครจะตื่นมาสาระแนเรื่องคนอื่นกัน”
“แม่พริก!!” ออกพระรามแทบจะเลือดขึ้นหน้าที่หญิงสาวตรงหน้าเถียงคำไม่ถกฟาก ซ้ำยังไม่ฟังที่เขาเตือนเสียอีก..ไม่รู้ว่าทำไมถึงได้ดื้อด้านที่จะเข้าไปในห้องของเขากัน ออกพระรามหันไปมองบ่าวทั้งสามด้วยสายตาดุก่อนจะแผดเสียงขึ้นด้วยความโกรธ
“พวกเอ็งมิรู้จักยั้งแม่หญิงเลยรือ!! กูจักสั่งโบยเสียให้เข็ดหลาบ!!” ความโกรธของออกพระทำเอาพริกแกงถึงกับหน้าเหวอ เวลาเขาโกรธไม่เหมือนตัวแม่ตัวมัมในยุคสมัยเธอเลย กลับเหมือนผู้ชายดุดันแบบแมนทั้งแท่งมากกว่า
...ผู้ชายโบราณโหดกันทุกคนเลยเหรอวะ...ขนลุก...
“ฮือๆ...มิได้เจ้าค่ะ บ่าวผิดไปแล้ว พวกบ่าวห้ามแล้วเจ้าค่ะท่านออกพระ” สาลี่พูดพร้อมกับร้องไห้โฮออกมาอย่างหวาดกลัวตัวสั่นเทิ่ม ไม่ต่างจากจันและแจ่มที่ก้มหัวรวมชิดติดกันไม่กล้าเงยหน้า พริกแกงเห็นอย่างนั้นก็เดินเข้าไปใกล้ออกพระรามและมองหน้าเขาอย่างทึ่งๆ ก่อนจะมองบ่าวรับใช้ของตน
“ไม่เห็นต้องโหดขนาดนั้นเลยเจเจ๊! พวกพี่เขาไม่ได้ทำอะไรผิดสักหน่อย”
“พี่รึ? ออเจ้าเรียกนางพวกบ่าวว่าพี่รึ?”
“ก็ใช่น่ะสิ อายุมากกว่าข้าตั้งหลายปี”
“ข้าเองก็อายุอานามมากกว่าออเจ้าหลายกว่าปี เหตุใดจึงมิเคารพ!” พูดไปทั้งที่ยังมีอารมณ์โทสะอยู่กับความดื้อดึงของเธอ ไม่หนำซ้ำยังตีหน้าซื่ออึ้งทึ่งกับความโกรธของเขาอย่างกับไม่เคยพบเคยเห็นใครโกรธมาก่อน แต่ถึงอย่างนั้นเธอก็ไม่ยอมแพ้และถอยกลับห้องตัวเองไปเลยสักนิด
“ถ้าจะโกรธขนาดนั้นก็มาตีข้าเถอะ ข้าแค่อยากจะมาถามเพราะเป็นห่วงเฉยๆ”
“ห่วงข้ารือ?! ออเจ้าห่วงข้าเรื่องอันใดถึงได้กล้ามาเคาะหอนอนข้าเช่นนี้!” พูดไปพร้อมกับเดินเข้าหาเธอไปด้วยสีหน้าที่ไม่เชื่อกับสิ่งที่เธอพูดออกมา
“ก็...ก็...คือ...” พูดไม่ออกได้แต่เดินถอยหลังเข้าห้องไปและไม่กล้ามองหน้าเขาตรงๆ ได้แค่ลอบมองเป็นระยะเท่านั้น
“ออเจ้าเห็นว่าชายใดเป็นบันเดาะก็จักเข้าเหอนอนไปด้วยสองต่อสองได้มิเสียหายงั้นรือ?! ถูกเนื้อต้องตัวได้มิเป็นกระไร??!!”
“เอ่อ...ก็ไม่ถึงขนาดนั้น ก็แค่ไว้ใจมาก...ขึ้น...”
“ดี! ข้าจักทำให้ออเจ้านึกไตร่ตรองเสียใหม่”
ออกพระรามพูดแค่นั้นก็หันไปปิดประตูทันที ทำเอาบ่าวทั้งสามรีบกุลีกุจรเข้าไปเกาะประตูห้องอย่างหวาดหวั่น ทั้งเคาะทั้งร้องห่มมร้องไห้เรียกแม่หญิงของตน แต่ออกพระรามกลับไม่สนใจเสียงนั้นเลยสักนิด
“เจเจ๊...อย่าเล่นแบบนี้ น่ากลัวนะ” พูดทั้งที่ยังถอยหลังไม่หยุด จ้องมองคนตรงหน้าที่หน้าทะมึงทึงจริงจังกับสิ่งที่พูดจนเธอเริ่มหวั่นใจ
“จักกลัวไปไยเล่า ออเจ้าอยากรู้มิใช่รือว่าบันเดาะเป็นอย่างไรถึงได้ดื้อดึงจักเข้าหา!”
“ก็ใช่ แค่คุยกันเฉยๆก็ได้...ว๊าย!!” พูดจบเขาก็ต้อนเธอจนล้มไปกับเตียงตั่งของเขา ก่อนจะตามมาคร่อมร่างของเธอไว้จนเธอเกร็งตัวเอามือปิดทาบอกด้วยท่าทางหวาดกลัว
“คุยกันมันจักไปรู้ความได้อย่างไร? คนอย่างออเจ้าต้องปะกับตัวถึงจักรู้สำนึก”
ออกพระรามพูดทั้งที่ใบหน้าแทบจะชิดติดกันก่อนที่เขาจะแกล้งโน้มเข้าไปที่ซอกคออวบขาวนั้น พริกแกงเห็นอย่างนั้นก็เบือนหน้าหนีไปทางอื่นพร้อมกับหลับตาไว้แน่นก่อนจะพูดขึ้น
“ไหนว่าไม่สนใจผู้หญิงไง!”
“มิสน...หากเว้นแต่มาถึงในหอนอนเองเช่นนี้ก็อาจ....” พูดพร้อมกับแกล้งพ่นลมหายใจรดต้นคอ พริกแกงสะดุ้งโหยงรีบเอามือดันหน้าเขาออกแม้เขาจะขืนแรงไว้ไม่สมยอมก็ตาม
“พอแล้วๆ! เลิกแกล้งได้แล้ว!! เข้าใจแล้วจะไม่ทำแบบนี้อีกแล้ว!!” พริกแกงยังคงคิดว่าที่เขาทำเพราะต้องการสั่งสอนเธอ แต่สำหรับเขาตอนนี้นั้นเหมือนกับโดนปลุกให้ตื่นตัว ทั้งที่ตอนแรกก็แค่ตั้งใจจะสั่งสอนให้สำนึก...ออกพระรามข่มหักใจยอมลุกออกจากเธอหลังจากที่เห็นหญิงสาวใต้ร่างตัวสั่นเทา เขาหันหลังให้พริกแกงที่ยันตัวลุกพรวดขึ้น
“ออกไปได้แล้ว...วันรุ่งพรุ่งนี้มีเรื่องกระไรก็ค่อยเจรจากัน”
“อะ...อือ”
“ทีหน้าทีหลัง...อย่าคิดอุกอาจทำเช่นนี้ที่ไหนไม่ว่ากับผู้ใดก็ตาม”
“ค่ะ...เอ่อ...เจ้าค่ะ” แทบจะลืมคำพูดที่ต้องใช้ไปเสียหมดเพราะความตกใจทำให้ตอนนี้เธอยังมึนงงและเบลอไปหมด การสั่งสอนของเขามันน่ากลัวไปเสียหน่อยจนเธอเริ่มกลัว
“เมื่อครู่...ข้าขอโทษ เพียงต้องการสั่งสอนออเจ้าว่าแม่หญิงมิควรกระทำเช่นนี้เท่านั้น...อย่าได้กลัวข้าเลยหนา” พูดเพราะความสงสารและเห็นใจ พอได้สติก็รู้สึกผิดที่โกรธเธอและทำกับเธอแบบนี้ทั้งที่รู้อยู่แก่ใจว่าแม่หญิงในตอนนี้นั้นวิปลาสไปแล้วจากการที่ถูกพิษยาเพราะเขาหลีกเลี่ยงไม่ยอมไปรับเธอด้วยตัวเอง...
พริกแกงเปิดประตูพรวดพราดออกมา บ่าวทั้งสามที่เกาะประตูร้องห่มร้องไห้ถึงกับกลิ้งกระเด็นไปคนละทิศละทางอย่างงงๆ ก่อนที่จะหันไปเห็นแม่หญิงของตนที่เดินออกมาสูดลมหายใจเข้าลึก เอามือโบกพัดใบหน้าพยายามเรียกสติของตัวเอง การอยู่กับออกพระรามสองต่อสองไม่ดีต่อใจเธอเลยสักนิด ถึงจะรู้ว่าเขาเป็นชาวเกย์อยุธยาก็เถอะ...
“แม่หญิง! แม่หญิงเจ้าคะ!!” บ่าวทั้งสามเรียกเจ้านายของตนก่อนจะรีบวิ่งตามเธอที่เดินอย่างเร็วกลับไปยังห้องหอนอนของตัวเอง ออกพระรามเดินมามองตามหลังหญิงสาวคู่หมายจอมดื้อก่อนจะยกยิ้มแล้วส่ายหน้าไปมา ดูก็รู้ว่าเธอเขินเขา... เมื่อเห็นว่าพริกแกงปิดประตูเรียบร้อยก็หันมาปิดประตูตัวเองบ้างลอบถอนหายใจมองเรือนร่างตัวเองและเจ้ารามยักษ์ที่มันตื่นตัวขึ้น...
“เฮ้อ...” เอามือหนาลูบใบหน้าตัวเองทอดถอนหายใจอย่างหนักหน่วง การที่อยู่ใกล้เธอไม่ดีต่อใจเขาเช่นกัน ไม่หนำซ้ำหญิงสาวยังขยันถึงเนื้อถึงตัวด้วยใบหน้าแป้นแล้นมายั่วให้ตื่นแล้วจากไป
“สงสัยเรื่องที่สืบได้ความมา...จักเป็นจริง” เรื่องที่เธอมักจะยั่วยวนชายหนุ่มให้อยากแล้วจากไป การถึงเนื้อถึงตัวโดยไม่สนใจว่าใครจะมองอย่างไร กิริยาท่าทางที่ไม่สมเป็นแม่หญิงนั้นคงไม่ผิด ยิ่งคิดว่าจะต้องตกแต่งออกเรือนกับเธอที่มีชื่อเสียงแบบนี้ยิ่งปวดหัว เขาจะกำราบนิสัยนี้ของเธออย่างไรดี
ออกพระรามสะบัดความคิดก่อนจะเดินกลับไปลงนอนที่เตียง นึกถึงใบหน้าที่เขาได้มองใกล้ๆเมื่อครู่ก็อดยิ้มออกมาไม่ได้ ในหัวตอนนี้นึกถึงเธอท่าทางของเธอจนต้องเอามือก่ายหน้าผาก แม้จะแปลกแต่ก็น่าสนใจไม่น้อย...
ด้านพริกแกงเองก็ไม่ได้ตอบคำถามของบ่าวทั้งสามแต่อย่างใดว่าเกิดอะไรขึ้นบ้างในห้อง เธอเข้ามาถึงห้องก็ล้มตัวนอนเอาผ้าห่มผ้าแพรขึ้นมาปิดใบหน้า พยายามสะบัดความคิดที่กำลังนึกถึงใบหน้าหล่อคมหวานนั้นให้หลุดออกจากหัว
“ไม่ได้สิอีพริก! นั่นตัวแม่ตัวมัมนะ” พูดไปยิ้มไป รู้ทั้งรู้อยู่เต็มอกว่าเขาไม่มองหญิงและยังมีชายคนรักอยู่แล้วก็อดไม่ได้ที่จะเขินกับความมาดแมนของเขาที่หลุดมาตอนโกรธ เขาทำให้เธอใจสั่นไปหมดทั้งที่รู้ว่าเขาตั้งใจจะสั่งสอนไม่ได้ตั้งใจจะทำอะไรจริงๆก็เถอะ แต่มันก็อดเขินไม่ได้...
“ใครใช้ให้หล่อขนาดนั้นว้า...” พูดไปเขินไปจนเอาหน้ามุดผ้าห่มผ้าแพรนั้นแล้วดิ้นไปมา ก่อนจะลุกพรวดขึ้นหยุดชะงักยั้งตัวเอง
“ไม่ได้ดิ...นั่นเจเจ๊นะเว้ย” พริกแกงเอามือตบหน้าตัวเองสะบัดศีรษะรัวๆ ก่อนจะทอดถอนหายใจล้มตัวลงนอนด้วยใบหน้าเซ็งๆ
“อุตส่าห์มาไกลขนาดนี้ ยังไม่พ้นมีคู่หมั้นไม่ใช่ชายแท้อีก”
...ชีวิตหนอชีวิต ไม่ว่าจะชาติไหนยุคไหนก็เจอแต่ผู้ชายรักกัน ขนาดชาติก่อนแฟนยังนอกใจไปหาผู้ชายเลย...
คิดแล้วก็ส่ายหน้าไปมาอีกครั้งก่อนจะตัดสินใจข่มตานอนในที่สุด เพราะพรุ่งนี้เธอมีโปรแกรมทานอาหารและยังออกกำลังกาย สำรวจบ้านเรือนไทยหลังนี้...โปรแกรมเยอะแยะไปหมด...คิดจนเผลอแหลับไป...
หลังจากคืนนั้นพริกแกงก็เลี่ยงและหลบหน้าออกพระราม ส่วนตัวเขาเองก็มีงานวุ่นออกไปข้างนอกทุกวันกลับมาอีกทีก็ดึกดื่นค่อนคืน จึงไม่ได้เจอหน้ากันจนเวลาล่วงเลยผ่านไปนานอีกเดือน พริกแกงก็เอาแต่อยู่ในห้องในเรือนพื้นที่ของตน แม้เรือนของออกพระจะอยู่ตรงข้ามมีเพียงไม้สลักแผ่นบางกั้นก็ตามที แต่กลับไม่เห็นหน้าค่าตากันเสียนาน
เป็นเช้าที่เหมือนเช่นเคย เธอมักจะตื่นก่อนบ่าวในเรือนเพียงเพื่อที่จะมายืดเส้นยืดสายขยับร่างกายอยู่ในห้อง จะไปอาบน้ำอาบท่าก็ต่อเมื่อบ่าวทั้งสามตื่นขึ้นแล้วจึงค่อยมาแต่งตัว ระหว่างที่อบน้ำร่ำน้ำหอมนั้นก็ทำให้เธออยากที่รู้น้ำหนักของตัวเองแต่เพราะไม่ได้มีความรู้เกี่ยวกับยุคสมัยและความเป็นอยู่ของอดีต ในโลกปัจจุบันแค่ใช้ชีวิตให้รอดไปวันๆก็ยากแล้ว ไม่มีเวลาไปคิดเรื่องอื่นได้หรอก
“ที่นี่เขาชั่งน้ำหนักกันยังไงหรอ?” เอ่ยถามขึ้นพลางมองรูปร่างของตัวเองตอนนี้ดูเป็นที่น่าพอใจอยู่มาก ผลพลอยได้จากความสม่ำเสมอของเธอตั้งแต่มาอยู่ที่นี่ก็เป็นเวลาสองเดือนแล้วกับการเคร่งครัดจัดการรูปร่างที่เละเทะของเธอในยุคสมัยนี้ ใบหน้าสวยในกระจกที่เธอมองมันคือเธอในยุคปัจจุบันไม่มีผิดเพี้ยนสักนิด เธอไม่ได้อยู่ในร่างของคนอื่นแต่เป็นร่างของเธอเองเมื่อสามร้อยกว่าปีที่ผ่านมา...
“แม่หญิงจักชั่งกระไรรือเจ้าคะ?” แจ่มเอ่ยถามทั้งที่ยังพลัดใส่สไบให้และยิ้มออกมาอย่างตกตะลึงกับรูปร่างของเจ้านายตนในตอนนี้ ไม่คิดว่าจะเปลี่ยนไปขนาดนี้
“ชั่งตัวข้านี่แหละ”
“ถ้าเช่นนั้นต้องไปชั่งตราชั่งฝาหรั่งเจ้าค่ะ เรียกว่าตาปอนด์” สาลี่เอ่ยพร้อมกับขัดพับผ้าซิ่นลายสวยให้ก็ถึงกับตาลุกวาว
“ท่าจะยุ่งยาก ไม่เป็นไรก็ได้แค่นี้ก็พอจะเห็นแล้วว่าใช้ได้” พริกแกงพูดไปยิ้มให้ตัวเองในกระจกไป
“แม่หญิงเอวเหลือแค่นี้เองเจ้าค่ะ” สาลี่เอ่ย
“แม่หญิงของพวกเรางามยิ่งนัก” ทั้งสามเอ่ยพร้อมกันและมองพริกแกงผ่านกระจกด้วยใบหน้าอึ้งทึ่ง โดยที่ไม่รับรู้ถึงคนที่เงี่ยหูฟังอยู่ ชายหนุ่มขมวดคิ้วมุ่นอยู่หน้าห้องพยายามฟังแต่ได้ยินไม่ค่อยถนัดนัก
ก๊อกๆ...
“แม่พริก...วันนี้เจ้าคุณพ่ออยากเห็นหน้าค่าตาออเจ้าเสียหน่อย ออกมารับข้าวปลาอาหารเสียบ้าง”
“เจ้าค่ะ...”
“อย่ามัวชักช้า...ห่มสไบไม่พอตัวรือถึงได้ช้านัก” พูดพร้อมเอามือไขว้หลังอย่างหงุดหงิดที่ผู้เป็นพ่อบอกให้เขามาตามเธอถึงหน้าหอนอน เหตุเพราะคิดว่าเขาไปทำอะไรให้เธอโกรธหรือเปล่าเธอถึงได้ไม่ยอมออกมารับข้าวรับน้ำเลยเป็นเดือน ทั้งที่เขาทำงานจนยุ่งไม่ได้รับรู้เรื่องเลย แต่ในใจก็แอบคิดว่าอาจจะโกรธคืนนั้นที่เขาแกล้งเพราะตั้งแต่คืนนั้นเธอก็ไม่มาให้เขาเห็นหน้าอีกเลย
พริกแกงฟังคำพูดของคนที่อยู่หน้าประตูก็ถึงกับทำหน้ามุ่ยหลังจากพยายามแปลว่าที่เขาพูดหมายความว่ายังไง ก่อนจะเข้าใจว่าเขาพูดประชดประชันว่าโทษหุ่นของเธอเพราะเขาไม่คิดว่าเธอกินและนอนอยู่แต่ในห้องคงจะอ้วนท้วนสมบูรณ์จนห่มสไบไม่รอบตัว
....หนอย คุณเจเจ๊ปากแซ่บกล้าบูลลี่ฉันเลยเรอะ! เดี๋ยวจะจึ้ง!...
ก๊อกๆ...
“แม่พริก...มิได้ยินที่ข้าพูดรือ รับคำแล้วใยมิออก....” ออกพระรามพูดไม่จบประโยคก็ต้องกลืนคำพูดลงคอ ดวงตาคมเบิกกว้างจ้องมองหญิงสาวที่เปิดประตูออกมานิ่งค้าง....
“มาแล้วค่า แหม...”
“นี่...แม่พริก...หรอกรือ?”
พริกแกงเริ่มเล่าที่มาของเธอว่าเธอนั้นมาจากอนาคตอีกสี่ร้อยปีข้างหน้า เพื่อมาแก้ไขไม่ให้ตัวเองอายุสั้นและการผลัดเปลี่ยนแผ่นดินนั้นมันเป็นเรื่องที่ต้องเป็นไปฝืนไม่ได้ ไม่อย่างนั้นจะมีผลต่ออนาคต ทุกคนนั่งฟังอย่างตั้งใจด้วยสีหน้าเหลือเชื่อแต่ก็ต้องเชื่อ เนื่องจากเธอไม่เหมือนคนอื่นๆ หลายอย่างจากที่ผ่านมา“ต่อไปกาลข้างหน้า จักมีผู้เก่งกาจกอบกู้เมืองสยามแล้วไปตั้งเมืองหลวงที่อื่นรือ?” พริกแกงพยักหน้าให้กับคำถามของจหมื่นพันแสง“นานรือไม่ กว่าจักกอบกู้เมืองได้?” พระยารามเอ่ยขึ้นด้วยความอยากรู้“เจ็ด...” พริกแกงนำหน้าครุ่นคิด“เจ็ดปีเทียวรือ” ทุกคนพูดขึ้นพร้อมกัน พริกแกงส่ายหน้าไปมาก่อนจะยิ้มออกมาเมื่อนึกขึ้นได้ จากที่เธอเคยอ่านมา“เจ็ดเดือนเจ้าค่ะ”“เก่งประมาณนั้นเทียวรือ”“เก่งมากเลยล่ะเจ้าค่ะ...ไม่อย่างนั้นไทยก็คงไม่เป็นไทจนชั่วลูกชั่วหลาน” เมื่อได้ฟังอย่างนั้นทุกคนก็ยิ้มขึ้นมาอย่างพอใจ ความรักชาติบ้านเมืองของชาวกรุงเก่านั้นเข้มขลังจนเธอรู้สึกขนลุกอีกครั้ง
“แม่พริก...เป็นกระไรไปรือ? ตั้งแต่พี่กลับมาออเจ้าก็มิร่าเริงเลยหนา” พระยารามเอ่ยถามพริกแกงหลังจากที่เขาเปลี่ยนผลัดผ้าเรียบร้อย เพราะเธอไม่เข้าไปใกล้เขาเลยตอนแต่งชุดนักรบ พริกแกงหันมองหน้าเขาด้วยใบหน้าที่ดูหวาดกลัว“คุณพี่...จำที่เคยสัญญากับข้าได้ไหมเจ้าคะ?” พริกแกงเอ่ยถามขึ้นด้วยสีหน้าที่ดูเป็นกังวล พระยารามยิ้มอย่างอ่อนโยนก่อนจะเอื้อมมือไปลูบศีรษะเธออย่างเอ็นดู“พี่จำได้แม่น...พี่มิได้มีเมียเล็กเมียน้อยดอกหนา ไปถึงสุโขทัยมิได้เข้าหอชำเรา มิได้แตะเนื้อต้องตัวหญิงใด”“ไม่ใช่เรื่องนั้นเจ้าค่ะ”“ออ...มิว่าจะเกิดกระไรขึ้น...” เขาเงียบไปครู่หนึ่งหลุบสายตามองพริกแกงที่รอฟังอย่างคาดหวัง พระยารามจึงดึงเธอเข้ามากอดปลอบโยนเธอแล้วเอ่ยขึ้น“พี่ก็จักมิมีวันฟันคอออเจ้าผู้ที่เป็นเมียพี่” เขาพูดขึ้น ตอนนี้เขารับรู้แล้วว่าทำไมเธอถึงนิ่งอึ้งค้างท่าทางเหมือนกลัวขนาดนั้นเมื่อตอนเห็นเขากลับมาพร้อมเครื่องราชย์เหล่านั้น“แล้วทำไมถึงเอาของพวกนั้นมาไว้ที่เรือนตัวเองล่ะเจ้าคะ? ไม่ใช่ว่าต้อง
อดทนมาหลายวัน แอบเมียงมองว่าที่ภริยาของตนเตรียมตัวเป็นแม่บ้านแม่เรือนอย่างห่วงๆ แต่กลับทำให้เขาประหลาดใจไม่น้อยเมื่อเธอกลับเป็นแม่บ้านแม่เรือนกว่าที่เขาคิดไว้มากนัก ก่อนจะถึงวันแต่งงานเขาก็ได้ทำตามที่ใจของพริกแกงที่ได้ตั้งใจไว้เรื่องรับบ่าวเมื่อเข้าวังไปรับงานราชก็ทูลขอขุนหลวงเรื่องบ่าวของออกหลวงมโนสรที่ถูกชำเราให้ละเว้นโทษ และรับมาเลี้ยงดูเป็นบ่าวในเรือนของตน ขุนหลวงเห็นว่าออกพระรามมีผลงานดีงามและใกล้จะแต่งงานจึงได้ยอมยกบ่าวของออกหลวงให้ตามที่ทูลขอ อ้ายผาและพวกพ้องจึงเข้ามาทำงานในเรือนของออกพระรามและรับใช้อย่างซื่อสัตย์วันแต่งงานก็ผ่านไปได้ด้วยดี แม้พริกแกงจะทำตัวแก่นแก้วเต้นกลางงานแต่ก็พาคนอื่นๆ สนุกสนานไปด้วย เมื่อแต่งงานแล้วออกพระรามและพริกแกงก็ต้องหาที่ปลูกเรือนแยก ในบริเวณที่ดินใกล้เรือนพ่อแม่ของออกพระรามนั่นแหละ ไม่ได้ไกลกันนัก..ส่วนเรื่องของแม่เดือนแรมเห็นทีจะยอมพ่ายแพ้ไปเสียแล้ว เนื่องจากจหมื่นพันแสงนั้นเคยขัดห้ามอย่างเด็ดขาด ไม่อย่างนั้นจะฟ้องพ่อกับแม่ก็เลยทำให้แม่เดือนแรมยอมรามือไปเสีย ทุกอย่างคลี่คลายราบรื่น..แต่เพื่อนพ้องของออกพระรามคิดเห็นว่าออก
“ทะ...ทำไมต้องเขินด้วยเล่า...อย่างนี้คนอื่นก็เขินด้วยน่ะสิ” พริกแกงพูดแก้เขิน เมื่อเห็นเขาเขินเธอก็เขินตามไปด้วย ออกพระรามกระแอมเบาๆ ก่อนจะพูดขึ้นเสียงเบา“พี่มิเคย...เอ่ยคำนี้กับผู้ใด” พูดไปพลางเบือนหน้าหนี พริกแกงเองก็เบือนหน้ากลับมานั่งมองนิ้วตัวเองเล่นอย่างทำตัวไม่ถูก...ตอนได้กันครั้งแรกยังไม่เห็นเขินอะไรขนาดนี้เลยด้วยซ้ำไม่ทันได้เขินนานนักก็รู้สึกถึงมือหนาที่เลื่อนลูบปลายเส้นผมของเธอเบาๆ พริกแกงหันไปมองหน้าคนที่เปลี่ยนอารมณ์ไวเหมือนกิ้งก่า คิดจะหันไปจิกกัดเขาแต่ก็ต้องเงียบลงเมื่อเห็นใบหน้าของเขาที่กำลังยิ้มบางๆ พร้อมกับก้มลงดอมดมปลายเส้นผมของเธอที่เขาจับอยู่ ใบหน้าของเธอร้อนผ่าวขึ้นมาเสียอย่างนั้นท่าทางนั่งชันเข่าขึ้นข้างหนึ่งมีแขนแกร่งพาดเข่าที่ชันขึ้น มืออีกข้างจับเล่นเส้นผมของเธอดอมดมมันด้วยใบหน้าที่ดูพึงพอใจนั้น ปฏิเสธไม่ได้ว่าเขาดูมีเสน่ห์จนเธอละสายตาไม่ได้ ท่อนบนเปลือยเปล่ามีเพียงผ้าโสร่งมัดพันรอบเอวยิ่งทำให้เขาดูมีเสน่ห์..รับกับใบหน้าหล่อคมหวานของเขาพอดิบพอดี เผลอจ้องจนเจ้าของร่างรู้ตัว“จดจ้องเรือนกายพี่เช่นนี้
พอถึงช่วงเย็นก็ไปกินข้าวพร้อมหน้าเหมือนเช่นทุกวัน เพียงแต่วันนี้บรรยากาศมันจะเงียบเหงาไปเสียหน่อย ไม่กล้ามีใครเอ่ยพูดอะไรขึ้นต่างคนต่างก้มหน้าก้มตากินอาหารตรงหน้าจนแล้วเสร็จ ก็แยกย้ายกันไปอาบน้ำอาบท่าเข้าหอนอนของตัวเองพริกแกงนั่งหวีสางผมเผ้าอยู่หน้ากระจก จ้องมองในกระจกนั้นอย่างเหม่อลอยเพราะในหัวคาวมคิดรู้สึกผิดที่ไม่ได้บอกผุ้อาวุโสทั้งสองว่าที่จริงแล้วเธอไม่ได้อยากล้มเลิกงานแต่ง สีหน้าของทั้งสองท่านเมื่อตอนเย็นบนโต๊ะกินข้าวนั้นทำให้เธอนั่งถอนหายใจอยู่พักใหญ่ สาลี่และจันมองหน้ากันไปมาก่อนหันไปมองแม่หญิงของตนอย่างนึกห่วง“มีเรื่องกระไรมิสบายใจรือเจ้าคะแม่หญิง” สาลี่เอ่ยถาม“ข้าว่าคุณลุงคุณป้าเข้าใจผิดไปกันใหญ่แล้ว ดูสีหน้าท่านเมื่อตอนเย็นสิพี่” พูดแล้วก็หันไปทำหน้างอแงใส่บ่าวทั้งสองคน สาลี่และจันเอื้อมมือไปจับกุมมือเล็กของผู้เป็นเจ้านายอย่างเอ็นดู“โธ่...แม่หญิงของบ่าว มิต้องคิดมากไปดอกเจ้าค่ะ ประเดี๋ยวเรื่องมันก็ซา” จันเอ่ยปลอบ“นั่นสิเจ้าคะ...ต่อให้แม่หญิงมิพูด แต่พอถึงวันงานมันก็จักดีขึ้นเจ้าค่ะ” สา
ออกพระรามเห็นอย่างนั้นก็อดยิ้มกริ่มออกมาไม่ได้ เดินตามแม่หญิงขึ้นโบสถ์ไป ทั้งสองต่างนั่งแอบลอบมองกันไปมาอย่างยิ้มๆ พริกแกงเองก็พยายามหลบเลี่ยงสายตาของเขาอยู่เนืองๆ การกระทำของชายหญิงทั้งคู่ประจักษ์แก่สายตาของคุณหญิงซ่อนกลิ่นผู้เป็นแม่ที่นั่งอยู่เบื้องหน้าลูกชาย หันไปเห็นถึงความเปลี่ยนแปลงไปกับกิริยาท่าทางของลูกชายและพริกแกงเมื่องานเสร็จสรรพเรียบร้อยดี เหล่าขุนนางและคนอื่นๆ ก็ต่างพากันร่ำลากลับเรือนไปเสีย มาตั้งแต่เช้าจะกลับก็บ่ายแล้ว เรือขุนนางหลายลำแล่นแยกย้ายกันออกไป ออกญาผู้เป็นพ่อและคุณหญิงซ่อนกลิ่น รวมถึงพริกแกง ออกพระรามและบ่าวไพร่คนสนิทนั่งเรือลำเดียวกันเป็นเรือใหญ่ ส่วนบ่าวไพร่คนอื่นๆ ก็นั่งลำอื่นพายตามกันมาติดๆ คุณหญิงมองลูกชายตนที่นั่งแนบชิดติดกายแม่หญิงคู่หมั้นจ้องมองเธอไม่วางตาก็อดกระแอมขึ้นขัดไม่ได้“อะแฮ่ม...พ่อราม ใกล้จักถึงวันงานแต่งของลูกแล้วหนา”“ขอรับเจ้าคุณแม่” พูดตอบรับผู้เป็นแม่พลางจ้องมองหญิงสาวข้างกายด้วยรอยยิ้ม พริกแกงก็หลบเลี่ยงสายตามองไปทางอื่นไม่ให้ตัวเองเขินไปมากกว่านี้“แม่ใคร่ให้ลูก...อดใจห่างม